ถาม-ตอบไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

คณะผู้เชี่ยวชาญของ NHK ตอบคำถามจากคุณผู้ฟังเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

ความท้าทายของระบบการรักษาอาการลองโควิด

เราจะมุ่งเน้นเรื่องผลกระทบทั้งระยะกลางและระยะยาวที่เรียกกันว่าลองโควิด ครั้งนี้เกี่ยวกับความท้าทายในการสร้างระบบรักษาอาการลองโควิด

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นได้เผยแพร่คู่มือเพื่อขอให้ผู้ที่สงสัยว่ามีอาการลองโควิดไปยังสถาบันทางการแพทย์ในท้องถิ่นหรือปรึกษาแพทย์ที่ไปพบอยู่เป็นประจำ แต่กล่าวกันว่าคลินิกในชุมชนบางแห่งไม่สะดวกใจที่จะรักษากลุ่มคนเหล่านี้ หรือปฏิเสธพวกเขา โดยบอกว่าพวกเขาจินตนาการไปเอง

นายแพทย์โมริโอกะ ชินอิจิโร จากศูนย์การแพทย์และสาธารณสุขนานาชาติแห่งชาติชี้ว่า การวางระบบให้ผู้คนที่บอกว่าพวกตนมีอาการลองโควิดสามารถเข้ารับการรักษาได้นั้นเป็นสิ่งสำคัญ

เขากล่าวว่างานวิจัยแสดงให้เห็นว่าราว 1 ใน 4 ของผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ยังคงเผชิญอาการบางอย่างแม้จะผ่านมาแล้ว 18 เดือนก็ตาม และเมื่อพิจารณาถึงเรื่องนี้ จึงมีความจำเป็นที่ต้องมีสถานที่มากขึ้นที่รับพวกเขาเข้ารักษา

นายแพทย์โมริโอกะกล่าวว่าการให้คำปรึกษาสำหรับผู้ป่วยเช่นว่านี้อาจใช้เวลานานกว่าปกติ เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับอาการและรายละเอียดอื่น ๆ เขากล่าวว่าด้วยเหตุนี้อาจทำให้สถาบันการแพทย์บางแห่งรับผู้ป่วยได้น้อยลง แต่เขาเชื่อว่าต้องดำเนินความพยายามเพื่อพิจารณาเรื่องปัจจัยอื่น ๆ ซึ่งรวมถึงการเก็บค่ารักษาพยาบาลด้วย

ทางกระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่นกำลังขอให้ทุกจังหวัดทั่วญี่ปุ่นร่างรายชื่อของสถาบันการแพทย์ ที่สามารถรักษาผู้ป่วยที่มีอาการลองโควิดและให้เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวภายในวันที่ 28 เมษายน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 14 เมษายน 2566)

สถาบันทางการแพทย์รักษาอาการลองโควิดอย่างไร

เราจะมุ่งเน้นเรื่องผลกระทบทั้งระยะกลางและระยะยาวที่เรียกกันว่าลองโควิด ครั้งนี้เกี่ยวกับว่าสถาบันทางการแพทย์รักษาอาการลองโควิดอย่างไร

สถาบันวิจัยทางการแพทย์แห่งโรงพยาบาลคิตาโนะในเมืองโอซากาเป็นหนึ่งในสถาบันทางการแพทย์ที่มีแผนกผู้ป่วยนอก ซึ่งเชี่ยวชาญในการรักษาอาการลองโควิด

แพทย์ประจำแผนกดังกล่าวจะตัดสินว่าอาการของผู้ป่วยนั้นเกี่ยวข้องกับโควิด-19 หรือเกิดจากโรคอื่น โดยใช้วิธีสอบถามอาการของผู้ป่วยอย่างละเอียด

นายแพทย์มารูโมะ ซาโตชิ จากโรงพยาบาลแห่งนี้ระบุว่า การตัดสินขั้นแรกเป็นสิ่งสำคัญเพื่อดูว่าผู้ป่วยเผชิญอาการตามหลังจากโรคโควิด-19 หรือจากโรคอื่น ๆ เนื่องจากโรคเรื้อรังทั้งหลาย เช่น อาการทางข้อรูมาตอยด์ อาจย่ำแย่ลงเนื่องจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เขากล่าวว่าการวินิจฉัยอย่างแม่นยำจะทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่แผนกซึ่งเชี่ยวชาญในการรักษาอาการนั้น ๆ เป็นการเฉพาะ

เขายังกล่าวด้วยว่าบางคนที่บอกว่าตนเป็นลองโควิดมีภาวะซึมเศร้า เนื่องจากความกังวลอย่างมากที่เกิดจากสุขภาพที่ย่ำแย่ลงอย่างต่อเนื่อง

นายแพทย์มารูโมะกล่าวว่าในบางกรณี อาการทั้งหลายเกิดจากความกังวลว่าอาจเกิดอาการตามหลัง เขากล่าวว่าร้อยละ 60 ของผู้คนในวัยทำงานที่อยู่ในช่วงวัย 40 ถึง 50 ปี ที่เคยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเนื่องจากติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ไม่สามารถกลับไปทำงานได้โดยเร็วหลังจากที่หายแล้ว

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 13 เมษายน 2566)

การรักษาอาการลองโควิด

เราจะมุ่งเน้นเรื่องผลกระทบทั้งระยะกลางและระยะยาวที่เรียกกันว่าลองโควิด ครั้งนี้เกี่ยวกับว่าจะรักษาอาการลองโควิดได้อย่างไร

ศาสตราจารย์คุตสึนะ ซาโตชิ จากมหาวิทยาลัยโอซากากล่าวว่า ประเด็นอยู่ที่ว่ายังไม่มีการรักษาใดที่ได้รับการพิสูจน์ว่ามีประสิทธิผลในการรักษาอาการตามหลังของโรคโควิด-19 เขากล่าวว่าหากต้องการเลี่ยงความเสี่ยงที่จะเผชิญอาการลองโควิด การดำเนินขั้นตอนเพื่อเลี่ยงการติดเชื้อหรือไปเข้ารับวัคซีน จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง

นายแพทย์โมริโอกะ ชินอิจิโร จากศูนย์การแพทย์และสาธารณสุขนานาชาติแห่งชาติกล่าวว่า ขณะนี้กำลังมีการวิจัยทางคลินิกว่าด้วยการรักษาที่หลากหลาย ผลของการวิจัยแสดงให้เห็นว่าการบำบัดด้วยออกซิเจนความกดบรรยากาศสูงซึ่งใช้กับอาการทางประสาทนั้นมีแนวโน้มที่ดี ตลอดจนยาแพกซ์โลวิด ซึ่งเป็นยาแบบรับประทานของไฟเซอร์

นอกจากนี้ บริษัทชิโอโนงิของญี่ปุ่นก็กำลังศึกษาว่ายาโซโควาซึ่งเป็นยาใหม่สำหรับรับประทาน สามารถบรรเทาอาการบางอย่างของอาการตามหลังจากโรคโควิด-19 ได้ นับจนถึงปัจจุบัน ผลที่ได้แสดงให้เห็นว่าร้อยละ 14.5 ของผู้ป่วยที่ใช้ยาโซโควารักษาระบุว่า หลังจากผ่านมา 6 เดือน พวกตนเผชิญอาการอย่างน้อย 1 ใน 14 อาการที่เกี่ยวเนื่องกับลองโควิด เช่น ไอหรือเหนื่อยอ่อน สัดส่วนดังกล่าวน้อยกว่าเมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอก ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 26.3

บริษัทชิโอโนงิระบุว่าผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาโซโความีความเสี่ยงต่ำกว่าร้อยละ 45 ที่จะเผชิญอาการตามหลังจากโรคโควิด-19

ส่วนความคืบหน้าอื่น ๆ ในญี่ปุ่นนั้น มีรายงานหลายฉบับที่ระบุว่าการบำบัดด้วยการถูแรง ๆ ในจมูกโดยใช้ก้านสำลีได้ช่วยบรรเทาหลายอาการที่เกี่ยวเนื่องกับลองโควิด โดยประสิทธิผลของการรักษาด้วยวิธีนี้ยังคงอยู่ระหว่างการตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตาม สถาบันทางการแพทย์บางแห่งกำลังใช้วิธีนี้รักษาผู้ป่วยลองโควิด

ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาที่เป็นรูปธรรมเนื่องจากยังอยู่ระหว่างขั้นวิจัย แต่การรักษาบางแนวทางแสดงให้เห็นแนวโน้มที่ดีว่าจะเป็นวิธีรักษาลองโควิดที่เป็นไปได้ในอนาคต

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 12 เมษายน 2566)

จะวินิจฉัยอาการลองโควิดได้อย่างไร

เราจะมุ่งเน้นเรื่องผลกระทบทั้งระยะกลางและระยะยาวที่เรียกกันว่าลองโควิด ครั้งนี้เกี่ยวกับการศึกษาเรื่องวิธีการวินิจฉัย หากผู้ป่วยเผชิญอาการต่าง ๆ จากอาการตามหลังของโรคโควิด-19

ศาสตราจารย์อิวาซากิ อากิโกะ จากมหาวิทยาลัยเยล เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิคุ้มกันวิทยาที่ศึกษาเรื่องลองโควิด ศาสตราจารย์อิวาซากิและคณะกำลังศึกษาว่าการทดสอบแบบใดที่สามารถตัดสินได้ว่าผู้ป่วยเป็นลองโควิดหรือไม่

พวกเขากำลังพยายามหาคำตอบว่ามีสารที่เป็นสารเฉพาะซึ่งตรวจพบในเลือดของผู้ป่วยลองโควิดหรือไม่ หรือผู้ป่วยมีฮอร์โมนที่เป็นฮอร์โมนเฉพาะอยู่ในระดับสูงหรือไม่ สิ่งนี้ก็เพื่อจะได้กำหนดวิธีที่จะวินิจฉัยอาการป่วยด้วยการตรวจเลือดได้

ขณะนี้ ทางคณะวิจัยกำลังมุ่งเน้นไปที่ระดับของคอร์ติซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมนสเตียรอยด์ ฮอร์โมนดังกล่าวทำหน้าที่คอยกดระบบภูมิคุ้มกันและลดการอักเสบ เป็นที่ทราบกันว่าระดับของคอร์ติซอลในเลือดจะเพิ่มขึ้นในช่วงที่คนเราตื่นนอนตอนเช้า เลยทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดและความดันเลือดเพิ่มขึ้น และทำให้เรารู้สึกกระฉับกระเฉง

การวิจัยของศาสตราจารย์อิวาซากิและคณะพบว่า ระดับคอร์ติซอลในเลือดของผู้ที่เป็นลองโควิดในช่วงตื่นนอนนั้น มีแนวโน้มที่จะต่ำกว่าผู้ที่ไม่ได้เป็นลองโควิดอย่างมาก งานวิจัยนี้ได้เปิดเผยลักษณะบางอย่างของลองโควิดแต่ยังมีอะไรอีกมากมายเกี่ยวกับกลไกของลองโควิดที่ต้องศึกษาเพิ่มเติม

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 11 เมษายน 2566)

สมมติฐานเกี่ยวกับกลไกของอาการลองโควิด

เราจะมุ่งเน้นเรื่องผลกระทบทั้งระยะกลางและระยะยาวที่เรียกกันว่าลองโควิด ครั้งนี้เกี่ยวกับสมมติฐานในปัจจุบันว่าด้วยเรื่องกลไกของลองโควิด

นับจนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีใครทราบถึงกลไกของผลกระทบทางสุขภาพระยะยาวอันเป็นผลจากโรคโควิด-19

ศาสตราจารย์อิวาซากิ อากิโกะ จากมหาวิทยาลัยเยล ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิคุ้มกันวิทยาที่ศึกษาผลกระทบของโรคโควิด-19 ที่คงอยู่เป็นเวลานาน ได้คิดสมมติฐานต่าง ๆ เกี่ยวกับกลไกของลองโควิด ดังต่อไปนี้

- ถึงแม้อาการที่ปรากฏช่วงแรก ๆ เช่น ไอหรือมีไข้ ได้หายไปแล้ว แต่ไวรัสนี้หรือเศษของไวรัสที่แตกออกมายังคงอยู่ในร่างกาย ทำให้เกิดการอักเสบเป็นระยะเวลานาน
- ระบบภูมิคุ้มกันซึ่งตามปกติแล้วจะคอยปกป้องร่างกายของเรา กลับเริ่มที่จะโจมตีร่างกายตัวเองหลังจากที่ติดเชื้อ
- อวัยวะที่เสียหายจากการติดเชื้อต้องใช้เวลานานเพื่อเยียวยา
- ไวรัสโรคเริมหรือไวรัสอื่น ๆ ที่อยู่ในร่างกายอยู่แล้ว ถูกกระตุ้นให้ตื่นตัวจากการติดโควิด-19

ศาสตราจารย์อิวาซากิกล่าวว่า “พอเราเริ่มทำความเข้าใจว่าแอนติเจนของเชื้อไวรัส (ส่วนหนึ่งของไวรัส) หรือ RNA (ยีนของไวรัสโคโรนา) ยังคงอยู่ในหลายส่วนของร่างกาย ถึงแม้จะผ่านไปหลายเดือนหลังจากติดเชื้อแล้วก็ตาม สมมติฐานที่ว่าการติดเชื้อไวรัสนี้จึงดำเนินต่อไปเป็นระยะเวลานาน เลยได้รับความสนใจเป็นพิเศษ ห้องปฏิบัติการของเรามีแผนที่จะทำวิจัยเกี่ยวกับการรักษาปัญหาเรื้อรังด้วยการใช้ยาโควิดต่าง ๆ”

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 10 เมษายน 2566)

อาการตามหลังที่เกิดจากโรคโควิด-19 ณ ช่วงหนึ่งหลังหายจากโรคนี้

เราจะมุ่งเน้นเรื่องผลกระทบทั้งระยะกลางและระยะยาวที่เรียกกันว่าลองโควิด ครั้งนี้เกี่ยวกับผลสำรวจเรื่องสัดส่วนของผู้ที่ยังเผชิญอาการตามหลังจากโรคโควิด-19 ณ ช่วงเวลาหนึ่งหลังหายจากโรคนี้

ผลสำรวจในญี่ปุ่นแสดงให้เห็นว่าสัดส่วนของผู้คนที่เผชิญอาการตามหลังจากโรคโควิด-19 นั้นแตกต่างกันไปโดยขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่ผ่านไป หลังจากที่พวกเขาหายจากโรคนี้

ผลสำรวจดังกล่าวจัดทำโดยศาสตราจารย์คุตสึนะ ซาโตชิ จากมหาวิทยาลัยโอซาการ่วมกับเมืองโทโยนากะ ในจังหวัดโอซากา โดยเก็บข้อมูลผู้อยู่อาศัยในเมืองนี้ราว 26,000 คน ที่เคยติดโควิด-19 นับจนถึงสิ้นเดือนมีนาคมปี 2565 ผ่านทางอีเมลและทางแอปพลิเคชันต่าง ๆ

มีผู้ตอบการสำรวจกว่า 4,000 คน ร้อยละ 47.7 ของผู้ตอบกล่าวว่า พวกตนยังคงมีอาการต่าง ๆ หลังจากแยกกักตัวมาแล้ว 10 วัน ร้อยละ 5.2 ระบุว่าพวกตนมีผลพวงบางอย่าง 1 เดือนหลังจากเริ่มเป็นโควิด-19 และร้อยละ 3.7 มีอาการตามหลังเหล่านี้ 2 เดือนหลังจากที่เริ่มป่วย

ผลสำรวจยังพบด้วยว่าผู้ที่มีอาการหนัก มีแนวโน้มมากกว่าที่จะเผชิญอาการตามหลังทั้งหลาย และผู้ที่เข้ารับวัคซีนแล้วมีแนวโน้มน้อยกว่าที่จะเผชิญอาการเหล่านี้

ศาสตราจารย์คุตสึนะกล่าวว่าเราต้องพิจารณาประเด็นที่ว่า ผู้ที่เผชิญอาการต่าง ๆ มีแนวโน้มมากกว่าที่จะตอบแบบสำรวจในลักษณะนี้ แต่การสำรวจในเมืองโทโยนากะแสดงผลลัพธ์ที่คล้ายคลึงกับผลสำรวจที่ดำเนินการในต่างประเทศ เช่น ผลที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่มีอาการหนักและผู้ที่เคยเข้ารับวัคซีนแล้ว ในหลายกรณี อาการต่าง ๆ จะหายไปเมื่อเวลาผ่านไป แต่บางคนก็เผชิญอาการเหล่านั้นเป็นระยะเวลานาน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 7 เมษายน 2566)

ความเสี่ยงที่เกิดจากอาการลองโควิด

เราจะมุ่งเน้นเรื่องผลกระทบทั้งระยะกลางและระยะยาวที่เรียกกันว่าลองโควิด โดยเป็นเรื่องของการวิเคราะห์เชิงรายละเอียดของใบเสร็จค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ โดยมุ่งหาข้อมูลเรื่องความเสี่ยงของลองโควิด

คณะที่นำโดยศาสตราจารย์ฮิราตะ อากิมาซะ จากสถาบันเทคโนโลยีนาโงยะได้วิเคราะห์ใบรับรองค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ซึ่งระบุชื่อโรคและการรักษา โดยเก็บข้อมูลจากผู้คน 1.25 ล้านคนที่จ่ายค่ารักษาทางการแพทย์ไม่ถึง 200,000 เยนต่อปี สิ่งนี้เป็นตัวบ่งชี้ว่าไม่ได้เป็นโรคเรื้อรังร้ายแรง

คณะวิจัยเก็บข้อมูลเพื่อดูความแตกต่างของสัดส่วนผู้คนที่มีอาการพบได้ทั่วไปในกลุ่มผู้ป่วยลองโควิด โดยเปรียบเทียบระหว่างผู้ที่เคยติดโควิด-19 กับผู้ที่ไม่เคยติดเชื้อ ทางคณะวิจัยมุ่งเน้นไปยัง 10 อาการซึ่งรวมถึงความรู้สึกเหนื่อยล้าและปวดศีรษะ

คณะวิจัยเริ่มที่การวิเคราะห์ข้อมูลจากช่วงเวลา 1 ปีนับจนถึงฤดูใบไม้ผลิปี 2564 ซึ่งเป็นช่วงระบาดระลอกที่ 1 ถึง 3 ในญี่ปุ่น ราวร้อยละ 3 ของผู้ที่ไม่เคยติดเชื้อไวรัสนี้เลย มาโรงพยาบาลเพราะมีอาการ 10 อาการนี้ แต่ในกลุ่มของผู้ที่เคยติดเชื้อมาก่อน สัดส่วนดังกล่าวอยู่ที่ราวร้อยละ 16 คิดเป็นประมาณ 5 เท่าของตัวเลขของผู้ที่ไม่เคยติดเชื้อไวรัสนี้

ในช่วงการระบาดระลอกที่ 4 และ 5 สัดส่วนดังกล่าวในกลุ่มผู้ที่เคยติดเชื้อแล้วสูงกว่าคนที่ไม่เคยติดเชื้อประมาณ 6 เท่า และในการระบาดระลอกที่ 6 ซึ่งสายพันธุ์โอไมครอนแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว คณะวิจัยพบว่าความแตกต่างดังกล่าวค่อนข้างน้อย โดยนับจนถึงเดือนมีนาคม 2566 ความแตกต่างของสองกลุ่มนี้อยู่ที่ 3 เท่า

ศาสตราจารย์ฮิราตะกล่าวว่าการวิเคราะห์นี้ดำเนินการแค่กับใบเสร็จค่ารักษาทางการแพทย์เท่านั้น และไม่เพียงพอที่จะหาความเชื่อมโยงระหว่างไวรัสนี้กับอาการต่าง ๆ แต่เขากล่าวว่าสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าผู้คนที่ติดเชื้อมักจะไปโรงพยาบาลเพราะคิดว่าเป็นอาการลองโควิด และว่าในช่วงการระบาดระลอกที่ 6 ซึ่งสายพันธุ์โอไมครอนเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาด พบว่าความแตกต่างนี้น้อยลง ซึ่งอาจชี้เป็นนัยได้ถึงประสิทธิผลของวัคซีนและความรุนแรงที่ก่อให้เกิดโรคของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นั้นลดลงไป

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 6 เมษายน 2566)

ผลสำรวจในญี่ปุ่นเกี่ยวกับอาการหลังหายจากโรคโควิด-19

เราจะมุ่งเน้นเรื่องผลกระทบทั้งระยะกลางและระยะยาวที่เรียกกันว่าลองโควิด โดยเป็นเรื่องของผลสำรวจในญี่ปุ่นเกี่ยวกับอาการหลังหายจากโรคโควิด-19

คณะนักวิจัยที่นำโดยโมริโอกะ ชินอิจิโร จากโรงพยาบาลแห่งศูนย์การแพทย์และสาธารณสุขนานาชาติแห่งชาติได้เก็บข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาการหลังหายจากโควิด-19

ผู้ร่วมวิจัยมีจำนวน 502 คน อายุตั้งแต่ 20 ถึง 79 ปี ซึ่งติดเชื้อโควิด-19 ที่รวมถึงผู้เข้ารับการรักษาระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ถึงพฤศจิกายน 2564

ร้อยละ 32.3 ของผู้ตอบกล่าวว่าพวกเขามีอาการ 6 เดือนหลังหายจากโควิด-19 ร้อยละ 30.5 มีอาการหลังหายจากโควิด-19 แล้ว 12 เดือน ร้อยละ 25.8 มีอาการหลังจากนั้น 18 เดือน ซึ่งเท่ากับประมาณ 1 ใน 4 คน

คณะวิจัยยังได้ถามถึงลักษณะอาการที่พวกเขาเผชิญ 1 ปีหลังหายจากโรคนี้ ร้อยละ 11.7 มีอาการเกี่ยวกับความจำ, ร้อยละ 11.4 สมาธิสั้น, ร้อยละ 10.3 มีปัญหาเรื่องการรับกลิ่น และร้อยละ 9.1 มีอาการสมองล้าหรือมีความรู้สึกว่าไม่สามารถคิดอ่านได้อย่างแจ่มแจ้งเหมือนที่เคย, ร้อยละ 7.5 รู้สึกซึมเศร้า, ร้อยละ 5.9 มีปัญหาเรื่องการรับรส, ร้อยละ 5.6 หายใจไม่อิ่ม, ร้อยละ 3.8 รู้สึกอ่อนล้า และร้อยละ 3.5 ผมร่วง

คณะวิจัยพบว่าปัญหาเรื่องการรับรส ผมร่วง และสมาธิสั้น มีแนวโน้มมากกว่าที่จะเกิดขึ้นต่อเนื่องกับผู้หญิง ส่วนอาการหายใจไม่อิ่ม ไอ และรู้สึกอ่อนล้า เป็นอาการเรื้อรังในกลุ่มผู้ที่เคยป่วยเป็นโควิด-19 แล้วมีอาการปานกลางหรืออาการหนัก

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 5 เมษายน 2566)

อาการหลังหายจากโรคโควิด-19 แล้วเป็นอย่างไร

หลายประเทศได้เริ่มรักษาโรคโควิด-19 ในฐานะโรคติดเชื้อทั่วไปแล้ว แต่ยังคงต้องรับมือกับผลกระทบทั้งระยะกลางและระยะยาวที่เรียกกันว่าลองโควิด เราจะนำเสนอข้อมูลที่พบล่าสุดเกี่ยวกับอาการหลังหายจากโรคโควิด-19

องค์การอนามัยโลกจำแนกอาการหลังหายจากโรคโควิด-19 ไว้ดังต่อไปนี้

ตามปกติแล้ว อาการของลองโควิดปรากฏขึ้นในช่วง 3 เดือนนับตั้งแต่ที่เริ่มป่วยเป็นโควิด-19 อาการเหล่านั้นจะคงอยู่ไปอย่างน้อย 2 เดือน และเป็นอาการที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่าเกิดจากการเจ็บป่วยด้วยโรคอื่น ๆ เราจะมองว่าอาการเหล่านั้นเป็นลองโควิด ก็ต่อเมื่อตรงตามรายละเอียดทั้ง 3 ข้อนี้

อาการลองโควิดนั้นมีลักษณะเฉพาะที่รวมถึงการเหนื่อยล้า, หายใจไม่อิ่ม, ความจำผิดปกติ, สมาธิสั้น และปัญหาเกี่ยวกับการรับกลิ่นและรับรส

อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยที่พบว่ามีผู้ป่วยที่รายงานว่าเกิดอาการต่าง ๆ มากถึง 50 อาการ ส่วนความถี่ของอาการลองโควิดที่เกิดขึ้นนั้นยังไม่ทราบแน่ชัด ถ้าผู้ป่วยแสดงอาการบางอย่างหลังจากติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ถือเป็นเรื่องยากมากที่จะตัดสินว่าอาการดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อไวรัสนี้หรือไม่ หรือเป็นอาการจากสาเหตุอื่น ๆ

โมริโอกะ ชินอิจิโร แพทย์ประจำโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์และสาธารณสุขนานาชาติแห่งชาติกล่าวว่า ปัจจุบันยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าทำไมอาการที่คงอยู่เป็นเวลานานจึงเกิดขึ้นหลังติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ และยังไม่ทราบกลไกที่อาการเหล่านี้ก่อตัวขึ้นมา เขากล่าวว่าจำเป็นต้องตรวจผู้ป่วยอย่างละเอียด เพื่อตัดสินว่าอาการที่ผู้ป่วยเผชิญนี้เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จริงหรือไม่ และจากนั้นก็หาทางรักษาอาการดังกล่าว

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 4 เมษายน 2566)

ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการจัดประเภทของโรคโควิด-19 ใหม่

ในวันที่ 8 พฤษภาคม รัฐบาลญี่ปุ่นมีแผนจะลดการจัดประเภทของโรคโควิด-19 ตามกฎหมายให้ลงมาอยู่ในประเภทที่ 5 ซึ่งเป็นประเภทเดียวกันกับโรคติดเชื้อต่าง ๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล เราจะเสนอมุมมองของผู้เชี่ยวชาญเรื่องผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว

ศาสตราจารย์ทาเตดะ คาซูฮิโระ จากมหาวิทยาลัยโทโฮ ซึ่งเป็นสมาชิกของคณะที่ปรึกษาด้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของรัฐบาลญี่ปุ่นกล่าวว่า เขาไม่คิดว่าการยุติการตรวจหาเชื้อและการรักษาฟรี จะทำให้ผู้คนไม่อยากไปพบแพทย์เมื่อสงสัยว่าติดเชื้อ เนื่องจากการชำระค่าใช้จ่ายด้วยตนเองเกือบจะเท่ากับยอดที่ผู้ซึ่งสงสัยว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ต้องจ่ายเมื่อไปพบแพทย์

อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่าผู้ป่วยที่ต้องจ่ายค่ายาไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่และค่าใช้จ่ายเมื่อเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลนั้น อาจต้องจ่ายแพง ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงควรให้ความช่วยเหลืออย่างเพียงพอไปอีกระยะหนึ่งและดำเนินการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป

รัฐบาลมุ่งที่จะให้มีคลินิกและโรงพยาบาลมากขึ้นที่รักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หลังจากที่มีการจัดประเภทของโรคโควิด-19 มาเป็นประเภทที่ 5 ศาสตราจารย์ทาเตดะกล่าวว่าด้วยเหตุนี้ อาจทำให้เกิดความสับสนหากสถาบันทางการแพทย์ซึ่งไม่ได้ให้การรักษาผู้ป่วยโควิด-19 มาจนถึงปัจจุบัน แต่อยู่ดี ๆ กลับมีการขอให้รับผู้ป่วยโควิด-19 เข้ารักษา

เขากล่าวว่าควรมีการขอให้สถาบันทางการแพทย์ร่วมมือในระดับที่สามารถดำเนินการได้ โดยที่ไม่กดดันตนเองมากจนเกินไป และชี้ว่าสถาบันทางการแพทย์ส่วนใหญ่ให้การรักษาผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่อยู่แล้ว และถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องค่อย ๆ เพิ่มจำนวนของสถานที่ที่เปิดรับผู้ป่วยโควิด-19 เข้ารักษา ด้วยการขอให้สถานที่เหล่านี้เพิ่มมาตรการต้านการติดเชื้อทีละน้อย ซึ่งมาตรการเหล่านี้มีอยู่แล้วเพื่อใช้กับผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่

เขากล่าวว่ามาตรการเหล่านี้รวมถึงการทำให้มั่นใจว่าผู้ป่วยจะเว้นระยะห่างจากกัน ตลอดจนการระบายอากาศอย่างเหมาะสมด้วย

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 3 เมษายน 2566)

โรงพยาบาลรับมือกับความเปลี่ยนแปลงอย่างไร

ในวันที่ 8 พฤษภาคม รัฐบาลญี่ปุ่นมีแผนจะลดการจัดประเภทของโรคโควิด-19 ตามกฎหมายให้ลงมาอยู่ในประเภทที่ 5 ซึ่งเป็นประเภทเดียวกันกับโรคติดเชื้อต่าง ๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล เราจะเสนอว่าโรงพยาบาลทั้งหลายมีแผนรับมือกับความเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไร โดยยกตัวอย่างเป็นคลินิกหนึ่งในกรุงโตเกียว

สถาบันการแพทย์บางแห่งซึ่งที่ผ่านมาไม่สามารถรับผู้ป่วยโควิด-19 เข้ารักษาได้ ขณะนี้มีการพิจารณาที่จะรับผู้ป่วยแล้ว เนื่องจากสถาบันการแพทย์เหล่านี้จะสามารถทำเช่นนั้นได้เมื่อมีการจัดประเภทของโรคโควิด-19 ใหม่

ดร. คิจิมะ ฟูจิโอะเป็นผู้อำนวยการคิจิมะคลินิกในเขตชินจูกุของกรุงโตเกียว ในช่วงที่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เริ่มแพร่ระบาดในญี่ปุ่น ดร. คิจิมะมีความคิดเกี่ยวกับการเปิดรับผู้ป่วยที่เป็นโรคโควิด-19 แต่เขาตัดสินใจไม่ทำเช่นนั้นเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยคนอื่น ๆ เนื่องจากคลินิกของเขาไม่ได้สร้างให้สามารถแยกผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสได้

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เป็นไปตามความเปลี่ยนแปลงด้านการจัดประเภทของโรคโควิด-19 ใหม่ตามแผนที่วางไว้นั้น ดร. คิจิมะจึงพิจารณาว่าเขาจะสามารถเริ่มรับผู้ป่วยโรคโควิด-19 ได้อย่างไร และเริ่มดำเนินการด้วยการขอให้ผู้ป่วยที่สงสัยว่าติดเชื้อทำนัดหมายผ่านทางโทรศัพท์ โดยกำหนดช่วงเวลาที่ไม่มีผู้ป่วยคนอื่น ๆ อยู่ด้วย เจ้าหน้าที่ของคลินิกต้องระบายอากาศและฆ่าเชื้อโรคภายในห้องหลังจากที่ผู้ป่วยคนนั้นออกไป

ถึงแม้จะดำเนินการป้องกันไว้ก่อนแล้ว แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถขจัดความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้อย่างสมบูรณ์ เนื่องจากผู้ป่วยที่ติดเชื้อและผู้ป่วยอื่น ๆ จะต้องใช้พื้นที่ร่วมกัน เจ้าหน้าที่ของคลินิกก็ยังมีความกังวลอยู่

ดร. คิจิมะกล่าวว่าเจ้าหน้าที่ของคลินิกสามารถเตรียมพร้อมเพื่อต้านการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้น แต่ผู้ป่วยอาจไม่สามารถทำแบบนั้นได้ ด้วยเหตุนี้ เขาต้องดำเนินมาตรการอย่างระมัดระวังเพื่อลดความเสี่ยงที่ผู้ป่วยจะติดเชื้อให้เหลือน้อยที่สุด โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีอาการเรื้อรัง

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2566)

ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบในการหาโรงพยาบาลที่จะรับผู้ป่วยโควิด-19 เข้ารักษา

ในวันที่ 8 พฤษภาคม รัฐบาลญี่ปุ่นมีแผนจะลดการจัดประเภทของโรคโควิด-19 ตามกฎหมายให้ลงมาอยู่ในประเภทที่ 5 ซึ่งเป็นประเภทเดียวกันกับโรคติดเชื้อต่าง ๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล เราจะอธิบายเรื่องความเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบด้านการหาโรงพยาบาลที่รับผู้ป่วยโควิด-19 เข้ารักษา

ปัจจุบัน สถาบันต่าง ๆ เช่น ศูนย์สาธารณสุขของภาครัฐทำหน้าที่ประสานหาโรงพยาบาลที่จะรับผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เข้ารักษา แต่รัฐบาลระบุว่าหลังจากที่มีการจัดประเภทของโรคโควิด-19 ใหม่ ความรับผิดชอบดังกล่าวจะค่อย ๆ เปลี่ยนไปที่โรงพยาบาลต่าง ๆ ในเชิงหลักการ

ในขั้นแรก โรงพยาบาลเหล่านี้จะเริ่มประสานงานกันว่าโรงพยาบาลใดจะรับผู้ป่วยเข้ารักษา แต่ต้องเป็นผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อยเท่านั้น แต่หลังจากฤดูใบไม้ร่วง การหาโรงพยาบาลที่รับผู้ป่วยอาการหนักเข้ารักษาก็จะเป็นความรับผิดชอบของโรงพยาบาลทั้งหลายเช่นกัน

เพื่อให้ดำเนินการเช่นนั้นได้ จึงมีการส่งเสริมให้โรงพยาบาลใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีข้อมูล เพื่อให้สามารถแบ่งปันข้อมูลเรื่องเตียงว่างระหว่างโรงพยาบาลได้อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน ทางการของจังหวัดก็อาจใช้ระบบที่มีอยู่ เช่น คณะทำงานด้านการย้ายผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลต่าง ๆ ตามสถานการณ์ของจังหวัด เพื่อทำให้ช่วงรอยต่อเป็นไปอย่างราบรื่น

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นจะขอให้ทางการจังหวัดเสนอแผนการเปลี่ยนผ่านภายในสิ้นเดือนเมษายน เพื่อทำให้มั่นใจเรื่องการขยายการเตรียมการด้านบริการทางการแพทย์ และความร่วมมืออย่างราบรื่นของโรงพยาบาลทั้งหลาย แผนดังกล่าวจะครอบคลุมช่วงที่นับจนถึงสิ้นเดือนกันยายน ก่อนที่อากาศจะเย็นลง ซึ่งอาจทำให้ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น หลังจากสิ้นเดือนกันยายน ทางกระทรวงมีแผนที่จะต้องทบทวนโดยอิงจากความคืบหน้าของแผนการนี้ในแต่ละจังหวัด

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 30 มีนาคม 2566)

ความเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับสถาบันทางการแพทย์ที่ผู้ป่วยโควิด-19 สามารถเข้าไปรักษาได้

ในวันที่ 8 พฤษภาคม รัฐบาลญี่ปุ่นมีแผนจะลดการจัดประเภทของโรคโควิด-19 ตามกฎหมายให้ลงมาอยู่ในประเภทที่ 5 ซึ่งเป็นประเภทเดียวกันกับโรคติดเชื้อต่าง ๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล เราจะอธิบายเรื่องความเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับสถาบันทางการแพทย์ที่ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่สามารถเข้าไปรักษาได้

รัฐบาลมุ่งหวังจะใช้ระบบที่ผู้ซึ่งแสดงอาการของโรคโควิด-19 สามารถไปยังสถานที่ด้านการแพทย์ได้มากขึ้นกว่าเดิม กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการระบุว่าจะทำเช่นนี้อย่างเป็นขั้นเป็นตอนภายในเดือนเมษายนปี 2567

ปัจจุบัน มีสถานที่ด้านการแพทย์ราว 42,000 แห่งทั่วญี่ปุ่นที่เปิดรับผู้ป่วยนอก หลังจากที่ลดระดับโรคโควิด-19 ลงมาเป็นประเภทที่ 5 เจ้าหน้าที่หวังว่าจะเพิ่มจำนวนสถานที่ด้านการแพทย์ในลักษณะนี้เป็น 64,000 แห่ง ทางกระทรวงมีแผนที่จะขอให้สถานที่ด้านการแพทย์เปิดรับผู้ป่วยรายใหม่ ไม่ใช่แค่ผู้ป่วยประจำเท่านั้น และว่าสำนักงานของจังหวัดจะเปิดเผยรายชื่อของสถาบันทางการแพทย์ที่เปิดรับผู้ป่วยไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ต่อไป

สำหรับการเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลของผู้ป่วยโควิด-19 นับจนถึงปัจจุบัน รัฐบาลได้จัดเตียงสำหรับผู้ป่วยไว้ที่สถาบันทางการแพทย์ราว 3,000 แห่ง หลังจากที่มีการลดระดับประเภทของโรคโควิด-19 เจ้าหน้าที่หวังจะใช้ระบบที่ผู้ป่วยโควิด-19 สามารถเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลทั้งหมดประมาณ 8,200 แห่งทั่วญี่ปุ่น พวกเขายังมีแผนจะให้การสนับสนุนเป็นการเฉพาะต่อแผนกที่ให้บริการฟื้นฟูผู้ป่วยสูงอายุตามโรงพยาบาลต่าง ๆ เพื่อให้สถานที่เหล่านี้สามารถรับผู้ป่วยโควิด-19 เข้ารักษาได้

รัฐบาลมีแผนจะให้การสนับสนุนเพื่อให้สถานที่ด้านการแพทย์สามารถทบทวนแนวทางของตนและจัดหาอุปกรณ์ที่จำเป็น เพื่อป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล สิ่งเหล่านี้ก็เพื่อทำให้จำนวนของสถานที่ด้านการแพทย์ที่เปิดรับผู้ป่วยโควิด-19 มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 29 มีนาคม 2566)

ค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ป่วยที่ต้องนอนโรงพยาบาลหรือสถานที่ที่รัฐบาลจัดหาให้

ในวันที่ 8 พฤษภาคม รัฐบาลญี่ปุ่นมีแผนที่จะลดการจัดประเภทของโรคโควิด-19 ตามกฎหมายให้ลงมาอยู่ในประเภทที่ 5 ซึ่งเป็นประเภทเดียวกันกับโรคติดเชื้อต่าง ๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล เราจะอธิบายเรื่องความเปลี่ยนแปลงด้านค่าธรรมเนียมที่ผู้ป่วยจะต้องจ่ายเมื่อต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อรักษาโรคโควิด-19 หรือเลือกที่จะพักฟื้นที่สถานที่ซึ่งทางการท้องถิ่นจัดหาไว้ให้

ค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ปัจจุบันภาครัฐดูแลให้ทั้งหมด แต่กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่นระบุว่า ผู้ป่วยจะต้องแบกรับค่าใช้จ่ายทางการแพทย์และชำระค่าอาหารที่โรงพยาบาลหลังจากที่มีการจัดประเภทของโรคโควิด-19 ใหม่

ค่าใช้จ่ายเมื่อเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยโรคโควิด-19 อยู่ในข่ายที่สามารถได้รับสิทธิประโยชน์ด้านค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ที่มีราคาสูงได้ แต่เพื่อเลี่ยงไม่ให้ค่าใช้จ่ายทางการแพทย์เพิ่มขึ้นแบบกะทันหัน และเพื่อรับมือกับยอดติดเชื้อที่อาจเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูร้อนนี้ ทางกระทรวงระบุว่าจะให้เงินช่วยเหลือเพิ่มสูงสุดที่ 20,000 เยน หรือราว 5,200 บาท จนกว่าจะถึงสิ้นเดือนกันยายน

ทางกระทรวงยังช่วยประเมินค่าเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลคร่าว ๆ สำหรับผู้ที่อายุ 75 ปีขึ้นไป เมื่อบุคคลผู้จ่ายภาษีการมีถิ่นที่อยู่โดยมีรายได้ต่อปีไม่เกิน 3.83 ล้านเยน หรือราว 1,000,000 บาท เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลนาน 10 วันและมีอาการปานกลาง ผู้นั้นต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาล 37,600 เยน หรือราว 9,800 บาท และค่าอาหารระหว่างพักรักษาตัวอีก 13,800 เยน หรือราว 3,600 บาท

ทางกระทรวงจะยุติระบบที่ให้ผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการเล็กน้อยแยกกักตัว และพักฟื้นที่โรงแรมและสถานที่พักอื่น ๆ เมื่อพวกเขาไม่สามารถทำเช่นนั้นที่บ้านได้ หรือเนื่องจากเตียงโรงพยาบาลไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม ทางกระทรวงระบุว่าทางการท้องถิ่นยังคงดำเนินการสถานที่พักลักษณะนี้ต่อไป สำหรับผู้สูงอายุและผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์ จนกว่าจะถึงสิ้นเดือนกันยายน บนพื้นฐานที่ว่าผู้ป่วยต้องชำระค่าใช้จ่ายเอง

ทางกระทรวงจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายสำหรับยารักษาโรคโควิด-19 และใช้มาตรการที่จะลดภาระค่าใช้จ่ายในการเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล เพื่อรับมือกับยอดติดเชื้อที่อาจกลับมาเพิ่มสูงขึ้นในช่วงฤดูร้อนนี้

ทางกระทรวงระบุว่าช่วงสิ้นเดือนกันยายน จะพิจารณาว่าจะดำเนินมาตรการช่วยเหลือเหล่านี้ต่อไปหรือไม่ โดยคำนึงถึงความยุติธรรมต่อผู้ป่วยโรคอื่น ๆ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 28 มีนาคม 2566)

ค่าใช้จ่ายสำหรับการรักษาผู้ป่วยนอกที่เป็นโรคโควิด-19 และค่าใช้จ่ายด้านการตรวจหาเชื้อ

ในวันที่ 8 พฤษภาคม รัฐบาลญี่ปุ่นมีแผนที่จะลดการจัดประเภทของโรคโควิด-19 ตามกฎหมายให้ลงมาอยู่ในประเภทที่ 5 ซึ่งเป็นประเภทเดียวกันกับโรคติดเชื้อต่าง ๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล เราจะอธิบายเรื่องความเปลี่ยนแปลงด้านค่าธรรมเนียมที่ผู้ป่วยจะต้องจ่ายสำหรับการรักษาผู้ป่วยนอกที่เป็นโรคโควิด-19 และค่าใช้จ่ายสำหรับตรวจหาเชื้อ

ปัจจุบัน ค่าใช้จ่ายด้านการแพทย์สำหรับการรักษาผู้ป่วยนอกที่เป็นโควิด-19 หลังจากทราบผลว่าติดเชื้อนั้น ภาครัฐแบกรับค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม หลังจากที่จัดประเภทโรคโควิด-19 ใหม่เป็นประเภทที่ 5 ผู้ป่วยจะต้องแบกรับตามค่าใช้จ่ายจริง

ผู้ที่อายุไม่ถึง 70 ปีที่ค่าใช้จ่ายด้านการแพทย์ซึ่งต้องแบกรับเองกำหนดไว้อยู่ที่ร้อยละ 30 ของยอดรวมทั้งหมด จะต้องจ่ายเงินสูงสุด 4,170 เยน หรือราว 1,000 บาท เมื่อมีการสั่งจ่ายยาลดไข้และยาไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งเกือบเท่ากับค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ป่วยนอกที่เป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ที่ต้องจ่ายสูงสุด 4,450 เยน หรือราว 1,100 บาท เมื่อมีการสั่งจ่ายยาลดไข้และยาทามิฟลู ซึ่งเป็นยาต้านไวรัส

ส่วนผู้ที่อายุ 75 ปีขึ้นไป ซึ่งต้องแบกรับค่าใช้จ่ายด้านการแพทย์อยู่ที่ร้อยละ 10 จะต้องจ่ายสูงสุด 1,390 เยน หรือราว 350 บาท โดยเกือบจะเท่ากับค่าใช้จ่ายที่ผู้ป่วยนอกที่เป็นไข้หวัดใหญ่ต้องจ่าย ซึ่งอยู่ที่ 1,480 เยน หรือราว 380 บาท

รัฐบาลจะหยุดดูแลค่าใช้จ่ายสำหรับการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยคำนึงว่าปัจจุบันมีชุดตรวจหาเชื้อด้วยตัวเองได้ และเรื่องความยุติธรรมต่อผู้ป่วยที่เป็นโรคอื่น

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 27 มีนาคม 2566)

ผู้ป่วยโควิด-19 ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลเท่าใด

ในวันที่ 8 พฤษภาคม รัฐบาลญี่ปุ่นมีแผนที่จะลดการจัดประเภทของโรคโควิด-19 ตามกฎหมายให้ลงมาอยู่ในประเภทที่ 5 ซึ่งเป็นประเภทเดียวกันกับโรคติดเชื้อต่าง ๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล เราจะนำเสนอเรื่องความเปลี่ยนแปลงที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเรื่องภาระค่ารักษาพยาบาลของผู้ป่วยและสถาบันทางการแพทย์ที่ผู้ป่วยสามารถไปเข้ารับการรักษาได้ โดยเราจะอธิบายนโยบายของรัฐบาลและค่ายารักษา

ท้ายที่สุดแล้ว ประชาชนจะต้องชำระค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องมากขึ้น โดยกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นตัดสินใจเมื่อวันที่ 10 มีนาคม เพื่อทบทวนนโยบายของรัฐบาลและยุติการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่และการรักษาผู้ป่วยนอกแบบไม่มีค่าใช้จ่าย

ปัจจุบัน ผู้ป่วยไม่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายใด ๆ เนื่องจากมีการใช้เงินของรัฐในเชิงหลักการเพื่อช่วยดูแลค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคโควิด-19 การช่วยเหลือดังกล่าวจะลดลงไปเมื่อมีการจัดประเภทของโรคโควิด-19 ใหม่ให้ลงมาอยู่ในประเภทที่ 5 เนื่องจากมีความเห็นว่าต้องรักษาความยุติธรรมกับโรคชนิดอื่น ๆ แต่รัฐบาลมีแผนจะใช้เงินของภาครัฐต่อไปสำหรับบางมาตรการ เพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดภาระต่อผู้ป่วยแบบกะทันหัน

ภาครัฐจะออกค่าใช้จ่ายให้จนกว่าจะถึงสิ้นเดือนกันยายน เพื่อชำระค่ายารักษาไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ซึ่งมีราคาแพง เนื่องจากยอดติดเชื้ออาจเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูร้อนนี้ เจ้าหน้าที่มีแผนที่จะประเมินการแพร่ระบาดของโรคอื่น ๆ และการเก็บสำรองยาของรัฐบาลเพื่อเตรียมพร้อมรับมือการแพร่ระบาดที่อาจเกิดขึ้นในฤดูหนาว

ยกตัวอย่างเช่น หากภาครัฐไม่ออกค่าใช้จ่ายสำหรับยารักษาไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ให้แล้ว ผู้ป่วยนอกอาจต้องจ่ายเงินสูงถึง 32,470 เยน หรือราว 8,500 บาท สำหรับยาลาเกวริโอซึ่งเป็นยาแบบรับประทาน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 24 มีนาคม 2566)

การลดระดับประเภทของโรคโควิด-19 มาอยู่ในประเภทที่ 5 จะเปลี่ยนแปลงการรับมือกับโรคนี้อย่างไร

ในวันที่ 8 พฤษภาคม รัฐบาลญี่ปุ่นจะลดระดับประเภทของโรคโควิด-19 มาอยู่ในประเภทที่ 5 ซึ่งเป็นระดับเดียวกันกับโรคติดเชื้อต่าง ๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล เราจะนำเสนอว่าความเคลื่อนไหวนี้จะเปลี่ยนแปลงการที่เราจะรับมือกับโรคนี้อย่างไร

เมื่อวันที่ 25 มกราคม คณะทำงานของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่นซึ่งเสนอมาตรการต้านการติดเชื้อใหม่ระบุว่า “บุคคลและกลุ่มคนควรตัดสินใจเองว่าควรดำเนินมาตรการอะไร โดยขึ้นอยู่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดและความเสี่ยง แทนที่จะปฏิบัติมาตรการแบบเดียวกันโดยอิงจากคำขอของรัฐบาล”

คณะทำงานระบุว่า “ดูเหมือนว่ามีกรณีที่มาตรการควบคุมการติดเชื้อนั้นมากเกินไปหรือยังคงส่งผลกระทบอย่างน่าแคลงใจอยู่ นี่ถือเป็นปัญหาที่มีการใช้ข้อจำกัดอย่างมากต่อสังคมและเศรษฐกิจ รวมถึงกิจกรรมด้านการศึกษา ตลอดจนการใช้ชีวิตประจำวันของเด็ก ๆ”

นอกจากนี้ ยังชี้ว่า “การหารือเรื่องมาตรการควบคุมการติดเชื้อในสถานที่ทำงานหรือกลุ่มต่าง ๆ นั้นเป็นสิ่งที่พึงกระทำ และควรบรรลุฉันทามติร่วมกัน ไม่ควรมีใครที่ถูกบังคับให้ปฏิบัติหรือหยุดปฏิบัติมาตรการเหล่านี้ และควรให้ความเห็นอกเห็นใจที่จะเคารพการตัดสินใจของแต่ละคน”

คณะทำงานระบุว่า “ในสถานที่สาธารณะที่มีผู้คนหนาแน่น ทุกคนควรระลึกไว้ว่ามีคนที่เสี่ยงจะป่วยหนักและมีคนสุขภาพดีที่อยากเลี่ยงการติดเชื้อ ต้องใช้มาตรการคิดถึงใจผู้อื่นเพื่อช่วยให้พวกเขารู้สึกปลอดภัย การป้องกันไม่ให้ไวรัสนี้เข้าสู่โรงพยาบาลและสถานที่ดูแลผู้สูงอายุยังคงเป็นเรื่องสำคัญอยู่ ซึ่งการแพร่ระบาดตามสถานที่เหล่านี้เกิดขึ้นได้ง่ายและก่อให้เกิดผลตามมาอย่างใหญ่หลวง”

คณะทำงานระบุว่าจะจัดทำมาตรการต้านการติดเชื้อแบบเฉพาะเจาะจงในเร็ว ๆ นี้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566)

สถาบันทางการแพทย์มีความคิดเห็นอย่างไรกับการลดระดับประเภทของโรคโควิด-19 มาอยู่ในประเภทที่ 5

ในวันที่ 8 พฤษภาคม รัฐบาลญี่ปุ่นจะลดระดับประเภทของโรคโควิด-19 มาอยู่ในประเภทที่ 5 ซึ่งเป็นระดับเดียวกันกับโรคติดเชื้อต่าง ๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล เราจะนำเสนอว่าสถาบันทางการแพทย์มีความคิดเห็นอย่างไรกับการเปลี่ยนแปลงนี้

สถาบันทางการแพทย์แห่งหนึ่งในเมืองคาซูกาเบะ จังหวัดไซตามะ ได้จัดตั้งคลินิกไข้แบบชั่วคราวที่ด้านนอกเพื่อใช้ตรวจรักษาผู้ป่วยที่มีอาการอย่างเช่น มีไข้ ขณะเดียวกันก็ให้บริการการแพทย์ทั่วไปซึ่งรวมถึงการรักษาโรคเบาหวานและโรคหืดด้วย

ปัจจุบัน เมื่อผู้ป่วยโควิด-19 ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ศูนย์สาธารณสุขจะเป็นผู้จัดหาโรงพยาบาลที่จะรับผู้ป่วยดังกล่าว แต่สำหรับผู้ป่วยที่ป่วยด้วยโรคอื่นที่ไม่ใช่โควิด-19 แพทย์และพยาบาลต้องเตรียมการสำหรับให้การรักษาพยาบาลผู้ป่วยเหล่านี้ พวกเขามักประสบปัญหาในการหาโรงพยาบาล เนื่องจากเหตุผลต่าง ๆ เช่น ขาดแคลนเตียงว่าง ในบางครั้ง พวกเขาต้องดูแลผู้ป่วย เช่น ให้การรักษาด้วยออกซิเจนและให้ยาทางหลอดเลือดเป็นเวลานาน จนกว่าจะสามารถหาโรงพยาบาลที่รับผู้ป่วยเข้ารักษาได้

แพทย์ที่สถาบันการแพทย์ในเมืองคาซูกาเบะกล่าวว่า เมื่อมีการลดระดับโควิด-19 มาอยู่ในประเภทที่ 5 และเจ้าหน้าที่ของสถาบันจะต้องเตรียมการสำหรับรักษาพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ พวกเขาอาจเผชิญกับงานที่ล้นมือได้

แพทย์ได้แสดงความหวังว่า ศูนย์สาธารณสุขที่คอยหาโรงพยาบาลให้ จะค่อย ๆ ทยอยหยุดไป แทนที่จะหยุดไปเลยทีเดียว

ส่วนสถาบันทางการแพทย์อีกแห่งหนึ่ง ซึ่งนับจนถึงปัจจุบันยังไม่ได้จัดตั้งคลินิกไข้ ระบุว่าไม่สามารถรับผู้ป่วยโควิด-19 ได้โดยทันที เนื่องจากต้องใช้เวลาในการดำเนินมาตรการต้านการติดเชื้อ และว่าหากผู้ป่วยคิดว่าสถาบันทางการแพทย์แห่งใดก็ตามจะรับตนเข้ารักษา ก็อาจทำให้เกิดความสับสนได้

เจ้าหน้าที่ของสถาบันการแพทย์แห่งนี้แสดงความหวังว่ารัฐบาลจะเดินหน้าการจัดประเภทโรคโควิด-19 ใหม่ ไปพร้อมกับการพิจารณาอย่างระมัดระวังว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับสถาบันทางการแพทย์

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566)

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการจัดประเภทใหม่ให้โรคโควิด-19 อยู่ในประเภทที่ 5

ในวันที่ 8 พฤษภาคม รัฐบาลญี่ปุ่นจะลดระดับประเภทของโรคโควิด-19 มาอยู่ในประเภทที่ 5 ซึ่งเป็นระดับเดียวกันกับโรคติดเชื้อต่าง ๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล เราได้สอบถามผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการจัดประเภทใหม่นี้

สมาชิกของคณะผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่นได้แสดงความกังวลว่าการลดระดับดังกล่าวอาจทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับทางการท้องถิ่นที่จะเข้ามาจัดการและป้องกันไม่ให้บริการทางการแพทย์ในท้องที่ของตนแบกรับภาระหนักเกินไป ในกรณีที่จำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้น

ปัจจุบัน ทางการท้องถิ่นต่าง ๆ ร่วมมือกับเมืองที่อยู่ติดกันเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลที่สถาบันทางการแพทย์ที่ตนสามารถเข้ารับการรักษาตามที่ต้องการได้

นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังระบุถึงความเป็นไปได้ที่ผู้ติดเชื้ออาจจะไม่สามารถเข้ารับหรืออาจงดเว้นจากการไปเข้ารับการตรวจหาเชื้อหรือเข้ารับการรักษา เมื่อรัฐบาลหยุดให้ความช่วยเหลือด้านค่าใช้จ่ายเหล่านี้ หลังการลดระดับดังกล่าว

เมื่อโรคโควิด-19 ถูกลดระดับลงมาเป็นประเภทที่ 5 กฎหมายพิเศษที่เปิดทางให้รัฐบาลบังคับใช้มาตรการต้านไวรัสอย่างเข้มงวดจะไม่สามารถใช้กับโรคนี้ได้อีกต่อไป คณะผู้เชี่ยวชาญของรัฐบาลเกรงว่าประชาชนอาจหยุดดำเนินมาตรการต้านไวรัสในแบบที่เคยทำมา เนื่องจากการลดระดับดังกล่าวจะทำให้ผู้ว่าการจังหวัดไม่มีอำนาจทางกฎหมายในการขอให้ประชาชนดำเนินมาตรการเช่นว่านี้ ผู้เชี่ยวชาญเกรงว่าประชาชนอาจมองว่าการระบาดใหญ่สิ้นสุดลงแล้วอย่างแท้จริง

อีกหนึ่งความกังวลของผู้เชี่ยวชาญก็คือการรับมืออย่างรวดเร็วต่อสายพันธุ์ใหม่ ๆ ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่กลายพันธุ์ ซึ่งสายพันธุ์ใหม่เหล่านี้ก่อให้เกิดการติดเชื้อที่สูง หรือทำให้เกิดโรคได้สูง หรือทั้งคู่ พวกเขาเกรงว่าการยุบคณะทำงานด้านโควิด-19 ของรัฐบาลและทางการท้องถิ่นเนื่องจากการลดระดับนี้ อาจเป็นอุปสรรคต่อการรับมือความเสี่ยงดังกล่าวให้ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ พวกเขายังกังวลเกี่ยวกับอัตราการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันที่อาจลดลงไป ถ้ารัฐบาลตัดลดความพยายามในการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566)

ความแตกต่างเรื่องการรับมือระหว่างโรคโควิด-19 กับไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล

ในวันที่ 8 พฤษภาคม รัฐบาลญี่ปุ่นจะลดระดับประเภทของโรคโควิด-19 มาอยู่ในประเภทที่ 5 ซึ่งเป็นระดับเดียวกันกับโรคติดเชื้อต่าง ๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล เราจะนำเสนอเรื่องความแตกต่างระหว่างโรคโควิด-19 กับไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล และยาที่ใช้รักษาเมื่อติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อระบุว่าการรับมือกับโรคโควิด-19 เป็นเรื่องยากเนื่องจากขอบเขตและช่วงเวลาของการติดเชื้อนั้นไม่สามารถคาดการณ์ได้ เนื่องจากการแพร่กระจายของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นไม่ว่าจะฤดูใด ไม่เหมือนกับไข้หวัดใหญ่ซึ่งมักแพร่ระบาดในช่วงฤดูหนาว พวกเขายังกล่าวด้วยว่าการกลายพันธุ์ก็เกิดขึ้นเร็วกว่าเมื่อเทียบกับไข้หวัดใหญ่ ซึ่งนำไปสู่ความเสี่ยงที่จะเกิดสายพันธุ์ใหม่ ๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้

มีการใช้ยาแบบรับประทานเพื่อรักษาโรคโควิด-19 แต่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่ากระบวนการสำหรับใช้ยาดังกล่าวซับซ้อนมากกว่าเมื่อเทียบกับการใช้ยาต้านไวรัส เช่น ยาทามิฟลูที่ใช้สำหรับรักษาไข้หวัดใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้น ยังต้องระมัดระวังเมื่อใช้ยาโควิด-19 กับผู้คนที่มีอาการเรื้อรังอื่น ๆ ด้วยเหตุนี้ จึงไม่สามารถให้ยาได้แบบง่าย ๆ

ปัจจุบันมีสถาบันทางการแพทย์มากขึ้นที่สามารถตรวจรักษาผู้ป่วยโควิด-19 หากว่าสถานที่ดังกล่าวดำเนินมาตรการต้านการติดเชื้อที่มากพอ แต่จำนวนของสถาบันทางการแพทย์เช่นว่านี้ยังคงมีอยู่อย่างจำกัด เมื่อเทียบกับสถาบันทางการแพทย์ที่รักษาผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าอาจต้องใช้เวลามากกว่านี้ จนกว่าจะสามารถรับมือกับโควิด-19 ได้ด้วยวิธีเดียวกันกับไข้หวัดใหญ่ และว่าควรดำเนินมาตรการต้านการติดเชื้อต่อไป ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงหลังจากที่มีการลดระดับประเภทของโรคโควิด-19 มาเป็นประเภทที่ 5 แล้วก็ตาม

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566)

การลดระดับประเภทของโรคโควิด-19 มาอยู่ในประเภทที่ 5 จะส่งผลต่อการฉีดวัคซีนอย่างไร

ในวันที่ 8 พฤษภาคม รัฐบาลญี่ปุ่นจะลดระดับประเภทของโรคโควิด-19 มาอยู่ในประเภทที่ 5 ซึ่งเป็นระดับเดียวกันกับโรคติดเชื้อต่าง ๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล เราจะนำเสนอว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อการฉีดวัคซีนอย่างไร

ที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นดำเนินการฉีดวัคซีนให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ตามกฎหมายการสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน

อย่างไรก็ตาม มีความกังวลว่าอัตราการฉีดวัคซีนอาจลดลง ถ้าประชาชนต้องจ่ายค่าฉีดวัคซีนเอง คณะผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่นกำลังหารือกันว่าใครควรรับผิดชอบค่าใช้จ่ายนี้และรับผิดชอบอย่างไร

คาดว่าคณะผู้เชี่ยวชาญจะจัดทำข้อสรุปชุดหนึ่งเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ เช่น นับตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นไป โครงการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันฟรีที่มีอยู่ในปัจจุบันจะดำเนินต่อไปหรือไม่ และหากยังดำเนินต่อไป ใครจะมีสิทธิได้รับวัคซีนนี้

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลญี่ปุ่นระบุว่าจะรับประกันว่าใครก็ตามที่ต้องการเข้ารับวัคซีน จะสามารถเข้ารับวัคซีนได้แบบไม่มีค่าใช้จ่าย

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566)

การลดระดับประเภทของโรคโควิด-19 มาอยู่ในประเภทที่ 5 จะส่งผลต่อการสวมหน้ากากอนามัยอย่างไร

ในวันที่ 8 พฤษภาคม รัฐบาลญี่ปุ่นจะลดระดับประเภทของโรคโควิด-19 มาอยู่ในประเภทที่ 5 ซึ่งเป็นระดับเดียวกันกับโรคติดเชื้อต่าง ๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล เราจะนำเสนอว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อการสวมหน้ากากอนามัยอย่างไร

มีคำแนะนำให้สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ภายในอาคาร ในตอนที่คุณไม่สามารถเว้นระยะห่างกับผู้อื่นได้มากพอ ในกรณีที่อยู่ภายในอาคารและมีการพูดคุยกันนั้น ก็มีคำแนะนำให้สวมหน้ากากอนามัยไม่ว่าจะอยู่ห่างกันแค่ไหนก็ตาม

ที่การประชุมของคณะทำงานด้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เมื่อวันที่ 27 มกราคม รัฐบาลได้ระบุว่าจะทบทวนนโยบายเกี่ยวกับการสวมหน้ากากอนามัย โดยจะให้แต่ละบุคคลตัดสินใจกันเองว่าจะสวมหน้ากากอนามัยหรือไม่ ทั้งในตอนที่อยู่ภายในอาคารและนอกอาคาร รัฐบาลระบุว่าจะศึกษาเรื่องช่วงเวลาที่แน่ชัดในการทบทวนนโยบายนี้

สมาชิกของคณะผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่นได้แสดงความเห็นว่า ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงหลังจากที่ลดระดับของโรคโควิด-19 มาเป็นประเภทที่ 5 แล้ว แต่ผู้ที่อยู่ในภาวะมีความเสี่ยงสูงก็ควรสวมหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสที่อาจเกิดขึ้นได้

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าผู้ที่ตรวจพบว่าติดโควิด-19 หรือผู้ที่มีอาการต่าง ๆ ตลอดจนผู้อยู่ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อหรืออยู่ในภาวะที่มีความเสี่ยงสูง ควรสวมหน้ากากอนามัยและงดเว้นจากการออกไปข้างนอกเพื่อพบกับผู้อื่น

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าควรดำเนินมาตรการป้องกันอื่น ๆ ด้วยตามสถานการณ์การแพร่ระบาดและสภาวะต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการทำให้มั่นใจว่ามีการระบายอากาศอย่างเพียงพอ และว่าควรสวมหน้ากากอนามัยตามสถานที่ทั้งหลาย เช่น สถานที่ดูแลผู้สูงอายุ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566)

การจัดประเภทของโรคโควิด-19 ใหม่จะส่งผลต่อสังคมอย่างไร

ในวันที่ 8 พฤษภาคม รัฐบาลญี่ปุ่นจะลดระดับประเภทของโรคโควิด-19 มาอยู่ในประเภทที่ 5 ซึ่งเป็นระดับเดียวกันกับโรคติดเชื้อต่าง ๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล เราจะนำเสนอว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อสังคมอย่างไร ทั้งเรื่องข้อจำกัดเกี่ยวกับการไปไหนมาไหนของผู้คนหรือกฎระเบียบอื่น ๆ

การลดระดับลงมาอยู่ที่ประเภทที่ 5 จะทำให้ไม่สามารถใช้ข้อจำกัดในการไปไหนมาไหนของผู้คนได้ ซึ่งข้อจำกัดดังกล่าวมีรัฐบาลและทางการท้องถิ่นเป็นผู้กำหนดการนำไปปฏิบัติ

การประกาศภาวะฉุกเฉิน การออกคำแนะนำหรือคำสั่งให้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล การขอให้ผู้ติดเชื้อและผู้ใกล้ชิดอยู่กับบ้าน ล้วนเป็นข้อจำกัดที่ทางการไม่สามารถดำเนินการได้อีกต่อไป หลังจากที่มีการลดระดับโรคโควิด-19 มาเป็นประเภทที่ 5

มาตรการควบคุมด้านพรมแดนที่รัฐบาลใช้มาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงการกำหนดให้ผู้เดินทางชาวต่างชาติที่มาถึงญี่ปุ่น ต้องแสดงหลักฐานการได้รับวัคซีนอย่างน้อย 3 เข็มนั้น จะถูกยกเลิกไปในทางหลักการ

ที่ผ่านมาการรับตัวผู้ป่วยและการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จำกัดอยู่ที่สถาบันทางการแพทย์จำนวนหนึ่งเท่านั้น เช่น สถาบันทางการแพทย์ที่ได้รับการกำหนดไว้และคลินิกไข้ ทางการมีแผนที่จะเพิ่มจำนวนสถาบันทางการแพทย์ที่สามารถรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ได้ โดยจะเพิ่มอย่างเป็นขั้นเป็นตอน

ที่ผ่านมาค่าใช้จ่ายทั้งหมดสำหรับการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและการตรวจหาเชื้อนั้น รัฐบาลญี่ปุ่นเป็นผู้รับผิดชอบ แต่หลังจากที่มีการลดระดับมาเป็นประเภทที่ 5 ในทางหลักการแล้วผู้ป่วยจะต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเองด้วยบางส่วน มีความกังวลว่าแนวทางเช่นนี้จะทำให้บางคนไม่อยากไปพบแพทย์ เจ้าหน้าที่จึงมีแผนที่จะทบทวนนโยบายดังกล่าวอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไปพร้อมกับการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินไปอีกระยะหนึ่ง

ที่ผ่านมามีการขอให้สถาบันทางการแพทย์และศูนย์สาธารณสุขในท้องถิ่นต่าง ๆ รายงานจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด การลดระดับโรคโควิด-19 มาอยู่ในประเภทที่ 5 จะทำให้แบบแผนด้านการสำรวจข้อมูลตัวอย่างเชื้อเปลี่ยนไป โดยจะให้เฉพาะโรงพยาบาลใหญ่เท่านั้นที่รายงานจำนวนผู้ติดเชื้อ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566)

การจัดประเภทให้โรคโควิด-19 มาอยู่ในประเภทที่ 5 จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง

รัฐบาลญี่ปุ่นได้ตัดสินใจอย่างเป็นทางการที่จะลดระดับประเภทของโรคโควิด-19 มาอยู่ระดับเดียวกันกับโรคติดเชื้อต่าง ๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคมเป็นต้นไป เราจะอธิบายว่าการจัดประเภทให้โรคโควิด-19 มาอยู่ในประเภทที่ 5 จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง

ทำไมจึงกำหนดให้การจัดประเภทใหม่ดังกล่าวเริ่มต้นในวันที่ 8 พฤษภาคม ก่อนหน้านี้ รัฐบาลญี่ปุ่นระบุว่าตั้งเป้าไว้ประมาณปลายเดือนเมษายนหรือต้นเดือนพฤษภาคม แหล่งข่าวภายในกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่นให้เหตุผลว่าทำไมรัฐบาลจึงกำหนดเป็นวันที่ 8 พฤษภาคม โดยระบุว่าดังนี้

ทางการท้องถิ่นและสถานที่ด้านสาธารณสุขทั้งหลายเรียกร้องว่าขอเวลาสำหรับการเตรียมตัว คณะผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงสาธารณสุขได้ยื่นทัศนะแบบเป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อวันที่ 27 มกราคม โดยระบุว่า “การเปลี่ยนนโยบายจะทำให้เกิดผลกระทบอย่างมากต่อการใช้ชีวิตของประชาชน ตลอดจนกลุ่มธุรกิจและสถานที่ด้านการแพทย์ ด้วยเหตุนี้ ควรให้เวลาประมาณ 3 เดือนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้”

จากนั้นก็มีการหารือเกี่ยวกับว่าการจัดประเภทของโรคโควิด-19 ใหม่ ควรมีขึ้นก่อนหรือหลังวันหยุดยาวช่วงฤดูใบไม้ผลิของญี่ปุ่น ซึ่งได้แก่ปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคม

มีความกังวลว่าการเปลี่ยนนโยบายก่อนวันหยุดยาวอาจทำให้การไปไหนมาไหนของผู้คนเพิ่มมากขึ้น และทำให้ไวรัสนี้แพร่ระบาดออกไป กลายเป็นภาระหนักต่อสถานที่ทางการแพทย์ในช่วงวันหยุดยาว รัฐบาลจึงกำหนดเป็นวันที่ 8 พฤษภาคม หลังจากการหารือดังกล่าว

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566)

ความเป็นไปได้ที่ผู้ติดเชื้อรายใหม่จะพุ่งสูงอีกครั้งโดยมีสายพันธุ์ XBB.1.5 ระบาดเป็นหลัก

เราจะนำเสนอเกี่ยวกับสายพันธุ์ย่อยชนิดใหม่ของโอไมครอนที่เรียกว่า XBB.1.5 ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเกรงว่าสายพันธุ์นี้อาจหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้มากที่สุดนับจนถึงปัจจุบัน ครั้งนี้เราได้สอบถามผู้เชี่ยวชาญถึงความเป็นไปได้ที่ผู้ติดเชื้อรายใหม่จะกลับมาพุ่งสูงอีกครั้งโดยมีสายพันธุ์ XBB.1.5 ระบาดเป็นหลัก

สายพันธุ์ XBB.1.5 จะระบาดมากขึ้นในญี่ปุ่นหรือไม่ ศาสตราจารย์นิชิอูระ ฮิโรชิ จากมหาวิทยาลัยเกียวโตเตือนว่าเราควรระวังเนื่องจาก XBB.1.5 มีแนวโน้มว่ามีความสามารถในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้อย่างมาก เขากล่าวว่าขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในญี่ปุ่น ณ ปัจจุบันกำลังลดลงไป แต่ก็มีความเสี่ยงที่ XBB.1.5 จะทำให้การระบาดกลับมาพุ่งสูงอีกครั้ง

ขณะที่ศาสตราจารย์ฮามาดะ อัตสึโอะ จากโรงพยาบาลแห่งมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์โตเกียวซึ่งวิเคราะห์สถานการณ์ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในต่างประเทศระบุว่า XBB.1.5 อาจทำให้การระบาดใหญ่ระลอกที่ 8 ในปัจจุบันยืดเยื้อออกไป หากสายพันธุ์นี้แพร่ระบาดอย่างเต็มที่ หรืออาจทำให้เกิดการระบาดระลอกที่ 9 ได้

ศาสตราจารย์ฮามาดะกล่าวว่า หลังจากยอดติดเชื้อลดลงไป เราควรเตรียมการรับมือต่อการระบาดที่อาจเกิดขึ้นอีกครั้ง และว่าเนื่องจากการเข้ารับวัคซีนจะคงประสิทธิผลอยู่ระยะหนึ่ง ดังนั้นการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของเราด้วยการไปเข้ารับวัคซีนที่พุ่งเป้ายังสายพันธุ์โอไมครอน จึงเป็นสิ่งสำคัญ

รายงานที่เผยแพร่โดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐเมื่อวันที่ 25 มกราคมระบุว่า วัคซีนที่พุ่งเป้ายังสายพันธุ์โอไมครอน มีประสิทธิผลประมาณหนึ่งในการป้องกันการเกิดอาการต่าง ๆ จากสายพันธุ์ XBB ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอนที่รวมถึง XBB.1.5 ด้วย

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566)

สถานการณ์ของผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ย่อย XBB.1.5 รายใหม่

เราจะนำเสนอเกี่ยวกับสายพันธุ์ย่อยชนิดใหม่ของโอไมครอนที่เรียกว่า XBB.1.5 ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเกรงว่าสายพันธุ์นี้อาจหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้มากที่สุดนับจนถึงปัจจุบัน ครั้งนี้เราจะมุ่งเน้นไปที่สถานการณ์ของผู้ติดเชื้อ XBB.1.5 รายใหม่

นอกจากสหรัฐแล้ว จำนวนผู้ติดเชื้อ XBB.1.5 รายใหม่ไม่ได้แพร่ไปอย่างรวดเร็วทั่วโลก ที่ญี่ปุ่นและประเทศส่วนใหญ่นั้น ขณะนี้การติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ไม่ได้มีสายพันธุ์เฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่งระบาดอยู่เป็นหลัก

ทางการกรุงโตเกียวระบุว่าผู้ติดเชื้อ XBB.1.5 รายใหม่ในกรุงโตเกียวไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก นับจนถึงวันที่ 19 มกราคม มีรายงานผู้ติดเชื้อนี้รายใหม่จำนวน 22 คน คิดเป็นแค่ร้อยละ 0.3 ของยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่มีรายงานในสัปดาห์ที่นับจนถึงวันที่ 2 มกราคม

ขณะเดียวกัน สายพันธุ์กลายพันธุ์อื่น ๆ ที่มีรายงานในช่วงเดียวกันนี้ ล้วนเป็นสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอน นับตั้งแต่ประมาณกลางปี 2565 จำนวนผู้ติดโควิด-19 รายใหม่เป็นผู้ที่ติดเชื้อสายพันธุ์ BA.5 ร้อยละ 50.6 ตามมาด้วยสายพันธุ์ BQ.1.1 ร้อยละ 16.2 สายพันธุ์ BF.7 ร้อยละ 14.2 และสายพันธุ์ BN.1 ร้อยละ 10.4

รองศาสตราจารย์ทาเกอูจิ ฮิโรอากิ จากมหาวิทยาลัยการแพทย์และทันตกรรมแห่งโตเกียว ซึ่งทำการวิเคราะห์พันธุกรรมของบรรดาสายพันธุ์กลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ระบุว่า ขณะที่สายพันธุ์ XBB.1.5 ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่จะแพร่ระบาดทันที แต่เราก็ไม่อาจทราบได้ว่าสายพันธุ์กลายพันธุ์ชนิดใดที่จะระบาดหลักในช่วงการระบาดอีกระลอกหนึ่งในญี่ปุ่น และว่าสถานการณ์ที่พบไวรัสกลายพันธุ์ต่างชนิดกันในกลุ่มผู้ติดเชื้อรายใหม่นั้น น่าจะยังเป็นไปแบบนี้อีกระยะหนึ่ง

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566)

ความสามารถของสายพันธุ์ย่อย XBB.1.5 ในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกัน

เราจะนำเสนอเกี่ยวกับสายพันธุ์ย่อยชนิดใหม่ของโอไมครอนที่เรียกว่า XBB.1.5 ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเกรงว่าสายพันธุ์นี้อาจหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้มากที่สุดนับจนถึงปัจจุบัน ครั้งนี้เราจะมุ่งเน้นไปที่ความสามารถของ XBB.1.5 ในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกัน

G2P-Japan ซึ่งเป็นคณะวิจัยที่นำโดยศาสตราจารย์ซาโต เค จากสถาบันวิทยาศาสตร์การแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียว ได้เปิดเผยรายงานที่มุ่งเน้นเรื่องการทำงานของภูมิคุ้มกันเพื่อต้านสายพันธุ์ย่อย XBB.1.5 โดยเป็นการศึกษาเลือดของคนที่ติดเชื้อสายพันธุ์ BA.5 หลังจากที่ได้รับวัคซีนแล้ว รายงานดังกล่าวยังไม่ได้ผ่านการทบทวนอย่างเป็นทางการ

จากการศึกษานี้พบว่าเมื่อเทียบกับ BA.5 แล้ว สารภูมิต้านทานที่มีฤทธิ์ลบล้างไวรัสมีความสามารถเหลือแค่ 1 ใน 10 เมื่อสู้กับ XBB.1.5 สิ่งนี้แสดงให้เห็นชัดเจนถึงความสามารถในการต้านทานภูมิคุ้มกันของ XBB.1.5

นอกจากนี้ การกลายพันธุ์ที่โปรตีนหนาม ยังทำให้ XBB.1.5 มีความสามารถในการแพร่กระจายมากกว่าเดิม 4.3 เท่า เพราะความสามารถในการยึดเกาะกับเซลล์ของมนุษย์ เมื่อเทียบกับสายพันธุ์ย่อยชนิดอื่น ๆ

XBB.1.5 ไม่เหมือนบรรดาสายพันธุ์กลายพันธุ์ก่อนหน้านี้ เพราะสามารถรวมเอาความสามารถในการหลบเลี่ยงสารภูมิต้านทานที่มีฤทธิ์ลบล้างไวรัสกับการยึดเกาะโปรตีนของเซลล์มนุษย์ได้อย่างแข็งแรงได้

อย่างไรก็ตาม เรายังไม่ทราบแน่ชัดเรื่องข้อมูลเกี่ยวกับความรุนแรงหรือความสามารถที่จะทำให้เกิดอาการหนักของ XBB.1.5

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566)

การประเมินความเสี่ยงเกี่ยวกับสายพันธุ์ย่อย XBB.1.5

เราจะนำเสนอเกี่ยวกับสายพันธุ์ย่อยชนิดใหม่ของโอไมครอนที่เรียกว่า XBB.1.5 ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเกรงว่าสายพันธุ์นี้อาจหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้มากที่สุดนับจนถึงปัจจุบัน ครั้งนี้เราจะมุ่งเน้นไปที่เรื่องการประเมินความเสี่ยง

เมื่อวันที่ 11 มกราคม องค์การอนามัยโลกหรือ WHO ได้เผยแพร่การประเมินความเสี่ยงเกี่ยวกับ XBB.1.5 โดยระบุว่าสายพันธุ์ย่อยชนิดนี้แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการระบาดที่สูงมากในสหรัฐเมื่อเทียบกับสายพันธุ์ย่อยอื่น ๆ และว่าต้องมีการวิเคราะห์เพิ่มเติมอีก

WHO ระบุว่าความสามารถในการหลบเลี่ยงสารภูมิต้านทานที่ได้รับจากการที่เคยติดโควิด-19 มาก่อน หรือจากวัคซีนนั้น มีมากกว่าบรรดาสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอนชนิดก่อนหน้านี้ โดยอิงจากข้อมูลการทดสอบเบื้องต้น

WHO ระบุว่ายังไม่มีข้อมูลทางคลินิกใด ๆ เกี่ยวกับอัตราที่ผู้ติดเชื้อจะป่วยหนักหลังจากติดเชื้อ และเสริมว่ายังไม่ได้ยืนยันถึงการกลายพันธุ์ใด ๆ ใน XBB.1.5 ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงด้านความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้

WHO ระบุว่า “XBB.1.5 อาจทำให้กรณีติดเชื้อเพิ่มขึ้นทั่วโลก” ถึงแม้ว่านับจนถึงตอนนี้จะยังมีข้อมูลอยู่อย่างจำกัดก็ตาม

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 31 มกราคม 2566)

สายพันธุ์ย่อย XBB.1.5 กำลังระบาดอย่างรวดเร็วในสหรัฐ

สายพันธุ์ย่อยชนิดใหม่ของโอไมครอนที่เรียกว่า XBB.1.5 กำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วทั่วสหรัฐนับตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม ผู้เชี่ยวชาญเกรงว่าสายพันธุ์นี้อาจหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้มากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในบรรดาสายพันธุ์กลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เราจะนำเสนอเกี่ยวกับ XBB.1.5 โดยจะไปดูกันว่าสายพันธุ์ย่อยชนิดนี้แพร่ระบาดในสหรัฐและทั่วโลกอย่างไร

สายพันธุ์ XBB.1.5 กลายพันธุ์มาจากสายพันธุ์ XBB ซึ่งเรียกกันว่าเป็นไวรัสลูกผสมซึ่งมีข้อมูลพันธุกรรมจากสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอนที่เรียกว่า BA.2 จำนวน 2 ชนิด โดย BA.2 แพร่ระบาดไปทั่วโลกนับตั้งแต่ช่วงประมาณต้นปี 2565

ที่สหรัฐนั้น สัดส่วนของผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ XBB.1.5 ในบรรดาผู้ที่ตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เพิ่มขึ้นอย่างมากในนิวยอร์กและรัฐอื่น ๆ ทางตะวันออกนับตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2565 ปัจจุบันสายพันธุ์ย่อยที่ระบาดอยู่ส่วนใหญ่ในสหรัฐคือ XBB.1.5

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐระบุว่าสายพันธุ์นี้คิดเป็นประมาณร้อยละ 49.1 ของผู้ติดโควิด-19 ในสหรัฐในสัปดาห์ที่นับจนถึงวันที่ 21 มกราคม 2566

องค์การอนามัยโลกหรือ WHO ระบุว่านับจนถึงวันที่ 11 มกราคม มี 38 ประเทศที่รายงานกรณีโควิด-19 ที่เกี่ยวข้องกับ XBB.1.5 ซึ่งญี่ปุ่นก็มีรายงานสายพันธุ์ดังกล่าวเช่นกัน ขณะที่ข้อมูลเกี่ยวกับสายพันธุ์ย่อยชนิดนี้ยังมีอยู่อย่างจำกัด แต่รายงานของ WHO ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 19 มกราคมแสดงให้เห็นว่า สายพันธุ์กลุ่ม XBB ทั้งหมดคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 8.36 ของผู้ติดโควิด-19 ที่มีรายงานทั่วโลกในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี 2565

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 30 มกราคม 2566)

เราควรดำเนินมาตรการอะไรนับจากนี้

3 ปีผ่านมาแล้วนับตั้งแต่ที่มีการยืนยันผู้ติดโควิด-19 รายแรกในญี่ปุ่น เราจะมาทบทวนกันดูว่าการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้เปลี่ยนไปอย่างไรบ้างในช่วงเวลานี้ ครั้งนี้เราจะฟังความเห็นของคุณโอมิ ชิเงรุ ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะที่ปรึกษาของรัฐบาลญี่ปุ่น เกี่ยวกับว่าเราควรรับมือกับไวรัสนี้อย่างไร

คุณโอมิกล่าวว่า “โควิด-19 เป็นโรคติดเชื้อที่จะเกิดขึ้นครั้งหนึ่งในรอบศตวรรษ เมื่อปี 2546 โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง หรือซาร์ส ได้แพร่ระบาดไปทั่วโลก โดยเรียกโรคนี้กันว่าการระบาดใหญ่ครั้งแรกแห่งศตวรรษที่ 21 และมองกันว่าเป็นภัยต่อระบบสาธารณสุขอย่างรุนแรง แต่โรคนี้ก็สามารถควบคุมได้ในช่วงเวลา 6 เดือนเท่านั้น

ส่วนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ยังคงระบาดอยู่หลังจากปรากฏขึ้นครั้งแรกเมื่อ 3 ปีก่อน ไม่เพียงเท่านั้น ยังปรากฏพวกสายพันธุ์กลายพันธุ์ใหม่ที่มีความสามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้อีกด้วย แต่มีข่าวดีก็คือกลุ่มคนอายุยังน้อยไม่ค่อยมีอาการหนัก แต่บางคนก็เผชิญอาการเรื้อรังหลังหายจากโรคนี้ มีไม่กี่กรณีที่เกิดอาการปอดอักเสบรุนแรงที่เกิดจากไวรัสนี้โดยตรง แต่ก็มีหลักฐานปรากฏมากขึ้นว่าไวรัสนี้ส่งผลกระทบต่อหัวใจและหลอดเลือด”

คุณโอมิกล่าวว่า “พวกเราทุกคนควรเข้าใจลักษณะของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่อย่างถ่องแท้และพิจารณาว่ามาตรการใดที่เราต้องทำโดยอิงจากองค์ความรู้ที่ได้ สิ่งสำคัญก็คือเราต้องทำให้เศรษฐกิจและสังคมดำเนินต่อไปได้ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องรักษาระบบทางการแพทย์ด้วย จึงจำเป็นที่จะต้องหารือเชิงลึกเพื่อหาแนวทางที่ดีที่สุดในการทำสองสิ่งนี้ให้สำเร็จ”

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 27 มกราคม 2566)

ศูนย์สาธารณสุขแบกรับภาระงานล้นมือตั้งแต่เริ่มการระบาดใหญ่

3 ปีผ่านมาแล้วนับตั้งแต่ที่มีการยืนยันผู้ติดโควิด-19 รายแรกในญี่ปุ่น ศูนย์สาธารณสุขรับมือกันมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่การระบาดใหญ่เริ่มขึ้น และอยู่ภายใต้ภาวะบีบคั้นเนื่องจากปริมาณงานที่ล้นมือมาโดยตลอด

ศูนย์สาธารณสุขทั่วญี่ปุ่นเกี่ยวข้องกับภารกิจต่าง ๆ เช่น การนับยอดรวมของผู้ติดเชื้อ การตรวจติดตามอาการของผู้ป่วย และประสานงานเพื่อให้โรงพยาบาลรับผู้ป่วยเข้ารักษา

ในช่วงที่การระบาดใหญ่เริ่มขึ้น เจ้าหน้าที่ที่ศูนย์สาธารณสุขแห่งหนึ่งในเขตคิตะในกรุงโตเกียว ได้ทำหน้าที่ต่าง ๆ เช่น การให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์สำหรับผู้ที่มีไข้และอาการอื่น ๆ และจัดส่งตัวอย่างที่ได้จากผู้ที่คาดว่าจะติดเชื้อไปยังสถานที่ตรวจหาเชื้อ

เมื่อเดือนกันยายน รัฐบาลได้ทำให้ข้อกำหนดทั้งหลายง่ายขึ้นในการนับยอดผู้ติดเชื้อ ด้วยเหตุนี้ภาระงานที่ศูนย์สาธารณสุขจึงลดลงไปราวร้อยละ 70 เจ้าหน้าที่ระบุว่าสิ่งนี้ช่วยบรรเทาการแบกรับภาระลงไปได้ แต่พวกเขาก็ยังคงประสานงานเรื่องการรับผู้ป่วยเข้ารักษาตัวของโรงพยาบาลต่าง ๆ และให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์หรือไปเยี่ยมผู้ป่วยที่บ้านในช่วงการระบาดระลอกที่ 8 ด้วยเหตุนี้ หน้าที่ของพวกเขาที่เกี่ยวข้องกับการตรวจติดตามสุขภาพของผู้ป่วยจึงเพิ่มมากขึ้น และว่าเจ้าหน้าที่ต้องทำงานในวันหยุดสุดสัปดาห์ด้วย

ศูนย์สาธารณสุขระบุว่าพวกตนตึงเครียดมาก โดยอาจเรียกได้ว่าระบบงานของพวกตนพังไปแล้ว เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นแบบพุ่งพรวด ท่ามกลางสถานการณ์เช่นว่านี้ ทางศูนย์ได้ทำสัญญาจ้างสถาบันของเอกชนเพื่อแบ่งเบางานไปรับผิดชอบส่วนหนึ่ง และจากนั้นก็สามารถจัดแบ่งงานให้เจ้าหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทางศูนย์ระบุว่าเจ้าหน้าที่ยังคงทำงานทุกวันตลอด 3 ปีที่ผ่านมา และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการเรียกสิ่งนี้ว่าเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างยิ่งยวด

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 26 มกราคม 2566)

ระบบทางการแพทย์ตกอยู่ภายใต้ภาวะตึงเครียดทุกครั้งที่เกิดการระบาดระลอกใหม่

3 ปีผ่านมาแล้วนับตั้งแต่ที่มีการยืนยันผู้ติดโควิด-19 รายแรกในญี่ปุ่น โรงพยาบาลที่รับผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เข้ารักษาตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการระบาดใหญ่ ตกอยู่ภายใต้ภาวะตึงเครียดทุกครั้งที่เกิดการระบาดระลอกใหม่

โรงพยาบาลมินามิตามะในเมืองฮาจิโอจิของกรุงโตเกียว ได้รับผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่มาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่ตรวจพบการติดเชื้อแบบเป็นกลุ่มบนเรือสำราญลำหนึ่งที่ท่าเรือโยโกฮามะ

โรงพยาบาลนี้มีเตียงรองรับ 23 เตียง หรือร้อยละ 14 ของเตียงที่มีทั้งหมด 170 เตียง สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการปานกลางและเล็กน้อยถึงปานกลาง โดยนับจนถึงปัจจุบัน โรงพยาบาลนี้รับผู้ป่วยมาแล้วเกือบ 1,000 คน

นับตั้งแต่การระบาดระลอกที่ 6 ในช่วงต้นปีของปีที่แล้วซึ่งเป็นการระบาดของสายพันธุ์โอไมครอน จำนวนผู้ป่วยที่เกิดอาการปอดอักเสบและป่วยหนักนั้นได้ลดลงไป แต่จำนวนผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาพยาบาลมีมากเกินกว่าขีดจำกัดสูงสุดที่เตียงผู้ป่วยจะรองรับได้ สร้างแรงกดดันต่อระบบของโรงพยาบาลและส่งผลกระทบต่อการรักษาผู้ป่วยอื่น ๆ

ช่วงการระบาดระลอกที่ 8 ในปัจจุบัน เตียงทั้งหมดสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ถูกใช้เต็มตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ทางโรงพยาบาลได้ปิดบางส่วนของหอผู้ป่วยอื่น ๆ เพื่อนำเตียงมาใช้สำหรับผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ สิ่งนี้ถือเป็นอุปสรรคสำหรับโรงพยาบาลในการรับผู้ป่วยที่ไม่ใช่ผู้ป่วยฉุกเฉินโควิด-19 เข้ารักษา

ตามปกติแล้ว โรงพยาบาลเปิดรับกว่าร้อยละ 90 ของผู้ป่วยที่ต้องการเข้ารับการรักษาฉุกเฉิน แต่จำนวนดังกล่าวได้ลดลงมาอยู่ที่ประมาณร้อยละ 50 นับตั้งแต่ต้นปีนี้

เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลระบุว่าสถานการณ์ยากลำบากยังคงดำเนินอยู่ เนื่องจากสิ่งอำนวยความสะดวกของตนตกอยู่ภายใต้ภาวะบีบคั้นทุกครั้งที่เกิดการระบาดระลอกใหม่ เจ้าหน้าที่กล่าวว่าโรงพยาบาลต้องดำเนินมาตรการควบคุมการติดเชื้อต่อไป แต่ก็ต้องมีการจัดทำแนวทางเพื่อเปลี่ยนมาตรการควบคุมขั้นสูงสุดเพื่อที่ว่าจะได้รับผู้ป่วยเข้ารักษาได้มากขึ้น

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 25 มกราคม 2566)

สายพันธุ์ย่อยและสายพันธุ์กลายพันธุ์ใหม่ ๆ ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง

3 ปีผ่านมาแล้วนับตั้งแต่ที่มีการยืนยันผู้ติดโควิด-19 รายแรกในญี่ปุ่น โดยบรรดาสายพันธุ์ย่อยและสายพันธุ์กลายพันธุ์ใหม่ ๆ ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ปรากฏขึ้นซ้ำ ๆ ในช่วงดังกล่าว

ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่สายพันธุ์แรกที่ได้รับการยืนยันในญี่ปุ่นคือสายพันธุ์ที่ตรวจพบในเมืองอู่ฮั่นของจีนในช่วงเริ่มต้นของการระบาดใหญ่ หลังจากมีสายพันธุ์กลายพันธุ์ต่าง ๆ ปรากฏขึ้นในช่วงต้นปีของปี 2563 สายพันธุ์เหล่านั้นก็กลายเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดในยุโรป รวมถึงในญี่ปุ่นด้วย

นับตั้งแต่ต้นปี 2565 สายพันธุ์โอไมครอนได้ระบาดไปทั่วในญี่ปุ่น เนื่องจากสายพันธุ์นี้แพร่ระบาดได้ง่าย จึงทำให้มีผู้คนมากขึ้นที่ติดเชื้อและส่งผลให้จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นตามมาด้วย

สายพันธุ์ย่อยจำนวนหนึ่งของโอไมครอนได้ปรากฏขึ้นมาและทำให้ความสามารถในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันของไวรัสนี้เพิ่มมากขึ้น โดยสายพันธุ์ย่อย BQ.1 เป็นสายพันธุ์ที่แพร่ระบาดมากขึ้นในญี่ปุ่น ในช่วงการระบาดระลอกที่ 8 ของการระบาดใหญ่ในปัจจุบัน

สายพันธุ์ย่อย XBB.1.5 ถูกตรวจพบแล้วในญี่ปุ่นเช่นกัน โดยสายพันธุ์ย่อยนี้ ปัจจุบันกำลังแพร่ระบาดในสหรัฐ และเกรงกันว่าจะทำให้ติดเชื้อได้ง่ายยิ่งกว่าเดิมอีก

ศาสตราจารย์ซาโต เค ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสจากสถาบันวิทยาศาสตร์การแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียวกล่าวว่า สายพันธุ์ย่อยใหม่ ๆ เหล่านี้ปรากฏขึ้นต่อ ๆ กันมา เพื่อเลี่ยงภูมิคุ้มกันที่ได้จากวัคซีน

เขากล่าวว่าสารภูมิต้านทานที่มีฤทธิ์ลบล้างไวรัสมีประสิทธิผลลดลงเมื่อสู้กับสายพันธุ์ย่อย XBB เมื่อเทียบกับสายพันธุ์ย่อยอื่น ๆ และเขารู้สึกว่าการต่อสู้กับสายพันธุ์กลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้เข้าสู่ระยะใหม่แล้ว และว่าตอนนี้จำเป็นที่จะต้องหารือวิธีการว่าจะปฏิบัติอย่างไรในขณะที่การระบาดใหญ่ยังดำเนินต่อไป แทนที่การคาดหวังว่ามันจะสิ้นสุดลง

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 24 มกราคม 2566)

การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้เปลี่ยนไปอย่างไรบ้างในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

3 ปีผ่านมาแล้วนับตั้งแต่ที่มีการยืนยันผู้ติดโควิด-19 รายแรกในญี่ปุ่น เราจะนำเสนอว่าการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้เปลี่ยนไปอย่างไรบ้างในช่วงดังกล่าว

ข้อมูลที่เผยแพร่โดยมหาวิทยาลัยจอนส์ฮอปกินส์ในสหรัฐระบุว่า นับจนถึงวันที่ 20 มกราคม ยอดสะสมของผู้ติดโควิด-19 ทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 668 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิต 6.7 ล้านคน

มีรายงานผู้ติดโควิด-19 รายแรกในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 15 มกราคม 3 ปีก่อน กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นระบุว่า นับจนถึงวันที่ 20 มกราคมปีนี้ ยอดสะสมของผู้ติดโควิด-19 ในญี่ปุ่นอยู่ที่ประมาณ 32 ล้านคน และกว่า 64,000 คนเสียชีวิต

จำนวนผู้ติดโควิด-19 เพิ่มขึ้นแบบพุ่งพรวดโดยเฉพาะในช่วงปี 2565 ที่ผ่านมา นับตั้งแต่เกิดการระบาดของสายพันธุ์โอไมครอนเมื่อเดือนมกราคม 2565 ยอดรวมของผู้ติดโควิด-19 ในช่วงปีที่ผ่านมาคิดเป็นเกือบร้อยละ 95 ของยอดสะสมผู้ติดเชื้อในช่วงกว่า 3 ปีนี้

อัตราผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ในญี่ปุ่นนั้นลดลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากความคืบหน้าด้านการรักษาและวัคซีน โดยอัตราผู้เสียชีวิตในช่วงการระบาดระลอกแรกเมื่อเดือนมกราคมปี 2563 อยู่ที่ร้อยละ 5.34

นับตั้งแต่เกิดการระบาดของสายพันธุ์โอไมครอนเมื่อเดือนมกราคมปี 2565 นั้น อัตราผู้เสียชีวิตจากการระบาดระลอกที่ 6 จนถึงการระบาดระลอกที่ 8 ที่กำลังดำเนินอยู่ได้ลดลงไปอย่างมาก มาอยู่ที่ประมาณร้อยละ 0.1

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 23 มกราคม 2566)

แนวโน้มของการถกอภิปรายเกี่ยวกับการพิจารณาเรื่องการจัดแบ่งประเภทสำหรับโควิด-19

ที่ญี่ปุ่นนั้น เริ่มมีการถกอภิปรายเกี่ยวกับการพิจารณาเรื่องการจัดแบ่งประเภทสำหรับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ภายใต้กฎหมายที่ใช้กำกับดูแลโรคติดเชื้อ เราจะมุ่งเน้นเรื่องแนวโน้มของการหารือดังกล่าว

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นระบุว่า ไม่มีตารางเฉพาะเจาะจงว่าจะมีข้อสรุปจากการหารือเกี่ยวกับการพิจารณาทบทวนเรื่องการจัดแบ่งประเภทใหม่นี้เมื่อใด

จากข้อมูลการศึกษาของผู้เชี่ยวชาญ เช่น การก่อให้เกิดโรคของไวรัสนี้ คาดว่าจะมีการหารืออย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นซึ่งรวมถึงเรื่องการออกค่ารักษาพยาบาลด้วย ปัจจุบันโควิด-19 ถูกจัดให้อยู่ในระดับเทียบเท่ากับโรคประเภทที่ 2 และภาครัฐออกค่ารักษาพยาบาลให้เต็มจำนวน

นอกจากนี้ ยังคาดว่าจะมีการหารือว่าจะดำเนินการฉีดวัคซีนให้ฟรีโดยภาครัฐออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมดต่อไปหรือไม่

การจัดประเภทโรคโควิด-19 ใหม่เป็นโรคประเภทที่ 5 นั้น เรื่องนี้ต้องอ้างอิงความเห็นของคณะผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่นและต้องมีการแก้ไขกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องด้วย

แม้ว่าโรคโควิด-19 จะถูกจัดให้อยู่ในโรคประเภทที่ 5 แล้ว แต่รัฐบาลก็สามารถใช้มาตรการเพื่อออกค่ารักษาพยาบาลให้ต่อไปได้

หากมีการจัดประเภทใหม่ให้โรคโควิด-19 กฎหมายควบคุมโรคติดเชื้อก็ต้องได้รับการแก้ไข และเรื่องนี้จำเป็นต้องหารือกันในรัฐสภา

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 23 ธันวาคม 2565)

ยาและการพยาบาลดูแลโรคโควิด-19 แบบใดที่มีอยู่ในญี่ปุ่นปัจจุบัน

ที่ญี่ปุ่นนั้น เริ่มมีการถกอภิปรายเกี่ยวกับการพิจารณาเรื่องการจัดแบ่งประเภทสำหรับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ภายใต้กฎหมายที่ใช้กำกับดูแลโรคติดเชื้อ เราจะนำเสนอว่าปัจจุบัน ยาและการพยาบาลดูแลแบบใดที่มีอยู่ในญี่ปุ่น ตลอดจนการแสดงความกังวลของผู้เชี่ยวชาญ

ที่ญี่ปุ่นนั้น มียาโควิด-19 สองยี่ห้อได้แก่ ลาเกวริโอและแพกซ์โลวิด ที่ใช้รักษาผู้ป่วยซึ่งมีความเสี่ยงว่าจะเกิดอาการหนัก เมื่อเดือนพฤศจิกายน กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่น ได้รับรองการใช้ยาโซโควาเป็นกรณีฉุกเฉิน ยาดังกล่าวเป็นยาเม็ดสำหรับรับประทาน ถือเป็นยาแรกในญี่ปุ่นที่สามารถจ่ายให้แก่ผู้ป่วยโควิด-19 ทั่วไปไม่ว่าจะมีความเสี่ยงเกิดอาการหนักหรือไม่ก็ตาม โดยชิโอโนงิ บริษัทยาของญี่ปุ่นเป็นผู้ผลิตยานี้

ส่วนการรักษาพยาบาลนั้น ปัจจุบัน สถาบันทางการแพทย์ในญี่ปุ่นรับผู้ป่วยโควิด-19 เข้ารักษา หากสถานที่แห่งนั้นมีการดำเนินมาตรการต้านการติดเชื้อที่มากพอ จำนวนโรงพยาบาลและคลินิกที่รับผู้ป่วยโควิด-19 นั้นเพิ่มมากขึ้นแล้ว

ขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่งกำลังแสดงความกังวล เมื่อเดือนตุลาคม ศาสตราจารย์โอชิตานิ ฮิโตชิ จากมหาวิทยาลัยโทโฮกุ ศาสตราจารย์นิชิอูระ ฮิโรชิ จากมหาวิทยาลัยเกียวโต และนักวิจัยคนอื่น ๆ ได้ยื่นรายงานเกี่ยวกับแนวโน้มการระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แก่คณะผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่น

พวกเขาขอให้ระมัดระวังการแพร่ระบาดแบบพุ่งพรวดอย่างทันทีทันใด เนื่องจากสายพันธุ์กลายพันธุ์ชนิดใหม่ ๆ ตลอดจนความเป็นไปได้ที่อัตราการเสียชีวิตหรืออัตราของผู้ป่วยอาการหนักจะเพิ่มขึ้นอีกครั้ง หากการฉีดวัคซีนไม่คืบหน้าเหมือนที่คาดเอาไว้

คุณวากิตะ ทากาจิ หัวหน้าคณะผู้เชี่ยวชาญดังกล่าวให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 ว่า เราควรจับตาอย่างใกล้ชิดต่อความเปลี่ยนแปลงที่โควิด-19 ส่งผลทำให้เกิดปัญหาต่อร่างกายเรา และว่าการติดเชื้อไวรัสนี้มีแนวโน้มที่จะทำให้อาการเกี่ยวกับทางเดินหายใจย่ำแย่ลง แต่ปัจจุบัน แพทย์พบความซับซ้อนมากขึ้นที่เกี่ยวเนื่องกับอาการหัวใจและหลอดเลือด เขากล่าวว่านี่อาจหมายความว่าโควิด-19 อาจกลายเป็นโรคเกี่ยวกับระบบไหลเวียนเลือด

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 22 ธันวาคม 2565)

อัตราการฉีดวัคซีนในญี่ปุ่น

ที่ญี่ปุ่นนั้น เริ่มมีการถกอภิปรายเกี่ยวกับการพิจารณาเรื่องการจัดแบ่งประเภทสำหรับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ภายใต้กฎหมายที่ใช้กำกับดูแลโรคติดเชื้อ เราจะนำเสนอเรื่องอัตราการฉีดวัคซีนในญี่ปุ่น ซึ่งเป็นปัจจัยที่ต้องนำมาพิจารณาในระหว่างการถกอภิปรายดังกล่าว

คุณโอมิ ชิเงรุ หัวหน้าคณะกรรมการย่อยด้านมาตรการไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของรัฐบาลญี่ปุ่น ได้แนะว่าเงื่อนไขบางประการนั้นจำเป็นสำหรับการจัดแบ่งประเภทของโรคโควิด-19 ภายใต้เงื่อนไขเบื้องต้นที่ควรมีการดำเนินมาตรการต้านไวรัสโดยไม่กระทบต่อมาตรการเชิงสังคมและเศรษฐกิจ

เขาได้ระบุในการให้สัมภาษณ์แก่ NHK เมื่อตอนเดือนกรกฎาคม 2565 ว่า การฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวาง การมียาที่ราคาไม่แพงและเข้าถึงได้ง่าย ตลอดจนมีสถานที่ด้านการแพทย์จำนวนมากขึ้นในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 อยู่ในกลุ่มของเงื่อนไขเช่นว่านี้

ประการแรก อัตราการฉีดวัคซีน ข้อมูลจากเว็บไซต์ของสำนักนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นระบุว่า นับจนถึงวันที่ 20 ธันวาคม 2565 ร้อยละ 81.4 ของประชากรในญี่ปุ่นได้รับวัคซีนโควิด-19 เข็มแรกแล้ว ร้อยละ 80.4 ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 แล้ว และร้อยละ 67.5 ได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 แล้ว แต่นับจนถึงสิ้นปีนี้ มีการฉีดวัคซีนซึ่งพุ่งเป้าไปยังไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนให้แก่ผู้ประสงค์เข้ารับวัคซีนได้แค่ร้อยละ 30.6 เท่านั้น

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 21 ธันวาคม 2565)

อัตราการเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ได้เปลี่ยนทิศทางการแพร่ระบาดไปอย่างไร

ที่ญี่ปุ่นนั้น เริ่มมีการถกอภิปรายเกี่ยวกับการพิจารณาเรื่องการจัดแบ่งประเภทสำหรับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ภายใต้กฎหมายที่ใช้กำกับดูแลโรคติดเชื้อ เราจะนำเสนอว่าอัตราการเสียชีวิตได้เปลี่ยนทิศทางการแพร่ระบาดไปอย่างไร เนื่องจากสิ่งนี้มีแนวโน้มว่าเป็นประเด็นสำคัญที่จะส่งผลต่อการหารือดังกล่าว

ในช่วงที่เกิดการระบาดระลอกที่ 1 ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เมื่อเดือนมกราคมปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการตรวจพบไวรัสนี้ครั้งแรกในญี่ปุ่น อัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ร้อยละ 5.34 อัตราดังกล่าวลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 0.93 ในช่วงฤดูร้อนของปีเดียวกันระหว่างการระบาดระลอกที่ 2 โดยส่วนหนึ่งเป็นเพราะความคืบหน้าของวิธีการรักษาผู้ป่วยอาการหนัก

ช่วงต้นปี 2564 ระหว่างการระบาดระลอกที่ 3 อัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ร้อยละ 1.82 ในขณะที่สถาบันทางการแพทย์แบกรับภาระอย่างหนักจากการระบาดอย่างรวดเร็วของไวรัสนี้ อัตราดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 1.88 ในช่วงการระบาดระลอกที่ 4 ซึ่งตรงกับฤดูใบไม้ผลิของปี 2564 หลังการระบาดของไวรัสสายพันธุ์อัลฟา ซึ่งเป็นการกลายพันธุ์ครั้งสำคัญครั้งแรกของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ อัตราผู้เสียชีวิตร่วงลงมาอยู่ที่ร้อยละ 0.32 ในช่วงการระบาดของสายพันธุ์เดลตาระหว่างฤดูร้อนของปี 2564 ซึ่งทำให้เกิดการระบาดระลอกที่ 5 เนื่องจากมีผู้ติดเชื้อที่มีอาการเล็กน้อยหรือไม่มีอาการเลย เพิ่มจำนวนมากขึ้น

อัตราผู้เสียชีวิตลดลงมาอีกในช่วงการระบาดระลอกที่ 6 แม้จะเป็นการระบาดของสายพันธุ์โอไมครอนที่แพร่ระบาดได้ง่ายมากในช่วงต้นปี 2565 จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นแต่อัตราการเสียชีวิตลดลง เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้นอย่างมากในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

อัตราผู้เสียชีวิตในช่วงการระบาดระลอกที่ 6 อยู่ที่ร้อยละ 0.17 อัตราดังกล่าวลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 0.11 ในช่วงฤดูร้อนของการระบาดระลอกที่ 7 แม้ว่าอัตราผู้เสียชีวิตลดลงไป แต่จำนวนผู้เสียชีวิตจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในปี 2565 อยู่ที่ 31,000 คน แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากการระบาดของสายพันธุ์โอไมครอนที่แพร่เชื้อได้โดยง่าย จำนวนผู้เสียชีวิตดังกล่าวคิดเป็นประมาณร้อยละ 60 ของผู้เสียชีวิตทั้งหมดจากไวรัสนี้ในญี่ปุ่นในช่วงเกือบ 3 ปีนับตั้งแต่ที่เริ่มมีการแพร่ระบาด

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 20 ธันวาคม 2565)

สิ่งที่อาจเปลี่ยนไป หากมีการจัดประเภทใหม่ให้โรคโควิด-19 อยู่ในประเภทที่ 5 ตามกฎหมายโรคติดเชื้อ

ที่ญี่ปุ่นนั้น เริ่มมีการถกอภิปรายเกี่ยวกับการพิจารณาเรื่องการจัดแบ่งประเภทสำหรับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ภายใต้กฎหมายที่ใช้กำกับดูแลโรคติดเชื้อ เราจะนำเสนอถึงสิ่งที่อาจจะเปลี่ยนไป หากการจัดประเภทในปัจจุบันได้รับการแก้ไขเป็นประเภทที่ 5

ปัจจุบัน สถาบันทางการแพทย์ที่กำหนดไว้เพื่อการรักษาโรคติดเชื้อ ได้รับอนุญาตให้รับผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เข้ารักษาในฐานะผู้ป่วยในเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หากมีการจัดประเภทโรคโควิด-19 เป็นประเภทที่ 5 โรงพยาบาลทั่วไปจะสามารถรับผู้ติดเชื้อดังกล่าวเข้ารักษาได้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ คาดว่าจะต้องมีการเพิ่มจำนวนเตียงในโรงพยาบาลให้สามารถรองรับผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้ และผ่อนคลายภาระของระบบทางการแพทย์ของญี่ปุ่นเมื่อเกิดการแพร่ระบาดอีกในอนาคต

อย่างไรก็ตาม มีความกังวลว่าโรงพยาบาลบางแห่งอาจไม่สามารถรับผู้ป่วยโควิด-19 ได้ตามเหตุผลเช่นว่านี้ เนื่องจากไม่มีมาตรการต้านการติดเชื้ออย่างเพียงพอ

นอกจากนี้ ยังมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ปัจจุบัน รัฐบาลญี่ปุ่นรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดซึ่งรวมถึงค่าตรวจหาเชื้อและการรักษาพยาบาล แต่หลังจากการจัดประเภทใหม่ ผู้ป่วยจะต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองส่วนหนึ่ง เนื่องจากประกันสุขภาพของรัฐจะไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมดอีกต่อไป สิ่งนี้อาจทำให้บางคนเลื่อนการไปพบแพทย์ และอาจส่งผลให้การวินิจฉัยโรคล่าช้า

ยิ่งไปกว่านั้น จะไม่มีการใช้มาตรการจำกัดกิจกรรมของผู้คนอีกต่อไป สิ่งที่ทางการทั้งหมดจะสามารถทำได้ก็คือการขอให้ผู้คนปฏิบัติตัวในแนวทางที่มีความรับผิดชอบเมื่อติดเชื้อ

คามายาจิ ซาโตชิ สมาชิกของคณะกรรมการบริหารของสมาคมการแพทย์แห่งญี่ปุ่นกล่าวว่า เขาไม่เห็นด้วยกับแผนการที่จะตัดลดค่าใช้จ่ายของภาครัฐลงอย่างมาก ในช่วงเวลาที่แนวโน้มของการแพร่ระบาดยังไม่แน่นอนเช่นนี้ เขากล่าวว่าแทนที่จะเปลี่ยนไปเป็นประเภทที่ 5 อาจจะดีกว่าหากมีการกำหนดมาตรการใหม่ ๆ เพื่อรับมือสถานการณ์เช่นนี้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 19 ธันวาคม 2565)

ทำไมจึงต้องมีการพิจารณาเรื่องการจัดแบ่งประเภทสำหรับโรคโควิด-19

ที่ญี่ปุ่นนั้น เริ่มมีการถกอภิปรายเกี่ยวกับการพิจารณาเรื่องการจัดแบ่งประเภทสำหรับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ภายใต้กฎหมายที่ใช้กำกับดูแลโรคติดเชื้อ เราจะนำเสนอถึงสิ่งที่อาจจะเปลี่ยนไป ซึ่งรวมถึงข้อจำกัดทางสังคมและการแบกรับค่าใช้จ่ายทางการแพทย์

รัฐบาลญี่ปุ่นได้แก้ไขกฎหมายที่ครอบคลุมไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2563 และจัดให้โรคโควิด-19 เป็น “ไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดใหญ่ (ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่หรือไข้หวัดใหญ่ที่กลับมาระบาดอีกครั้ง) ดูคร่าว ๆ แล้วเหมือนว่าการจัดประเภทเช่นนี้จะเทียบเท่ากับประเภทที่ 2 ภายใต้กฎหมายโรคติดเชื้อ สืบเนื่องจากความเสี่ยงที่จะเกิดอาการหนักและสิ่งจำเพาะเจาะจงอื่น ๆ แต่โรคนี้ไม่เหมือนกับการระบาดของโรคติดเชื้ออื่น ๆ ในประเภทที่ 2 เนื่องจากมีการเปิดทางให้รัฐบาลดำเนินมาตรการต้านการติดเชื้อที่เข้มงวดมากขึ้นได้ เช่น การขอให้ผู้คนอยู่กับบ้านหรือออกประกาศภาวะฉุกเฉิน

นับจากนั้นเป็นต้นมา เราได้เรียนรู้แล้วว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน ซึ่งระบาดในญี่ปุ่นในช่วงการระบาดระลอกที่ 6 และ 7 เมื่อก่อนหน้านี้ของปีนี้นั้น มีความเสี่ยงต่ำกว่าที่จะทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการหนัก นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังได้เริ่มฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนโดยใช้วัคซีนใหม่ซึ่งพุ่งเป้าไปยังสายพันธุ์โอไมครอน สิ่งนี้ทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นลดระยะเวลากักตัวสำหรับผู้คนที่ติดเชื้อ และทำให้ระบบการรายงานยอดผู้ติดเชื้อยุ่งยากน้อยลง รวมถึงผ่อนคลายข้อจำกัดการเดินทางเข้าญี่ปุ่นด้วย

เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม รัฐสภาญี่ปุ่นได้ผ่านความเห็นชอบการแก้ไขกฎหมายที่ครอบคลุมเรื่องโรคติดเชื้ออีกฉบับหนึ่ง โดยมาตราที่เพิ่มเติมเข้ามาในกฎหมายฉบับแก้ไขนี้ ได้ขอให้รัฐบาลหารือเรื่องการจัดประเภทของโรคโควิด-19 ใหม่โดยเร็วภายใต้กฎหมายนี้

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นได้ประกาศว่า จะหารือเรื่องการพิจารณาทบทวนการจัดประเภทของโรคโควิด-19 โดยชี้ว่าจะพิจารณาลดระดับของโรคโควิด-19 มาอยู่ที่ประเภทที่ 5 ซึ่งเป็นระดับเดียวกับไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 16 ธันวาคม 2565)

การหารือเรื่องการจัดประเภทสำหรับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ภายใต้กฎหมายกำกับดูแลโรคติดเชื้อ

ที่ญี่ปุ่นนั้น เริ่มมีการถกอภิปรายเกี่ยวกับการพิจารณาเรื่องการจัดแบ่งประเภทสำหรับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ภายใต้กฎหมายที่ใช้กำกับดูแลโรคติดเชื้อ เราจะนำเสนอถึงสิ่งที่อาจจะเปลี่ยนไป ซึ่งรวมถึงข้อจำกัดทางสังคมและการแบกรับค่าใช้จ่ายทางการแพทย์

โรคติดเชื้อต่าง ๆ ถูกแบ่งออกเป็นประเภทตั้งแต่ประเภทที่ 1 ไปจนถึงประเภทที่ 5 ตามกฎหมายของญี่ปุ่น โดยขึ้นอยู่กับระดับของการติดเชื้อและความเสี่ยงที่โรคนั้นจะทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการหนัก กฎหมายกำหนดเรื่องมาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลและทางการท้องถิ่นสามารถดำเนินการได้

ประเภทที่ 1 หมายรวมถึงโรคทั้งหลาย เช่น กาฬโรคหรืออีโบลา ซึ่งเป็นโรคที่อาจทำให้เสียชีวิตและเป็นอันตรายอย่างยิ่งยวด

ประเภทที่ 2 หมายรวมถึงโรคทั้งหลาย เช่น วัณโรคและโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง หรือ SARS ซึ่งทำให้เกิดการติดเชื้อได้สูงและทำให้ผู้คนมีความเสี่ยงที่จะป่วยหนักมาก ปัจจุบัน โควิด-19 ถูกจัดอยู่ในประเภทที่ 2

เมื่อผู้คนติดเชื้อของโรคที่อยู่ในประเภทที่ 2 นี้ สถาบันทางการแพทย์ต้องรายงานยอดรวมของผู้ติดเชื้อให้หน่วยงานสาธารณสุขในท้องถิ่นได้ทราบ ทางการท้องถิ่นสามารถแนะนำผู้ติดเชื้อให้จำกัดการทำงานหรือเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล โดยภาครัฐจะดูแลค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ให้เต็มจำนวน

ประเภทที่ 5 หมายรวมถึงโรคทั้งหลาย เช่น ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลและซิฟิลิส ทางการท้องถิ่นไม่สามารถขอให้ผู้ติดเชื้อจำกัดการทำงานหรือเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ผู้ป่วยต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลส่วนหนึ่ง

สถาบันทางการแพทย์ทั่วไปสามารถรับผู้ป่วยที่เป็นโรคที่จัดอยู่ในประเภทที่ 5 เข้ารับการรักษาได้ ไม่ใช่ว่าสถาบันทางการแพทย์ทั้งหมดจะต้องรายงานยอดผู้ป่วยรวมให้ทางการทราบ ข้อกำหนดเรื่องการรายงานยอดผู้ป่วยนั้นต่างกันไปโดยแบ่งตามโรค

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 15 ธันวาคม 2565)

การยื่นขอรับรองยาโซโควาภายใต้ระบบการรับรองฉุกเฉินแบบใหม่

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นได้รับรองเป็นกรณีฉุกเฉินเรื่องการอนุญาตใช้ยาโซโควา ซึ่งเป็นยาโควิด-19 แบบรับประทานชนิดใหม่ เราจะนำเสนอเรื่องระบบการรับรองแบบใหม่นี้

ที่ญี่ปุ่นนั้น การอนุญาตให้ใช้ยาหรือวัคซีนใหม่ถือเป็นกระบวนการที่กินเวลามาก ซึ่งตามปกติแล้วต้องใช้เวลา 1 ปีสำหรับการพิจารณาทบทวนและรับรอง ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าระยะเวลาที่ยาวนานนี้เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้การรับรองวัคซีนในญี่ปุ่นนั้นตามหลังต่างประเทศ

เพื่อทำให้สถานการณ์ดีขึ้น ญี่ปุ่นได้แนะนำระบบการรับรองฉุกเฉินแบบใหม่เมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2565 โดยจะนำไปใช้ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินอยู่ เช่น การระบาดของโรคติดเชื้อ และไม่มีวัคซีนหรือการรักษาที่เป็นทางเลือก

กระทรวงสาธารณสุขของญี่ปุ่นได้ตัดสินใจว่า การยื่นขอรับรองของยาโซโควาควรนำมาพิจารณาโดยใช้ระบบใหม่ คณะผู้เชี่ยวชาญได้พิจารณายาสำหรับรับประทานชนิดใหม่นี้ อย่างไรก็ตาม มี 2 ครั้งที่คณะผู้เชี่ยวชาญไม่สามารถตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าจะให้การรับรองหรือไม่ โดยชี้ถึงความจำเป็นที่จะต้องหารือกันอย่างระมัดระวังเรื่องประสิทธิผลของยานี้ ท้ายที่สุด คณะผู้เชี่ยวชาญก็ได้รับรองยาดังกล่าวในการหารือรอบที่ 3 ที่จัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน

ศาสตราจารย์โอโนะ ชุนซูเกะ จากมหาวิทยาลัยโตเกียว ซึ่งมีข้อมูลเกี่ยวกับระบบการรับรองยาดังกล่าวระบุว่า ผู้เชี่ยวชาญและเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเห็นพ้องกันว่าควรให้ข้อมูลเรื่องประสิทธิผลและความปลอดภัยมากแค่ไหน ภายใต้ระบบการรับรองฉุกเฉินใหม่นี้

เขารู้สึกว่าดูเหมือนว่าการถกอภิปรายนี้สร้างความสับสนและมองว่าทัศนะของผู้เชี่ยวชาญนั้นเป็นแบบอนุรักษ์นิยมและวนอยู่ในเรื่องรายละเอียด เนื่องจากกระบวนการพิจารณากลายเป็นรูปแบบที่เกือบจะเหมือนกับการพิจารณาภายใต้ระบบก่อนหน้านี้ เขาเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องสร้างสมดุลระหว่าง 2 เป้าหมาย ได้แก่ “จะเร่งการรับรองได้อย่างไร” และ “จะยืนยันประสิทธิผลและความปลอดภัยของยาหรือการรักษาได้อย่างไร”

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 14 ธันวาคม 2565)

ทัศนะของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับว่าเราสามารถคาดหวังอะไรจากการรับรองยาโซโควา

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นได้รับรองเป็นกรณีฉุกเฉินเรื่องการอนุญาตใช้ยาโซโควา ซึ่งเป็นยาโควิด-19 แบบรับประทานชนิดใหม่ เราจะนำเสนอทัศนะของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับว่าเราสามารถคาดหวังอะไรจากการรับรองยาโซโควานี้

ศาสตราจารย์โมริชิมะ สึเนโอะ จากมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ไอจิ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคโควิด-19 ระบุว่า “การคาดการณ์ว่าผู้ติดเชื้อจะมีแค่อาการเล็กน้อยหรือจะป่วยหนักนั้นเป็นเรื่องยาก บุคลากรทางการแพทย์แถวหน้าต่างรอคอยอย่างมากที่จะมียาซึ่งสามารถจ่ายให้แก่ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่ำว่าจะเกิดอาการหนัก”

ส่วนประเด็นเกี่ยวกับประสิทธิผลของยาโซโควานั้น เขากล่าวว่า “ผลการทดลองทางคลินิกแสดงให้เห็นว่ายาโซโควาสามารถลดระยะเวลาที่ต้องใช้ในการบรรเทาอาการต่าง ๆ เช่น ไอหรืออาการไข้ ได้ 1 วัน ซึ่งนั่นเทียบเท่ากับระดับประสิทธิผลของยาต้านไข้หวัดใหญ่ และเชื่อกันว่าถือว่ามีประสิทธิผลเพียงพอ โดยคาดว่ายาโซโควาจะสามารถป้องกันไม่ให้เกิดอาการหนักได้ เนื่องจากยานี้ช่วยลดปริมาณของไวรัสในร่างกาย การนำยานี้ไปใช้ในสถานพยาบาลดูแลหรือโรงพยาบาลซึ่งมีผู้คนจำนวนมากที่เสี่ยงสูงว่าจะป่วยหนักนั้น จะช่วยป้องกันไม่ให้อาการของผู้ป่วยย่ำแย่ลง ช่วยยับยั้งการแพร่ระบาด และช่วยให้สถานพยาบาลดูแลหรือโรงพยาบาลยังดำเนินงานต่อไปได้ปกติ”

ส่วนประเด็นที่ต้องติดตามหลังจากนี้นั้น เขากล่าวว่า “กล่าวกันว่ายาโซโควาจะได้ผลมากที่สุดหากรับประทานภายใน 3 วันนับจากที่เริ่มเกิดอาการ สิ่งนี้สำคัญมากสำหรับรัฐบาลและทางการท้องถิ่นที่จะกำหนดโครงสร้างเพื่อให้วินิจฉัยได้โดยเร็ว และจัดส่งยาไปยังผู้ที่จำเป็นต้องรับประทานได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ การตรวจติดตามหลังจากที่มีการใช้ยานี้กันอย่างกว้างขวางแล้วนั้นก็สำคัญมากเช่นกัน เพื่อดูว่าเกิดผลข้างเคียงร้ายแรงเกินคาดหรือไม่ หรือว่าเกิดการที่สายพันธุ์ย่อยชนิดใหม่ดื้อยาหรือไม่”

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 13 ธันวาคม 2565)

การอนุญาตใช้ยาโซโควาจะทำให้มาตรการที่เราควรปฏิบัติเพื่อต้านไวรัสเปลี่ยนไปอย่างไร

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นได้รับรองเป็นกรณีฉุกเฉินเรื่องการอนุญาตใช้ยาโซโควา ซึ่งเป็นยาโควิด-19 แบบรับประทานชนิดใหม่ ยานี้เป็นยารับประทานยาแรกที่พัฒนาโดยบริษัทยาของญี่ปุ่น สิ่งที่ทำให้ยานี้แตกต่างจากยาอื่นก็คือ สามารถใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อยซึ่งมีแนวโน้มว่าอาการจะไม่กำเริบรุนแรง เราจะมาดูกันว่าการอนุญาตใช้ยานี้ทำให้มาตรการที่เราควรปฏิบัติเพื่อต้านไวรัสนั้นเปลี่ยนไปอย่างไร

ผ่านมาเกือบ 3 ปีแล้วนับตั้งแต่ที่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เริ่มระบาด มองกันว่าวัคซีนกับยาเป็นสองส่วนสำคัญในการต่อสู้กับไวรัสนี้มาตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ผู้คนจำนวนมากได้รับวัคซีนแล้ว แต่สิ่งสำคัญของวัคซีนก็คือการป้องกันไม่ให้ผู้ติดเชื้อเกิดอาการกำเริบรุนแรง ขณะที่ยาซึ่งสามารถให้ได้ตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ของการติดเชื้อ สามารถลดจำนวนผู้ป่วยที่เกิดอาการหนักได้

การมียาโควิด-19 ซึ่งเป็นยาสำหรับรับประทานที่กล่าวกันว่าการจ่ายยานั้นง่ายกว่า ในช่วงที่เรายังต้องอยู่กับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นั้น ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก

แต่ถึงแม้ว่าเรามีทั้งวัคซีนและยาที่ใช้ได้ง่ายแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีใครที่เกิดอาการกำเริบรุนแรงเมื่อติดเชื้อ ผู้เชี่ยวชาญขอให้พวกเราดำเนินมาตรการต่าง ๆ เช่น การสวมหน้ากากอนามัยเมื่อพิจารณาแล้วว่าจำเป็น และเลี่ยงสถานที่ที่ฝูงชนแออัดและเป็นสถานที่ปิด ผู้เชี่ยวชาญยังย้ำถึงความสำคัญของการเข้ารับวัคซีนด้วย

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 12 ธันวาคม 2565)

กำหนดเวลาในการกระจายยาโซโควาไปยังสถาบันทางการแพทย์ในญี่ปุ่น

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นได้รับรองเป็นกรณีฉุกเฉินเรื่องการอนุญาตใช้ยาโซโควา ซึ่งเป็นยาโควิด-19 แบบรับประทานชนิดใหม่ ครั้งนี้เราจะมุ่งเน้นเรื่องกำหนดเวลาในการกระจายยาดังกล่าวไปยังสถาบันทางการแพทย์

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นได้ลงนามในสัญญากับชิโอโนงิ บริษัทยาของญี่ปุ่นซึ่งพัฒนายาโซโควา ในจำนวนขนาดยาที่เพียงพอสำหรับรักษาผู้ป่วย 1,000,000 คน เดิมทางกระทรวงมีแผนที่จะเริ่มการแจกจ่ายยาโซโควาเป็นวงกว้างไปยังสถาบันทางการแพทย์ในช่วงต้นเดือนธันวาคม แต่ขยับให้เร็วขึ้นมาเป็นวันที่ 28 พฤศจิกายน

อย่างไรก็ตาม ยานี้ไม่สามารถจ่ายให้แก่หญิงตั้งครรภ์หรือผู้หญิงที่อาจตั้งครรภ์ได้ รวมถึงผู้ป่วยบางคนที่กำลังใช้ยาเฉพาะทางอยู่ ก็อาจใช้ยานี้ไม่ได้ด้วย

ด้วยข้อจำกัดเช่นนี้ ในช่วง 2 สัปดาห์แรกหรือราว ๆ นั้น ทางกระทรวงมีแผนที่จะจำกัดการแจกจ่ายยาดังกล่าวให้แค่สถาบันทางการแพทย์และร้านจำหน่ายยาที่มีการสั่งจ่ายยาแพกซ์โลวิดเท่านั้น โดยถือเป็นมาตรการความปลอดภัย ยาแพกซ์โลวิดเป็นยารับประทานที่พัฒนาโดยไฟเซอร์ บริษัทยาของสหรัฐ ยาดังกล่าวทำงานแบบเดียวกันกับยาโซโควา

หลังจากช่วงเวลาดังกล่าว ทางกระทรวงระบุว่าจะไม่มีเงื่อนไขเฉพาะเจาะจงในการแจกจ่ายยาโซโควา ทางกระทรวงจะจัดตั้งระบบที่กำหนดว่าสถาบันทางการแพทย์และร้านจำหน่ายยาที่ได้รับการกำหนดโดยทางการของจังหวัดต่าง ๆ ควรสั่งจ่ายยาหรือเตรียมยานี้อย่างไร ทางกระทรวงระบุว่าจะมีการเผยแพร่รายชื่อของสถานที่ที่กำหนดเหล่านี้ลงบนเว็บไซต์ของทางการท้องถิ่นและอื่น ๆ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2565)

ยาโซโควาทำงานอย่างไร

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นได้รับรองเป็นกรณีฉุกเฉินเรื่องการอนุญาตใช้ยาโซโควา ซึ่งเป็นยาโควิด-19 แบบรับประทานชนิดใหม่ ครั้งนี้เราจะมุ่งเน้นเรื่องที่ว่ายาโซโควาทำงานอย่างไร

เมื่อผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ไวรัสจะเจริญเติบโตด้วยการเข้าไปในเซลล์และผลิตซ้ำ RNA ของตัวเอง ยาโซโควาซึ่งเป็นยารับประทานแบบใหม่นี้จะยับยั้งกระบวนการผลิตซ้ำ ด้วยการขัดขวางการนำเอนไซม์ไปใช้ ซึ่งเอนไซม์สำคัญอย่างยิ่งต่อการผลิตซ้ำของไวรัส

กระบวนการนี้ทำงานแบบเดียวกันกับยาแพกซ์โลวิด ซึ่งเป็นยาแบบรับประทานที่ผลิตโดยไฟเซอร์ บริษัทยาของสหรัฐ ผู้ป่วยที่เข้าร่วมในการทดลองทางคลินิกได้รับยาโซโควาวันละครั้งในช่วง 5 วัน เมื่อถึงวันที่ 4 ปริมาณของไวรัสลดลงเหลือประมาณ 1 ใน 30 ของปริมาณแรกเริ่ม และไม่แสดงให้เห็นอาการข้างเคียงร้ายแรงใด ๆ

นอกจากนี้ ยังพบด้วยว่ายาโซโความีประสิทธิผลอย่างสูงต่อ BA.5 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอนที่ยังคงเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดอยู่ ตลอดจนสายพันธุ์ย่อยอื่น ๆ ด้วย

ขณะเดียวกัน การทดลองกับสัตว์ได้แสดงให้เห็นว่ายาโซโควาส่งผลกระทบต่อตัวอ่อนในครรภ์ ดังนั้น หญิงตั้งครรภ์และผู้ที่มีแนวโน้มว่าจะตั้งครรภ์ไม่สามารถใช้ยานี้ได้ กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นขอให้ผู้ที่มีอาการป่วยเรื้อรังระมัดระวังเมื่อรับประทานยานี้ด้วย เนื่องจากอาจมีผลข้างเคียงเมื่อใช้ร่วมกับยาอื่น ๆ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 8 ธันวาคม 2565)

ประสิทธิผลของยาโซโควาในการรักษาอาการต่าง ๆ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับโรคโควิด-19

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นได้รับรองเป็นกรณีฉุกเฉินเรื่องการอนุญาตใช้ยาโซโควา ซึ่งเป็นยาโควิด-19 แบบรับประทานชนิดใหม่ ยานี้มีความโดดเด่นเพราะเป็นยาที่สามารถใช้กับผู้ป่วยซึ่งมีอาการเล็กน้อยและมีความเสี่ยงต่ำที่จะเกิดอาการหนัก นี่เป็นยาแบบรับประทานยาแรกที่ผลิตโดยบริษัทยาของญี่ปุ่น ครั้งนี้เราจะมุ่งเน้นเรื่องประสิทธิผลของยาโซโควาในการรักษาอาการต่าง ๆ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับโรคโควิด-19

ชิโอโนงิซึ่งเป็นบริษัทยาได้ประกาศเมื่อปลายเดือนกันยายนว่า ได้ยืนยันประสิทธิผลของยาโซโควาแล้วในการทดลองทางคลินิกขั้นสุดท้าย ทางบริษัทระบุว่ายานี้ได้ผลในการทำให้อาการที่เกี่ยวเนื่องกับโควิด-19 ดีขึ้น ด้วยการลดระยะเวลาที่ผู้ป่วยต้องเผชิญกับอาการเหล่านี้ เช่น อาการไข้

ทางบริษัทได้ดำเนินการทดลองทางคลินิกในญี่ปุ่นและในประเทศอื่นอีก 2 ประเทศระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงกลางเดือนกรกฎาคมปี 2565 การทดลองดังกล่าวมีผู้เข้าร่วม 1,821 คน อายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปจนถึงช่วงวัย 60 ปี โดยเป็นผู้ที่มีอาการเล็กน้อยไปจนถึงปานกลาง ซึ่งรวมถึงผู้ที่มีความเสี่ยงต่ำว่าจะเกิดอาการหนักและผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้ว

กลุ่มของผู้ป่วยที่เริ่มรับยาโซโควาภายใน 3 วันนับจากที่เริ่มปรากฏอาการครั้งแรก ซึ่งเป็นอาการเด่นทั้ง 5 ของสายพันธุ์โอไมครอน อันได้แก่ ไอ เจ็บคอ น้ำมูกไหลและคัดจมูก อ่อนเพลีย มีไข้และไม่สบาย อาการเหล่านี้หายไปในช่วงประมาณ 7 วัน ซึ่งเท่ากับว่าระยะเวลาที่ผู้ป่วยต้องเผชิญอาการเหล่านี้ลดลงไป 24 ชั่วโมง

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 7 ธันวาคม 2565)

ทำความรู้จัก “โซโควา” ยารักษาโควิด-19 แบบเม็ดที่ผลิตในญี่ปุ่น

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นได้รับรองเป็นกรณีฉุกเฉินเรื่องการอนุญาตใช้ยาโซโควา ซึ่งเป็นยาโควิด-19 แบบรับประทานชนิดใหม่ เราจะมุ่งเน้นเรื่องลักษณะเฉพาะรวมถึงประสิทธิผลของยาโซโควา

ยาโซโควาเป็นยาโควิด-19 แบบเม็ดสำหรับรับประทาน พัฒนาโดยชิโอโนงิ บริษัทยาของญี่ปุ่น โดยสามารถใช้รักษาผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อยได้ ก่อนหน้านี้ ยาโควิด-19 จะใช้กับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงว่าจะป่วยหนัก แต่ยาโซโควานั้น ถึงแม้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่ำก็สามารถใช้ได้

นับจนถึงปัจจุบัน ญี่ปุ่นได้รับรองยาโควิด-19 จำนวน 9 ชนิดซึ่งรวมถึงแบบเม็ดและแบบที่ให้ผ่านหลอดเลือด ยาบางชนิดสามารถใช้รักษาผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลางได้ แต่การใช้งานจำกัดอยู่กับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงว่าอาการจะกำเริบรุนแรง เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคทางเดินหายใจ และโรคอ้วน โดยไม่ได้มีการทดลองทางคลินิกกับผู้ที่มีความเสี่ยงต่ำว่าจะเกิดอาการหนัก และยาดังกล่าวก็มีอยู่อย่างจำกัดด้วย

ยาโซโควาอาจนำไปใช้ได้อย่างกว้างขวาง เช่นเดียวกับยาทามิฟลูที่ใช้รักษาไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล โดยสามารถใช้กับผู้ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป ซึ่งรวมถึงผู้ที่มีความเสี่ยงต่ำว่าจะเกิดอาการหนักด้วย

คณะผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่นได้รับรองการใช้งานยาโซโควาเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน คณะผู้เชี่ยวชาญได้ประเมินว่าคาดว่ายานี้จะได้ผล เนื่องจากข้อมูลจากการทดลองทางคลินิกแสดงให้เห็นว่า ยาดังกล่าวใช้ได้ผลกับอาการไข้และอาการอื่น ๆ ที่เกิดจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

ยาโซโควาถือเป็นยาโควิด-19 ซึ่งพัฒนาในญี่ปุ่นยาแรกที่ได้รับการรับรองในญี่ปุ่น โดยทางการญี่ปุ่นหวังว่าการรับรองยาโซโควาจะนำไปสู่การจัดหายาโควิด-19 ให้แก่สถาบันทางการแพทย์ได้อย่างต่อเนื่องเพียงพอ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 6 ธันวาคม 2565)

แนวทางป้องกันการแพร่ระบาด

ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่รายใหม่เพิ่มมากขึ้นในช่วงไม่นานมานี้ ญี่ปุ่นเข้าสู่การระบาดระลอกที่ 8 แล้วหรือไม่ เราจะนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มในอนาคต ตลอดจนมาตรการเชิงป้องกันที่เราสามารถทำได้

คณะผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นขอให้ผู้ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไปซึ่งได้รับวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2 เข็มแรกแล้ว ไปเข้ารับวัคซีนต้านสายพันธุ์โอไมครอนภายในสิ้นปีนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้สถาบันทางการแพทย์แบกรับภาระหนัก โดยคณะผู้เชี่ยวชาญยังขอให้เด็กเล็กและเด็กประถมไปเข้ารับวัคซีนเช่นกัน

ศาสตราจารย์ฮามาดะ อัตสึโอะ จากโรงพยาบาลแห่งมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์โตเกียวกล่าวว่า บางคนอาจคิดว่าการเข้ารับวัคซีนไม่ได้ผลเนื่องจากกล่าวกันว่าไวรัสสายพันธุ์ย่อยชนิดใหม่ ๆ สามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ แต่นั่นไม่ใช่ความจริง

ศาสตราจารย์ฮามาดะกล่าวว่าวัคซีนที่พุ่งเป้าไปยังสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอนนั้น น่าจะมีประสิทธิผลต่อสายพันธุ์ย่อย BQ.1 และ XBB ซึ่งอาจแพร่ระบาดในไม่กี่เดือนที่จะถึงนี้ เขาขอให้ผู้คนไปเข้ารับวัคซีนภายในสิ้นปีนี้ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการระบาดระลอกที่ 8 ในฤดูหนาวนี้

นอกจากนี้ ศาสตราจารย์ฮามาดะยังแนะนำให้ผู้คนดำเนินมาตรการเชิงป้องกันต่อไป เช่น การสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ และเลี่ยงสถานที่ที่ผู้คนหนาแน่น และว่าในช่วงแห่งการเฉลิมฉลองสิ้นปีและปีใหม่ ผู้คนจำนวนมากจะเข้าร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์หรือกลับไปเยือนบ้านเกิด แต่ผู้คนเหล่านี้อาจต้องยกเลิกแผนการโดยขึ้นอยู่กับสถานการณ์การติดเชื้อ เขากล่าวว่าการเฝ้าจับตาสถานการณ์และลงมือปฏิบัติถือเป็นสิ่งสำคัญ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 5 ธันวาคม 2565)

การระบาดพร้อมกันของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่กับไข้หวัดใหญ่ในช่วงฤดูหนาวนี้

ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่รายใหม่เพิ่มมากขึ้นในช่วงไม่นานมานี้ ญี่ปุ่นเข้าสู่การระบาดระลอกที่ 8 แล้วหรือไม่ เราจะนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มในอนาคต ตลอดจนมาตรการเชิงป้องกันที่เราสามารถทำได้

ผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่งระบุว่าควรมีการเตรียมความพร้อมสำหรับการระบาดพร้อมกันของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่กับไข้หวัดใหญ่ ในช่วงฤดูหนาวนี้

ปัจจุบัน จำนวนผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ในญี่ปุ่นยังคงต่ำกว่าช่วงก่อนการระบาดใหญ่ กล่าวกันว่าการระบาดของไข้หวัดใหญ่ทั่วประเทศจะเริ่มขึ้นก็ต่อเมื่อสถาบันทางการแพทย์ที่กำหนดไว้ มีรายงานค่าเฉลี่ยของผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่มากกว่า 1 คนต่อ 1 สัปดาห์ จำนวนดังกล่าวในสัปดาห์ที่นับจนถึงวันที่ 20 พฤศจิกายน อยู่ที่ 0.11

ในปีนี้ จำนวนผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ในออสเตรเลียซึ่งอยู่ซีกโลกใต้ พุ่งสูงขึ้นในช่วงฤดูหนาวซึ่งตรงกับเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน

องค์การอนามัยโลกระบุว่าจำนวนผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ในสหรัฐและแคนาดาเพิ่มมากขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา และว่าจำนวนดังกล่าวในยุโรปยังคงต่ำอยู่ แต่เป็นแนวโน้มที่ไปในทางเพิ่มขึ้น

ศาสตราจารย์นิชิอูระ ฮิโรชิ จากมหาวิทยาลัยเกียวโตกล่าวว่า ขณะนี้ไข้หวัดใหญ่กำลังแพร่ระบาดอย่างเชื่องช้ามากในญี่ปุ่น ด้วยเหตุนี้ ช่วงที่เร็วที่สุดที่จำนวนผู้ติดเชื้อจะแตะยอดสูงสุดนั้น อาจเป็นตอนที่โรงเรียนกลับมาเปิดอีกครั้งหลังวันหยุดฤดูหนาว เขากล่าวว่าด้วยเหตุนี้ การระบาดสูงสุดของโควิด-19 ระลอกที่ 8 กับไข้หวัดใหญ่นั้น จึงไม่น่าจะเกิดขึ้นพร้อมกัน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 2 ธันวาคม 2565)

การระบาดที่อาจเกิดขึ้นในช่วงวันหยุดยาวส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่รายใหม่เพิ่มมากขึ้นในช่วงไม่นานมานี้ ญี่ปุ่นเข้าสู่การระบาดระลอกที่ 8 แล้วหรือไม่ เราจะนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มในอนาคต ตลอดจนมาตรการเชิงป้องกันที่เราสามารถทำได้

ฤดูแห่งวันหยุดยาวในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กำลังจะใกล้เข้ามาแล้ว คาดว่าผู้คนจะมีโอกาสมากขึ้นในการรวมตัวสังสรรค์กัน

ศาสตราจารย์ฮามาดะ อัตสึโอะ จากโรงพยาบาลแห่งมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์โตเกียว ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ต้องจับตาสถานการณ์การแพร่ระบาดในต่างประเทศ เนื่องจากขณะนี้ญี่ปุ่นได้ผ่อนคลายมาตรการควบคุมพรมแดนแล้ว

เมื่อช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน การระบาดได้แพร่ออกไปไม่ใช่แค่ในญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออก ซึ่งรวมถึงเกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย

ศาสตราจารย์ฮามาดะเตือนเรื่องยอดติดเชื้อที่อาจกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้งในสหรัฐ ซึ่งเฉลิมฉลองเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้าในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ตลอดจนผลกระทบจากการแข่งขันฟุตบอลโลกในประเทศกาตาร์

ศาสตราจารย์ฮามาดะกล่าวว่า ที่ผ่านมา สหรัฐเคยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่มากขึ้นในช่วงประมาณวันขอบคุณพระเจ้า ซึ่งเป็นช่วงที่ครอบครัวจำนวนมากพบปะและรับประทานอาหารร่วมกัน

ส่วนการแข่งขันฟุตบอลโลกนั้น เขากล่าวว่าคาดว่าการแข่งขันดังกล่าวจะดึงดูดผู้คนประมาณ 1.2 ล้านคนจากทั่วโลกมายังกาตาร์ โดยฟุตบอลโลกครั้งนี้จัดแบบที่มีการผ่อนคลายข้อจำกัดต่าง ๆ มากกว่าการแข่งขันโอลิมปิกและพาราลิมปิกในกรุงโตเกียว รวมถึงโอลิมปิกและพาราลิมปิกฤดูหนาวที่กรุงปักกิ่งเป็นอย่างมาก

ศาสตราจารย์ฮามาดะกล่าวว่าการระบาดอาจแพร่ออกไปในช่วงการแข่งขันฟุตบอลโลก และเขาไม่สามารถชี้ถึงความเป็นไปได้ที่แฟนฟุตบอลอาจติดเชื้อที่กาตาร์และนำเชื้อกลับไปยังประเทศบ้านเกิดของตน ซึ่งต่อมาอาจจะได้เห็นการระบาดในกลุ่มประชากรของประเทศนั้น ๆ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 1 ธันวาคม 2565)

การคาดการณ์เรื่องแนวโน้มการแพร่ระบาดโดยใช้ AI

ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่รายใหม่เพิ่มมากขึ้นในช่วงไม่นานมานี้ ญี่ปุ่นเข้าสู่การระบาดระลอกที่ 8 แล้วหรือไม่ เราจะนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มในอนาคต ตลอดจนมาตรการเชิงป้องกันที่เราสามารถทำได้

ศาสตราจารย์ฮิราตะ อากิมาซะ จากสถาบันเทคโนโลยีนาโงยะและคณะของเขาได้คาดการณ์เรื่องการระบาดในอนาคตโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI บนสมมติฐานที่ว่า BQ.1 และสายพันธุ์ย่อยชนิดใหม่อื่น ๆ บางชนิด อาจแพร่ระบาดออกไป การคาดการณ์นี้อิงจากข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิผลของวัคซีน และการเดินทางไปมาของผู้คน

เมื่อมีการตั้งสมมติฐานว่า BQ.1 และสายพันธุ์ย่อยชนิดใหม่อื่น ๆ บางชนิดมีพลังมากกว่าสายพันธุ์ย่อย BA.5 ที่ร้อยละ 20 ทั้งความสามารถในการทำให้ติดเชื้อและภูมิคุ้มกันที่ได้จากการติดเชื้อที่ผ่านมาใช้ไม่ได้ผลกับสายพันธุ์ย่อยชนิดใหม่เหล่านี้ ก็พบว่าค่าเฉลี่ยรายสัปดาห์ของผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อวันในกรุงโตเกียว คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 30,000 คนในช่วงกลางเดือนธันวาคม และอยู่ที่ประมาณ 36,000 คนในช่วงกลางเดือนมกราคม ซึ่งสูงกว่ายอดสูงสุดของการระบาดระลอกที่ 7 ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จำนวนผู้เสียชีวิตในกรุงโตเกียวจะอยู่ที่ 20 คนต่อวัน หรือมากกว่านั้น ตั้งแต่กลางเดือนมกราคมไปจนถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์

ถ้า BQ.1 และสายพันธุ์ย่อยชนิดใหม่อื่น ๆ บางชนิดทำให้เกิดการติดเชื้อพอ ๆ กับสายพันธุ์ย่อยก่อนหน้านี้ และภูมิคุ้มกันที่ได้จากการติดเชื้อครั้งก่อนได้ผลกับสายพันธุ์ย่อยชนิดใหม่เหล่านี้ในระดับหนึ่ง จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในกรุงโตเกียวจะแตะระดับสูงสุดที่ประมาณ 25,000 คนในช่วงกลางเดือนมกราคม

ศาสตราจารย์ฮิราตะกล่าวว่าเมื่อพิจารณาเรื่องผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจาก BQ.1 และสายพันธุ์ย่อยชนิดใหม่อื่น ๆ พบว่า จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่อาจเริ่มพุ่งสูงขึ้นในเร็ว ๆ นี้ และว่าขณะนี้มีการกลับมาดำเนินกิจกรรมทางสังคมและเศรษฐกิจแล้ว และอุณหภูมิกำลังลดต่ำลง ไม่มีปัจจัยใดที่จะช่วยทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อลดลงได้อย่างแท้จริง

เขากล่าวว่าถ้าสายพันธุ์ย่อยชนิดใหม่ทำให้เกิดการติดเชื้อสูงขึ้นและมีความสามารถในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ ก็มีโอกาสสูงที่จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงสิ้นปีนี้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2565)

บรรดาสายพันธุ์ย่อยชนิดใหม่ของโอไมครอน

ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่รายใหม่เพิ่มมากขึ้นในช่วงไม่นานมานี้ ญี่ปุ่นเข้าสู่การระบาดระลอกที่ 8 แล้วหรือไม่ เราจะนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มในอนาคต ตลอดจนมาตรการเชิงป้องกันที่เราสามารถทำได้

การระบาดที่อาจเพิ่มมากขึ้นของบรรดาสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอน เช่น BQ.1 ถือเป็นความกังวลหลัก คณะผู้เชี่ยวชาญระบุว่าสายพันธุ์ย่อยเหล่านี้มีความเป็นไปได้สูงที่จะหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันของมนุษย์ที่ได้มาจากการติดเชื้อก่อนหน้านี้และการเข้ารับวัคซีน

ที่สหรัฐนั้น สายพันธุ์ย่อยใหม่ ๆ ของโอไมครอนกำลังเริ่มเข้ามาแทนที่สายพันธุ์ย่อย BA.5

ข้อมูลที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนโดยทางการกรุงโตเกียวแสดงให้เห็นว่า BA.5 เป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดอยู่ในเดือนพฤศจิกายน โดยคิดเป็นร้อยละ 80.1 แต่สายพันธุ์ย่อยอื่น ๆ ก็กำลังค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้น โดย BQ.1.1 อยู่ที่ร้อยละ 6.2, BN.1 อยู่ที่ร้อยละ 4.2, BF.7, BA.2.75 และ BQ.1 อยู่ที่อย่างละร้อยละ 2, BA.2 และ XBB อย่างละประมาณร้อยละ 1 และ BQ.4.6 อยู่ที่ร้อยละ 0.3

ศาสตราจารย์ฮามาดะ อัตสึโอะ จากโรงพยาบาลแห่งมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์โตเกียวกล่าวว่า ความสนใจในขณะนี้พุ่งไปที่สายพันธุ์ย่อยของโอไมครอนอย่าง XBB และ BQ.1 แต่ XBB ไม่ได้ระบาดเป็นวงกว้างทั่วโลก ในสหรัฐและประเทศในยุโรปนั้น BQ.1 กำลังเข้ามาแทนที่ BA.5

ศาสตราจารย์ฮามาดะกล่าวว่าสหรัฐและชาติในยุโรปไม่ได้มีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เพิ่มขึ้นแบบพุ่งพรวด นับจนถึงกลางเดือนพฤศจิกายน อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่าจุดสูงสุดของการระบาดระลอกที่ 8 ในญี่ปุ่นนั้น อาจเป็นยอดที่สูงมากหากสายพันธุ์ย่อยใหม่ ๆ จำนวนมากเข้ามาแพร่ระบาดในญี่ปุ่น เขาเตือนว่าญี่ปุ่นจำเป็นต้องจับตาการแพร่ระบาดต่อไป เนื่องจากอาจเผชิญสถานการณ์เช่นว่านี้ในเดือนธันวาคม

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2565)

สัญญาณของการแพร่ระบาดอีกระลอกหนึ่ง

ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่รายใหม่เพิ่มมากขึ้นในช่วงไม่นานมานี้ ญี่ปุ่นเข้าสู่การระบาดระลอกที่ 8 แล้วหรือไม่ เราจะนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มในอนาคต ตลอดจนมาตรการเชิงป้องกันที่เราสามารถทำได้

ในตอนที่แล้ว เรามุ่งเน้นที่การแพร่ระบาดครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่น ซึ่งเกี่ยวข้องกับ BA.5 ซึ่งเป็นไวรัสสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอน ที่ยุโรปก็มีกรณีติดเชื้อ BA.5 ที่เพิ่มขึ้นอีกระลอกเช่นกันเมื่อเดือนตุลาคม

ข้อมูลจาก Our World in Data ซึ่งเป็นฐานข้อมูลออนไลน์เชิงวิทยาศาสตร์ที่ดำเนินการโดยคณะนักวิจัยที่ประจำอยู่ที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดในสหราชอาณาจักรระบุว่า ที่เยอรมนีในช่วงกลางเดือนตุลาคมนั้น จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อวันโดยเฉลี่ยต่อประชากรหนึ่งล้านคนในช่วง 7 วัน อยู่ที่ประมาณ 1,300 คน จำนวนดังกล่าวสูงกว่ายอดสูงสุดของการระบาดเมื่อเดือนกรกฎาคม ขณะที่ในฝรั่งเศส จำนวนดังกล่าวในช่วงประมาณกลางเดือนตุลาคมอยู่ที่ราว 840 คน ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม

เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน ศาสตราจารย์วากิตะ ทากาจิ ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่นระบุว่า การแพร่ระบาดของสายพันธุ์ย่อย BA.5 ที่กำลังดำเนินไปอยู่นั้น อาจพุ่งขึ้นสูงสุดก่อนสิ้นปีนี้

ด้านศาสตราจารย์นิชิอูระ ฮิโรชิ จากมหาวิทยาลัยเกียวโต ซึ่งเป็นสมาชิกของคณะทำงานของกระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่นและเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยาเชิงคณิตศาสตร์กล่าวว่า หลังจากการระบาดแตะระดับสูงสุดแล้ว การลดลงจะมีแนวโน้มเป็นไปอย่างเชื่องช้าและค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากการระบาดกำลังแพร่ไปทั่วตามพื้นที่ต่าง ๆ เหมือนเช่นกรณีที่เกิดขึ้นในฮอกไกโด

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2565)

ทำไมผู้ติดเชื้อรายใหม่ในญี่ปุ่นจึงเพิ่มมากขึ้นในช่วงนี้

ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่รายใหม่กำลังเพิ่มมากขึ้นในช่วงไม่นานมานี้ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน จำนวนดังกล่าวสูงกว่า 100,000 คนเป็นครั้งแรกในรอบประมาณ 2 เดือน ญี่ปุ่นเข้าสู่การระบาดระลอกที่ 8 แล้วหรือไม่ เราจะนำเสนอข้อมูลโดยมุ่งเน้นเกี่ยวกับแนวโน้มในอนาคตและมาตรการเชิงป้องกัน

ทำไมผู้ติดเชื้อรายใหม่จึงเพิ่มมากขึ้นในช่วงนี้ ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าเบาะแสของคำถามนี้อาจจะอยู่ตรงความจริงที่ว่า การติดเชื้อที่พุ่งสูงขึ้นเริ่มมาจากพื้นที่ที่ไม่ใช่เมืองใหญ่ ที่ผ่านมานับจนถึงเมื่อไม่นานมานี้ ยอดติดเชื้อที่พุ่งพรวดมักเริ่มจากพื้นที่มหานครโตเกียว ซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น และแพร่ไปทั่วประเทศผ่านผู้คนที่เดินทางออกจากโตเกียว แต่ครั้งนี้ ยอดติดเชื้อรายใหม่ที่เพิ่มขึ้นนั้นเริ่มจากสถานที่ต่าง ๆ เช่น ฮอกไกโดและภูมิภาคโทโฮกุ ซึ่งอยู่ไกลจากกรุงโตเกียว

คณะผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่นได้นำเสนอมุมมองเกี่ยวกับแนวโน้มนี้ที่การประชุมเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน คณะผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าในพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งมีคนจำนวนมากติดเชื้อสายพันธุ์ย่อย BA.5 ในการระบาดระลอกที่ 7 นั้น ผู้อยู่อาศัยที่ได้ภูมิคุ้มกันแล้วมีสัดส่วนที่สูง และว่าขณะนี้การระบาดกำลังแพร่ออกไปในพื้นที่ที่มีผู้คนไม่มากนักติดเชื้อ BA.5 ซึ่งผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าวที่ได้ภูมิคุ้มกันแล้วมีสัดส่วนที่ต่ำ

ศาสตราจารย์ฮามาดะ อัตสึโอะ จากโรงพยาบาลแห่งมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์โตเกียวระบุว่า จำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นในช่วงนี้สามารถมองได้ว่าเป็นผลกระทบต่อเนื่องมาจากการระบาดระลอกที่ 7 และว่าเมืองใหญ่ต่าง ๆ ก็มีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่แนวโน้มนี้ไม่เด่นชัดเทียบเท่ากับเมืองในส่วนภูมิภาค

ศาสตราจารย์ฮามาดะกล่าวว่า “เปลวไฟที่ยังหลงเหลืออยู่” จากการระบาดระลอกที่ 7 กำลังปะทุขึ้นมาอีกครั้งในพื้นที่ต่าง ๆ ที่ผู้คนจำนวนน้อยกว่าเคยติดเชื้อและผู้อยู่อาศัยจำนวนมากยังไม่มีภูมิคุ้มกัน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 25 พฤศจิกายน 2565)

ความเป็นไปได้ที่สายพันธุ์ย่อยชนิดใหม่ของโอไมครอนจะส่งผลกระทบต่อการระบาดระลอกใหม่ในญี่ปุ่น

ที่ผ่านมามีรายงานไวรัสสายพันธุ์ย่อยชนิดใหม่ของโอไมครอน เช่น BQ.1.1 และ XBB ครั้งนี้เราจะนำเสนอความเป็นไปได้ที่สายพันธุ์ย่อยชนิดใหม่เหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อการระบาดระลอกใหม่ในญี่ปุ่นที่คาดว่าจะเกิดขึ้น โดยเป็นมุมมองของผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ

คณะนักวิจัยของสถาบันโรคติดเชื้อแห่งชาติของญี่ปุ่นระบุว่า นับจนถึงขณะนี้ ยังไม่พบหลักฐานที่สนับสนุนว่า XBB หรือ BQ.1.1 จะทำให้เกิดอาการร้ายแรงของโรคโควิด-19 และว่ามีผลวิจัยจำนวนหนึ่งที่ชี้ไปยังความสามารถของสายพันธุ์ย่อยเหล่านี้ในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันของมนุษย์ คณะนักวิจัยกล่าวว่าพวกตนจะเฝ้าติดตามต่อไป

ที่ญี่ปุ่นนั้น จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่โดยเฉลี่ยในช่วง 7 วัน อยู่ที่ประมาณ 26,000 คน เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม และจากนั้นจำนวนดังกล่าวก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นมาแตะที่ประมาณ 88,000 คน เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน

ศาสตราจารย์ฮามาดะ อัตสึโอะ จากโรงพยาบาลแห่งมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์โตเกียวระบุว่า กล่าวกันว่าสายพันธุ์ย่อย BQ.1 สามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้มากกว่า BA.5 และถึงแม้ว่าคุณจะเคยติดเชื้อมาแล้วหรือได้รับวัคซีนแล้ว ก็อาจมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะติดเชื้อซ้ำ ด้วยเหตุนี้ หากว่า BQ.1 แพร่ระบาดในฤดูหนาวนี้ ก็มีความเป็นไปได้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อจะพุ่งสูงขึ้น

ศาสตราจารย์ฮามาดะกล่าวว่าขณะนี้มีวัคซีนที่พุ่งเป้าไปยังสายพันธุ์โอไมครอนแล้ว และเขาต้องการให้ผู้คนไปเข้ารับวัคซีน เขากล่าวว่าเนื่องด้วย BA.5, BQ.1 และ XBB ล้วนเป็นสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอน การไปเข้ารับวัคซีนที่พุ่งเป้ายังโอไมครอนนั้น ก็สามารถคาดหวังได้ว่าจะได้รับการป้องกันจากสายพันธุ์ย่อยดังกล่าว เขากล่าวว่านี่อาจจะช่วยลดกรณีที่เกิดอาการรุนแรงในช่วงฤดูหนาวนี้ได้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 24 พฤศจิกายน 2565)

สถานการณ์ของสายพันธุ์ย่อยชนิดใหม่ของโอไมครอนที่ปรากฏขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจะเป็นไปอย่างไร

ที่ผ่านมามีรายงานไวรัสสายพันธุ์ย่อยชนิดใหม่ของโอไมครอน เช่น BQ.1, BQ.1.1 และ XBB สถานการณ์ของสายพันธุ์ย่อยชนิดใหม่ที่ปรากฏขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจะเป็นไปอย่างไร เราจะนำเสนอข้อมูลบางส่วนและทัศนะของผู้เชี่ยวชาญ

องค์การอนามัยโลกหรือ WHO ระบุเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม โดยชี้ถึงการพบเห็นปรากฏการณ์น่าสนใจในบรรดาสายพันธุ์ย่อยชนิดใหม่เหล่านี้ นั่นคือเรื่องที่พวกมันมีการกลายพันธุ์แบบเดียวกัน แม้ว่าจะเกิดขึ้นในสถานที่และช่วงเวลาที่ต่างกันก็ตาม สิ่งนี้เรียกว่า “วิวัฒนาการเบนเข้า” ซึ่งหมายถึงสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างกัน มีวิวัฒนาการแยกกัน แต่กลับจบลงแบบมีลักษณะร่วมกัน

WHO ระบุว่าการกลายพันธุ์ในสายพันธุ์ย่อยชนิดใหม่นี้เกิดขึ้นในส่วนต่าง ๆ ที่เชื่อกันว่าจำเป็นต่อการปรับตัวให้เข้ากับมนุษย์ และว่าการกลายพันธุ์สามารถเกิดขึ้นได้อีก

ศาสตราจารย์ฟูรูเซะ ยูกิ จากมหาวิทยาลัยนางาซากิซึ่งเชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยาระบุว่า กล่าวกันว่าตอนนี้ประชากรโลกครึ่งหนึ่งติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนแล้ว พวกไวรัสสายพันธุ์ย่อยที่แตกต่างกันของโอไมครอนอาจต้องมีการกลายพันธุ์แบบเดียวกัน เพื่อหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันที่ได้จากการติดเชื้อกันเป็นจำนวนมาก

เขากล่าวว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้กลายพันธุ์ไปมากพอแล้ว และยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่ามันจะปรับตัวเข้าหามนุษย์ได้หรือไม่ หรือจะยังคงกลายพันธุ์ต่อไป

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 23 พฤศจิกายน 2565)

ข้อมูลเกี่ยวกับ XBB ซึ่งเป็นไวรัสสายพันธุ์ย่อยชนิดใหม่ของโอไมครอน

ขณะนี้ไวรัสสายพันธุ์ย่อยชนิดใหม่ของโอไมครอนกำลังเริ่มแพร่ระบาดทั่วโลก เราจะนำเสนอเกี่ยวกับ XBB ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยชนิดใหม่ดังกล่าว ที่กำลังแพร่ระบาดในสิงคโปร์และที่อื่น ๆ

จำนวนของผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่เกิดจากสายพันธุ์ย่อย XBB กำลังเพิ่มมากขึ้นในสิงคโปร์และอินเดีย

กระทรวงสาธารณสุขของสิงคโปร์ระบุว่า การติดเชื้อสายพันธุ์ย่อย XBB คิดเป็นร้อยละ 54 ของกรณีติดเชื้อที่เกิดขึ้นในสิงคโปร์ในช่วงสัปดาห์ที่นับจนถึงวันที่ 9 ตุลาคม เพิ่มขึ้นร้อยละ 22 จากสัปดาห์ก่อนหน้า และกลายเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดอยู่

องค์การอนามัยโลกหรือ WHO ระบุว่า ตรวจพบสายพันธุ์ย่อย XBB ใน 35 ประเทศนับจนถึงปลายเดือนตุลาคม โดยคณะผู้เชี่ยวชาญของ WHO ระบุว่า ถึงแม้ว่าจะมีการชี้ถึงความเสี่ยงติดเชื้อ XBB เพิ่มมากขึ้น แต่ก็ไม่สามารถกล่าวได้ว่าสายพันธุ์ย่อยชนิดนี้มีแนวโน้มที่จะทำให้โรคกำเริบรุนแรงหรือหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้มากขึ้น เมื่อเทียบกับสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอนชนิดอื่น ๆ ที่แพร่ระบาดอยู่

คณะผู้เชี่ยวชาญยังกล่าวด้วยว่ากรณีติดเชื้อซ้ำนั้น ส่วนมากจำกัดอยู่เฉพาะผู้ที่ติดเชื้อในช่วงแรกเริ่ม ก่อนการระบาดของโอไมครอน และยังไม่มีข้อมูลที่สนับสนุนว่า XBB สามารถหลบเลี่ยงการตอบสนองของภูมิคุ้มกันที่ได้มาจากสายพันธุ์ย่อยอื่น ๆ ของโอไมครอน

ที่สิงคโปร์นั้น จำนวนของผู้ติดเชื้อ XBB ลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ที่เพิ่มขึ้นสูงสุดไปเมื่อช่วงกลางเดือนตุลาคม

ศาสตราจารย์ฮามาดะ อัตสึโอะ จากโรงพยาบาลแห่งมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์โตเกียวระบุว่า ยังไม่มีการระบาดครั้งใหญ่ของสายพันธุ์ย่อย XBB จากสิงคโปร์ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน และว่าที่ญี่ปุ่นก็ตรวจพบสายพันธุ์ย่อยชนิดนี้เช่นกัน แต่จำนวนของผู้ติดเชื้อยังคงต่ำอยู่ ด้วยเหตุนี้ระดับความกังวลเรื่องการแพร่ระบาดของ XBB จึงไม่สูงมากเหมือนเช่นก่อนหน้านี้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2565)

ข้อมูลเกี่ยวกับ BQ.1 และ BQ.1.1 ซึ่งเป็นไวรัสสายพันธุ์ย่อยชนิดใหม่ของโอไมครอน

ขณะนี้ไวรัสสายพันธุ์ย่อยชนิดใหม่ของโอไมครอนกำลังเริ่มแพร่ระบาดทั่วโลก เราจะนำเสนอเกี่ยวกับ BQ.1 และ BQ.1.1 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยชนิดใหม่ของโอไมครอน ที่กำลังแพร่ระบาดในสหรัฐและพื้นที่อื่น ๆ

ในช่วงฤดูร้อนปีนี้ ญี่ปุ่นเกิดการระบาดของโควิด-19 อีกระลอกหนึ่ง ซึ่งหลัก ๆ เนื่องมาจากไวรัสสายพันธุ์ย่อย BA.5 โดย BQ.1 เป็นสายพันธุ์ย่อยของ BA.5 ซึ่งมีการกลายพันธุ์ที่ส่วนหนาม และ BQ.1.1 มีการกลายพันธุ์เพิ่มเติมที่ส่วนหนาม ที่สหรัฐนั้น BQ.1 คิดเป็นประมาณร้อยละ 14 ของผู้ติดเชื้อรายใหม่ในสัปดาห์ที่สิ้นสุดเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ขณะที่ BQ.1.1 คิดเป็นร้อยละ 13.1 ของผู้ติดเชื้อรายใหม่

องค์การอนามัยโลกหรือ WHO ระบุว่ามีรายงานการระบาดของ BQ.1 และบรรดาสายพันธุ์ย่อยของมันใน 65 ประเทศ นับจนถึงต้นเดือนตุลาคม

คณะผู้เชี่ยวชาญของ WHO ระบุว่าสัดส่วนของสายพันธุ์ย่อยชนิดใหม่กำลังเพิ่มขึ้นและมีแนวโน้มที่การกลายพันธุ์เพิ่มเติมของพวกมันได้เสริมความสามารถในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันของมนุษย์ได้มากกว่าสายพันธุ์ย่อยอื่น ๆ ของโอไมครอนที่ระบาดอยู่ อย่างไรก็ตาม คณะผู้เชี่ยวชาญระบุว่าครั้งนี้ ยังไม่มีข้อมูลที่บ่งชี้ถึงการเพิ่มขึ้นของความรุนแรงของโรคหรือการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกัน

คณะผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า โดยทั่วไปแล้ว ความสามารถในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันหมายถึงโอกาสที่อาจติดเชื้อหลังจากเข้ารับวัคซีน หรือความเสี่ยงมากขึ้นที่จะติดเชื้อซ้ำ แต่จำเป็นต้องตรวจสอบเพิ่มเติม และว่าการคุ้มกันที่ได้จากวัคซีนเพื่อต้านการติดเชื้อ ทั้งวัคซีนแบบดั้งเดิมและวัคซีนที่พุ่งเป้าไปยังสายพันธุ์โอไมครอนนั้น อาจลดลงไป แต่คาดว่าไม่มีผลกระทบใหญ่โตอะไรในการป้องกันไม่ให้เกิดโรคที่มีอาการรุนแรง

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 21 พฤศจิกายน 2565)

ความเสี่ยงเกิดอาการหนักจากไวรัสสายพันธุ์ย่อยชนิดใหม่ของโอไมครอน และประสิทธิผลของวัคซีนที่มีอยู่

ขณะนี้ไวรัสสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอนแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องทั่วโลก เราจะนำเสนอเกี่ยวกับความเสี่ยงที่จะเกิดอาการหนักจากไวรัสสายพันธุ์ย่อยชนิดใหม่ของโอไมครอน และประสิทธิผลของวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบัน

ในช่วงฤดูร้อนปีนี้ ญี่ปุ่นเกิดการระบาดของโควิด-19 ระลอกที่ 7 เนื่องจากไวรัสสายพันธุ์ BA.5 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอน ขณะที่ BA.5 กลายเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดทั่วโลกในระยะเวลาหนึ่ง สัดส่วนโดยรวมของผู้ติดเชื้อสายพันธุ์นี้กลับค่อย ๆ ลดลง ขณะที่จำนวนของผู้ติดเชื้อเนื่องจากสายพันธุ์ย่อย BQ.1, BQ.1.1 และ XBB ก็กำลังค่อย ๆ แพร่ไปทั่วโลก

ศาสตราจารย์ฮามาดะ อัตสึโอะ จากโรงพยาบาลแห่งมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์โตเกียว ซึ่งเชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อระบุว่า ในขณะที่ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าสายพันธุ์ย่อยชนิดใดที่จะระบาดหลักในอนาคต แต่สายพันธุ์ย่อยชนิดใหม่ล้วนแสดงให้เห็นความสามารถเดียวกันในการยึดเกาะกับเซลล์ของมนุษย์ และยังมีความสามารถดีขึ้นในการหลบเลี่ยงการตอบสนองของภูมิคุ้มกันของเราด้วย

ศาสตราจารย์ฮามาดะกล่าวว่าถึงแม้ว่าสายพันธุ์ย่อยใหม่ ๆ จะเกิดขึ้น แต่สิ่งสำคัญก็คือการเฝ้าติดตามอย่างระมัดระวังว่าสายพันธุ์ย่อยเหล่านี้สามารถหลบเลี่ยงการตอบสนองของภูมิคุ้มกันของเราได้หรือไม่ และคอยตรวจสอบการแพร่เชื้อและการก่อให้เกิดโรคของสายพันธุ์ย่อยเหล่านี้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2565)

ทัศนะของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่เด็กเล็ก

ญี่ปุ่นได้เริ่มฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่สำหรับเด็กอายุ 6 เดือนถึง 4 ปีในเดือนตุลาคม เราจะนำเสนอเรื่องการฉีดวัคซีนให้แก่เด็กเล็ก โดยครั้งนี้เป็นทัศนะของผู้เชี่ยวชาญ

เราได้สอบถามผู้เชี่ยวชาญ 2 คนเกี่ยวกับว่าเราควรพิจารณาเรื่องการฉีดวัคซีนให้แก่เด็กเล็กอย่างไร

ศาสตราจารย์ไซโต อากิฮิโกะ จากมหาวิทยาลัยนีงาตะระบุว่าเป็นเรื่องยากที่จะดำเนินมาตรการเชิงป้องกันสำหรับเด็กเล็ก เช่น การสวมหน้ากากอนามัยและล้างมือ เขากล่าวว่าสำหรับเด็กกลุ่มอายุนี้ การฉีดวัคซีนเป็นวิธีเดียวที่ได้ผลในการป้องกันการเกิดอาการของโรคโควิด-19 และเลี่ยงความเป็นไปได้ที่จะป่วยหนัก

ด้านศาสตราจารย์นากายามะ เท็ตสึโอะ จากมหาวิทยาลัยคิตาซาโตะกล่าวว่า ผลข้างเคียงเป็นหนึ่งในผลกระทบเชิงลบจากการเข้ารับวัคซีน แต่เขากล่าวเสริมว่าถ้าไม่เข้ารับวัคซีน ก็อาจเกิดอาการแทรกซ้อนที่อาจถึงกับทำให้เสียชีวิตได้ ตัวอย่างของอาการแทรกซ้อนนั้นรวมถึงความผิดปกติทางสมองที่เรียกว่าภาวะสมองอักเสบแบบเฉียบพลันและกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ

ศาสตราจารย์นากายามะขอให้ผู้คนชั่งน้ำหนักเปรียบเทียบระหว่างความเสี่ยงกับประโยชน์ที่ได้ และตัดสินใจโดยอิงจากข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์

ด้านสมาคมกุมารแพทย์แห่งญี่ปุ่นยังแนะนำการฉีดวัคซีนสำหรับเด็กอายุ 6 เดือนถึง 4 ปี โดยระบุว่าประโยชน์ในการป้องกันอาการต่าง ๆ ของโรคโควิด-19 นั้นมีน้ำหนักมากกว่าความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 14 พฤศจิกายน 2565)

การฉีดวัคซีนให้แก่เด็กที่เคยติดเชื้อมาก่อนและความปลอดภัยของการฉีดวัคซีนหลายเข็ม

ญี่ปุ่นได้เริ่มฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่สำหรับเด็กอายุ 6 เดือนถึง 4 ปีในเดือนตุลาคม เราจะนำเสนอเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนให้แก่เด็กที่เคยติดเชื้อมาก่อนและความปลอดภัยของการฉีดวัคซีนหลายเข็ม

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ฉีดวัคซีนโควิด-19 แม้ว่าเด็กคนนั้นจะเคยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่มาก่อน

ศาสตราจารย์ไซโต อากิฮิโกะ จากมหาวิทยาลัยนีงาตะระบุว่า แม้ว่าคุณเคยติดเชื้อมาแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าร่างกายจะสร้างระดับภูมิคุ้มกันได้มากพอ หากว่าอาการของคุณเป็นอาการเล็กน้อย เขากล่าวว่าเป็นที่ทราบกันว่าปริมาณของสารภูมิต้านทานที่มีต่อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นั้นลดลงเมื่อเวลาผ่านไป

ศาสตราจารย์ไซโตกล่าวว่าถ้าคุณเข้ารับวัคซีนหลังการติดเชื้อ นี่จะสามารถรับประกันได้ว่าร่างกายของคุณมีระดับภูมิคุ้มกันที่มากพอ ส่วนเรื่องของช่วงเวลานั้น ศาสตราจารย์ไซโตกล่าวว่าสามารถเข้ารับวัคซีนได้เมื่ออาการต่าง ๆ ทุเลาลงไป และสุขภาพของเด็กกลับสู่ภาวะปกติแล้ว

เด็ก ๆ สามารถรับวัคซีนโควิด-19 ร่วมกับวัคซีนอื่น ๆ ได้ การเข้ารับวัคซีนโควิด-19 และวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในวันเดียวกันสามารถทำได้ ส่วนวัคซีนอื่นนั้น ในทางหลักการ ต้องเว้นระยะอย่างน้อย 2 สัปดาห์หลังจากรับวัคซีนโควิด-19

ส่วนเรื่องที่ว่าควรจัดลำดับความสำคัญอย่างไรให้แก่เด็ก ศาสตราจารย์ไซโตกล่าวว่า กำหนดเวลาของการฉีดวัคซีนนั้นถูกจัดวางไว้แล้วว่าอะไรที่กำหนดให้เป็นวัคซีนที่ต้องฉีดตามปกติ เขาแนะนำให้พ่อแม่ปฏิบัติตามกำหนดเวลาดังกล่าวเป็นหลักและวางแผนเข้ารับวัคซีนโควิด-19 ก่อนหรือหลังวัคซีนปกติ 2 สัปดาห์

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2565)

กรณีของเด็กที่ป่วยหนักหลังติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

ญี่ปุ่นได้เริ่มฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่สำหรับเด็กอายุ 6 เดือนถึง 4 ปีในเดือนตุลาคม เราจะนำเสนอสถานการณ์เกี่ยวกับเด็กที่เกิดอาการหนักหลังติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เพื่อให้เป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับการตัดสินใจเรื่องความจำเป็นของการฉีดวัคซีนให้แก่เด็กเล็ก

สมาคมกุมารแพทย์แห่งญี่ปุ่นระบุว่ากว่าร้อยละ 95 ของเด็กที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เกิดอาการเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ขณะที่จำนวนของเด็กที่ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นหลังการระบาดของไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน จำนวนของเด็กที่เสียชีวิตและเด็กที่มีอาการหนักก็เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

สถาบันโรคติดเชื้อแห่งชาติของญี่ปุ่นได้ดำเนินการศึกษาวิจัยกลุ่มคนที่อายุไม่ถึง 20 ปี จำนวน 41 คน ซึ่งเสียชีวิตหลังการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ระหว่างเดือนมกราคมถึงสิงหาคมปีนี้ ซึ่งกรณีติดเชื้อส่วนใหญ่เกี่ยวกับสายพันธุ์โอไมครอน จากจำนวนผู้เสียชีวิตดังกล่าว ทางสถาบันได้ตรวจสอบ 29 คนอย่างใกล้ชิดและพบว่าเป็นเด็กอายุ 4 ปีหรือต่ำกว่านั้นจำนวน 14 คน ในจำนวนนี้ 6 คนไม่มีโรคประจำตัว

ไม่มีข้อมูลเรื่องอาการป่วยหนักโดยเฉพาะในกลุ่มเด็กอายุ 6 เดือนถึง 4 ปี แต่สมาคมเวชบำบัดวิกฤติแห่งญี่ปุ่นได้รวบรวมข้อมูลซึ่งรวมถึงเรื่องอายุและอาการต่าง ๆ จากผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่อายุต่ำกว่า 20 ปี ซึ่งเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่มีเตียงสำหรับเด็กทั่วญี่ปุ่น ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงสิงหาคมปีนี้

ทางสมาคมระบุว่ามีผู้คนทั้งหมด 220 คนที่ถูกจัดว่ามีอาการปานกลางถึงอาการหนัก ซึ่งหมายความว่าคนเหล่านี้ต้องได้รับออกซิเจนหรือใช้เครื่องช่วยหายใจ เด็กก่อนวัยเรียนที่มีอายุ 6 ปีหรือต่ำกว่านั้น คิดเป็นร้อยละ 58.6 ของกรณีเช่นว่านี้ ทางสมาคมระบุว่าผู้ที่มีอาการหนักจำนวนมากมีภาวะสมองอักเสบแบบเฉียบพลัน ซึ่งเป็นอาการที่สมองบวมและสามารถทำให้การรับรู้เสื่อมถอย ปอดอักเสบและอาการชักก็เป็นอาการที่เกิดขึ้นมากเช่นกัน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 10 พฤศจิกายน 2565)

ความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงร้ายแรงจากการฉีดวัคซีนให้เด็กอายุ 6 เดือนถึง 4 ปี

ญี่ปุ่นได้เริ่มฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่สำหรับเด็กอายุ 6 เดือนถึง 4 ปีในเดือนตุลาคม เราจะนำเสนอเรื่องความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงร้ายแรงจากการฉีดวัคซีน

บรรดาแพทย์ได้รายงานเรื่องกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบในกลุ่มผู้ชายอายุยังน้อย ซึ่งส่วนมากอยู่ในกลุ่มวัยรุ่นและช่วงวัย 20 กว่าปี โดยระบุว่าเป็นผลข้างเคียงร้ายแรงจากการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก

พวกเขายังไม่มีข้อมูลเพียงพอเรื่องความเสี่ยงของอาการเกี่ยวกับหัวใจเช่นว่านี้ที่เกิดกับเด็กอายุระหว่าง 6 เดือนถึง 4 ปี อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่นระบุว่า ยังไม่มีรายงานอาการในลักษณะนี้จากเด็กอายุ 6 เดือนถึง 4 ปีประมาณ 600,000 คนที่ได้รับวัคซีนของไฟเซอร์ในสหรัฐ นับจนถึงปลายเดือนสิงหาคม

ส่วนที่ญี่ปุ่นนั้น ข้อมูลเกี่ยวกับเด็กอายุ 5 ถึง 11 ปีแสดงให้เห็นว่า มีรายงานกรณีที่สงสัยว่าเป็นอาการเกี่ยวกับหัวใจ 2-3 กรณีต่อการฉีดวัคซีน 1,000,000 ครั้ง

เราได้สอบถามศาสตราจารย์นากายามะ เท็ตสึโอะ จากมหาวิทยาลัยคิตาซาโตะ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องวัคซีน เขาระบุว่ากลุ่มเด็กเล็กมีความเสี่ยงต่ำมากที่จะเกิดอาการเกี่ยวกับหัวใจเช่นนั้นหลังการฉีดวัคซีน เมื่อเทียบกับผู้ชายที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นและช่วงวัย 20 กว่าปี เขากล่าวว่าแต่ถึงแม้จะเกิดอาการเช่นว่านี้ เด็กส่วนใหญ่ก็มีอาการเพียงเล็กน้อยและหายเป็นปกติ

อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์นากายามะกล่าวว่าหากเด็ก ๆ ดูเหมือนว่ามีอาการหายใจลำบากหรือเจ็บหน้าอก ซึ่งเป็นอาการที่สงสัยว่าอาจเป็นกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ภายในไม่กี่วันหลังการฉีดวัคซีน ผู้ปกครองควรพาไปพบแพทย์โดยทันที

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 8 พฤศจิกายน 2565)

การฉีดวัคซีนทำให้เกิดผลกระทบต่อกลไกการสืบพันธุ์ของมนุษย์หรือไม่

ญี่ปุ่นได้เริ่มฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่สำหรับเด็กอายุ 6 เดือนถึง 4 ปีในเดือนตุลาคม เราจะนำเสนอเรื่องที่ว่าการฉีดวัคซีนทำให้เกิดผลกระทบต่อกลไกการสืบพันธุ์ของมนุษย์หรือไม่

มีการนำวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่พัฒนาขึ้นโดยไฟเซอร์ บริษัทยาของสหรัฐ มาใช้สำหรับฉีดให้แก่เด็ก ๆ ในญี่ปุ่น วัคซีนดังกล่าวเป็นวัคซีนประเภทใหม่ที่เรียกว่าวัคซีน mRNA

mRNA ทำงานเป็น “พิมพ์เขียว” ซึ่งเป็นแบบสำหรับการสังเคราะห์โปรตีน เมื่อได้รับวัคซีน mRNA ส่วนหนึ่งของโปรตีนของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จะถูกผลิตขึ้นมาในเซลล์ร่างกายของมนุษย์ โปรตีนนี้จะกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเพื่อให้ผลิตสารภูมิต้านทาน

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่นระบุว่า mRNA จะสลายไปและถูกขจัดออกจากร่างกายภายในช่วงหลายนาทีไปจนถึงหลายวัน และยังระบุด้วยว่า mRNA ในวัคซีนนั้นจะไม่เข้าไปรวมกับ DNA ของมนุษย์ที่บรรจุข้อมูลด้านพันธุกรรมเอาไว้ ร่างกายมนุษย์ผลิต mRNA จาก DNA ของตัวเอง แต่การเคลื่อนตัวของข้อมูลทางพันธุกรรมนั้นเป็นแบบทางเดียว ดังนั้น เราจึงไม่สามารถผลิต DNA จาก mRNA ได้

ด้วยเหตุนี้ ผู้เชี่ยวชาญจึงเชื่อว่าเมื่อได้รับวัคซีน mRNA จะไม่มีความเสี่ยงที่ข้อมูลทางพันธุกรรมของ mRNA จะตกค้างอยู่ในร่างกายเป็นระยะเวลานาน และข้อมูลดังกล่าวจะไม่ถูกส่งต่อไปยังรหัสพันธุกรรมของอสุจิหรือไข่

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 9 พฤศจิกายน 2565)

ผลข้างเคียงของการฉีดวัคซีนให้แก่เด็กอายุ 6 เดือนถึง 4 ปี

ญี่ปุ่นได้เริ่มฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่สำหรับเด็กอายุ 6 เดือนถึง 4 ปีในเดือนตุลาคม เราจะนำเสนอเกี่ยวกับผลข้างเคียงของการฉีดวัคซีน

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าผลข้างเคียงส่วนใหญ่อยู่ในระดับเล็กน้อยถึงปานกลางและเกิดขึ้นชั่วคราว ด้วยเหตุนี้จึงไม่ทำให้เกิดข้อกังวลด้านความปลอดภัยมากนัก

ไฟเซอร์ตรวจติดตามอาการข้างเคียงของเด็กที่ได้รับวัคซีนแล้วในช่วง 1 สัปดาห์ระหว่างการทดลองทางคลินิก โดยพบว่าในกลุ่มเด็ก ๆ อายุ 2 ถึง 4 ปี มีร้อยละ 5.1 ที่มีไข้สูง 38 องศาเซลเซียสหรือสูงกว่านั้นโดยเฉลี่ย หลังได้รับวัคซีน 3 เข็ม ร้อยละ 26.6 ระบุว่ามีอาการอ่อนเพลีย ร้อยละ 2.7 อาเจียน และร้อยละ 6.5 ท้องเสีย

ส่วนเด็กอายุ 6 เดือนถึง 1 ปี ร้อยละ 7.1 มีไข้สูง 38 องศาเซลเซียสหรือสูงกว่านั้น ร้อยละ 21.5 แสดงสัญญาณความอยากอาหารลดลง และร้อยละ 47.4 มีอาการหงุดหงิดและอารมณ์ไม่ดี

ศาสตราจารย์ไซโตะ อากิฮิโกะ จากมหาวิทยาลัยนีงาตะ ซึ่งเชี่ยวชาญด้านวัคซีนระบุว่า แม้ว่าการเปรียบเทียบได้อย่างถูกต้องแม่นยำจะทำได้ยาก แต่ผลข้างเคียงในกลุ่มเด็กอายุ 6 เดือนถึง 4 ปี ไม่ค่อยพบบ่อยเท่ากับผู้ใหญ่ เขายังระบุด้วยว่าความถี่ของการเกิดผลข้างเคียงในกลุ่มเด็กอายุนี้น้อยกว่าหรือเท่ากัน เมื่อเทียบกับเด็กอายุระหว่าง 5 ถึง 11 ปี หรือเด็กอายุ 12 ถึง 15 ปี

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 7 พฤศจิกายน 2565)

ประสิทธิผลของการฉีดวัคซีนให้แก่เด็กอายุ 6 เดือนถึง 4 ปี

ญี่ปุ่นได้เริ่มฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่สำหรับเด็กอายุ 6 เดือนถึง 4 ปีในเดือนตุลาคม เราจะนำเสนอเกี่ยวกับประสิทธิผลของการฉีดวัคซีนให้แก่เด็กกลุ่มอายุนี้

คาดว่าการฉีดวัคซีนให้แก่เด็กเล็กจะมีประสิทธิผลในการป้องกันไม่ให้อาการกำเริบรุนแรง ไฟเซอร์ซึ่งเป็นบริษัทยาได้ทำการทดลองทางคลินิกกับเด็กอายุ 6 เดือนถึง 4 ปี และพบว่าเมื่อมีการฉีดวัคซีนแล้ว 3 เข็ม ระดับของสารภูมิต้านทานของเด็กกลุ่มอายุนี้เทียบเท่ากับระดับที่ได้จากการทดลองทางคลินิกกับเด็กที่อายุมากกว่าและกลุ่มผู้ใหญ่

ไฟเซอร์ยังได้ทดลองทางคลินิกกับเด็กอายุ 6 เดือนถึง 4 ปีกว่า 1,100 คนในสหรัฐและยุโรปซึ่งเป็นพื้นที่ที่สายพันธุ์โอไมครอนระบาดอยู่ เด็ก ๆ ได้รับวัคซีนจริงหรือวัคซีนหลอกซึ่งเป็นน้ำเกลือที่ไม่มีผลกระทบต่อร่างกาย

เมื่อเปรียบเทียบสถานการณ์การติดเชื้อพบว่า ณ วันที่ 17 มิถุนายน 2565 เด็ก 794 คนที่ได้รับวัคซีนจริง ในจำนวนนี้มีผู้ติดเชื้อ 13 คน ขณะที่เด็ก 351 คนที่ได้รับวัคซีนหลอก ในจำนวนนี้มี 21 คนที่ติดเชื้อ และว่าหลังจากการฉีดวัคซีนแล้ว 3 เข็ม วัคซีนมีประสิทธิผลร้อยละ 73.2 ในการป้องกันไม่ให้เกิดอาการต่าง ๆ

เจ้าหน้าที่ระบุว่าจำนวนเด็กติดเชื้อยังมีไม่มากพอที่จะวิเคราะห์ได้ว่า วัคซีนนี้มีประสิทธิผลมากพอในการป้องกันไม่ให้เกิดอาการหนักได้เพียงใด

ศาสตราจารย์นากายามะ เท็ตสึโอะ จากมหาวิทยาลัยคิตาซาโตะ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีนระบุว่า ตนคาดว่าวัคซีนจะมีประสิทธิผลเพียงพอในการป้องกันไม่ให้เกิดอาการหนัก เนื่องจากวัคซีนช่วยป้องกันไม่ให้อาการกำเริบรุนแรง เขากล่าวว่าในขณะที่ข้อมูลยังต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับการวิจัย แต่มีรายงานว่าวัคซีนมีประสิทธิผลร้อยละ 40-80 ในการป้องกันไม่ให้เกิดอาการหนักในกลุ่มเด็กอายุ 5 ถึง 11 ปี

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 4 พฤศจิกายน 2565)

ข้อมูลของการฉีดวัคซีนให้แก่เด็กอายุระหว่าง 6 เดือนถึง 4 ปี

การจัดฉีดวัคซีนของภาครัฐเพื่อต้านโควิด-19 ให้แก่เด็กอายุ 6 เดือนถึง 4 ปีได้เริ่มขึ้นแล้วในเดือนตุลาคม เราจะนำเสนอเกี่ยวกับว่าการฉีดวัคซีนให้แก่เด็กเล็กนั้นมีประสิทธิผลหรือไม่และมีความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงใด ๆ หรือไม่ ครั้งนี้เราจะให้ข้อมูลของการฉีดวัคซีน

บริษัทผู้ผลิตวัคซีนคือไฟเซอร์ซึ่งเป็นบริษัทยาของสหรัฐ ปริมาณของส่วนผสมที่ออกฤทธิ์ต่อขนาดยานั้นได้แก่ 1 ใน 10 ของปริมาณวัคซีนที่ฉีดให้ผู้ใหญ่ และ 1 ใน 3 ของปริมาณวัคซีนที่ฉีดให้แก่เด็กอายุ 5 ถึง 11 ปี สัดส่วนดังกล่าวอิงจากไวรัสสายพันธุ์ดั้งเดิม โดยวัคซีนไม่ได้มีส่วนผสมที่ได้มาจากไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน

การฉีดวัคซีนนี้ไม่มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเพราะใช้เงินทุนของภาครัฐทั้งหมด ต้องเข้ารับวัคซีน 3 ครั้งจึงจะถือว่าฉีดครบ โดยเข็มแรกกับเข็มที่ 2 เว้นห่างจากกัน 3 สัปดาห์ และเข็มที่ 3 ทิ้งห่างจากเข็มที่ 2 อย่างน้อย 8 สัปดาห์

โดยหลักการแล้ว เด็ก ๆ จะได้รับบัตรฉีดวัคซีนจากท้องถิ่นของตนเองเพื่อไปเข้ารับวัคซีนที่คลินิกกุมารเวชกรรมในท้องถิ่น และอื่น ๆ หรือสถานที่จัดฉีดวัคซีนแบบเป็นกลุ่มที่จัดตั้งขึ้นโดยทางการท้องถิ่นบางแห่ง

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่นยังขอให้เด็กอายุระหว่าง 6 เดือนถึง 4 ปีไปเข้ารับวัคซีน โดยให้เหตุผลเรื่องจำนวนการติดเชื้อที่เพิ่มมากขึ้นและอาการป่วยหนักในกลุ่มเด็ก ๆ ตลอดจนประสิทธิผลและความปลอดภัยของวัคซีนที่ได้รับการยืนยันแล้วท่ามกลางการระบาดของไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน

ทั้งนี้ ไม่มีข้อบังคับหรือบทลงโทษ โดยขึ้นอยู่กับเด็ก ๆ และพ่อแม่ของเด็กที่จะตัดสินใจว่าจะเข้ารับวัคซีนหรือไม่

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 3 พฤศจิกายน 2565)

จะรับมืออย่างไรหากเกิดการระบาดพร้อมกันของโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่

บรรดาผู้เชี่ยวชาญแสดงความกังวลเกี่ยวกับการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่กับไข้หวัดใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นพร้อมกันในฤดูหนาวนี้ ครั้งนี้เราจะนำเสนอเกี่ยวกับการระบาดพร้อมกันดังกล่าว โดยจะไปดูกันว่าสิ่งที่เราควรระวังในการป้องกันความเป็นไปได้เช่นว่านี้คืออะไร

ทั้งโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่ต่างก็เป็นโรคติดเชื้อที่ส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจเสียเป็นส่วนมาก และเส้นทางการติดเชื้อก็คล้ายคลึงกัน ด้วยเหตุนี้การดำเนินมาตรการเชิงป้องกันสำหรับโรคทั้งสองนี้ จึงไม่แตกต่างกันมากนัก

ประการแรก ขอแนะนำให้ฆ่าเชื้อโรคที่มือและนิ้วของคุณและสวมหน้ากากอนามัยในกรณีที่คุณอยู่ภายในอาคารและพูดคุยกับผู้อื่นในระยะใกล้ ส่วนสถานที่ต่าง ๆ เช่น ร้านอาหารและบาร์ ควรทำให้อากาศถ่ายเทอยู่ตลอด ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก

ประการที่สอง ควรงดเว้นจากการไปโรงเรียนหรือไปทำงาน และพยายามเลี่ยงการติดต่อใกล้ชิดกับผู้อื่น เมื่อคุณมีไข้และอาการอื่น ๆ และการพักผ่อนอย่างเพียงพอถือเป็นสิ่งสำคัญมากด้วย

ผู้เชี่ยวชาญขอให้ผู้คนดำเนินมาตรการพื้นฐานเชิงป้องกันไว้ก่อน โดยพยายามควบคุมการแพร่ระบาดในกรณีที่เกิดการระบาดพร้อมกันของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่และไข้หวัดใหญ่

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 2 พฤศจิกายน 2565)

ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญเรื่องการปกป้องตัวเองจากการระบาดพร้อมกันของโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่

บรรดาผู้เชี่ยวชาญแสดงความกังวลเกี่ยวกับการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่กับไข้หวัดใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นพร้อมกันในฤดูหนาวนี้ ครั้งนี้เราจะนำเสนอความเห็นของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับว่า เราสามารถปกป้องตัวเองจากการระบาดพร้อมกันเช่นว่านี้ด้วยการเข้ารับวัคซีนได้อย่างไร

เป็นที่ทราบกันว่าทั้งวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่และวัคซีนไข้หวัดใหญ่มีประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อ ถึงแม้ว่าผู้ที่รับวัคซีนแล้วจะติดเชื้อ แต่วัคซีนก็จะช่วยลดความเสี่ยงลงได้อย่างมากในการเกิดอาการหนัก

เราได้สอบถามศาสตราจารย์โอซากะ เค็น จากมหาวิทยาลัยโทโฮกุ ซึ่งเป็นสมาชิกของคณะผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่น เขากล่าวว่าไม่มีปัญหาในการเข้ารับวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่และวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในเวลาเดียวกัน และว่าสถาบันทางการแพทย์บางแห่งฉีดวัคซีนทั้งสองในเวลาเดียวกัน และเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องเข้ารับวัคซีนทั้งสองนี้ก่อนที่จะถึงฤดูหนาว เขาได้ขอให้ทุกคนไปเข้ารับวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เข็มกระตุ้นเข็มที่ 3 หรือ 4 และวัคซีนไข้หวัดใหญ่

ด้านคุณวากิตะ ทากาจิ หัวหน้าคณะทำงานของกระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่นระบุว่า เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องผลักดันการฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่พุ่งเป้ายังโอไมครอนให้มีความคืบหน้า ตลอดจนวัคซีนไข้หวัดใหญ่ด้วย เขากล่าวว่าการทำเช่นนี้ จะช่วยลดการแพร่เชื้อลงให้เหลือน้อยที่สุดและจำกัดจำนวนผู้ป่วยที่จะกลายเป็นผู้ป่วยหนักได้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2565)

ควรทำอย่างไรเมื่อมีไข้ในช่วงที่อาจเกิดการระบาดพร้อมกันระหว่างโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่

บรรดาผู้เชี่ยวชาญแสดงความกังวลเกี่ยวกับการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่กับไข้หวัดใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นพร้อมกันในฤดูหนาวนี้ ครั้งนี้เราจะนำเสนอเกี่ยวกับว่าควรทำอย่างไรเมื่อมีไข้ในช่วงที่เกิดการระบาดพร้อมกันดังกล่าว

เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม รัฐบาลญี่ปุ่นจัดทำชุดคำแนะนำว่าควรทำอย่างไรเมื่อรู้สึกไม่สบาย เช่น มีไข้ โดยแนะนำให้ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงว่าจะเกิดอาการหนัก ไปพบแพทย์ที่คลินิกไข้หรือแพทย์ประจำบ้านโดยทันที เช่น เด็กอายุไม่เกิน 12 ปี, หญิงตั้งครรภ์, ผู้ที่มีโรคประจำตัว และผู้สูงอายุ โดยขอให้เข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่และไข้หวัดใหญ่ จากนั้นก็เข้ารับการรักษาที่เหมาะสมโดยขึ้นอยู่กับผลการตรวจ เช่น รับใบสั่งยาสำหรับยาที่จำเป็น

อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่ำว่าจะเกิดอาการหนัก เช่น กลุ่มคนอายุน้อยลงมา ขอแนะนำให้ใช้ชุดตรวจแอนติเจนที่ได้รับการรับรองจากรัฐบาล เพื่อตรวจหาเชื้อที่บ้านหรือที่อื่น ๆ เพื่อยืนยันว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่หรือไม่ หากผลการตรวจเป็นลบ ก็ขอให้เข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผ่านทางโทรศัพท์หรือทางออนไลน์ หรือจากแพทย์ประจำบ้าน และรับใบสั่งยาสำหรับยาต้านไข้หวัดใหญ่หากจำเป็น

หากผลการตรวจเป็นบวก ขอแนะนำให้แจ้งไปยังศูนย์ติดตามด้านสาธารณสุขและพักรักษาตัวที่บ้าน หากอาการย่ำแย่ลงและต้องการพบแพทย์ ก็ขอแนะนำให้ไปยังคลินิกไข้หรือพบแพทย์ประจำบ้านของคุณ

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เตรียมชุดตรวจหาเชื้อและยาลดไข้ไว้ให้พร้อม เพื่อที่จะได้รักษาอาการไข้ด้วยตนเองได้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2565)

สถานการณ์แบบใดที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหากเกิดการระบาดพร้อมกันระหว่างโควิด-19 กับไข้หวัดใหญ่

มีความกังวลเกี่ยวกับการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่กับไข้หวัดใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นพร้อมกันในญี่ปุ่น ครั้งนี้เราจะไปดูกันว่าสถานการณ์แบบใดที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหากเกิดการระบาดพร้อมกันเช่นว่านี้

ญี่ปุ่นเผชิญการระบาดระลอกที่ 7 ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงกันยายนปีนี้ โดยระลอกนี้ถือเป็นครั้งใหญ่ที่สุดนับจนถึงปัจจุบัน โดยมีผู้ป่วยเกือบ 12 ล้านคนและราว 13,500 คนเสียชีวิต ขณะที่สถาบันโรคติดเชื้อแห่งชาติของญี่ปุ่นประมาณว่าในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปลายปี 2561 ถึงใบไม้ผลิต้นปี 2562 มีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ประมาณ 12 ล้านคน

ในช่วงที่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ระบาดระลอกที่ 7 สถาบันการแพทย์ที่มีสถานที่สำหรับผู้ป่วยนอกซึ่งรองรับคนที่มีไข้นั้น มีผู้ป่วยหนาแน่นมาก ทำให้เป็นการยากที่ผู้คนจะติดต่อสถาบันทางการแพทย์และศูนย์สาธารณสุข ในหลายพื้นที่ เป็นการยากที่จะได้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล แม้กระทั่งผู้ที่มีความเสี่ยงว่าจะป่วยหนัก ก็พบความยากลำบากที่จะนำตัวส่งโรงพยาบาลฉุกเฉิน

คณะผู้เชี่ยวชาญกังวลว่า หากเกิดการระบาดขึ้นพร้อมกันระหว่างโควิด-19 กับไข้หวัดใหญ่ สถานการณ์แบบเดียวกันนี้หรืออาจจะเลวร้ายกว่านั้นอาจเกิดขึ้นได้

โควิด-19 กับไข้หวัดใหญ่มีอาการคล้ายคลึงกัน เช่น มีไข้สูง, ไอ, เจ็บคอ และปวดตามข้อ กล่าวกันว่าเป็นการยากที่จะจำแนกอาการได้หากไม่ตรวจผู้ป่วย คาดว่าผู้ป่วยที่มีไข้จะคลาคล่ำเต็มสถานที่สำหรับผู้ป่วยนอกเพื่อเข้ารับการวินิจฉัย และทำให้บริการด้านการแพทย์ต้องรับภาระหนัก

ศาสตราจารย์ทาเตดะ คาซูฮิโระจากมหาวิทยาลัยโทโฮ ซึ่งเป็นสมาชิกของคณะที่ปรึกษาด้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของรัฐบาลญี่ปุ่นกล่าวว่า ทางการควรคาดเอาไว้ว่าจะเกิดสถานการณ์เลวร้ายที่สุดขึ้น โดยสถานที่สำหรับผู้ป่วยนอกจะมีผู้คนหนาแน่นเสียยิ่งกว่าตอนที่เคยเกิดขึ้นในช่วงการระบาดระลอกที่ 7

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 28 ตุลาคม 2565)

ทำไมผู้เชี่ยวชาญจึงคาดว่าฤดูหนาวนี้จะเกิดการระบาดพร้อมกันระหว่างโควิด-19 กับไข้หวัดใหญ่ในญี่ปุ่น

มีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่กับไข้หวัดใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นพร้อมกัน ครั้งนี้เราจะอธิบายว่าทำไมถึงคิดว่าจะเกิดการระบาดพร้อมกันเช่นนี้

บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อซึ่งคาดว่าญี่ปุ่นจะเผชิญการระบาดของไข้หวัดใหญ่ครั้งแรกในรอบ 3 ปี ให้เหตุผลดังต่อไปนี้

ประการแรก สหรัฐ ยุโรป และอีกหลายประเทศได้เริ่มกลับมาเปิดประเทศแล้วและผ่อนคลายข้อจำกัดเรื่องโรคโควิด-19 ตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ผลิต้นปีจนถึงกลางปี 2565 ด้วยเหตุนี้ การเดินทางระหว่างประเทศจึงคึกคักมากยิ่งขึ้น

ส่วนญี่ปุ่นก็ผ่อนคลายข้อจำกัดด้านการเดินทางเข้าประเทศลงอย่างมากในเดือนตุลาคม การเดินทางเข้าญี่ปุ่นมากขึ้นอาจมีแนวโน้มที่จะเอื้อให้เกิดการระบาดทั้งไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่และไข้หวัดใหญ่

ประการที่ 2 ญี่ปุ่นไม่ได้เผชิญการระบาดครั้งใหญ่ของไข้หวัดใหญ่เลยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ไม่มีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสไข้หวัดใหญ่

เอกสารที่ออกโดยคณะผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า การที่ผู้คนมีระดับสารภูมิต้านทานต่ำ อาจนำไปสู่การระบาดของไข้หวัดใหญ่ครั้งรุนแรงได้

ด้วยเหตุผลที่กล่าวมานี้ ไข้หวัดใหญ่อาจระบาดในญี่ปุ่นช่วงฤดูหนาวนี้ พร้อมด้วยการระบาดของโควิด-19 ระลอกที่ 8 ที่อาจเกิดขึ้นได้

อย่างไรก็ตาม ผู้คนในญี่ปุ่นยังไม่ได้มีการติดต่อสัมพันธ์กันแบบใกล้ชิดเต็มที่เหมือนระดับก่อนการระบาดใหญ่ จึงมีความเป็นไปได้ว่าสถานการณ์อาจไม่รุนแรงเท่ากับฤดูกาลที่ผ่าน ๆ มา

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 27 ตุลาคม 2565)

ทำไมช่วง 2 ปีที่ผ่านจึงไม่เกิดการระบาดพร้อมกันของโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่ในญี่ปุ่น

ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อกำลังแสดงความกังวลเกี่ยวกับการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่กับไข้หวัดใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นพร้อมกันในช่วงฤดูหนาวนี้ที่ญี่ปุ่น ในช่วงฤดูหนาวของ 2 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่เกิดการระบาดใหญ่ขึ้น ไม่มีรายงานการระบาดพร้อมกันของโรคโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่ เราจะมาวิเคราะห์กันดูว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

ก่อนเกิดการระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ญี่ปุ่นเกิดการระบาดของไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลทุกฤดูหนาว เจ้าหน้าที่สาธารณสุขประเมินว่ามีผู้ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ 10-20 ล้านคนในแต่ละปี

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวลดลงอย่างมากหลังการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ สถาบันโรคติดเชื้อแห่งชาติของญี่ปุ่นระบุว่า จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่อยู่ที่ประมาณ 14,000 คนในช่วงฤดูหนาวปี 2563 ถึงต้นปี 2564 และราว 3,000 คนในช่วงฤดูหนาวของปีนี้ ข้อมูลนี้อิงจากรายงานของสถาบันทางการแพทย์ประมาณ 5,000 แห่งทั่วประเทศ

ปกติแล้ว ไข้หวัดใหญ่ระบาดในญี่ปุ่นช่วงฤดูหนาว แต่ในพื้นที่ที่มีคนอยู่อาศัยหนาแน่นในเขตร้อนหรือในภูมิภาคกึ่งโซนร้อนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และกลุ่มประเทศในแอฟริกานั้น การระบาดของไข้หวัดใหญ่พบเห็นได้ตลอดทั้งปี

คาดว่าไวรัสไข้หวัดใหญ่แพร่ไปยังประเทศอื่น ๆ ตามการเดินทางข้ามพรมแดนของผู้คน และทำให้เกิดการระบาดในญี่ปุ่นช่วงฤดูหนาวเนื่องจากสภาพอากาศตามฤดูกาลเอื้อให้ไวรัสแพร่ระบาดได้โดยง่าย

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าการระบาดของไข้หวัดใหญ่ไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงฤดูหนาว 2 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากข้อจำกัดด้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เช่น การควบคุมเรื่องการเดินทางเข้าประเทศและการเว้นระยะห่างทางสังคม

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 26 ตุลาคม 2565)

กำหนดการฉีดวัคซีนสำหรับวัคซีนที่พุ่งเป้ายังสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอน

ในเดือนตุลาคม ญี่ปุ่นเริ่มฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่พุ่งเป้าไปยังสายพันธุ์ย่อย BA.5 ของโอไมครอน แต่ขณะเดียวกัน ก็ฉีดวัคซีนที่พุ่งเป้าไปยังสายพันธุ์ย่อย BA.1 ของโอไมครอนด้วย เราจะนำเสนอข้อมูลเรื่องการฉีดวัคซีนที่ใช้วัคซีน 2 แบบนี้ โดยจะมุ่งเน้นไปที่กำหนดการฉีดวัคซีน

ผู้ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไปทุกคนที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 ซึ่งเป็นวัคซีนแบบเดิมมาอย่างน้อย 3 เดือนแล้ว มีสิทธิที่จะได้รับวัคซีนที่พุ่งเป้าไปยังสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอน กระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่นประเมินว่ามีผู้คนประมาณ 100 ล้านคนที่มีสิทธิเข้ารับวัคซีนแบบใหม่ภายในปีนี้

ทางกระทรวงมีแผนที่จะแจกจ่ายวัคซีนประมาณ 99 ล้านขนาดยา อันประกอบด้วยวัคซีนไฟเซอร์สำหรับ BA.1 และ BA.5 และวัคซีนโมเดอร์นาสำหรับ BA.1 ให้แก่ทางการท้องถิ่นทั่วญี่ปุ่นภายในปลายเดือนพฤศจิกายน

นอกจากนี้ จะมีการสงวนวัคซีนโมเดอร์นาสำหรับ BA.1 ไว้จำนวน 5,000,000 ขนาดยาแบบแยกต่างหาก เพื่อจัดฉีดให้ตามสถานที่ทำงาน

ส่วนการเตรียมพร้อมสำหรับการระบาดระลอกที่ 8 ที่อาจเกิดขึ้นช่วงวันหยุดยาวส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นั้น ทางกระทรวงระบุว่าจะทำให้มั่นใจว่าประชาชนทุกคนที่ต้องการเข้ารับวัคซีนจะได้รับวัคซีนโดยไม่ผิดหวัง

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 24 ตุลาคม 2565)

วัคซีน 2 แบบที่พุ่งเป้ายังสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอน แบบไหนมีประสิทธิผลมากกว่า

ในเดือนตุลาคม ญี่ปุ่นเริ่มฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่พุ่งเป้าไปยังสายพันธุ์ย่อย BA.5 ของโอไมครอน แต่ขณะเดียวกัน ก็ฉีดวัคซีนที่พุ่งเป้าไปยังสายพันธุ์ย่อย BA.1 ของโอไมครอนด้วย เราจะนำเสนอข้อมูลเรื่องการฉีดวัคซีนที่ใช้วัคซีน 2 แบบนี้

วัคซีนแบบไหนที่คุณควรเข้ารับ วัคซีนที่พุ่งเป้ายัง BA.5 หรือ BA.1 กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่นระบุว่าวัคซีนทั้งสองมีสารประกอบของโอไมครอน และว่าวัคซีนเหล่านี้มีประสิทธิผลต่อไวรัสสายพันธุ์ย่อยดังกล่าวสูงกว่ามากเมื่อเทียบกับวัคซีนก่อนหน้านี้ เชื่อกันว่าบรรดาวัคซีนล่าสุดนี้จะมีประสิทธิผลต่อไวรัสกลายพันธุ์ในอนาคตด้วย

ทางกระทรวงเสริมว่าเนื่องจากในปัจจุบัน ยังไม่มีข้อมูลที่เปรียบเทียบประสิทธิผลของวัคซีนทั้งสองนี้ ดังนั้น ประชาชนควรเข้ารับวัคซีนใดก็ได้ที่มีอยู่จากทั้ง 2 แบบดังกล่าว ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ศาสตราจารย์นากายามะ เท็ตสึโอะ จากมหาวิทยาลัยคิตาซาโตะ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีนระบุว่า “บรรดาวัคซีนล่าสุดนี้มีประสิทธิผลมากกว่า ในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ย่อย BA.5 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ระบาดอยู่ในปัจจุบัน ตลอดจนสามารถป้องกันไม่ให้ผู้ติดเชื้อเกิดอาการต่าง ๆ ความแตกต่างระหว่างสายพันธุ์ย่อย BA.5 กับ BA.1 นั้น ไม่ได้มีนัยสำคัญมากเท่ากับความแตกต่างระหว่างไวรัสแบบเดิมกับไวรัสกลายพันธุ์ทั้งหลายก่อนหน้านี้ วัคซีนที่พุ่งเป้าไปยังสายพันธุ์ย่อย BA.1 มีประสิทธิผลในการป้องกันไม่ให้อาการย่ำแย่ลง ถ้าคุณจองเข้ารับวัคซีนที่พุ่งเป้าไปยังสายพันธุ์ย่อย BA.1 แล้ว ก็ควรเดินหน้าและไปเข้ารับวัคซีน”

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 21 ตุลาคม 2565)

วัคซีน 2 แบบที่พุ่งเป้ายังสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอน

ในเดือนตุลาคม ญี่ปุ่นเริ่มฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่พุ่งเป้าไปยังสายพันธุ์ย่อย BA.5 ของโอไมครอน แต่ขณะเดียวกัน ก็ฉีดวัคซีนที่พุ่งเป้าไปยังสายพันธุ์ย่อย BA.1 ของโอไมครอนด้วยเช่นกัน เราจะนำเสนอข้อมูลเรื่องการฉีดวัคซีนที่ใช้วัคซีน 2 แบบนี้

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่นกำลังขอให้ทางการท้องถิ่นซึ่งดำเนินการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชน ใช้วัคซีนที่ใกล้จะถึงวันหมดอายุก่อน ซึ่งหมายความว่า เมื่อวัคซีนที่พุ่งเป้าไปยังสายพันธุ์ย่อย BA.5 ถูกจัดส่งไปยังสถานที่ฉีดวัคซีนในขณะที่สถานที่ดังกล่าวยังมีวัคซีนที่พุ่งเป้ายังสายพันธุ์ย่อย BA.1 สำรองไว้อยู่นั้น จะมีการขอให้แพทย์ผู้ฉีดวัคซีนใช้วัคซีนอย่างหลังที่ใกล้จะถึงวันหมดอายุก่อน เพื่อไม่ให้วัคซีนเสียเปล่า

คำถามก็คือ ผู้ที่ไปเข้ารับวัคซีนจะสามารถเลือกวัคซีนที่ตนจะเข้ารับได้หรือไม่

กระทรวงสาธารณสุขได้แจ้งต่อทางการท้องถิ่นว่า ขึ้นอยู่กับทางการท้องถิ่นว่าจะแจ้งผู้ที่จองมาเข้ารับวัคซีนว่าจะได้วัคซีนแบบไหน หรือไม่แจ้ง อย่างไรก็ตาม ทางกระทรวงได้เน้นย้ำว่า จากแผนการฉีดวัคซีนของตน ทางการท้องถิ่นแต่ละแห่งจะได้รับวัคซีนที่เพียงพอสำหรับฉีดให้แก่ผู้อยู่อาศัย และยอดรวมของวัคซีนดังกล่าวมาจากวัคซีนที่พุ่งเป้ายัง BA.1 กับวัคซีนที่พุ่งเป้ายัง BA.5 รวมกัน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 20 ตุลาคม 2565)

จุดยืนของรัฐบาลญี่ปุ่นที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงระบบการรายงานผู้ติดเชื้อที่ยุ่งยากน้อยลง

ที่ญี่ปุ่นนั้น ระบบการรายงานผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ยุ่งยากน้อยลงมีผลในทางปฏิบัติทั่วประเทศเมื่อวันที่ 26 กันยายน เราจะนำเสนอว่าระบบดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรและอาจมีข้อกังวลเกี่ยวกับอะไรบ้าง โดยครั้งนี้จะมุ่งเน้นเรื่องจุดยืนของรัฐบาลญี่ปุ่นที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว

นายคาโต คัตสึโนบุ รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่น กล่าวเกี่ยวกับข้อดีและข้อเสียของระบบการรายงานผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ยุ่งยากน้อยลง โดยระบุว่า “ทางการท้องถิ่นที่ใช้ระบบนี้ก่อนที่อื่นได้รายงานว่าภาระต่อระบบดูแลสาธารณสุขของตนน้อยลงไป แต่อีกแง่หนึ่งก็คือ ระบบใหม่นี้ได้ตัดความจำเป็นในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสภาพร่างกายและเบอร์โทรศัพท์ติดต่อของผู้ติดเชื้อ เมื่อไม่มีข้อมูลเหล่านี้ ก็อาจทำให้ใช้เวลามากขึ้นในการให้การรักษาอย่างเหมาะสมหรือการดำเนินการเพื่อเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเมื่ออาการของผู้ป่วยย่ำแย่ลง”

นายคาโตกล่าวว่ากระทรวงของตนจะดำเนินงานร่วมกับทางการท้องถิ่นและปรับปรุงระบบนี้หากจำเป็น เพื่อทำให้การใช้มาตรการต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็นไปอย่างราบรื่น

นายยามางิวะ ไดชิโร รัฐมนตรีที่รับผิดชอบมาตรการไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่กล่าวว่า ญี่ปุ่นอาจเผชิญกับการระบาดระลอกที่ 8 ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว เขาเตือนว่าในช่วงดังกล่าว อาจเกิดการระบาดพร้อมกันระหว่างไวรัสไข้หวัดใหญ่กับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เขาขอให้เตรียมการอย่างระมัดระวังเพื่อรับประกันว่าจะจัดการได้อย่างเหมาะสมหากเกิดสถานการณ์นี้ขึ้นมา และว่า “จำเป็นที่จะต้องหารือกันอย่างถี่ถ้วนว่าควรทำอะไรและกำหนดแผนการที่เป็นรูปธรรม” และเสริมว่าตนจะปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญและพิจารณาผลกระทบต่อสังคมไปพร้อมกับการเดินหน้าเรื่องนี้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 7 ตุลาคม 2565)

ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าเป็นไปได้สูงที่จะเกิดการระบาดพร้อมกันระหว่างโควิด-19 กับไข้หวัดใหญ่ในฤดูหนาวนี้

ที่ญี่ปุ่นนั้น จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่รายใหม่ต่อวันลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ฤดูร้อนปีนี้ เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม ข้อจำกัดเรื่องพรมแดนเพื่อต้านไวรัสนี้ได้ผ่อนคลายลงอย่างมาก โครงการอุดหนุนการท่องเที่ยวของรัฐบาลเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวทั่วประเทศก็เริ่มแล้วเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อกำลังแสดงความกังวลเกี่ยวกับการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่กับไข้หวัดใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นพร้อมกันในช่วงฤดูหนาวนี้ เราจะนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับว่าสถานการณ์ใดที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและจะรับมืออย่างไร ตลอดจนมาตรการของรัฐบาลเพื่อการรับมือต่อสถานการณ์ดังกล่าว

ในช่วงฤดูหนาวของ 2 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่เกิดการระบาดใหญ่ขึ้น ไม่มีรายงานการระบาดพร้อมกันของโรคโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่ ถ้าเช่นนั้นแล้ว ความแตกต่างระหว่างฤดูหนาวในปี 2565 กับฤดูหนาวในปีก่อน ๆ คืออะไร

เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่เป็นผู้นำความพยายามรับมือการระบาดใหญ่ได้ร่วมกันยื่นเอกสารเกี่ยวกับแนวโน้มของการระบาด ต่อคณะผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่น เอกสารระบุว่ามีความเป็นไปได้สูงที่การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จะแพร่ออกไปพร้อมกับการระบาดของไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ในช่วง 6 เดือนระหว่างตุลาคมถึงมีนาคมปี 2566

ด้านคณะผู้เชี่ยวชาญจึงตอบรับด้วยการชี้ว่า พวกตนจำเป็นต้องกำหนดมาตรการเพื่อรับมือกับการระบาดที่อาจเกิดขึ้นพร้อมกันนี้

เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม คณะที่ปรึกษาด้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของรัฐบาลญี่ปุ่นได้รวบรวมชุดมาตรการเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการระบาดพร้อมกันของโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่

มาตรการดังกล่าวอิงจากสมมติฐานที่ว่า ยอดติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่รายวันอาจแตะ 450,000 คน และจำนวนของผู้ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่อาจสูงถึง 300,000 คนต่อวัน โดยมียอดรวมสูงสุดต่อวันที่ 750,000 คน


(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 25 ตุลาคม 2565)

ความกังวลของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการเปลี่ยนระบบการรายงานผู้ติดเชื้อให้ยุ่งยากน้อยลง

ที่ญี่ปุ่นนั้น ระบบการรายงานผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ยุ่งยากน้อยลงมีผลในทางปฏิบัติทั่วประเทศเมื่อวันที่ 26 กันยายน เราจะนำเสนอว่าระบบดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรและอาจมีข้อกังวลเกี่ยวกับอะไรบ้าง โดยครั้งนี้เป็นเรื่องความกังวลของผู้เชี่ยวชาญว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้เป็นการยากที่จะวิเคราะห์สถานการณ์การติดเชื้อโดยละเอียด

ก่อนการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ข้อมูลของผู้ติดเชื้อทุกคน เช่น ที่อยู่ ช่วงที่เริ่มเกิดอาการต่าง ๆ และเส้นทางการติดเชื้อที่อาจเป็นไปได้นั้น จะถูกบันทึกลงในฐานข้อมูลที่ชื่อ HER-SYS ของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่น

ผู้เชี่ยวชาญใช้ข้อมูลนี้ในการวิเคราะห์รายละเอียด เช่น ยอดติดเชื้อสูงสุดอยู่ที่ไหน เส้นทางการติดเชื้อโดยรวม และไวรัสนี้แพร่ระบาดเร็วแค่ไหนในแต่ละภูมิภาค รัฐบาลญี่ปุ่นกำหนดมาตรการด้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่โดยอิงจากการวิเคราะห์นี้

อย่างไรก็ตาม ในจังหวัดที่ใช้ระบบการรายงานผู้ติดเชื้อที่ยุ่งยากน้อยลงก่อนที่จะเริ่มใช้กันทั่วประเทศนั้น จำนวนผู้ติดเชื้อที่บันทึกเข้าฐานข้อมูลมีน้อยลงมากจากจำนวนจริงของผู้ที่ตรวจพบว่าติดเชื้อ

ศาสตราจารย์นิชิอูระ ฮิโรชิ จากมหาวิทยาลัยเกียวโต วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่มาอย่างต่อเนื่อง เขากล่าวว่าสิ่งนี้ทำให้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะวิเคราะห์ค่าเฉลี่ยที่ผู้ป่วย 1 คนจะแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้อย่างทันท่วงที และว่าเขาจะไม่สามารถวิเคราะห์ประสิทธิผลของมาตรการต้านการติดเชื้อได้อีกต่อไป รวมถึงเรื่องที่ว่าการไปไหนมาไหนที่เปลี่ยนไปของผู้คนนั้นส่งผลต่อสถานการณ์การติดเชื้ออย่างไร

ศาสตราจารย์นิชิอูระยังชี้ด้วยว่าจะไม่มีการรายงานเรื่องบันทึกการฉีดวัคซีนของผู้ติดเชื้ออีกต่อไปภายใต้ระบบที่ยุ่งยากน้อยลงนี้ ส่งผลให้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะศึกษาประสิทธิผลของวัคซีนและสัดส่วนของผู้คนที่มีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสนี้ เขากล่าวว่านี่อาจกระทบต่อการตัดสินใจเรื่องระยะเวลาที่เหมาะสมในการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น

ศาสตราจารย์นิชิอูระกล่าวว่าจำเป็นต้องรวบรวมข้อมูลหลายระดับและหารือกันว่าการประเมินความเสี่ยงแบบใดที่จะเป็นไปได้จากข้อมูลดังกล่าว

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 6 ตุลาคม 2565)

การรับมือต่อการระบาดใหญ่ของรัฐบาลญี่ปุ่นนั้นเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง

ที่ญี่ปุ่นนั้น ระบบการรายงานผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ยุ่งยากน้อยลงมีผลในทางปฏิบัติทั่วประเทศเมื่อวันที่ 26 กันยายน เราจะนำเสนอว่าระบบดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรและอาจมีข้อกังวลเกี่ยวกับอะไรบ้าง โดยครั้งนี้จะไปดูกันว่าการรับมือต่อการระบาดใหญ่ของรัฐบาลญี่ปุ่นนั้นเปลี่ยนไปอย่างไรในช่วงที่ผ่านมา

รัฐบาลญี่ปุ่นได้เปลี่ยนนโยบายเกี่ยวกับการระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ตามการเปลี่ยนแปลงของไวรัสกลายพันธุ์ที่แพร่ระบาดหลักและลักษณะของไวรัสนั้น ตลอดจนความคืบหน้าในการฉีดวัคซีน โดยนโยบายที่เปลี่ยนไปของรัฐบาลนั้นมีทั้งการอนุญาตให้ผู้ที่ไม่มีอาการสามารถพักรักษาตัวที่บ้านได้ รวมถึงการทบทวนข้อจำกัดต่าง ๆ ในการออกไปข้างนอกของผู้คนและการทำธุรกิจทั้งหลาย ในยามที่สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป

ตอนที่ไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนกลายเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดในญี่ปุ่น รัฐบาลได้ตัดสินใจที่จะไม่บังคับใช้ข้อจำกัดใหม่ เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญพบว่าเมื่อเป็นสายพันธุ์นี้ กลุ่มคนอายุน้อยมีความเสี่ยงต่ำที่จะเกิดอาการหนักและการระบาดเกิดขึ้นที่บ้าน โรงเรียน และสถานที่สำหรับผู้สูงอายุเสียเป็นส่วนมาก ไม่ใช่ตามร้านอาหารและบาร์ ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงเลือกที่จะพุ่งเป้าไปยังการป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดเพิ่มเติม ขณะเดียวกันก็ทำให้กิจกรรมทางสังคมและเศรษฐกิจยังดำเนินต่อไปได้

นับจากนั้นเป็นต้นมา ญี่ปุ่นได้เริ่มฉีดวัคซีนโดยใช้วัคซีนที่พุ่งเป้าไปยังโอไมครอนและหลายประเทศทั่วโลกก็ทยอยฟื้นฟูกิจกรรมทางสังคมและเศรษฐกิจสู่ระดับก่อนการระบาดใหญ่ ความเคลื่อนไหวเหล่านี้ทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นปรับระบบการรายงานผู้ติดเชื้อเพื่อลดความยุ่งยากลง และมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรทางการแพทย์กับผู้สูงอายุและกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงสูง รวมถึงการลดระยะเวลากักตัวของผู้ป่วยและผ่อนคลายข้อจำกัดการเดินทางเข้าญี่ปุ่นให้แก่นักท่องเที่ยวจากต่างชาติ

รัฐบาลญี่ปุ่นระบุว่ามีแผนที่จะคงกิจกรรมทางสังคมและเศรษฐกิจในระดับปัจจุบันเอาไว้ ขณะเดียวกันก็จะทำให้สถานที่ด้านสาธารณสุขและการแพทย์ของประเทศดำเนินการต่อไปได้ แม้ว่าจะเกิดการแพร่ระบาดอีกครั้งก็ตาม โดยจะทบทวนนโยบายต้านการติดเชื้อสำหรับยุคสมัยที่ต้องอยู่ร่วมกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ต่อไป พร้อมกับพิจารณาความเห็นของผู้เชี่ยวชาญและสถานการณ์การติดเชื้อทั่วโลก

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 5 ตุลาคม 2565)

ระบบการรายงานผู้ติดเชื้อที่ยุ่งยากน้อยลงจะช่วยบรรเทาภาระด้านสาธารณสุขได้หรือไม่

เราจะนำเสนอว่าระบบการรายงานผู้ติดเชื้อเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรและอาจมีข้อกังวลเกี่ยวกับอะไรบ้าง โดยครั้งนี้เราได้สอบถามหัวหน้าศูนย์สาธารณสุขแห่งหนึ่งในกรุงโตเกียวว่าระบบใหม่นี้จะช่วยบรรเทาภาระของสถาบันทางการแพทย์และศูนย์สาธารณสุขต่าง ๆ ได้หรือไม่

คุณมาเอดะ ฮิเดโกะ หัวหน้าศูนย์สาธารณสุขของเขตคิตะในกรุงโตเกียวซึ่งเป็นสมาชิกของคณะผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของรัฐบาลญี่ปุ่นด้วยระบุว่า ในการแพร่ระบาดระลอกที่ 7 มีหลายคนติดเชื้อแต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถไปพบแพทย์ได้ เขากล่าวว่าหนึ่งในข้อดีของการทำให้ระบบรายงานผู้ติดเชื้อยุ่งยากน้อยลงนั้นก็คือผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัวจะสามารถไปคลินิกและโรงพยาบาลได้ง่ายขึ้น

ส่วนเรื่องภาระที่ศูนย์สาธารณสุขต่าง ๆ ต้องแบกรับนั้น คุณมาเอดะระบุว่าปริมาณงานทั่วไปจะลดลงไปอย่างมาก แต่เขากล่าวว่าเนื่องจากไม่ต้องกรอกรายละเอียดของผู้ติดเชื้อที่มีอาการเล็กน้อยอีกต่อไป ทางศูนย์สาธารณสุขจึงต้องดำเนินงานที่ซับซ้อนเพื่อตรวจสอบรายละเอียด เมื่ออาการของกลุ่มคนเหล่านี้ย่ำแย่ลงและต้องการความช่วยเหลือ เขากล่าวว่าด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าปริมาณงานลดลงไปแล้วจริง ๆ

ภายใต้ระบบที่ยุ่งยากน้อยลง ผู้ติดเชื้อที่ไม่มีรายงานแบบลงรายละเอียดนั้น สามารถลงทะเบียนกับ “ศูนย์ติดตามด้านสาธารณสุข” ได้ หากอาการของผู้ลงทะเบียนย่ำแย่ลงขณะพักอยู่ที่บ้าน ก็สามารถติดต่อและปรึกษากับทางศูนย์ได้และจะถูกส่งต่อไปยังสถาบันทางการแพทย์

ที่กรุงโตเกียวนั้น ผู้ที่มีอายุ 64 ปีหรือต่ำกว่านั้นซึ่งตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ สามารถลงทะเบียนผ่านทางออนไลน์กับระบบของทางการกรุงโตเกียวเพื่อขอรับความช่วยเหลือได้ แต่คุณมาเอดะระบุว่าผู้ที่พบปัญหาในการติดต่อสื่อสารทางออนไลน์ สามารถติดต่อและมายังสถาบันทางการแพทย์หรือคลินิกไข้ได้โดยไม่ต้องลังเล

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 4 ตุลาคม 2565)

การตรวจติดตามผู้ที่มีอาการเล็กน้อยหรือไม่มีอาการ

ระบบที่ลดความยุ่งยากลงในการรายงานผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่มีผลเมื่อวันที่ 26 กันยายน เราจะนำเสนอว่าระบบรายงานดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรและอาจมีข้อกังวลเกี่ยวกับอะไรบ้าง โดยจะมุ่งเน้นยังเรื่องที่ว่าทางการมีแผนจะตรวจติดตามผู้ที่มีอาการเล็กน้อยหรือไม่มีอาการอย่างไร

ภายใต้ระบบที่ลดความซับซ้อนลง ผู้ที่มีอาการเล็กน้อยหรือไม่มีอาการซึ่งตรวจพบเชื้อด้วยตนเองจะสามารถลงทะเบียนกับ “ศูนย์ติดตามด้านสาธารณสุข” ได้ และเริ่มพักรักษาตัวที่บ้านโดยไม่ต้องเข้ารับคำปรึกษากับสถาบันทางการแพทย์

กลุ่มคนเหล่านี้จะได้รับความช่วยเหลือ เช่น ที่พักที่ไม่ใช่บ้านของตนเอง หรือการจัดส่งอาหารให้ พวกเขาสามารถติดต่อหรือปรึกษากับศูนย์ติดตามด้านสาธารณสุข หากอาการแย่ลงขณะที่พักรักษาตัวที่บ้าน โดยจะมีการส่งตัวไปยังสถาบันทางการแพทย์โดยตรง

เนื่องจากศูนย์สาธารณสุขไม่สามารถจะเฝ้าติดตามดูแลอาการของผู้ติดเชื้อได้เหมือนเมื่อก่อน ทางการเลยเพิ่มความพยายามที่จะเชื่อมต่อผู้ป่วยกับสถาบันทางการแพทย์โดยเร็ว ถ้าอาการของผู้ป่วยย่ำแย่ลงขณะอยู่ที่บ้าน

ทางการเผชิญความท้าทายเรื่องการเผยแพร่ข้อมูลการติดต่อให้แก่ศูนย์ติดตามด้านสาธารณสุขและสถานที่ที่ให้ความช่วยเหลืออื่น ๆ ตลอดจนเรื่องการส่งเสริมมาตรการป้องกันการติดเชื้อ เช่น การขอให้ผู้คนแยกกักตัว

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่นชี้ว่า การผ่อนคลายข้อจำกัดสำหรับการรายงานผู้ติดเชื้อแบบละเอียดนั้นจะทำให้การระบุการติดเชื้อแบบเป็นกลุ่มนั้นเป็นเรื่องยาก ทางกระทรวงขอให้จังหวัดต่าง ๆ ดำเนินการต่อไปเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสนี้ตามสถานที่พยาบาลดูแลผู้สูงอายุและสถาบันอื่น ๆ ที่มีความเสี่ยงสูง

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 3 ตุลาคม 2565)

แผนการสำหรับติดตามจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่

ระบบที่ลดความยุ่งยากลงในการรายงานผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่มีผลเมื่อวันที่ 26 กันยายน เราจะนำเสนอว่าระบบการรายงานดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรและอาจมีข้อกังวลเกี่ยวกับอะไรบ้าง โดยจะมุ่งเน้นยังเรื่องที่ว่าทางการมีแผนจะตรวจติดตามผู้ติดเชื้อรายใหม่อย่างไร

รัฐบาลญี่ปุ่นใช้ระบบที่ลดความซับซ้อนสำหรับรายงานผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน เพื่อลดภาระของสถาบันทางการแพทย์และเพื่อมุ่งเน้นไปที่การพยาบาลดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง

สถาบันทางการแพทย์ใช้ระบบที่ดำเนินการโดยภาครัฐซึ่งรู้จักกันในชื่อ “HER-SYS” เพื่อรายงานชื่อของผู้ป่วยทั้งหมดไปที่ศูนย์สาธารณสุขรวมถึงรายละเอียดอื่น ๆ เช่น ผู้ป่วยเริ่มมีอาการเมื่อใดและข้อมูลการติดต่อ

ภายใต้ระบบใหม่นั้น สถาบันทางการแพทย์จะรายงานแค่ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงเท่านั้น เช่น ผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ตลอดจนผู้ที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล

ระบบ “HER-SYS” จะตรวจติดตามจำนวนผู้ติดเชื้อในแต่ละกลุ่มอายุทั้งหมดต่อไป ซึ่งรวมถึงผู้ที่ไม่ได้จัดว่ามีความเสี่ยงสูงด้วย

ขณะเดียวกัน มีการดำเนินการหลายขั้นตอนเพื่อช่วยเหลือคนที่พักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน ยกตัวอย่างเช่น มีการยกเลิกข้อห้ามจำหน่ายชุดตรวจแอนติเจนทางออนไลน์

ทางการจังหวัดต่าง ๆ ได้จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือด้านสาธารณสุข และเริ่มฉีดวัคซีนที่พุ่งเป้าไปยังไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน ทางการหวังว่ามาตรการเหล่านี้จะช่วยขจัดการแพร่ระบาดของไวรัสนี้ในอนาคตได้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2565)

ระบบการรายงานผู้ติดเชื้อที่ลดความยุ่งยากลง

ภายใต้ระบบที่ลดความยุ่งยากลงในการรายงานผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ซึ่งมีผลในทางปฏิบัติเมื่อวันที่ 26 กันยายน ขณะนี้รัฐบาลญี่ปุ่นกำหนดให้สถาบันทางการแพทย์ทั่วประเทศรายงานรายละเอียดเฉพาะผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงว่าจะป่วยหนักเท่านั้น

เราจะนำเสนอว่าระบบการรายงานดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรและอาจมีข้อกังวลเกี่ยวกับอะไรบ้าง โดยจะมุ่งเน้นยังการทำให้ระบบรายงานผู้ติดเชื้อยุ่งยากน้อยลง

เพื่อเป็นการลดภาระของสถาบันทางการแพทย์ รัฐบาลญี่ปุ่นจึงจำกัดข้อกำหนดเรื่องการรายงานผู้ติดเชื้อ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

- ผู้ติดเชื้อมีอายุ 65 ปีขึ้นไป
- ผู้ติดเชื้อเป็นบุคคลที่จำเป็นต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล
- ผู้ติดเชื้อเป็นหญิงตั้งครรภ์หรือเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงสูงว่าจะป่วยหนัก

สำหรับผู้ติดเชื้อที่ไม่ได้อยู่ในข่ายข้างต้น สถาบันทางการแพทย์เพียงแค่รายงานยอดรวมและกลุ่มอายุของผู้ติดเชื้อเท่านั้น

ระบบการรายงานผู้ติดเชื้อแบบเดิมนั้นกำหนดให้สถาบันทางการแพทย์ทั้งหลายกรอกบันทึกของผู้ติดเชื้อทั้งหมดที่ทางสถาบันตรวจพบเชื้อลงในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ดำเนินการโดยภาครัฐ หลายจังหวัดที่ใช้ระบบใหม่ซึ่งยุ่งยากน้อยลงระบุว่า ภาระที่สถาบันทางการแพทย์ของจังหวัดตนต้องแบกรับนั้นน้อยลงไป

อย่างไรก็ตาม แพทย์และผู้เชี่ยวชาญชี้ถึงความจำเป็นที่ต้องเตรียมเครือข่ายต่าง ๆ เอาไว้ เพื่อที่ผู้ป่วยซึ่งมีอาการเล็กน้อยจะได้พบแพทย์โดยเร็ว หากอาการของพวกเขาย่ำแย่ลง

รัฐบาลญี่ปุ่นขอให้หน่วยงานของจังหวัดต่าง ๆ เตรียมการเช่นนี้ไว้และขอให้ผู้ป่วยแยกกักตัวในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แม้ว่าผู้ป่วยเหล่านั้นจะมีอาการเล็กน้อยก็ตาม

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 29 กันยายน 2565)

สิ่งที่จำเป็นต้องทำเพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อให้เหลือน้อยที่สุด

รัฐบาลญี่ปุ่นได้ลดระยะเวลากักตัวของผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เหลือ 7 วันจากเดิมคือ 10 วัน เมื่อวันที่ 7 กันยายน เราจะนำเสนอข้อมูลที่ใช้อ้างอิงสำหรับการตัดสินใจดังกล่าว โดยจะมุ่งเน้นถึงสิ่งที่จำเป็นต้องทำเพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อให้เหลือน้อยที่สุด

คุณวากิตะ ทากาจิ หัวหน้าคณะผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่นระบุว่า การเตือนประชาชนเกี่ยวกับความเสี่ยงของการแพร่เชื้อที่ยังคงมีอยู่หลังจากลดระยะเวลากักตัวแล้วนั้นเป็นเรื่องสำคัญ และว่าพวกเราทุกคนควรดำเนินมาตรการต้านไวรัสนี้โดยเริ่มจากตัวเราเองและลงมือปฏิบัติ เพื่อที่จะได้ลดความเสี่ยงลง

ผู้เข้าร่วมการประชุมได้เน้นย้ำว่าผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่สามารถแพร่เชื้อได้จนถึงวันที่ 10 และเรียกร้องว่าต้องดำเนินมาตรการป้องกันการติดเชื้อเมื่อออกไปด้านนอก คณะผู้เชี่ยวชาญขอให้ระมัดระวังเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่ติดต่อใกล้ชิดกับคนที่มีความเสี่ยงสูงในแต่ละวัน เช่น เจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขและพนักงานของสถานที่สำหรับผู้สูงอายุ และว่ากลุ่มคนเหล่านี้ต้องทำให้มั่นใจว่ามีผลตรวจหาเชื้อที่เป็นลบก่อนกลับไปทำงาน

กระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่นยังขอให้ทางการท้องถิ่นทั่วญี่ปุ่นดำเนินการเพื่อขอไม่ให้ผู้อยู่อาศัยที่ติดเชื้อไวรัสนี้ลดระดับการป้องกันจนถึงวันที่ 10

มาตรการที่ควรทำนั้นได้แก่ การตรวจสุขภาพร่างกาย เช่น การวัดอุณหภูมิ, หลีกเลี่ยงการติดต่อสัมผัสกับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้สูงอายุ ตลอดจนเลี่ยงการเดินทางไปยังสถานที่สำหรับผู้สูงอายุหากไม่ใช่ธุระสำคัญจำเป็น, อยู่ให้ห่างจากสถานที่ที่มีความเสี่ยงสูงรวมถึงการรวมตัวกันแบบมีการรับประทานอาหารร่วมด้วย และควรสวมหน้ากากอนามัย

ระยะเวลากักตัวได้ลดลงไปแล้ว แต่ธรรมชาติของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ยังคงเป็นเช่นเดิมอยู่ ด้วยเหตุนี้เราควรต้องพึงระลึกไว้ว่าความเสี่ยงที่จะแพร่เชื้อยังคงมีอยู่แม้ว่าจะผ่านไปแล้ว 7 วันก็ตาม

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 28 กันยายน 2565)

ทัศนะของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการลดระยะเวลากักตัว

รัฐบาลญี่ปุ่นได้ลดระยะเวลากักตัวของผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่โดยมีผลเมื่อวันที่ 7 กันยายน ปัจจุบันผู้ป่วยที่มีอาการต้องกักตัว 7 วัน จากเดิมคือ 10 วัน ครั้งนี้เราจะนำเสนอเกี่ยวกับข้อมูลพื้นฐานเชิงวิทยาศาสตร์และความปลอดภัยสืบเนื่องจากความเคลื่อนไหวนี้ โดยจะมุ่งเน้นไปยังทัศนะของผู้เชี่ยวชาญ

ที่การประชุมของคณะผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 7 กันยายน มีการแสดงความเห็นต่างกันออกไปเกี่ยวกับการลดระยะเวลากักตัว

ผู้ที่เห็นด้วยกับการลดระยะเวลากักตัวระบุว่าเป็นที่ทราบกันว่าไวรัสนี้ทำให้เกิดการติดเชื้อได้มากที่สุดในช่วง 7 วันนับตั้งแต่ที่ผู้ป่วยเริ่มแสดงอาการต่าง ๆ และว่าการลดระยะเวลากักตัวนั้นจำเป็น เพื่อทำให้กลไกทางสังคมและการแพทย์ดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ผู้ที่ไม่เห็นด้วยระบุว่ายังไม่มีการจัดหารือเกี่ยวกับการประเมินความเสี่ยง และว่าการตัดสินใจยกเลิกระยะเวลากักตัวเดิมทั้ง ๆ ที่ความเสี่ยงติดเชื้อมีมากกว่าร้อยละ 10 นั้น เกินขอบเขตที่สามารถรับรองได้ในทางวิทยาศาสตร์

ผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่งระบุว่าไม่ควรลดระยะเวลากักตัวที่โรงพยาบาลและสถานพยาบาลดูแลสำหรับผู้สูงอายุ

ศาสตราจารย์นิชิอูระ ฮิโรชิ จากมหาวิทยาลัยเกียวโตได้แสดงความกังวลโดยระบุว่า สถานการณ์จะแตกต่างอย่างมากโดยขึ้นอยู่กับการดำเนินมาตรการต้านการติดเชื้ออย่างถี่ถ้วนตั้งแต่วันที่ 8 นับจากวันที่เริ่มปรากฏอาการ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการยากที่จะนำเสนอข้อมูลเชิงตัวเลขเกี่ยวกับผลกระทบจากสถานการณ์การติดเชื้อ

อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่าอย่างน้อย อัตราที่ผู้ป่วย 1 คนจะแพร่เชื้อให้ผู้อื่นนั้นจะเพิ่มขึ้น และว่าด้วยเหตุนี้ เมื่อการระบาดระลอกใหม่เกิดขึ้น จำนวนผู้ป่วยจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากกว่าก่อนหน้านี้ และอาจส่งผลกระทบต่อบริการทางการแพทย์หรือทำให้การเรียกรถพยาบาลนั้นยากกว่าเดิม

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 27 กันยายน 2565)

ความเสี่ยงของการแพร่เชื้อหลังสิ้นสุดการกักตัว 7 วัน

รัฐบาลญี่ปุ่นได้ลดระยะเวลากักตัวของผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จาก 10 วันเป็น 7 วัน เมื่อวันที่ 7 กันยายน ครั้งนี้เราจะนำเสนอเกี่ยวกับข้อมูลที่ใช้อ้างอิงเพื่อตัดสินใจเรื่องนี้ โดยจะมุ่งเน้นที่ความเสี่ยงของการแพร่เชื้อหลังจากวันที่ 8

การสำรวจที่จัดทำโดยสถาบันโรคติดเชื้อแห่งชาติของญี่ปุ่นระหว่างเดือนพฤศจิกายนปี 2564 ถึงมกราคมปี 2565 นั้น เป็นการวัดดูว่าไวรัสจะถูกตรวจพบในกลุ่มผู้ป่วยที่ปรากฏอาการต่าง ๆ 59 คนได้นานแค่ไหน

เมื่อนับวันที่เริ่มปรากฏอาการเป็นวันที่ 0 เมื่อถึงวันที่ 1 ตรวจพบไวรัสร้อยละ 96.3 ของผู้ป่วยที่มีอาการ ในวันที่ 4 ตรวจพบร้อยละ 60.3 ร้อยละ 23.9 ในวันที่ 7 สัดส่วนดังกล่าวลดลงเหลือร้อยละ 16.0 ในวันที่ 8 ร้อยละ 10.2 ในวันที่ 9 ร้อยละ 6.2 ในวันที่ 10 และลดลงต่อเนื่องเหลือร้อยละ 3.6 ในวันที่ 11 ร้อยละ 2.0 ในวันที่ 12 ร้อยละ 1.1 ในวันที่ 13 และร้อยละ 0.6 ในวันที่ 14

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ตรวจพบไวรัสนี้กว่าร้อยละ 10 ของผู้ป่วยในวันที่ 8 นับจากวันที่เริ่มมีอาการ ซึ่งวันที่ 8 ถือเป็นวันสิ้นสุดการกักตัวภายใต้กฎระเบียบใหม่

ศาสตราจารย์นิชิอูระ ฮิโรชิ จากมหาวิทยาลัยเกียวโตได้นำเสนอผลการวิจัยของคณะหนึ่งซึ่งรวมถึงมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในสหรัฐ ที่การประชุมคณะผู้เชี่ยวชาญเมื่อวันที่ 7 กันยายน งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าพบไวรัสนี้ในกว่าร้อยละ 50 ของผู้ป่วยในวันที่ 5 และร้อยละ 25 ในวันที่ 8

ศาสตราจารย์นิชิอูระเตือนว่ามีความเสี่ยงที่ไวรัสจะแพร่ระบาดแม้ว่าหลังจากช่วงระยะเวลาหนึ่งได้ผ่านไปแล้วนับตั้งแต่ที่เริ่มปรากฏอาการต่าง ๆ ก็ตาม

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 26 กันยายน 2565)

ข้อมูลที่ใช้อ้างอิงเพื่อตัดสินใจเรื่องการลดระยะเวลากักตัว

รัฐบาลญี่ปุ่นได้ผ่อนคลายข้อจำกัดสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 7 กันยายน ครั้งนี้เราจะนำเสนอข้อมูลพื้นฐานเชิงวิทยาศาสตร์และประเด็นเกี่ยวกับความปลอดภัย

ระยะเวลากักตัวสำหรับผู้ที่มีอาการนั้นลดลงจาก 10 วัน เหลือ 7 วัน ข้อมูลประเภทใดที่ใช้อ้างอิงเพื่อตัดสินใจเรื่องนี้

มีการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับไวรัสของผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ปรากฏอาการ 59 คน ที่การประชุมของคณะผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 7 กันยายน

เมื่อนับวันที่ปรากฏอาการเป็นวันที่ 0 จำนวนไวรัสตั้งแต่วันที่ 7 ถึงวันที่ 13 อยู่ที่ประมาณ 1 ใน 6 ของปริมาณไวรัสที่นับจนถึงวันที่ 3 ข้อมูลนี้อิงจากผลการวิจัยของสถาบันโรคติดเชื้อแห่งชาติของญี่ปุ่นที่ดำเนินการระหว่างเดือนพฤศจิกายนปี 2564 ถึงมกราคมปี 2565 ซึ่งเป็นช่วงที่ BA.1 ซึ่งเป็นไวรัสสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอนกำลังแพร่ระบาด

คณะนักวิจัยระบุว่าถึงแม้ผู้ป่วยจะยังคงขับไวรัสออกมาหลังวันที่ 7 แต่ความเสี่ยงที่จะแพร่เชื้อโรคนี้ไปยังผู้อื่น มีแนวโน้มที่จะลดลงไป

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 23 กันยายน 2565)

กฎระเบียบใหม่เกี่ยวกับการลดระยะเวลากักตัว

รัฐบาลญี่ปุ่นได้ผ่อนคลายข้อจำกัดสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เริ่มตั้งแต่วันที่ 7 กันยายน โดยรวมถึงระยะเวลากักตัวที่สั้นลงด้วย ปัจจุบันผู้ที่ปรากฏอาการต่าง ๆ ต้องกักตัว 7 วัน จากเดิมที่ต้องกักตัว 10 วัน

เราจะนำเสนอข้อมูลพื้นฐานเชิงวิทยาศาสตร์และประเด็นเกี่ยวกับความปลอดภัย ตลอดจนทัศนะของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อกฎระเบียบใหม่ดังกล่าว

นับตั้งแต่วันที่ 7 กันยายน กฎระเบียบใหม่สำหรับการกักตัวนั้น มีดังต่อไปนี้

สำหรับกลุ่มผู้ที่มีอาการ การกักตัวจะสิ้นสุดลงเมื่อครบ 8 วันนับจากวันที่เริ่มมีอาการ ถ้าในช่วง 1 วันสุดท้ายอาการดีขึ้น

กลุ่มคนที่ไม่มีอาการ การกักตัวจะสิ้นสุดลงเมื่อครบ 6 วันหลังจากที่ตรวจพบเชื้อครั้งแรก ในกรณีที่ผลตรวจในวันที่ 5 เป็นลบ

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ติดต่อสัมผัสกับผู้สูงอายุหรือรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น ควรดำเนินมาตรการต้านการติดเชื้ออย่างถี่ถ้วน โดยผู้ที่มีอาการอาจแพร่เชื้อไวรัสนี้ให้แก่ผู้อื่นได้ 10 วันหลังจากที่เริ่มมีอาการต่าง ๆ ส่วนผู้ที่ไม่มีอาการอาจแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ 7 วัน

ส่วนกลุ่มผู้ที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและกลุ่มผู้สูงอายุในสถานพยาบาลดูแล กฎระเบียบเรื่องการกักตัวยังคงเดิม โดยให้สิ้นสุดการกักตัวหลังครบ 11 วันนับตั้งแต่วันที่เริ่มมีอาการ ถ้าช่วง 3 วันสุดท้ายอาการดีขึ้น

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 22 กันยายน 2565)

ยาซึ่งเดิมพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้รักษาโรคอื่น

เราจะนำเสนอความคืบหน้าของยาและการรักษาโรคโควิด-19 รวมถึงประสิทธิผลของยาและการรักษาเหล่านี้ ครั้งนี้จะมุ่งเน้นไปที่ยาซึ่งเดิมทีพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้รักษาโรคอื่น

ยาเรมเดซิเวียร์ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสนั้น แรกเริ่มถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อรักษาโรคอีโบลา เมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2563 ยานี้กลายเป็นยาชนิดแรกที่ได้รับการรับรองให้ใช้เป็นกรณีฉุกเฉินสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในญี่ปุ่น

เดิมยานี้ใช้เพื่อรักษาผู้ป่วยซึ่งมีอาการปานกลางไปจนถึงอาการหนัก เมื่อเดือนมีนาคมปี 2565 กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่นได้ขยายการใช้งานไปยังผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง แต่มีความเสี่ยงที่จะป่วยหนัก

เมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2563 กระทรวงสาธารณสุขได้สนับสนุนให้ใช้ยาเดกซาเมทาโซนซึ่งเป็นยาสเตียรอยด์สำหรับรักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ นับจนถึงขณะนั้น ยานี้ใช้รักษาผู้ป่วยที่มีอาการปอดอักเสบรุนแรงหรือเป็นโรคไขข้ออักเสบเสียเป็นส่วนมาก

ยาดังกล่าวจะใช้กับผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการปานกลางไปจนถึงอาการหนัก หลังจากที่ผู้ป่วยคนนั้นเป็นปอดอักเสบและต้องใช้การรักษาด้วยออกซิเจน

นอกจากนี้ ยาบาริซิทินิบซึ่งเป็นยาต้านการอักเสบที่ได้รับการรับรองเมื่อเดือนเมษายนปี 2564 ก็นำมาใช้รักษาผู้ป่วยที่มีอาการปานกลางหรือมีอาการรุนแรงมากกว่า เดิมยานี้เป็นยารับประทานสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ในญี่ปุ่นมีการจำกัดการใช้ยานี้ โดยให้ใช้ร่วมกับยาเรมเดซิเวียร์เท่านั้น

ยา “แอกเทมรา” ซึ่งเป็นยาต้านโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์และยังเป็นที่รู้จักในชื่อโทซิลิซูแมบ ได้รับการรับรองเมื่อเดือนมกราคมปี 2565 เพื่อใช้รักษาผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยจะต้องใช้ร่วมกับยาสเตียรอยด์เพื่อรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการปานกลางหรืออาการหนักซึ่งมีความเสี่ยงที่จะป่วยหนัก

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 2 กันยายน 2565)

การรักษาด้วยสารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี

เราจะนำเสนอความคืบหน้าของยาและการรักษาโรคโควิด-19 รวมถึงประสิทธิผลของยาและการรักษาเหล่านี้ ครั้งนี้จะมุ่งเน้นไปที่การรักษาด้วยสารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี

สารภูมิต้านทานที่ผลิตโดยมนุษย์ในยาสารภูมิต้านทานทั้งหลายเมื่อรวมกับโปรตีนหนามบนผิวของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ก็จะช่วยป้องกันไม่ให้ไวรัสนี้เข้าไปในเซลล์ของมนุษย์ได้

คณะทำงานของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นได้รับรองยา “โรนาพรีฟ” ซึ่งเป็นแอนติบอดีค็อกเทลสำหรับรักษาโรคโควิด-19 เมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2564

ยาดังกล่าวถือเป็นยาแรกที่ได้รับการรับรองในญี่ปุ่นเพื่อใช้สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ซึ่งมีอาการเล็กน้อย โดยเกิดจากการรวมกันระหว่างคาซิริวิแมบกับอิมดีวิแมบ ซึ่งเป็นสารภูมิต้านทานที่ยับยั้งไม่ให้ไวรัสเข้าไปในเซลล์ของมนุษย์ โดยสามารถให้ยานี้ได้ผ่านการฉีดยาหรือให้ยาผ่านทางหลอดเลือด

เมื่อเดือนกันยายนปี 2564 คณะทำงานดังกล่าวได้อนุญาตให้ใช้ยาสารภูมิต้านทานอีกตัวหนึ่งซึ่งได้แก่ เซวูดี ที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อโซโทรวิแมบ ยานี้ประกอบไปด้วยสารภูมิต้านทานชนิดหนึ่งและให้ยาผ่านทางหลอดเลือด

ยาทั้งสองนี้ใช้กับผู้ป่วยสูงอายุหรือผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว ซึ่งมีอาการเล็กน้อยถึงปานกลางที่รวมถึงปอดอักเสบ และมีความเสี่ยงที่อาการจะย่ำแย่ลง โดยจะได้รับยา 1 ครั้งภายใน 7 วันที่มีอาการของโรคโควิด-19

นอกจากนี้ คณะทำงานดังกล่าวยังรับรองการใช้ยานี้ในเชิงป้องกันด้วย ซึ่งจะให้ยาสารภูมิต้านทานแก่ผู้ใกล้ชิดกับผู้ป่วยซึ่งมีความเสี่ยงจะป่วยหนักหากติดเชื้อ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง

ผลการทดลองทางคลินิกพบว่าผู้ป่วยที่ได้รับยาโรนาพรีฟ มีความเสี่ยงที่จะเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรือความเสี่ยงเสียชีวิตลดลงราวร้อยละ 70 ส่วนผลการทดลองของผู้ที่ได้รับยาเซวูดีพบว่า ความเสี่ยงดังกล่าวลดลงไปประมาณร้อยละ 85

อย่างไรก็ตาม ยาสารภูมิต้านทานเหล่านี้มีข้อเสียตรงที่มักจะมีประสิทธิผลลดลงเมื่อใช้กับไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่ ๆ มีรายงานว่ายาสารภูมิต้านทานที่มีอยู่ในปัจจุบันมีประสิทธิผลลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อสู้กับไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน ที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อจำนวนมากครั้งล่าสุด

แนวทางการรักษาของกระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่นที่ปรับปรุงล่าสุด แนะนำให้แพทย์พิจารณาการใช้ยาเหล่านี้เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นเท่านั้น

เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ญี่ปุ่นยังได้รับรอง “เอวูเชลด์” ยาใหม่ซึ่งเป็นการรักษาแบบสารภูมิต้านทาน พัฒนาขึ้นโดยแอสตราเซเนกา บริษัทผู้ผลิตยาของอังกฤษ โดยมากยานี้จะใช้กับผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอเพื่อป้องกันไม่ให้ป่วยหนักหรือป้องกันการเกิดอาการต่าง ๆ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 1 กันยายน 2565)

ยาโซโควา

เราจะนำเสนอความคืบหน้าของยาต่าง ๆ สำหรับรักษาโรคโควิด-19 รวมถึงประสิทธิผลของยาเหล่านี้ ครั้งนี้จะมุ่งเน้นไปที่ยาโซโควา

ชิโอโนงิ บริษัทยาของญี่ปุ่นได้ยื่นเรื่องเพื่อขอให้มีการรับรองยาโซโควาของบริษัทตน ซึ่งผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการเล็กน้อยสามารถรับประทานยานี้ได้ แม้ว่าจะมีความเสี่ยงต่ำที่จะป่วยหนักก็ตาม

ยานี้จะไปยับยั้งความสามารถของเอนไซม์ที่ทำหน้าที่คัดลอก RNA ซึ่งเป็นเหมือนกับพิมพ์เขียวของไวรัสนี้

เมื่อเดือนเมษายนปีนี้ บริษัทชิโอโนงิได้เผยแพร่ผลการทดลองทางคลินิกที่ดำเนินการตั้งแต่เดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ โดยมีผู้ป่วย 428 คนซึ่งมีอายุระหว่าง 12 ปีแต่ไม่เกิน 70 ปีเข้าร่วม พวกเขามีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง

ทางบริษัทระบุว่าผู้ป่วยเหล่านี้ได้รับยาวันละ 1 ขนาดยา และหลังจากวันที่ 3 กลุ่มผู้ป่วยซึ่งมีอาการ 5 อาการ เช่น ไอ เจ็บคอ น้ำมูกไหล และมีไข้นั้น มีอาการดีขึ้น เมื่อเทียบกับกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอก

บริษัทชิโอโนงิยังระบุด้วยว่าสัดส่วนของผู้ป่วยที่ตรวจพบไวรัสที่ทำให้ติดเชื้อได้ลดลงไปร้อยละ 90 ในกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับยาโซโควา เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก

อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทระบุว่าเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบผู้ป่วยระหว่างกลุ่มที่ได้รับยาจริงกับยาหลอกใน 12 อาการที่รวมถึงท้องเสียและอาเจียนนั้น ไม่พบความแตกต่างมากนัก

คณะทำงานของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่นได้ประชุมเมื่อเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม เพื่อประเมินประสิทธิผลและความปลอดภัยของยานี้ ขณะที่สมาชิกบางคนของคณะทำงานดังกล่าวระบุว่าประสิทธิผลของยาโซโควาในการป้องกันไม่ให้ป่วยหนักนั้น สามารถอนุมานว่าเป็นเช่นนั้นได้ แต่ก็มีข้อสงสัยว่ายานี้ใช้ได้ผลกับอาการต่าง ๆ ที่เกิดจากไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนหรือไม่

คณะทำงานดังกล่าวจึงเลื่อนการตัดสินใจที่จะรับรองยานี้ออกไป และเห็นพ้องว่าต้องประเมินผลกันต่อ

บริษัทชิโอโนงิระบุว่าจะเปิดเผยข้อมูลการทดลองทางคลินิกในขั้นสุดท้ายภายในสิ้นเดือนกันยายนนี้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2565)

ยาแพกซ์โลวิด

เราจะนำเสนอความคืบหน้าของยาต่าง ๆ ที่ได้รับการรับรองในญี่ปุ่น รวมถึงประสิทธิผลของยาเหล่านี้

นับจนถึงปัจจุบัน รัฐบาลญี่ปุ่นได้รับรองยาสำหรับรับประทาน 2 ยี่ห้อ เพื่อใช้รักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ซึ่งรวมถึงผู้ที่มีอาการเล็กน้อย ยาดังกล่าวได้แก่ ลาเกวริโอที่พัฒนาโดยเมอร์ค บริษัทยารายใหญ่ของสหรัฐ และแพกซ์โลวิดจากบริษัทไฟเซอร์ของสหรัฐเช่นกัน ยาทั้งสองนี้ใช้กับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงว่าจะเกิดอาการหนัก และมีประสิทธิผลในการยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสในเซลล์

ไฟเซอร์ระบุว่าผลวิเคราะห์จากการทดลองทางคลินิกแสดงให้เห็นว่า ยาแพกซ์โลวิดช่วยลดความเสี่ยงในการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรือความเสี่ยงเสียชีวิตได้ร้อยละ 89 เมื่อให้ยานี้ภายใน 3 วันหลังจากที่เริ่มมีอาการต่าง ๆ และร้อยละ 88 หากให้ยาภายใน 5 วันหลังจากปรากฏอาการ

ไฟเซอร์ยังระบุด้วยว่ามีการนำยาแพกซ์โลวิดกับยาหลอกมาเปรียบเทียบกันเพื่อดูอาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นระหว่างการรักษา ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เป็นอาการเล็กน้อย

เอกสารที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์ของยาระบุว่าใช้สำหรับการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลางทั้งผู้ใหญ่และเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปที่มีความเสี่ยงสูงว่าจะป่วยหนัก และควรรับประทานวันละ 2 ครั้งติดต่อกัน 5 วัน

ทั้งนี้ ยาแพกซ์โลวิดไม่ได้นำมาใช้อย่างกว้างขวางเนื่องจากมียา 40 ชนิดซึ่งห้ามใช้ร่วมกับยานี้ นอกจากนี้ ยังจำเป็นต้องปรับขนาดยาสำหรับผู้ป่วยบางคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับไตด้วย

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่นระบุว่า ได้จัดหายาที่เพียงพอสำหรับใช้กับผู้คน 2,000,000 คน และนับจนถึงวันที่ 26 กรกฎาคม มีการใช้ยานี้กับผู้คนราว 17,600 คนแล้ว เชื่อกันว่ายาแพกซ์โลวิดและยาลาเกวริโอใช้ได้ผลกับไวรัสชนิดกลายพันธุ์ โดยจะไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกายมากนัก

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 30 สิงหาคม 2565)

ข้อมูลของยาต่าง ๆ ที่ใช้รักษาโควิด-19 ซึ่งได้รับการรับรองในญี่ปุ่น

เราจะนำเสนอเกี่ยวกับยาต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ครั้งนี้เป็นตอนแรก โดยจะไปดูความคืบหน้าของยาต่าง ๆ ที่ได้รับการรับรองในญี่ปุ่น รวมถึงประสิทธิผลของยาเหล่านี้

นับจนถึงปัจจุบัน รัฐบาลญี่ปุ่นได้รับรองยาสำหรับรับประทาน 2 ยี่ห้อ เพื่อใช้รักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ซึ่งรวมถึงผู้ที่มีอาการเล็กน้อย ยาดังกล่าวได้แก่ ลาเกวริโอที่พัฒนาโดยเมอร์ค บริษัทยารายใหญ่ของสหรัฐ และแพกซ์โลวิดจากบริษัทไฟเซอร์ของสหรัฐเช่นกัน ยาทั้งสองนี้ใช้กับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงว่าจะเกิดอาการหนัก

ลาเกวริโอซึ่งมีชื่อสามัญว่าโมลนูพิราเวียร์ ได้รับการรับรองเป็นกรณีฉุกเฉินพิเศษจากรัฐบาลญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2564 ยาดังกล่าวป้องกันไม่ให้ไวรัสแพร่พันธุ์ในร่างกายของมนุษย์ด้วยการยับยั้งความสามารถของเอนไซม์ที่ทำหน้าที่คัดลอก RNA ซึ่งเป็นเหมือนพิมพ์เขียวของไวรัส

จากข้อมูลที่แนบมากับบรรจุภัณฑ์ของยาและข้อมูลอื่น ๆ ระบุว่า กลุ่มเป้าหมายของยานี้คือผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง อายุ 18 ปีขึ้นไปซึ่งมีความเสี่ยงที่จะป่วยหนัก โดยรวมถึงผู้สูงอายุและผู้ที่น้ำหนักเกินหรือผู้ที่เป็นเบาหวาน

มีการแนะนำให้รับประทานยานี้วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน 5 วัน โดยเริ่มรับประทานหลังจากมีอาการต่าง ๆ ภายใน 5 วัน แต่หญิงตั้งครรภ์หรือคาดว่าจะตั้งครรภ์ไม่ควรรับประทานยานี้ เนื่องจากผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้กับทารกในครรภ์

กล่าวกันว่ายาลาเกวริโอทำให้ความเสี่ยงที่จะเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรือความเสี่ยงเสียชีวิตลดลงไปร้อยละ 30 เมื่อใช้กับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง โดยพบว่าความถี่ที่จะเกิดอาการข้างเคียงระหว่างกลุ่มผู้ที่ได้รับยาหลอกกับกลุ่มผู้ได้รับยาลาเกวริโอนั้นไม่แตกต่างกัน

นับจนถึงปัจจุบัน มีผู้คนในญี่ปุ่นกว่า 380,000 คนได้รับยาลาเกวริโอแล้ว ผู้ผลิตระบุว่าจะสามารถจัดส่งยาดังกล่าวได้อย่างต่อเนื่องเนื่องจากมีระบบการผลิตแล้ว ทั้งนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายของยานี้ทั้งหมด ดังนั้น ผู้ป่วยจึงไม่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายนี้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 29 สิงหาคม 2565)

ข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิผลของวัคซีนเข็มที่ 4 ที่รวบรวมได้ในญี่ปุ่น

เราจะนำเสนอเกี่ยวกับวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่พุ่งเป้าไปยังสายพันธุ์ย่อยของไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน โดยครั้งนี้จะรายงานข้อมูลที่รวบรวมได้ในญี่ปุ่นเกี่ยวกับประสิทธิผลของวัคซีนเข็มที่ 4 ของบรรดาวัคซีนที่มีใช้อยู่ในปัจจุบัน

สถาบันวิทยาศาสตร์การแพทย์ของทางการกรุงโตเกียวได้ตีพิมพ์ข้อมูลเมื่อเดือนกรกฎาคม เกี่ยวกับระดับของสารภูมิต้านทานที่มีฤทธิ์ลบล้างไวรัสในตัวอย่างเลือดที่เก็บมาจากบุคลากรด้านสาธารณสุข ผู้ซึ่งได้รับวัคซีนเข็มที่ 4 แล้ว

การวิเคราะห์กลุ่มคนเหล่านี้ที่อยู่ในช่วงวัย 60 ถึง 70 ปีแสดงให้เห็นว่า ค่ากลางของระดับสารภูมิต้านทานที่มีฤทธิ์ลบล้างไวรัสหลังจากได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 ไปแล้ว 4 เดือน อยู่ที่ 855 แต่เพิ่มขึ้นเป็น 3,942 หลังจากได้รับวัคซีนเข็มที่ 4

โดยเฉลี่ยแล้ว ระดับสารภูมิต้านทานที่มีฤทธิ์ลบล้างไวรัสยังคงสูงอยู่หลังได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 เมื่อเทียบกับช่วงหลังได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 แต่ระดับดังกล่าวต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล อย่างไรก็ตาม หลังจากได้รับวัคซีนเข็มที่ 4 ทุกคนเห็นว่าระดับสารภูมิต้านทานของตนเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูง

ศาสตราจารย์ทาเตดะ คาซูฮิโระ จากมหาวิทยาลัยโทโฮ ซึ่งอยู่ในคณะผู้เชี่ยวชาญด้านการระบาดใหญ่ของรัฐบาลญี่ปุ่นระบุว่า สายพันธุ์กลายพันธุ์อื่น ๆ ที่นอกเหนือจากโอไมครอน อาจกลายเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาด และว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ที่ยังไม่ได้เข้ารับวัคซีนเข็มที่ 3 และผู้ที่ได้รับบัตรฉีดวัคซีนเพื่อให้ไปรับวัคซีนเข็มที่ 4 ควรไปเข้ารับวัคซีนโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อช่วยยับยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสนี้ในปัจจุบัน

เชื่อกันว่าการรับวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันหลายเข็มนั้นมีประสิทธิผลในการป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ป่วยหนัก และช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ในระดับหนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิคุ้มกันวิทยา ไวรัสวิทยา และโรคติดเชื้อเห็นพ้องกันว่าผู้คนควรพิจารณาเข้ารับวัคซีนที่ตนสามารถรับได้ และไม่ควรกังวลมากเกินไปเกี่ยวกับประเภทของวัคซีนที่จะเข้ารับ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 26 สิงหาคม 2565)

ประสิทธิผลของวัคซีนเข็มที่ 4 ที่รวบรวมโดยอิสราเอลและสหรัฐ

เราจะนำเสนอเกี่ยวกับวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่พุ่งเป้าไปยังสายพันธุ์ย่อยของไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน โดยครั้งนี้จะรายงานข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิผลของวัคซีนเข็มที่ 4 ที่รวบรวมโดยอิสราเอลและสหรัฐ

รายงานจากทั่วโลกแสดงให้เห็นว่าการฉีดวัคซีนเข็มที่ 4 มีประสิทธิผลสูงในการลดความเสี่ยงที่จะเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและความเสี่ยงเสียชีวิต

คณะนักวิจัยในอิสราเอลวิเคราะห์ประสิทธิผลของวัคซีนเข็มที่ 4 ในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์กว่า 29,000 คน มีการนำผลที่ได้มาตีพิมพ์ลงใน JAMA Network Open ซึ่งเป็นวารสารด้านการแพทย์เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม

รายงานแสดงให้เห็นว่าบุคลากรทางการแพทย์กว่า 5,300 คนที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 4 เมื่อเดือนมกราคม ซึ่งเป็นช่วงที่ไวรัสสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอนกำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว มี 368 คนที่ต่อมาติดเชื้อไวรัสนี้ แต่ในกลุ่มของผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้ว 3 เข็มจาก 24,000 กว่าคนนั้น มี 4,802 คนที่ติดเชื้อไวรัสนี้ กล่าวโดยสรุปก็คือ อัตราการติดเชื้อในกลุ่มผู้ที่ฉีดวัคซีน 3 เข็มอยู่ที่ร้อยละ 19.8 แต่ในกลุ่มผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้ว 4 เข็ม อัตราดังกล่าวนั้นต่ำกว่า โดยอยู่ที่ร้อยละ 6.9

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐหรือ CDC ประเมินประสิทธิผลของวัคซีน mRNA โควิด-19 ในกลุ่มผู้ใหญ่ที่อยู่ใน 10 รัฐ ท่ามกลางการระบาดของไวรัสสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอนซึ่งรวมถึง BA.2

ในรายงานเมื่อเดือนกรกฎาคมแสดงให้เห็นว่า ในกลุ่มผู้คนอายุ 50 ปีขึ้นไป ประสิทธิผลของวัคซีนในการป้องกันไม่ให้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลนั้นอยู่ที่ร้อยละ 55 ในช่วงกว่า 4 เดือนหลังจากที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 แต่อัตราดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 80 ในช่วงกว่าหนึ่งสัปดาห์หลังได้รับวัคซีนเข็มที่ 4 โดย CDC ขอให้ผู้คนไปเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นโดยไม่รอช้าตามที่มีการแนะนำ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 25 สิงหาคม 2565)

ควรเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นครั้งใหม่เมื่อใด

เราจะนำเสนอเกี่ยวกับวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่พุ่งเป้าไปยังสายพันธุ์ย่อยของไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน โดยครั้งนี้จะมุ่งเน้นเรื่องระยะเวลาทิ้งห่างก่อนเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นครั้งใหม่

คาดว่ารัฐบาลญี่ปุ่นจะเริ่มฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่พุ่งเป้าไปยังสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอนในช่วงกลางเดือนตุลาคมเป็นอย่างเร็วที่สุด ด้วยเหตุนี้ผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 หรือ 4 อาจสงสัยว่าพวกตนควรรอวัคซีนใหม่นี้หรือไม่ หรือเข้ารับวัคซีนที่มีอยู่ก่อนตอนนี้

เว็บไซต์ของสำนักนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นระบุว่า นับจนถึงวันที่ 22 สิงหาคม มีผู้คนประมาณ 81,010,000 คน หรือร้อยละ 64 ของประชากรญี่ปุ่น ได้รับวัคซีน 3 เข็มแล้ว และว่าวัคซีนเข็มที่ 4 ซึ่งแนะนำให้กลุ่มคนเช่นผู้สูงอายุมาเข้ารับนั้น ได้จัดฉีดให้ผู้คนไปแล้ว 21,540,000 คน

คุณวากิตะ ทากาจิ ผู้อำนวยการของสถาบันโรคติดเชื้อแห่งชาติซึ่งเป็นหัวหน้าคณะผู้เชี่ยวชาญด้านการฉีดวัคซีนของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่นกล่าวต่อผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 10 สิงหาคมว่า ถึงแม้วัคซีนที่พุ่งเป้าไปยังสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอนจะมีให้ใช้ในช่วงกลางเดือนตุลาคม แต่ก็ยังไม่ทราบได้ว่าจะมีเพียงพอให้ทุกคนมาเข้ารับวัคซีนได้ทันทีหรือไม่

เขากล่าวว่าวัคซีนในปัจจุบันมีประสิทธิผลในการป้องกันการป่วยหนักหากติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอน ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงควรพิจารณาไปเข้ารับวัคซีนเข็มที่ 3 หรือ 4 โดยเร็ว หากสามารถทำได้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 24 สิงหาคม 2565)

ประสิทธิผลของวัคซีนใหม่ที่ปรับใช้กับสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอน

เราจะนำเสนอเกี่ยวกับวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดใหม่ที่พุ่งเป้าไปยังสายพันธุ์ย่อยของไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน โดยครั้งนี้จะมุ่งเน้นเรื่องประสิทธิผลของวัคซีน

บริษัทไฟเซอร์รายงานว่าการทดลองทางคลินิกที่ดำเนินการกับผู้เข้าร่วมการทดลองอายุ 56 ปีขึ้นไปกว่า 1,200 คนพบว่า วัคซีนที่ปรับเพื่อใช้กับโอไมครอนโดยฉีดเป็นเข็มที่ 4 นั้น สร้างสารภูมิต้านทานที่มีฤทธิ์ลบล้างไวรัสสายพันธุ์ย่อย BA.1 ได้ 1.56 เท่า เมื่อเทียบกับวัคซีนไฟเซอร์ปัจจุบัน ไฟเซอร์ระบุว่าวัคซีนใหม่นี้ไม่มีความเสี่ยงเรื่องความปลอดภัย

รายงานที่เผยแพร่โดยบริษัทโมเดอร์นาก่อนที่จะมีการประเมินนั้นระบุว่า การทดลองทางคลินิกในสหรัฐแสดงให้เห็นว่า วัคซีนของตนที่ปรับเพื่อใช้กับโอไมครอนโดยฉีดเป็นเข็มที่ 4 นั้น เพิ่มสารภูมิต้านทานที่มีฤทธิ์ลบล้างไวรัสสายพันธุ์ย่อย BA.1 ได้ 1.75 เท่า เมื่อเทียบกับวัคซีนโมเดอร์นาปัจจุบัน

โมเดอร์นาระบุว่าผลข้างเคียงจากวัคซีนส่วนมากเป็นอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง โดยร้อยละ 77 มีอาการเจ็บปวดที่แขนบริเวณรอบจุดที่ฉีดวัคซีน ร้อยละ 55 มีอาการเหนื่อยอ่อน และร้อยละ 44 มีอาการปวดศีรษะ

คาดว่าวัคซีนใหม่ของโมเดอร์นาจะเพิ่มสารภูมิต้านทานที่มีฤทธิ์ลบล้างไวรัสสายพันธุ์ BA.5 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอน ที่ทำให้การติดเชื้อกลับมาพุ่งสูงขึ้นอีกครั้งในปัจจุบัน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 23 สิงหาคม 2565)

กลไกการทำงานของวัคซีนใหม่ที่พุ่งเป้าไปยังสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอน

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่นได้ตัดสินใจที่จะเริ่มให้วัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดใหม่ที่พุ่งเป้าไปยังสายพันธุ์ย่อยของไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน ในช่วงกลางเดือนตุลาคมเป็นอย่างเร็วที่สุด เราจะนำเสนอกลไกการทำงานของวัคซีนใหม่นี้ ตลอดจนประสิทธิผล และระยะเวลาที่ต้องเว้นห่างจากการฉีดวัคซีนครั้งก่อนหน้า โดยครั้งนี้จะพาไปดูกันว่าวัคซีนใหม่นี้ทำงานอย่างไร

วัคซีนดังกล่าวกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาโดยบริษัทไฟเซอร์และโมเดอร์นา วัคซีนที่เรียกกันว่าวัคซีนแบบ 2 สายพันธุ์นี้ มีส่วนผสมที่ใช้สำหรับวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันกับส่วนผสมที่ได้มาจาก BA.1 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน

วัคซีนที่ใช้อยู่ในปัจจุบันที่พัฒนาขึ้นโดยไฟเซอร์และโมเดอร์นานั้น ทำให้ร่างกายผลิต “โปรตีนหนาม” จากนั้น ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะสร้างสารภูมิต้านทานจำนวนมากเพื่อมาสู้กับโปรตีนหนามเหล่านี้ และจะเพิ่มการโจมตีเมื่อไวรัสจริงเข้ามาในร่างกาย

อย่างไรก็ตาม ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่มีการกลายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง รูปร่างของโปรตีนหนามได้เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ประสิทธิผลของวัคซีนในการป้องกันการติดเชื้อและการเกิดอาการต่าง ๆ ลดลงไปเมื่อใช้กับไวรัสสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอน

เชื่อกันว่าวัคซีนที่กำลังปรับปรุงใหม่โดยใช้ข้อมูลทางพันธุกรรมของไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนเพื่อปรับโปรตีนหนามนั้น จะทำให้ประสิทธิผลของวัคซีนดีขึ้น

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 22 สิงหาคม 2565)

เราต้องระวังอะไรบ้างเมื่อการติดเชื้อกลับมาเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง

เราจะอธิบายเกี่ยวกับ “ผู้ใกล้ชิด” กับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยจะมุ่งเน้นว่าเราต้องระวังอะไรบ้างเมื่อการติดเชื้อกลับมาเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง

กล่าวกันว่าไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนมีเส้นทางการติดเชื้อเหมือนกับสายพันธุ์อื่น ๆ ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยโอไมครอนสามารถแพร่เชื้อได้ผ่านละอองฝอย ละอองลอย หรือละอองฝอยที่เล็กมาก ๆ โดยเฉพาะในสถานที่ที่อากาศถ่ายเทไม่ดี

เราสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ด้วยการดำเนินมาตรการต้านการติดเชื้ออย่างถี่ถ้วน เป็นที่ทราบกันว่าโอไมครอนทำให้เกิดการติดเชื้อภายในครอบครัวได้มากกว่า ด้วยเหตุนี้การดำเนินมาตรการป้องกันอย่างถี่ถ้วนที่บ้านจึงเป็นเรื่องที่สำคัญเช่นกัน

นับตั้งแต่ที่โอไมครอนกลายเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดอยู่ ก็มีการผ่อนคลายข้อจำกัดต่าง ๆ สำหรับผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องสำคัญจำเป็นที่พวกเราต้องดำเนินมาตรการต้านการติดเชื้อต่อไป

คุณโอมิ ชิเงรุ หัวหน้าคณะที่ปรึกษาด้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของรัฐบาลญี่ปุ่นกล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ NHK ว่า ภาพรวมและสถานการณ์ที่ผู้คนยังมีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อนั้นยังคงไม่เปลี่ยนไป คุณโอมิได้ขอให้ผู้คนพยายามเลี่ยงสถานที่ที่มีความแออัด หรือสถานที่ที่ผู้คนมีแนวโน้มจะพูดด้วยเสียงดัง เขายังขอให้มีการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ก่อนที่จะไปพบผู้สูงอายุด้วย

เขากล่าวด้วยว่าแต่ละคนควรดำเนินมาตรการเพื่อป้องกันการติดเชื้อโดยใช้ความรู้ที่ได้เรียนรู้มาจากประสบการณ์ระหว่างการระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 19 สิงหาคม 2565)

ควรทำอย่างไรหากคุณเคยอยู่ใกล้กับผู้ที่ถูกกำหนดให้เป็น “ผู้ใกล้ชิด” กับผู้ติดเชื้อ

เราจะอธิบายเกี่ยวกับ “ผู้ใกล้ชิด” กับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยจะมุ่งเน้นว่าควรทำอย่างไรหากคุณเคยอยู่ใกล้กับผู้ที่ถูกกำหนดให้เป็น “ผู้ใกล้ชิด”

จะเป็นอย่างไรหากสมาชิกในครอบครัวกลายเป็น “ผู้ใกล้ชิด” กับผู้ป่วยโควิด-19 เจ้าหน้าที่ประจำแผนกที่รับผิดชอบมาตรการโรคติดเชื้อของทางการกรุงโตเกียวระบุว่า ไม่มีกฎระเบียบเกี่ยวกับ “ผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้ใกล้ชิด” พวกเขากล่าวว่าทางการกรุงโตเกียวไม่ได้ใช้ข้อจำกัดใด ๆ เกี่ยวกับการทำกิจกรรมของสมาชิกในครอบครัว นอกเหนือไปจากผู้ที่ถูกกำหนดให้เป็น “ผู้ใกล้ชิด”

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ระบุว่ากลุ่มคนเหล่านี้ควรตรวจสอบที่ทำงานหรือโรงเรียนของตน เนื่องจากบางสถานที่มีกฎระเบียบของตนเองที่เกี่ยวเนื่องกับ “ผู้ใกล้ชิด”

เจ้าหน้าที่ระบุว่าพวกตนต้องการให้สมาชิกครอบครัวของ “ผู้ใกล้ชิด” ดำเนินมาตรการป้องกันไว้ก่อน ในกรณีที่มีคนติดเชื้อแต่ยังไม่แสดงอาการ โดยแนะนำให้ดำเนินการดังต่อไปนี้

- เลี่ยงการใช้ผ้าเช็ดตัวร่วมกันและรับประทานอาหารแยกกัน พยายามให้สมาชิกครอบครัวอยู่ห่างกันเวลาพักอาศัยในบ้านให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
- สวมหน้ากากอนามัยในบ้านและล้างมือให้สะอาด รวมถึงฆ่าเชื้อโรคที่มือ
- ฆ่าเชื้อโรคบริเวณพื้นผิวที่ถูกสัมผัสบ่อย ๆ เช่น ลูกบิดประตูและรีโมทคอนโทรลของเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ
- ระบายอากาศภายในห้องอย่างสม่ำเสมอ

เรามีแนวโน้มที่จะลดการป้องกันตัวเองลงเนื่องจากกล่าวกันว่าความเสี่ยงที่จะป่วยหนักเมื่อติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนนั้นมีน้อยกว่า เมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่น ๆ แต่ก็ต้องระมัดระวังถ้าครอบครัวมีสมาชิกเป็นผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคประจำตัว

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 18 สิงหาคม 2565)

จะรับมืออย่างไรกับกรณีติดเชื้อในสถานที่ทำงาน

เราจะอธิบายเกี่ยวกับ “ผู้ใกล้ชิด” กับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยจะมุ่งเน้นว่าจะรับมืออย่างไรกับกรณีติดเชื้อในสถานที่ทำงาน

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่นระบุว่า หากมีคนในที่ทำงานติดเชื้อไวรัสนี้ เพื่อนร่วมงานของผู้ติดเชื้อไม่จำเป็นต้องกักตัวที่บ้านหรือสถานที่อื่น ๆ ในเชิงหลักการ แต่จะมีการขอให้ผู้ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อเลี่ยงกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูง เช่น การไปเยี่ยมผู้สูงอายุหรือไปยังสถานที่สำหรับผู้สูงอายุ การไปดื่มกินกับผู้คนจำนวนมาก และเข้าร่วมในงานกิจกรรมขนาดใหญ่เป็นเวลาประมาณ 7 วัน นับตั้งแต่วันสุดท้ายที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ

ถ้าบุคคลผู้หนึ่งร่วมรับประทานอาหารกับผู้ติดเชื้อในที่ทำงานโดยไม่ได้ดำเนินมาตรการต้านไวรัส เช่น การสวมหน้ากากอนามัย ก็ควรดำเนินความพยายามในการป้องกันการแพร่เชื้อ เช่น กักตัว 5 วันและเข้ารับการตรวจหาเชื้อโดยสมัครใจ

ขณะเดียวกัน หากผู้ที่อยู่ร่วมกันตามสถานที่ต่าง ๆ ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อซึ่งเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงสูงกว่าที่จะป่วยหนัก เช่น ตามสถาบันทางการแพทย์หรือสถานที่สำหรับผู้สูงอายุ ก็จะต้องมีการดูแลเป็นพิเศษ

ในกรณีเช่นว่านี้ ผู้ใกล้ชิดต้องกักตัว 5 วัน หากผลตรวจแอนติเจนเป็นลบในวันที่ 2 และ 3 ผู้ใกล้ชิดสามารถยุติการกักตัวได้ในวันที่ 3 เช่นเดียวกับกรณีของผู้ใกล้ชิดที่อยู่ในครอบครัวเดียวกัน

แนวทางนี้ใช้กับทุก ๆ คนไม่ใช่แค่กลุ่มพนักงานที่สำคัญจำเป็นเท่านั้น ทางกระทรวงระบุว่าบุคลากรทางการแพทย์และผู้พยาบาลดูแลสามารถไปทำงานได้ แม้จะมองกันว่าเป็นผู้ใกล้ชิด หากพวกเขาตรวจหาเชื้อทุกวันและผลตรวจเป็นลบ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 16 สิงหาคม 2565)

หลังพ้นช่วงกักตัวแล้ว ผู้ใกล้ชิดกับผู้ที่ติดโควิด-19 ควรทำอย่างไร

เมื่อไม่นานมานี้ รัฐบาลญี่ปุ่นได้ปรับแนวทางเรื่องผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ท่ามกลางการแพร่ระบาดอันยืดเยื้อ เราจะอธิบายเกี่ยวกับ “ผู้ใกล้ชิด” โดยจะมุ่งเน้นเรื่องช่วงหลังการกักตัว

ผู้ที่ถูกกำหนดให้เป็น “ผู้ใกล้ชิด” มีหน้าที่ต้องแยกกักตัว แต่หลังจากพ้นช่วงกักตัวไปแล้ว ก็จะได้รับอนุญาตให้ไปทำงานหรือไปโรงเรียนได้

ในรายงานที่ลงวันที่ 13 มกราคม สถาบันโรคติดเชื้อแห่งชาติของญี่ปุ่นระบุว่า เมื่อเกิดการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน โอกาสที่จะเกิดอาการต่าง ๆ ภายใน 3 วันอยู่ที่ร้อยละ 53.05 ร้อยละ 82.65 ภายใน 5 วัน และร้อยละ 94.53 ภายใน 7 วัน

นี่หมายความว่าระยะเวลากักตัวในปัจจุบันที่กำหนดไว้ที่ 5 วัน อาจไม่นานพอที่จะรับประกันว่าบุคคลใดบุคคลหนึ่งจะไม่ติดเชื้อ

ด้วยเหตุนี้ จึงมีคำแนะนำว่าผู้ที่ถูกกำหนดให้เป็น “ผู้ใกล้ชิด” ควรตรวจดูอุณหภูมิร่างกายให้ดีรวมถึงอาการอื่น ๆ ด้วย และควรดำเนินมาตรการต้านการติดเชื้ออย่างถี่ถ้วน เช่น เลี่ยงสถานที่ที่มีความเสี่ยงสูงและเลี่ยงการออกไปรับประทานอาหารข้างนอกแบบเป็นกลุ่มจนกว่าจะครบ 7 วัน และถึงแม้จะเป็นหลังพ้นช่วงกักตัวแล้ว ก็ควรดำเนินมาตรการต้านการติดเชื้อต่อไป

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 15 สิงหาคม 2565)

ผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อควรทำหรือไม่ควรทำอะไรระหว่างที่กักตัว

เราจะอธิบายเกี่ยวกับ “ผู้ใกล้ชิด” กับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยจะมุ่งเน้นว่าผู้ใกล้ชิดควรทำหรือไม่ควรทำอะไรระหว่างที่กักตัว

ผู้ใกล้ชิดควรงดเว้นจากการออกไปข้างนอกที่ไม่ใช่ธุระสำคัญจำเป็นให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หากจำเป็นต้องออกไป ก็ควรดำเนินมาตรการต้านการติดเชื้อ เช่น การสวมหน้ากากอนามัยและล้างมือ รวมถึงเลี่ยงการติดต่อสัมผัสกับผู้อื่น โดยไม่ควรไปทำงานหรือไปโรงเรียนในช่วงที่กักตัวอยู่

แนวทางของทางการกรุงโตเกียวระบุว่า
- ผู้ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อควรงดเว้นจากการออกไปข้างนอกที่ไม่ใช่ธุระสำคัญจำเป็น รวมถึงการไปทำงานหรือไปโรงเรียน และควรอยู่กับบ้าน
- ควรตรวจสอบอุณหภูมิร่างกายทุกวันในช่วงเช้าและช่วงเย็น
- หากเริ่มมีอาการต่าง ๆ เช่น มีไข้และไอ ควรปรึกษาแพทย์ที่หาเป็นประจำหรือปรึกษาสถาบันทางการแพทย์ที่ให้บริการตรวจหาเชื้อ และมีการดูแลด้านการแพทย์สำหรับผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
- ควรเลี่ยงการใช้ระบบขนส่งสาธารณะให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

คุณซากาโมโตะ ฟูมิเอะ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อจากโรงพยาบาลนานาชาติเซนต์ลุกส์ในกรุงโตเกียว แนะนำให้พวกเขาเตรียมสิ่งของดังต่อไปนี้ โดยระบุว่าของดังกล่าวมีประโยชน์ เนื่องจากระหว่างกักตัวพวกเขาอาจไม่สามารถออกไปพบแพทย์ได้อย่างทันท่วงที เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้น

ของดังกล่าวได้แก่ ยาแก้ปวดและยาลดไข้ที่หาซื้อได้ตามร้านจำหน่ายยาโดยไม่ต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์, เครื่องดื่มไอโซโทนิกสำหรับการออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายไม่ขาดน้ำ, อาหารที่รับประทานได้ง่าย เช่น เครื่องดื่มเยลลี, สำรองสิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันให้มากขึ้น, หากมีโรคประจำตัว ควรสำรองยาให้มากขึ้น

เธอยังขอให้ผู้คนทั้งหลายไปเข้ารับวัคซีนและบันทึกข้อมูลการติดต่อหน่วยงานสาธารณสุขในท้องถิ่นเอาไว้ ซึ่งอาจจำเป็นต่อการขอคำปรึกษาระหว่างการกักตัว

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 17 สิงหาคม 2565)

ควรทำอย่างไรเมื่อคนในครอบครัวติดโควิด-19 เป็นรายที่ 2

เราจะอธิบายเกี่ยวกับ “ผู้ใกล้ชิด” กับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยจะมุ่งเน้นว่าควรทำอย่างไรเมื่อสมาชิกในครอบครัวคนหนึ่งติดโรคโควิด-19 จากนั้นสมาชิกครอบครัวอีกคนหนึ่งก็เกิดติดเชื้อตามมา

แนวทางของรัฐบาลญี่ปุ่นระบุว่า หากคนในครอบครัวติดเชื้อเป็นรายที่ 2 สมาชิกในครอบครัวคนอื่น ๆ ต้องเริ่มการกักตัวใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง สมมติว่ามีเด็กติดเชื้อและพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านโดยมีอาการเล็กน้อย ไปดูกันว่าแนวทางดังกล่าวระบุว่าอย่างไร

- แม้ผลตรวจจะยังไม่ออก แต่ให้นับวันที่เด็กเกิดอาการต่าง ๆ เป็นวันที่ 0 บนเงื่อนไขที่ว่ามีการดำเนินมาตรการต้านการติดเชื้อในครอบครัวตั้งแต่วันดังกล่าว ส่วนสมาชิกครอบครัวคนอื่น ๆ ควรกักตัวจนถึงวันที่ 5
- หากไม่มีการดำเนินมาตรการต้านการติดเชื้อจนถึงวันที่การติดเชื้อได้รับการยืนยัน ให้นับวันที่ผลตรวจออกมาว่าเป็นบวกเป็นวันที่ 0 ส่วนสมาชิกครอบครัวคนอื่น ๆ ควรกักตัว 5 วันนับจากวันดังกล่าว
- ช่วงเวลาการพักรักษาตัวที่บ้านสำหรับเด็กที่ติดเชื้อนั้นจะสิ้นสุดลงหลัง 10 วัน แม้จะไม่มีการตรวจหาเชื้อก็ตาม โดยเริ่มกักตัวจากวันที่ถัดจากวันที่ปรากฏอาการวันแรก แต่ก่อนจะสิ้นสุดการกักตัวนั้น อาการต่าง ๆ ควรหายไปแล้วอย่างน้อย 72 ชั่วโมง ในกรณีที่อาการย่ำแย่ลง ก็ขอแนะนำให้พ่อแม่ติดต่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและขอคำปรึกษา
- หากเด็กที่ติดเชื้อไม่มีอาการใด ๆ ให้นับวันที่นำตัวอย่างไปตรวจหาเชื้อเป็นวันที่ 0 และช่วงพักรักษาตัวให้นับไปจนถึงวันที่ 7 อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่มีการดำเนินมาตรการต้านการติดเชื้อจนถึงวันที่การติดเชื้อได้รับการยืนยัน ให้นับวันที่มีการยืนยันว่าติดเชื้อเป็นวันที่ 0 สำหรับการกักตัวของสมาชิกครอบครัวที่เหลือคนอื่น ๆ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 12 สิงหาคม 2565)

“ผู้ใกล้ชิด” ควรกักตัวที่บ้านนานแค่ไหน เมื่อสมาชิกในครอบครัวติดเชื้อ

เราจะอธิบายเกี่ยวกับ “ผู้ใกล้ชิด” กับคนที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยจะมุ่งเน้นว่าผู้ใกล้ชิดควรกักตัวที่บ้านนานแค่ไหน เมื่อสมาชิกในครอบครัวเกิดติดเชื้อขึ้นมา

เมื่อสมาชิกในครอบครัวมีผลตรวจไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็นบวกและสมาชิกคนอื่น ๆ ถูกจัดว่าเป็นผู้ใกล้ชิด จะมีการขอให้พวกเขาแยกกักตัวที่บ้าน

ก่อนหน้านี้ ผู้ใกล้ชิดต้องกักตัวเองจนครบ 7 วันในทางหลักการ แต่ทางกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นได้ลดระยะเวลากักตัวเหลือ 5 วันโดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 22 กรกฎาคมเป็นต้นมา เพื่อให้กิจกรรมทางสังคมและเศรษฐกิจยังดำเนินต่อไปได้

เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าเราจะเริ่มนับวันที่ 0 ตั้งแต่เมื่อใดนั้น ในจำนวน 3 วันดังต่อไปนี้ วันที่ช้าที่สุดให้นับเป็นวันที่ 0
- วันที่ผู้ติดเชื้อเกิดอาการต่าง ๆ
- วันที่มีการนำตัวอย่างไปตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ในกรณีที่ผู้ติดเชื้อไม่แสดงอาการ
- วันที่ใช้มาตรการต้านการติดเชื้อหลังจากที่พบว่าผู้ติดเชื้อมีผลตรวจเป็นบวก

ผู้ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อต้องแยกกักตัวนับจนถึงวันที่ 5 โดยสามารถยกเลิกการกักตัวได้ในวันที่ 6 แต่ถ้าผู้ใกล้ชิดมีผลตรวจหาเชื้อที่เป็นลบทั้งวันที่ 2 และ 3 โดยใช้ชุดตรวจแอนติเจนที่ได้รับการรับรองจากรัฐบาล ก็สามารถยกเลิกการกักตัวได้ในวันที่ 3

มาตรการต้านการติดเชื้อในกรณีนี้นั้นรวมถึงการสวมหน้ากากอนามัย การล้างมือ และการระบายอากาศในห้องบ่อย ๆ สมาชิกในครอบครัวไม่จำเป็นต้องตัดขาดกับผู้ติดเชื้อ ยกตัวอย่างเช่นการใช้ห้องแยกกันอย่างเด็ดขาด เป็นต้น

หากการสวมหน้ากากอนามัยเป็นเรื่องยากสำหรับเด็กเล็ก ก็ควรใช้มาตรการอื่น ๆ เช่น การล้างมือให้สะอาดทั่วถึงและเลี่ยงการใช้ผ้าเช็ดตัวร่วมกัน นอกจากนี้ ยังควรใช้มาตรการต้านการติดเชื้อพื้นฐานร่วมด้วย เช่น การระบายอากาศภายในห้อง และเลี่ยงการสัมผัสให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 11 สิงหาคม 2565)

จะตัดสินอย่างไรว่าบุคคลผู้นั้นเป็น “ผู้ใกล้ชิด” กับผู้ติดเชื้อ

เมื่อไม่นานมานี้ รัฐบาลญี่ปุ่นได้ปรับแนวทางเกี่ยวกับผู้ที่เป็นบุคคลใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ท่ามกลางการระบาดอันยืดเยื้อ เราจะอธิบายเกี่ยวกับ “ผู้ใกล้ชิด” โดยจะมุ่งเน้นว่าจะตัดสินอย่างไรว่าบุคคลผู้นั้นเป็นผู้ใกล้ชิด

ในยามที่กำลังเกิดการระบาด กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นอนุญาตให้ทางการท้องถิ่นตัดสินได้อย่างยืดหยุ่นว่าบุคคลคนหนึ่งเป็นผู้ใกล้ชิดผู้ติดเชื้อหรือไม่ โดยทางกระทรวงระบุว่าการรับมือจะต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับว่าการติดเชื้อเกิดขึ้นที่ใด

หากผู้ติดเชื้ออาศัยอยู่กับครอบครัว เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจะกำหนดว่าใครเป็นผู้ใกล้ชิดบ้างและขอให้พวกเขาจำกัดการทำกิจกรรมต่าง ๆ เนื่องจากสมาชิกในครอบครัวถือว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อ แต่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจะไม่สัมภาษณ์ขอข้อมูลเป็นรายบุคคล

ขณะเดียวกัน เชื่อกันว่าความเสี่ยงติดเชื้อที่สถานที่ทำงานนั้นน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการติดเชื้อในครัวเรือน ด้วยเหตุนี้ คาดว่าเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจะไม่ระบุผู้ใกล้ชิดทั้งหมดที่สถานที่ทำงาน หากมีใครติดเชื้อจากสถานที่ทำงานของตน บุคคลผู้อื่นก็ควรตัดสินใจเองว่าตนเป็นผู้ใกล้ชิดหรือไม่

อย่างไรก็ตาม หากว่าเป็นสถาบันทางการแพทย์ ตลอดจนสถานที่สำหรับผู้สูงอายุและผู้ที่มีความบกพร่องทางร่างกาย เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจะกำหนดตัวผู้ใกล้ชิดอย่างรวดเร็ว เนื่องจากบุคคลเหล่านี้จำนวนมากมีความเสี่ยงสูงที่จะป่วยหนัก

กระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่นระบุว่าทางการท้องถิ่นและคณะกรรมการการศึกษาควรกำหนดนโยบายสำหรับสถานดูแลเด็กเล็ก โรงเรียนอนุบาล โรงเรียนประถมและมัธยมต้น โดยมาตรการต่าง ๆ อาจต่างกันออกไประหว่างเด็กก่อนวัยเรียนกับเด็กนักเรียนทั่วไป เช่น การสวมหน้ากากอนามัย

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 10 สิงหาคม 2565)

การกำหนดว่าใครเป็น “ผู้ใกล้ชิด” กับผู้ติดโควิด-19

เมื่อไวรัสนี้แพร่ระบาด ใครก็ตามอาจสามารถติดเชื้อได้ไม่ว่าพวกเขาจะระมัดระวังแค่ไหน หน่วยงานด้านสาธารณสุขของญี่ปุ่นได้เปลี่ยนข้อกำหนดสำหรับผู้คนที่จัดว่าเป็นผู้ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ เพื่อให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุดต่อกิจกรรมทางสังคมและเศรษฐกิจ เราจะอธิบายว่าใครที่ถูกกำหนดให้เป็นผู้ใกล้ชิดและสิ่งที่พวกเขาต้องทำคืออะไร โดยครั้งนี้เป็นเรื่องที่ว่าจะจำแนกบุคคลใกล้ชิดอย่างไร

ผู้ใกล้ชิดคือคนที่อยู่ใกล้ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่หรือใช้เวลาบางช่วงอยู่กับผู้ติดเชื้อ คาดว่าคนเหล่านี้อาจได้รับเชื้อไวรัสมาและอาจติดเชื้อ มีเกณฑ์อยู่ไม่กี่ข้อสำหรับการตัดสินว่าคุณเป็นผู้ใกล้ชิดหรือไม่ ซึ่งได้แก่

- คุณอยู่ในระยะใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อไวรัสนี้ในช่วง 2 วันก่อนที่ผู้ติดเชื้อจะเกิดอาการต่าง ๆ และในช่วง 10 วันหลังจากที่อาการได้ปรากฏแล้ว แต่หากผ่านไป 7 วันหลังจากผู้ติดเชื้อเริ่มมีอาการแล้วอาการยังไม่หายไป ช่วงระยะเวลาดังกล่าวจะเพิ่มไปอีก 3 วันหลังจากที่อาการต่าง ๆ หายไป หากผู้ป่วยไม่มีอาการใด ๆ ช่วงเวลานี้จะเริ่มตั้งแต่ 2 วันก่อนที่ผู้ป่วยจะตรวจหาเชื้อและสิ้นสุด 7 วันหลังการตรวจหาเชื้อ
- คุณไม่ได้สวมหน้ากากอนามัยในตอนที่สัมผัสถูกตัวผู้ป่วยหรือคุณจับสิ่งของที่มีของเหลวของผู้ป่วยติดอยู่ หรืออยู่ในระยะที่เอื้อมถึงผู้ป่วยได้เป็นเวลานานกว่า 15 นาที ก็ทำให้คุณเป็นผู้ใกล้ชิดได้ด้วยเช่นกัน
- แม้ว่าผู้ป่วยจะเป็นคนในครอบครัวหรือคุณกำลังดูแลผู้ป่วยอยู่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะเป็นคนใกล้ชิดเสมอไป คุณสามารถเลี่ยงการถูกกำหนดให้เป็นผู้ใกล้ชิดได้ หากดำเนินมาตรการให้ถี่ถ้วนเหมือนกับมาตรการที่ใช้ในสถาบันทางการแพทย์และสถานที่พยาบาลดูแล
- แม้คุณใช้เวลาอยู่ใกล้ผู้ติดเชื้อนานกว่า 15 นาที แต่อาจจะไม่ถูกจัดให้เป็นผู้ใกล้ชิดเสมอไป ซึ่งการตัดสินใจเรื่องนี้พิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น คุณพูดคุยในช่วงดังกล่าวหรือไม่ ห้องนั้นมีอากาศถ่ายเทดีหรือไม่ และคุณสวมหน้ากากอนามัยหรือไม่

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2565)

ทำความรู้จัก BA.5 สายพันธุ์ย่อยของไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน ตอนที่ 6

เราจะนำเสนอเกี่ยวกับไวรัสสายพันธุ์ BA.5 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน โดยเป็นเรื่องเกี่ยวกับสายพันธุ์ย่อยชนิดอื่น ๆ ของโอไมครอนที่น่าเป็นกังวล

เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม เมืองโกเบ ทางตะวันตกของญี่ปุ่นได้รายงานกรณีติดเชื้อ BA.2.75 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอน โดยเป็นการติดเชื้อภายในประเทศรายแรกที่ไม่รวมผู้ติดเชื้อที่พบจากการกักกันโรค สายพันธุ์ย่อยนี้ตรวจพบในสหราชอาณาจักร เยอรมนี และสหรัฐ หลังจากที่มีรายงานครั้งแรกที่อินเดียเมื่อเดือนมิถุนายน

มีรายงานว่าสายพันธุ์ย่อยนี้มีความสามารถในการหลบเลี่ยงการตอบสนองของภูมิคุ้มกันมนุษย์ เช่นเดียวกับที่ BA.5 สามารถทำได้ รายงานต่าง ๆ แสดงให้เห็นว่าที่อินเดียนั้น สายพันธุ์ย่อยนี้แพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วกว่า BA.5

ศาสตราจารย์ฮามาดะ อัตสึโอะ จากมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์โตเกียวระบุว่า สายพันธุ์ย่อย BA.2.75 มีความสามารถในการหลบเลี่ยงระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ได้มากกว่า BA.2 เขากล่าวว่าสิ่งนี้หมายความว่าผู้ที่มีภูมิคุ้มกันแล้วจะเผชิญความเสี่ยงสูงกว่าเดิมที่จะติดเชื้อ

องค์การอนามัยโลกกำหนดให้สายพันธุ์ย่อย BA.2.75 เป็นสายพันธุ์กลายพันธุ์ที่น่าเป็นกังวลซึ่งอยู่ภายใต้การเฝ้าจับตา โดยศาสตราจารย์ฮามาดะกล่าวว่าหน่วยงานด้านสาธารณสุขในญี่ปุ่นควรเฝ้าจับตาลักษณะของสายพันธุ์ย่อยชนิดใหม่นี้อย่างใกล้ชิด

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 20 กรกฎาคม 2565)

ทำความรู้จัก BA.5 สายพันธุ์ย่อยของไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน ตอนที่ 5

เราจะนำเสนอเกี่ยวกับไวรัสสายพันธุ์ BA.5 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน โดยเป็นเรื่องเกี่ยวกับประสิทธิผลของวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

ในรายงานที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 24 มิถุนายนโดยหน่วยงานด้านสาธารณสุขของอังกฤษนั้น มีการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในช่วง 1 เดือนที่นับจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม ที่แสดงให้เห็นว่าประสิทธิผลของวัคซีนมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญเพียงเล็กน้อยระหว่างผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ย่อย BA.5 กับผู้ที่ติดเชื้อสายพันธุ์ย่อย BA.2

ขณะที่คณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐหรือ FDA ได้ประกาศเมื่อวันที่ 30 มิถุนายนว่า ขอแนะนำให้บริษัทยาทั้งหลายรวมเอาการปรับแต่งโปรตีนหนามเพิ่มเติมเข้าไปในวัคซีนเข็มกระตุ้นเพื่อสู้กับสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 อย่างไรก็ตาม FDA ไม่ได้ขอให้เปลี่ยนแปลงวัคซีนปัจจุบัน เนื่องจากวัคซีนเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นพื้นฐานในการป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยที่ติดเชื้อเกิดอาการหนัก

ศาสตราจารย์ฮามาดะ อัตสึโอะ จากมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์โตเกียวเตือนว่าญี่ปุ่นอาจเผชิญการติดเชื้อในระลอกที่ใหญ่ยิ่งกว่าเดิมอีกซึ่งจะเริ่มในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้ และเรียกร้องให้รัฐบาลเดินหน้าการหารือเกี่ยวกับการจัดทำโครงการฉีดวัคซีนสำหรับฤดูใบไม้ร่วงและบริหารจัดการเพื่อจัดหาวัคซีนให้เพียงพอ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 19 กรกฎาคม 2565)

ทำความรู้จัก BA.5 สายพันธุ์ย่อยของไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน ตอนที่ 4

เราจะนำเสนอเกี่ยวกับไวรัสสายพันธุ์ BA.5 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน โดยจะไปดูกันว่าสายพันธุ์ย่อยนี้ทำให้เกิดโรคได้มากกว่าหรือมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดโรคมากกว่าหรือไม่

กลุ่ม G2P-Japan ที่นำโดยศาสตราจารย์ซาโต เค จากสถาบันวิทยาศาสตร์การแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียว รายงานข้อมูลการวิจัยในบทความก่อนการตีพิมพ์ที่เผยแพร่ทางออนไลน์

คณะนักวิจัยสร้างไวรัสปลอมชนิดหนึ่งขึ้นมาซึ่งมีลักษณะของสายพันธุ์ย่อย BA.5 และไวรัสอีกชนิดหนึ่งซึ่งมีลักษณะของสายพันธุ์ย่อย BA.2 จากนั้นพวกเขาก็นำไวรัสแต่ละชนิดไปทำให้เซลล์เพาะเลี้ยงติดเชื้อ เพื่อตรวจดูว่าไวรัสดังกล่าวจะเติบโตได้มากแค่ไหน

พวกเขาพบว่า 24 ชั่วโมงต่อมา ระดับของไวรัสในเซลล์ที่ติดเชื้อสายพันธุ์ย่อย BA.5 สูงกว่าระดับของไวรัสในเซลล์ที่ติดเชื้อสายพันธุ์ย่อย BA.2 ถึง 34 เท่า

นอกจากนี้ คณะนักวิจัยยังระบุด้วยว่าการทดลองที่ใช้แฮมสเตอร์แสดงให้เห็นว่า แฮมสเตอร์ที่ถูกฉีดไวรัสสายพันธุ์ย่อย BA.2 เข้าไปในร่างกาย น้ำหนักตัวลดลงไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ขณะที่แฮมสเตอร์ตัวอื่นที่ถูกฉีดไวรัสสายพันธุ์ย่อย BA.5 เข้าไปในร่างกาย น้ำหนักตัวลดลงไปราวร้อยละ 10

ทางคณะระบุว่าระดับการติดเชื้อในปอดที่สังเกตได้จากการติดเชื้อ BA.5 นั้นสูงกว่าการติดเชื้อ BA.2 อย่างมีนัยสำคัญ และว่าการทดลองนี้ชี้ให้เห็นว่า BA.5 ทำให้เกิดโรคได้มากกว่า BA.2 และการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาการที่เกิดในมนุษย์นั้นเป็นสิ่งจำเป็น

ศาสตราจารย์ซาโตระบุว่าพิษจากไวรัสจะไม่อ่อนแอลงเสมอไป และว่าไวรัสยังคงกลายพันธุ์อย่างต่อเนื่องและจำเป็นที่จะต้องคงการระมัดระวังเอาไว้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 18 กรกฎาคม 2565)

ทำความรู้จัก BA.5 สายพันธุ์ย่อยของไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน ตอนที่ 3

เราจะนำเสนอเกี่ยวกับไวรัสสายพันธุ์ BA.5 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน โดยเป็นเรื่องที่ว่ามีโอกาสที่อาจจะป่วยหนักหรือไม่

ต่อคำถามนี้ องค์การอนามัยโลกระบุในรายงานรายสัปดาห์เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคมว่า ไม่มีหลักฐานที่ชี้ว่า BA.5 เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับ BA.2 อย่างไรก็ตาม รายงานระบุว่าจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ และจำนวนของผู้ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหรือรักษาในห้องไอซียู ตลอดจนจำนวนผู้เสียชีวิตนั้นกำลังเพิ่มสูงขึ้น

นอกจากนี้ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งยุโรประบุในรายงานเมื่อวันที่ 13 มิถุนายนว่า ในขณะที่ข้อมูลยังมีอยู่อย่างจำกัด ไม่มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า BA.5 ทำให้ผู้คนที่มีอาการหนักมีจำนวนมากกว่าเดิม ขณะเดียวกัน รายงานระบุด้วยว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีผู้เสียชีวิตมากขึ้นและมีผู้คนจำนวนมากขึ้นที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ถ้าการติดเชื้อเพิ่มขึ้น

ศาสตราจารย์ฮามาดะ อัตสึโอะ จากโรงพยาบาลแห่งมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์โตเกียว ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการติดเชื้อในต่างประเทศระบุว่า BA.5 มีความสามารถในการติดต่อได้ง่ายกว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับบรรดาสายพันธุ์ย่อยก่อนหน้านี้ และยังสามารถทำให้ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันติดเชื้อได้ด้วย ไม่ใช่แค่ว่า BA.2 กำลังถูกแทนที่เท่านั้น แต่จำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มมากขึ้นในระดับหนึ่งนั้นเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ด้วย เขากล่าวว่าเราควรคงการเฝ้าระวังเอาไว้เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อที่มีอาการหนักจะเพิ่มขึ้น หากมีผู้ติดเชื้อจำนวนมากขึ้น

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 15 กรกฎาคม 2565)

ทำความรู้จัก BA.5 สายพันธุ์ย่อยของไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน ตอนที่ 2

เราจะนำเสนอเกี่ยวกับไวรัสสายพันธุ์ BA.5 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน โดยเป็นเรื่องลักษณะเฉพาะของสายพันธุ์ย่อยนี้

BA.5 มีการกลายพันธุ์แบบ L452R และการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ในส่วนโปรตีนหนาม โดยโปรตีนหนามที่อยู่บนพื้นผิวของไวรัสนั้นมีบทบาทสำคัญในการทำให้เกิดการติดเชื้อในเซลล์เจ้าบ้านหรือโฮสต์เซลล์

เป็นที่ทราบกันว่าการกลายพันธุ์แบบ L452R ช่วยให้ไวรัสนี้หนีการตอบสนองของภูมิคุ้มกันมนุษย์ได้ ข้อมูลที่ปรับใหม่ขององค์การอนามัยโลกที่ออกมาเมื่อช่วงต้นเดือนกรกฎาคมแสดงให้เห็นว่า BA.5 ทำให้ประสิทธิผลของสารภูมิต้านทานที่มีฤทธิ์ลบล้างไวรัสลดลงไปกว่า 7 เท่า เมื่อเทียบกับ BA.1

ผู้เชี่ยวชาญยังคาดว่าขีดความสามารถของภูมิคุ้มกันที่ได้จากการฉีดวัคซีนมีแนวโน้มที่จะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งทำให้เกิดการแพร่ระบาดในช่วงไม่นานมานี้

ที่ญี่ปุ่นนั้น ศาสตราจารย์นิชิอูระ ฮิโรชิ จากมหาวิทยาลัยเกียวโตได้นำเสนอข้อมูลส่วนหนึ่งต่อที่ประชุมของคณะผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ข้อมูลดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าสัดส่วนของผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนกำลังลดลง

ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่านับจนถึงปลายเดือนมิถุนายน ร้อยละ 44.6 ของผู้ที่อยู่ในช่วงวัย 20 ปี มีภูมิคุ้มกัน ขณะที่ผู้คนที่อยู่ในช่วงวัย 70 ปี ตัวเลขดังกล่าวอยู่ที่ร้อยละ 37.4

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 14 กรกฎาคม 2565)

ทำความรู้จัก BA.5 สายพันธุ์ย่อยของไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน ตอนที่ 1

เราจะนำเสนอเกี่ยวกับไวรัสสายพันธุ์ BA.5 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน โดยไวรัสกลายพันธุ์นี้เป็นสายพันธุ์หลักที่กำลังระบาดอยู่ในสหรัฐและประเทศในยุโรป รวมถึงกำลังระบาดในญี่ปุ่นด้วย

BA.5 เป็นสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอน และได้รับการยืนยันครั้งแรกในแอฟริกาใต้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2565 โดยนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม เกิดการระบาดหลัก ๆ ในสหรัฐและยุโรป องค์การอนามัยโลกระบุว่านับจนถึงกลางเดือนมิถุนายน BA.5 คิดเป็นราวร้อยละ 40 ของผู้ที่ตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ทั้งหมดทั่วโลก

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐระบุในรายงานรายสัปดาห์ว่า นับจนถึงวันที่ 2 กรกฎาคม BA.5 คิดเป็นร้อยละ 53.6 ของผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั่วสหรัฐ เชื่อกันว่าสายพันธุ์ย่อยนี้มีส่วนที่ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นในช่วงไม่นานมานี้

หน่วยงานด้านสาธารณสุขของอังกฤษได้ประกาศเมื่อวันที่ 24 มิถุนายนว่า คาดกันว่า BA.5 แพร่ระบาดเร็วกว่าสายพันธุ์ย่อย BA.2 ที่ร้อยละ 35.1 โดยนับจนถึงช่วงนั้น BA.2 คือสายพันธุ์หลักที่ระบาดอยู่มากกว่าสายพันธุ์อื่น

คณะผู้เชี่ยวชาญของทางการกรุงโตเกียวซึ่งประเมินสถานการณ์ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ระบุว่า ร้อยละ 33.4 ของผู้ติดเชื้อในกรุงโตเกียวในช่วงสัปดาห์ที่นับจนถึงวันที่ 27 มิถุนายนนั้น คาดว่าเป็นการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ย่อย BA.5

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 13 กรกฎาคม 2565)

ลองโควิด ตอนที่ 8

เราจะนำเสนอเกี่ยวกับลองโควิด โดยครั้งนี้เป็นเรื่องความสำคัญของการให้การรักษาอย่างเหมาะสมต่อผู้ป่วยที่มีอาการเรื้อรัง

ในขณะที่ยังมีสิ่งที่เราไม่ทราบอีกมากเกี่ยวกับลองโควิดทั้งในแง่ของขอบเขตอาการที่เกิดขึ้นตามมาและสาเหตุของอาการเหล่านี้ ผู้เชี่ยวชาญสองท่านซึ่งให้การรักษาผู้ป่วยลองโควิดก็ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเอาใจใส่ผู้ป่วยจากอาการเช่นว่านี้

ศาสตราจารย์โยโกยามะ อากิฮิโตะ จากมหาวิทยาลัยโคจิระบุว่า ไม่ว่าสาเหตุของอาการจะเกิดจากอะไร ก็ไม่อาจเลี่ยงความจริงที่ว่ายังคงมีผู้คนที่ประสบอาการหลังติดเชื้อไวรัสนี้ และได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จะดูแลผู้ป่วยเหล่านี้อย่างถูกต้องเหมาะสม

ด้านศาสตราจารย์ชิโมฮาตะ ทากาโยชิ จากมหาวิทยาลัยกิฟุระบุว่า ในขณะที่ผู้ป่วยบางคนมีอาการอักเสบในเซลล์สมอง ก็อาจส่งผลให้ผู้ป่วยคนอื่น ๆ มีภาวะความไม่มั่นคงทางจิตใจจากการต้องรับมือกับอาการเรื้อรังของตนเอง ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะที่อาการย่ำแย่ลง เขากล่าวว่าแพทย์ต้องช่วยผู้ป่วยอย่างเต็มที่ไม่ว่าสาเหตุของอาการเหล่านั้นคืออะไรก็ตาม

ศาสตราจารย์ชิโมฮาตะเน้นย้ำว่าเพื่อที่จะให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์ที่จำเป็นแก่ผู้ป่วยและให้ความรู้แก่สาธารณชนเกี่ยวกับสถานการณ์นี้นั้น รัฐบาลต้องลงทุนด้านการวิจัยและจัดตั้งศูนย์การแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านการรักษาอาการลองโควิด

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 12 กรกฎาคม 2565)

ลองโควิด ตอนที่ 7

เราจะมุ่งเน้นเรื่องผลกระทบทั้งระยะกลางและระยะยาวที่ทราบกันว่าเป็นอาการหลังหายจากโรคโควิด-19 หรือ ลองโควิด โดยครั้งนี้เป็นเรื่องอาการลองโควิดหลังการติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน

ทางการกรุงโตเกียวได้จัดทำรายงานลักษณะอาการของลองโควิดที่มีรายงานจากผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนกว่า 2,000 คน ในช่วง 4 เดือนนับจนถึงเดือนเมษายน

รายงานดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าร้อยละ 38.6 มีอาการไอ ร้อยละ 34.0 มีอาการเหนื่อยอ่อน ร้อยละ 10.6 มีปัญหาเรื่องการรับรส ร้อยละ 9.5 มีปัญหาเรื่องการรับกลิ่น

ผู้เชี่ยวชาญที่วิเคราะห์ข้อมูลนี้ระบุว่าพวกเขาพบว่าอาการต่าง ๆ เช่น ปัญหาเรื่องการรับกลิ่นและรับรสรวมถึงผมร่วงนั้น น้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับลองโควิดที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตา หรือสายพันธุ์กลายพันธุ์อื่น ๆ

นอกจากนี้ คณะนักวิจัยจากศูนย์การแพทย์และสาธารณสุขนานาชาติแห่งชาติของญี่ปุ่นยังได้เผยแพร่งานวิจัยซึ่งเปรียบเทียบผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์อื่นที่ระบาดก่อนหน้านี้ โดยดูข้อมูลเรื่องอายุ เพศ และสถานะการฉีดวัคซีน

ผลที่ได้แสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนแสดงอาการที่เชื่อว่าเป็นลองโควิด 1 ใน 10 เมื่อเทียบกับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์อื่น

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่านับตั้งแต่ที่จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนมีมากกว่าไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์อื่นอย่างเห็นได้ชัด ผู้ป่วยที่มีอาการลองโควิดจึงมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้น

ข้อมูลที่เผยแพร่โดยรัฐบาลอังกฤษชี้ให้เห็นว่าในกลุ่มผู้ที่ได้รับวัคซีน 2 เข็มแล้ว ความถี่ของการได้รับแจ้งว่าผู้ที่มีอาการลองโควิดหลังติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนนั้นน้อยกว่าประมาณร้อยละ 50 ของผู้ที่มีอาการเช่นว่านี้หลังติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตา

นับจนถึงปัจจุบัน ข้อมูลดังกล่าวไม่มีรายงานว่าในกรณีที่ติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน อาการหลังหายจากโควิด-19 นั้นจะเกิดขึ้นต่อเนื่องนานกว่าหรือไม่

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 11 กรกฎาคม 2565)

ลองโควิด ตอนที่ 6

เราจะมุ่งเน้นเรื่องผลกระทบทั้งระยะกลางและระยะยาวที่ทราบกันว่าเป็นอาการหลังหายจากโรคโควิด-19 หรือ ลองโควิด โดยครั้งนี้เป็นเรื่อง “สมองล้า”

“สมองล้า” เป็นหนึ่งในอาการทั่วไปที่พบเห็นได้มากที่สุดของลองโควิด โดยเป็นอาการที่ผู้คนรู้สึกว่าสมองของตนทำงานได้ไม่เต็มที่ราวกับถูกหมอกปกคลุม

ศาสตราจารย์ชิโมฮาตะ ทากาโยชิ จากมหาวิทยาลัยกิฟุ ซึ่งเป็นนักประสาทวิทยาด้านสมอง ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดทำคู่มือการรักษาลองโควิดของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นระบุว่า เป็นเรื่องยากที่จะวินิจฉัยอาการ “สมองล้า” เพราะมักมีกรณีที่ผล MRI หรือผลตรวจเลือด ไม่แสดงความผิดปกติใด ๆ อยู่บ่อยครั้ง

เขากล่าวเสริมว่าอย่างไรก็ตาม การวิจัยถึงสาเหตุของอาการดังกล่าวมีความคืบหน้าบางประการแล้ว และว่าการทดลองในสัตว์ที่ต่างประเทศได้ชี้ให้เห็นว่า สารต่าง ๆ อย่างเช่น ออโตแอนติบอดีหรือไซโตไคน์ เกิดขึ้นโดยเป็นผลจากการอักเสบทั่วทั้งร่างกายเนื่องจากติดเชื้อไวรัสนี้ ทั้งนี้ ออโตแอนติบอดีเข้าโจมตีร่างกายตัวเอง ขณะที่ไซโตไคน์ทำให้เกิดการอักเสบ

ศาสตราจารย์ชิโมฮาตะกล่าวว่าเชื่อกันอย่างกว้างขวางว่าสารเช่นว่านี้เข้าสู่สมองผ่านทางกระแสเลือดและทำให้เกิดการอักเสบที่สมอง เขากล่าวเสริมว่าขณะนี้ยังไม่มีวิธีการรักษาอาการนี้โดยตรง แพทย์แค่รักษาไปตามอาการเท่านั้น เขาเน้นย้ำถึงความสำคัญที่จะต้องทำความเข้าใจว่าอาการดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไรและหาแนวทางรักษาที่ดีกว่าเดิม

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 8 กรกฎาคม 2565)

ลองโควิด ตอนที่ 5

เราจะมุ่งเน้นเรื่องผลกระทบทั้งระยะกลางและระยะยาวที่ทราบกันว่าเป็นอาการหลังหายจากโรคโควิด-19 หรือ ลองโควิด โดยครั้งนี้เป็นเรื่องความเสี่ยงที่จะเกิดอาการที่ว่านี้

อิวาซากิ อากิโกะ ศาสตราจารย์ด้านชีววิทยาภูมิคุ้มกันจากมหาวิทยาลัยเยลในสหรัฐ ได้แสดงความกังวลว่าการเกิดผลกระทบต่าง ๆ ที่ตามมาหลังโรคโควิด-19 นั้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่ผู้ที่ป่วยหนักจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เท่านั้น

การวิจัยที่ดำเนินการในสหรัฐแสดงให้เห็นว่า ร้อยละ 75 ของผู้ที่เผชิญอาการหลังโรคโควิด-19 ไม่ได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในตอนที่พวกเขาติดเชื้อไวรัสนี้ คณะนักวิจัยเชื่อว่าผู้ที่ไม่มีอาการหรือแสดงอาการน้อยมาก ก็สามารถเป็นลองโควิดได้เช่นกัน

ศาสตราจารย์อิวาซากิกล่าวว่าคำอธิบายที่เป็นไปได้มากที่สุดสำหรับกรณีนี้ก็คือ ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ซ่อนอยู่ที่ใดที่หนึ่งในร่างกาย โดยทำให้เกิดการอักเสบซึ่งไปกระตุ้นอาการต่าง ๆ ในอวัยวะอื่น

เธอกล่าวว่ามีกรณีของผู้ป่วยโควิด-19 ที่ไม่มีอาการ แต่เริ่มแสดงให้เห็นอาการต่าง ๆ ที่ดูคล้ายลองโควิด 2 หรือ 3 เดือนหลังการติดเชื้อ มีรายงานที่แสดงให้เห็นว่ากลุ่มผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้วและมีอาการลองโควิดนั้นมีสัดส่วนที่ต่ำกว่า แต่สัดส่วนดังกล่าวก็ต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับรายงาน

ศาสตราจารย์อิวาซากิกล่าวว่าเราไม่สามารถรู้สึกได้ว่าปลอดภัยเพียงเพราะได้รับวัคซีนแล้ว

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 7 กรกฎาคม 2565)

ลองโควิด ตอนที่ 4

เราจะมุ่งเน้นเรื่องผลกระทบทั้งระยะกลางและระยะยาวที่ทราบกันว่าเป็นอาการหลังหายจากโรคโควิด-19 หรือ ลองโควิด โดยครั้งนี้เป็นเรื่อง “อาการหลังหายจากโรคโควิด-19 เกิดขึ้นได้อย่างไร”

อาการหลังหายจากโรคโควิด-19 เกิดขึ้นได้อย่างไร อิวาซากิ อากิโกะ ศาสตราจารย์ด้านชีววิทยาภูมิคุ้มกันจากมหาวิทยาลัยเยลในสหรัฐ นำเสนอสมมติฐาน 4 ข้อดังต่อไปนี้

1. เศษของไวรัสที่แตกตัวออกมาทำให้เกิดการอักเสบเป็นเวลานาน แม้เป็นช่วงหลังจากที่อาการแรกเริ่ม เช่น ไอหรือมีไข้สูง ได้หายไปแล้วก็ตาม
2. ระบบภูมิคุ้มกันซึ่งควรจะต้องปกป้องร่างกายของเรากลับเข้าโจมตี
3. อวัยวะซึ่งเสียหายจากการติดเชื้อฟื้นตัวช้า
4. ไวรัสต่าง ๆ ที่อยู่ในร่างกายมาตั้งแต่ก่อนที่จะเกิดอาการของโรคโควิด-19 เช่น ไวรัสโรคเริม ถูกกระตุ้นขึ้นมาอีกครั้ง

ศาสตราจารย์อิวาซากิกล่าวว่ามีความเป็นไปได้ที่ว่าอาการหลากหลายของลองโควิดเกิดขึ้นจากปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้รวมกัน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 6 กรกฎาคม 2565)

ลองโควิด ตอนที่ 3

เราจะมุ่งเน้นเรื่องผลกระทบทั้งระยะกลางและระยะยาวที่ทราบกันว่าเป็นอาการหลังหายจากโรคโควิด-19 หรือ ลองโควิด โดยครั้งนี้เป็นเรื่อง “จะจำแนกอาการหลังหายจากโรคโควิด-19 ได้อย่างไร”

องค์การอนามัยโลกจำแนกอาการหลังโรคโควิด-19 ว่าเป็นอาการป่วยที่เกิดขึ้นในกลุ่มผู้คนที่มีประวัติว่าอาจติดเชื้อหรือได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยปกติแล้วจะเกิดขึ้นภายใน 3 เดือนนับตั้งแต่เริ่มป่วยด้วยโรคโควิด-19 ซึ่งอาการและผลกระทบต่าง ๆ จะกินเวลาอย่างน้อย 2 เดือน

องค์การอนามัยโลกยังระบุด้วยว่าอาการและผลกระทบหลังโรคโควิด-19 ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยการวินิจฉัยแยกโรค

อย่างไรก็ตาม มีอาการหลายประเภทที่องค์การอนามัยโลกได้ให้คำอธิบายไว้และผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่งกำลังตั้งคำถามว่าอาการทั้งหมดนี้เกิดจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จริงหรือไม่

ศาสตราจารย์โยโกยามะ อากิฮิโตะ จากมหาวิทยาลัยโคจิ ซึ่งเป็นผู้นำคณะนักวิจัยของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่นระบุว่า “การสำรวจของเราพบว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะตัดสินใจว่าอาการต่าง ๆ เป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นหลังการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่หรือไม่ เนื่องจากเราไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับผู้คนที่ไม่มีประวัติการติดเชื้อแต่ระบุว่ามีอาการเหล่านี้ มีความเป็นไปได้สูงที่ผู้ป่วยกำลังเผชิญอาการผลกระทบหลังการติดเชื้อ หากภาพปอดของพวกเขาแสดงให้เห็นความผิดปกติและมีปัญหาเรื่องการหายใจลำบาก

อย่างไรก็ตาม อาการอย่างเช่นความผิดปกติในการนอนหลับและปัญหาสุขภาพจิต เป็นสิ่งที่บอกได้ยากว่าเกิดขึ้นจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่หรือไม่ เป็นไปได้ว่าอาการเช่นว่านี้เกิดขึ้นจากเหตุผลอื่น ๆ และผู้ป่วยอาจเผชิญปัญหาหากไม่สามารถเข้ารับการวินิจฉัยได้อย่างเหมาะสม อาการบางอย่างที่จัดว่าเป็นอาการหลังหายจากโรคโควิด-19 จริง ๆ แล้วอาจเกิดจากโรคอื่นที่สามารถรักษาได้ โดยเชื่อว่าในอนาคตการทำความเข้าใจลองโควิดอย่างถูกต้องจะกลายเป็นสิ่งจำเป็น ด้วยการเปรียบเทียบอาการของผู้ที่เคยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่กับผู้ที่มีสุขภาพดี หรือผู้ที่เคยเป็นปอดอักเสบที่ไม่ได้เกิดจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่”

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 5 กรกฎาคม 2565)

ลองโควิด ตอนที่ 2

เราจะมุ่งเน้นเรื่องอาการต่าง ๆ ที่ถูกจัดว่าเป็นลองโควิด โดยจะนำเสนอการสำรวจของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่นกันต่อ

คณะนักวิจัยของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่น ซึ่งนำโดยศาสตราจารย์ฟูกูนางะ โคอิจิ จากมหาวิทยาลัยเคโอ ได้ทำการสำรวจผู้ป่วยกว่า 1,000 คนที่มีอาการปานกลางไปจนถึงอาการหนักจากโรคโควิด-19 ในช่วง 1 ปีหลังจากที่ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อ

คณะนักวิจัยพบว่า 1 ปีหลังการติดเชื้อ ร้อยละ 12.8 ยังคงรู้สึกเหนื่อยอ่อน ร้อยละ 8.6 หายใจลำบาก ร้อยละ 7.5 ระบุว่าความแข็งแรงของกล้ามเนื้อลดลงไป ร้อยละ 7.2 ความทรงจำเลอะเลือน ร้อยละ 7 เกิดความผิดปกติด้านการนอนหลับ ร้อยละ 6.4 ปวดตามข้อ ร้อยละ 5.5 ปวดกล้ามเนื้อ ร้อยละ 5.4 ระบุว่ามีปัญหาเรื่องการรับกลิ่น ร้อยละ 5.2 มีเสมหะ ร้อยละ 5.1 ผมร่วง ร้อยละ 5.0 ปวดศีรษะ ร้อยละ 4.7 มีปัญหาเรื่องการรับรส ร้อยละ 4.6 มีอาการไอ ร้อยละ 3.9 แขนขาชา ร้อยละ 3.6 มีปัญหาเรื่องดวงตา ส่วนผู้ที่ระบุว่ามีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งคิดเป็นร้อยละ 33 ของทั้งหมด

การสำรวจนี้เหมือนกับที่เราได้รายงานไปเมื่อครั้งก่อน โดยคณะนักวิจัยไม่ได้ดำเนินการสำรวจเชิงเปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่ได้ติดเชื้อไวรัสนี้ คณะนักวิจัยระบุว่าด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถยืนยันได้ว่าแต่ละอาการเป็นผลกระทบระยะยาวของโรคโควิด-19

ที่ผ่านมา มีความพยายามใช้วิธีรักษาอาการเหล่านี้มากมาย แต่วิธีทั้งหมดไม่ใช่การรักษาแบบเฉพาะเจาะจง แต่เป็นการรักษาตามอาการเท่านั้น

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 4 กรกฎาคม 2565)

ลองโควิด ตอนที่ 1

นับจนถึงปลายเดือนมิถุนายนปี 2565 มีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่มากกว่า 9,300,000 คนในญี่ปุ่น ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งเผชิญปัญหาอาการย่ำแย่แม้ว่าจะเป็นช่วงหลังจากหายป่วยแล้วก็ตาม มองกันว่าอาการเหล่านั้นคือสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าเป็นผลที่เกิดขึ้นตามมาหลังการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ ลองโควิด

ครั้งนี้เราจะนำเสนอรายละเอียดของสิ่งที่เราทราบจนถึงตอนนี้ว่าอาการใดที่ถูกจัดว่าเป็นลองโควิด และอาการดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร

คณะนักวิจัยของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่น ซึ่งนำโดยศาสตราจารย์โยโกยามะ อากิฮิโตะ จากมหาวิทยาลัยโคจิ ได้ทำการสำรวจผู้ป่วยกว่า 1,000 คนทั่วญี่ปุ่นที่เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลเนื่องจากมีอาการปานกลางหรืออาการหนัก ในช่วง 1 ปีที่นับจนถึงเดือนกันยายนปี 2564

คณะนักวิจัยตรวจสอบอาการของพวกเขาทุก ๆ 3 เดือน โดยอิงจากบันทึกการสอบถามอาการโดยแพทย์และการตอบคำถามของผู้ป่วย หลังการติดเชื้อ 3 เดือน ราวร้อยละ 50 ของผู้ป่วยที่เข้าร่วมการสำรวจ มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ร้อยละ 30 ระบุว่าพวกตนหายใจลำบาก ร้อยละ 25 มีอาการเหนื่อยอ่อน กว่าร้อยละ 20 มีปัญหาเรื่องการนอนหลับ และราวร้อยละ 18 ระบุว่าพวกตนไม่ค่อยมีสมาธิ ปวดกล้ามเนื้อ และไอ ในจำนวนนี้ของผู้ป่วย มีบางคนที่พบหลายอาการ

จำนวนของผู้ที่ระบุว่ามีอาการเหล่านี้มีแนวโน้มลดลงเมื่อเวลาผ่านไป โดย 1 ปีหลังการติดเชื้อ ร้อยละ 10.1 ระบุว่ามีปัญหาเรื่องการนอนหลับ ร้อยละ 9.3 กล้ามเนื้ออ่อนแรง ร้อยละ 6.0 หายใจลำบาก ร้อยละ 5.3 ไม่ค่อยมีสมาธิ ร้อยละ 5.0 มีอาการไอ ร้อยละ 4.9 เหนื่อยอ่อน และร้อยละ 4.6 ปวดกล้ามเนื้อ

ส่วนผู้ที่ระบุว่ามีอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง คิดเป็นร้อยละ 13.6 จากผู้ป่วยทั้งหมด

คณะนักวิจัยระบุว่าผู้ที่มีอาการหนักด้านระบบทางเดินหายใจ มีแนวโน้มที่จะเป็นลองโควิดรุนแรงกว่า

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 1 กรกฎาคม 2565)

การสวมหน้ากากอย่างมีประสิทธิภาพไปพร้อมกับการเลี่ยงโรคลมแดดท่ามกลางอุณหภูมิที่สูงขึ้น ตอนที่ 3

เราจะนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับวิธีสวมหน้ากากได้อย่างมีประสิทธิภาพไปพร้อมกับการเลี่ยงโรคลมแดดท่ามกลางอุณหภูมิที่สูงขึ้น โดยจะมุ่งเน้นเรื่องที่ว่าควรจะต้องพิจารณาอะไรบ้างเมื่อต้องตัดสินใจว่าควรสวมหน้ากากหรือไม่ในสถานการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง

เราสอบถามศาสตราจารย์ฮิราตะ อากิมาซะ จากสถาบันเทคโนโลยีนาโงยะและเป็นหนึ่งในสมาชิกของคณะศึกษาความเสี่ยงเรื่องโรคลมแดดขององค์การอนามัยโลก

ศาสตราจารย์ฮิราตะกล่าวว่าเราต้องหมั่นระวังโรคลมแดดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูที่ทั้งอุณหภูมิและความชื้นสูง เขาเตือนว่าผู้คนมีแนวโน้มไม่ค่อยรู้สึกกระหายน้ำเมื่อสวมหน้ากากอยู่ ซึ่งอาจทำให้ร่างกายได้รับน้ำน้อยลง

ศาสตราจารย์ฮิราตะอธิบายว่ากล่าวกันว่าโรคลมแดดเกิดขึ้นเมื่อร่างกายขาดน้ำและอุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น เขาแนะนำให้พยายามตระหนักอยู่เสมอว่าร่างกายต้องการน้ำเนื่องจากความเสี่ยงที่จะเป็นโรคลมแดดเพิ่มมากขึ้นเมื่อไม่ได้ดื่มน้ำอย่างเพียงพอ และเกือบที่จะเกิดอาการขาดน้ำ

ส่วนวิธีที่จัดการกับการสวมหน้ากากนั้น ศาสตราจารย์ฮิราตะกล่าวว่าสามารถถอดหน้ากากออกได้หากเว้นระยะห่างจากผู้อื่นอย่างเพียงพอ ขณะเดียวกันก็ควรสวมหน้ากากในสถานที่ที่มีความเสี่ยงสูงว่าจะติดเชื้อ เขากล่าวว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือการตัดสินใจที่ขึ้นอยู่กับสถานที่และสถานการณ์

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 14 มิถุนายน 2565)

การสวมหน้ากากอย่างมีประสิทธิภาพไปพร้อมกับการเลี่ยงโรคลมแดดท่ามกลางอุณหภูมิที่สูงขึ้น ตอนที่ 2

การสวมหน้ากากเพื่อป้องกันการติดเชื้อโรคโควิด-19 สามารถทำให้เกิดข้อเสียบางประการในช่วงที่อากาศร้อน เราจะนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับวิธีสวมหน้ากากได้อย่างมีประสิทธิภาพไปพร้อมกับการเลี่ยงโรคลมแดดท่ามกลางอุณหภูมิที่สูงขึ้น โดยจะมุ่งเน้นเรื่องที่ว่าการสวมหน้ากากทำให้ความเสี่ยงเป็นโรคลมแดดเพิ่มสูงขึ้นหรือไม่

เราสอบถามศาสตราจารย์ฮิราตะ อากิมาซะ จากสถาบันเทคโนโลยีนาโงยะและเป็นหนึ่งในสมาชิกของคณะศึกษาความเสี่ยงเรื่องโรคลมแดดขององค์การอนามัยโลก

ศาสตราจารย์ฮิราตะกล่าวว่าการศึกษาที่ผ่าน ๆ มาแสดงให้เห็นว่าการสวมหน้ากากส่งผลต่ออุณหภูมิร่างกายน้อยกว่าส่วนที่สวมหน้ากากกับบริเวณรอบ ๆ เขากล่าวว่าอุณหภูมิภายในร่างกายของผู้ที่สวมหน้ากากเพิ่มขึ้น 0.06 ถึง 0.08 ซึ่งต่ำกว่า 1 องศาเซลเซียส โดยระดับ 1 องศาเซลเซียสคือตัวชี้วัดคร่าว ๆ ของความเสี่ยงเกิดโรคลมแดด

ศาสตราจารย์ฮิราตะกล่าวว่าสิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าการสวมหน้ากากไม่น่าจะนำไปสู่ความเสี่ยงโรคลมแดดที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่าความเสี่ยงเป็นโรคลมแดดอาจเพิ่มมากขึ้น หากมีการสวมหน้ากากและออกกำลังกายอย่างหนักหน่วง

เขากล่าวด้วยว่ามีข้อมูลไม่มากนักเกี่ยวกับเด็กเล็กและเด็กวัยหัดเดินในเรื่องการสวมหน้ากากกับความเสี่ยงเป็นโรคลมแดด เขาขอให้ผู้ปกครองเพิ่มความระมัดระวังโรคลมแดดโดยปฏิบัติตามแนวทางของรัฐบาล

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 13 มิถุนายน 2565)

การสวมหน้ากากอย่างมีประสิทธิภาพไปพร้อมกับการเลี่ยงโรคลมแดดท่ามกลางอุณหภูมิที่สูงขึ้น ตอนที่ 1

การสวมหน้ากากเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ แต่อากาศที่อุ่นขึ้น การสวมหน้ากากจึงทำให้ร้อนและหายใจไม่สะดวก เราจะนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการสวมหน้ากากได้อย่างมีประสิทธิภาพไปพร้อมกับการเลี่ยงโรคลมแดดท่ามกลางอุณหภูมิที่สูงขึ้น

เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม รัฐบาลญี่ปุ่นได้เปลี่ยนนโยบายพื้นฐานในการรับมือไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยระบุว่าการสวมหน้ากากยังคงเป็นหนึ่งในมาตรการต้านไวรัสที่สำคัญมาก แต่ก็ยอมรับได้หากจะถอดหน้ากากออกภายใต้เงื่อนไขบางประการ ได้แก่

เมื่ออยู่นอกอาคาร สามารถถอดหน้ากากออกได้หากคงระยะห่างไว้ที่ 2 เมตรหรือมากกว่านั้น ถึงแม้จะมีผู้คนอยู่ใกล้ ๆ การสวมหน้ากากก็ไม่จำเป็นถ้าไม่ได้ไปสนทนากับบุคคลผู้นั้น รัฐบาลญี่ปุ่นแนะนำให้ถอดหน้ากากโดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน เพื่อป้องกันโรคลมแดด

เมื่ออยู่ในอาคาร สามารถถอดหน้ากากออกได้เมื่อเว้นระยะห่าง 2 เมตรหรือมากกว่านั้น หรือในตอนที่แทบจะไม่ได้สนทนากับใคร

เมื่ออยู่ในโรงเรียน สามารถถอดหน้ากากออกได้ในชั้นเรียนพลศึกษา แนวทางนี้ใช้กับกิจกรรมชมรมหลังเลิกเรียนด้วย สำหรับการแข่งขันกีฬาที่มีการสัมผัสกัน ควรปฏิบัติตามแนวทางที่จัดเตรียมไว้โดยสมาคมกีฬาต่าง ๆ

ไม่แนะนำให้เด็กที่มีอายุไม่ถึง 2 ขวบสวมหน้ากาก สำหรับเด็กก่อนวัยเรียนอายุ 2 ขวบขึ้นไป ไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากในโรงเรียนอนุบาลหรือสถานดูแลเด็กก่อนวัยเรียน ไม่ว่าจะมีการเว้นระยะห่างหรือไม่ก็ตาม

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 10 มิถุนายน 2565)

การฉีดวัคซีนให้แก่เด็กในญี่ปุ่น ตอนที่ 9

เราจะนำเสนอข้อมูลซึ่งรวมถึงข้อมูลใหม่ ๆ เพื่อช่วยให้เด็กและผู้ปกครองของเด็กร่วมกันตัดสินใจว่าจะเข้ารับวัคซีนหรือไม่ โดยครั้งนี้เราจะไปดูทัศนะของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการที่เด็กเข้ารับวัคซีน

ศาสตราจารย์นากายามะ เท็ตสึโอะ จากมหาวิทยาลัยคิตาซาโตะ ซึ่งเป็นกุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องวัคซีนได้แสดงทัศนะโดยระบุว่า เขาแนะนำให้เด็ก ๆ ที่มีปัญหาสุขภาพอยู่ก่อนแล้ว เช่น โรคหืดรุนแรง ไปเข้ารับวัคซีน ขณะเดียวกัน เขาก็ขอแนะนำให้ครอบครัวของเด็กที่ไม่มีปัญหาสุขภาพใด ๆ ตัดสินใจโดยอิงจากการใช้ชีวิตของเด็กและสถานการณ์ภายในครัวเรือน

ศาสตราจารย์นากายามะแนะนำให้เด็กที่มักจะไปยังสถานที่ที่มีผู้คนมารวมตัวกันซึ่งรวมถึงการทำกิจกรรมนอกโรงเรียน กิจกรรมชมรม หรือเด็กที่เล่นกีฬา ไปเข้ารับวัคซีน เขายังแนะนำให้เด็กที่อาศัยอยู่กับปู่ย่าตายายไปเข้ารับวัคซีนด้วย เพื่อปกป้องชีวิตของบุคคลอันเป็นที่รัก

ศาสตราจารย์นากายามะระบุว่าโดยทั่วไปแล้ว วัคซีนช่วยให้พวกเราใช้ชีวิตที่มีสุขภาพดีได้ ยกตัวอย่างเช่นกรณีของโรคหัดเยอรมัน มีแค่ 1 ใน 1,000 คนเท่านั้นที่ป่วยเป็นโรคนี้แล้วมีอาการหนักซึ่งรวมถึงสมองอักเสบด้วย แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ผู้คนก็ยังคงไปเข้ารับวัคซีนและแทบจะไม่ป่วยเป็นโรคนี้

เขากล่าวว่าเราควรมองว่าวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ก็เหมือนกับวัคซีนอื่น ๆ และเน้นย้ำถึงความสำคัญที่ผู้คนจะหาความรู้ให้แก่ตัวเองเกี่ยวกับวัคซีนและโรคติดเชื้อต่าง ๆ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 18 พฤษภาคม 2565)

การฉีดวัคซีนให้แก่เด็กในญี่ปุ่น ตอนที่ 8

เราจะนำเสนอข้อมูลซึ่งรวมถึงข้อมูลใหม่ ๆ เพื่อช่วยให้เด็กและผู้ปกครองของเด็กร่วมกันตัดสินใจว่าจะเข้ารับวัคซีนหรือไม่ โดยครั้งนี้เราจะไปดูกันว่าเราควรเป็นกังวลเกี่ยวกับวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เนื่องจากมีการใช้เทคโนโลยีใหม่หรือไม่

วัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ใช้เทคโนโลยี messenger RNA เป็นครั้งแรกของโลก มีการศึกษาเทคโนโลยีนี้มากว่า 30 ปีเพื่อดูความเป็นไปได้ที่จะนำมาใช้รักษาโรคต่าง ๆ โดย messenger RNA เป็นสารที่สลายได้อย่างง่ายดาย มันจะแยกตัวและหายไปภายในไม่กี่วันหลังจากการฉีดวัคซีน

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นระบุว่าสารดังกล่าวจะไม่ตกค้างอยู่ในร่างกายและไม่ส่งผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์ และว่าวัคซีนนี้ไม่น่าจะเป็นสาเหตุของอาการป่วยที่เกิดขึ้นหลังเข้ารับวัคซีนไปแล้วหลายปี

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 17 พฤษภาคม 2565)

การฉีดวัคซีนให้แก่เด็กในญี่ปุ่น ตอนที่ 7

เราจะนำเสนอข้อมูลซึ่งรวมถึงข้อมูลใหม่ ๆ เพื่อช่วยให้เด็กและผู้ปกครองของเด็กร่วมกันตัดสินใจว่าจะเข้ารับวัคซีนหรือไม่ โดยครั้งนี้เราจะมุ่งเน้นเรื่องความเป็นไปได้ที่จะเกิดผลข้างเคียงรุนแรงจากการเข้ารับวัคซีน

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นระบุว่า เป็นที่ทราบกันว่าอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบซึ่งกระทบต่อการทำงานของหัวใจนั้นเกิดขึ้นในกรณีที่ไม่บ่อยครั้งนักหลังจากเข้ารับวัคซีน นับจนถึงวันที่ 1 เมษายน ญี่ปุ่นได้ฉีดวัคซีน 534,000 เข็มให้แก่เด็กอายุ 5 ถึง 11 ปี มีเด็กเพียง 1 คนเท่านั้นที่เกิดอาการเช่นว่านี้

สหรัฐเริ่มฉีดวัคซีนให้แก่เด็กก่อนญี่ปุ่น และที่ผ่านมาก็มีการทำวิจัยมากกว่าเกี่ยวกับผลข้างเคียง ข้อมูลจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐระบุว่า หลังจากฉีดวัคซีนเข็มแรก 1,000,000 เข็มให้แก่เด็กผู้ชาย พบว่าไม่มีกรณีใดเลยที่เกิดผลข้างเคียงต่อหัวใจ และหลังจากฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 นั้น กรณีดังกล่าวอยู่ที่ 4.3 กรณี

สำหรับเด็กผู้หญิง ข้อมูลที่ได้หลังจากการเข้ารับวัคซีนเข็มแรกยังมีอยู่น้อยมาก และหลังจากเข้ารับวัคซีนเข็มที่ 2 มีผลข้างเคียงเช่นว่านี้เกิดขึ้น 2 กรณีในการฉีดวัคซีนทุก ๆ 1,000,000 เข็ม โดยทุกกรณีที่เกิดขึ้นเป็นอาการเพียงเล็กน้อย และเด็ก ๆ ก็หายจากอาการดังกล่าวแล้ว

รายงานของสหรัฐระบุว่ามีเด็ก 2 คนเสียชีวิตหลังจากเข้ารับวัคซีน อย่างไรก็ตาม เด็กทั้ง 2 คนนี้มีอาการป่วยเรื้อรังและสุขภาพไม่ดีอยู่ก่อนที่จะเข้ารับวัคซีน และไม่มีข้อมูลว่าการเสียชีวิตนี้เกี่ยวข้องกับวัคซีน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 16 พฤษภาคม 2565)

การฉีดวัคซีนให้แก่เด็กในญี่ปุ่น ตอนที่ 6

ญี่ปุ่นเริ่มฉีดวัคซีนให้แก่เด็กอายุ 5 ถึง 11 ปีเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ เราจะนำเสนอข้อมูลซึ่งรวมถึงข้อมูลใหม่ ๆ เพื่อช่วยให้เด็กและผู้ปกครองของเด็กร่วมกันตัดสินใจว่าจะเข้ารับวัคซีนหรือไม่ โดยครั้งนี้เราจะมุ่งเน้นเรื่องผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการเข้ารับวัคซีน

การฉีดวัคซีนอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ได้ หลังจากเข้ารับวัคซีนแล้ว ผู้คนอาจมีอาการไข้หรือรู้สึกปวดตรงบริเวณที่ฉีดวัคซีน สิ่งนี้เกิดขึ้นในขณะที่ระบบภูมิคุ้มกันของเราสนองตอบต่อวัคซีน หรือในขณะที่ระบบภูมิคุ้มกัน “เรียนรู้” ที่จะระบุตัวไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เรามาดูกันว่าลักษณะอาการแบบเฉพาะเจาะจงที่เกิดขึ้นนั้นมีอะไรบ้าง

งานวิจัยของไฟเซอร์ บริษัทยาของสหรัฐ ที่เก็บข้อมูลจากเด็กที่เข้ารับวัคซีนนั้นระบุว่า ร้อยละ 74 ของเด็กที่ได้รับวัคซีนเข็มแรกมีอาการปวดรอบ ๆ จุดที่ฉีดวัคซีน และร้อยละ 71 ของเด็กที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 มีอาการดังกล่าว ร้อยละ 34 มีอาการเหนื่อยอ่อนหลังจากได้รับวัคซีนเข็มแรก และร้อยละ 39 มีอาการนี้หลังได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 ขณะที่ร้อยละ 3 มีไข้สูง 38 องศาเซลเซียสหรือสูงกว่านั้นหลังได้รับวัคซีนเข็มแรก และร้อยละ 7 มีอาการที่ว่านี้หลังได้รับวัคซีนเข็มที่ 2

ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าเด็กอายุ 5 ถึง 11 ปีมีแนวโน้มน้อยกว่าที่จะเกิดอาการข้างเคียงจากการเข้ารับวัคซีนเมื่อเทียบกับผู้ใหญ่ เด็กส่วนมากมีอาการเพียงเล็กน้อย เช่น ปวดกล้ามเนื้อหรือขยับแขนลำบาก แต่อาการเหล่านี้จะหายไปภายใน 1 หรือ 2 วัน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 13 พฤษภาคม 2565)

การฉีดวัคซีนให้แก่เด็กในญี่ปุ่น ตอนที่ 5

ญี่ปุ่นเริ่มฉีดวัคซีนให้แก่เด็กอายุ 5 ถึง 11 ปีเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ เราจะนำเสนอข้อมูลซึ่งรวมถึงข้อมูลใหม่ ๆ เพื่อช่วยให้เด็กและผู้ปกครองของเด็กร่วมกันตัดสินใจว่าจะเข้ารับวัคซีนหรือไม่ โดยครั้งนี้เราจะมุ่งเน้นเรื่องประสิทธิผลของการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อในกลุ่มเด็ก ๆ

เมื่อปี 2564 ไฟเซอร์ บริษัทยาของสหรัฐได้ดำเนินการทดลองทางคลินิกวัคซีนของตนกับเด็กอายุ 5 ถึง 11 ปี ไฟเซอร์ระบุว่าผลการทดลองแสดงให้เห็นว่าวัคซีนมีประสิทธิผลร้อยละ 90.7 ในการป้องกันการติดเชื้อที่ทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ในเด็กหลังจากฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ไปแล้ว 7 วันหรือนานกว่านั้น

แต่เป็นที่ทราบกันว่า วัคซีนมีประสิทธิผลน้อยลงในการป้องกันไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน ซึ่งเป็นสายพันธุ์กลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ที่กำลังแพร่ระบาดในญี่ปุ่นและพื้นที่อื่น ๆ ของโลกในปัจจุบัน

ในรายงานที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 11 มีนาคมปีนี้ คณะนักวิจัยของสหรัฐระบุว่าผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า วัคซีนไฟเซอร์ 2 เข็มช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนไปได้ร้อยละ 31 ในเด็กอายุ 5 ถึง 11 ปี

ในการวิจัยที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 30 มีนาคม คณะนักวิจัยของสหรัฐระบุว่าประสิทธิผลของวัคซีนในการป้องกันการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลในกลุ่มเด็กอายุ 5 ถึง 11 ปี ในช่วงที่ไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนระบาดนั้น อยู่ที่ร้อยละ 68 งานวิจัยระบุว่าเด็กเกือบทั้งหมดที่มีอาการหนักเป็นเด็กที่ไม่ได้เข้ารับวัคซีน

ข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าถึงแม้ว่าการฉีดวัคซีนไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็มีประสิทธิผลในการป้องกันไม่ให้เด็กเกิดอาการหนักจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 12 พฤษภาคม 2565)

การฉีดวัคซีนให้แก่เด็กในญี่ปุ่น ตอนที่ 4

ญี่ปุ่นเริ่มฉีดวัคซีนให้แก่เด็กอายุ 5 ถึง 11 ปีเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ เราจะนำเสนอข้อมูลซึ่งรวมถึงข้อมูลใหม่ ๆ เพื่อช่วยให้เด็กและผู้ปกครองของเด็กร่วมกันตัดสินใจว่าจะเข้ารับวัคซีนหรือไม่ โดยครั้งนี้เป็นข้อมูลเกี่ยวกับอาการของโรคโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในกลุ่มเด็ก

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นระบุว่า มีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่รายใหม่ 314,370 คนทั่วญี่ปุ่น ในสัปดาห์ที่นับจนถึงวันที่ 19 เมษายน ในจำนวนนี้เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี 47,659 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 15.2 ถือเป็นสัดส่วนสูงที่สุดในบรรดากลุ่มอายุทั้งหมด

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ที่เริ่มมีการระบาดใหญ่ มีเด็กอายุไม่ถึง 10 ปีจำนวน 959,662 คนที่ติดเชื้อไวรัสนี้ ในจำนวนนี้เสียชีวิต 4 คน

ในสัปดาห์ที่นับจนถึงวันที่ 19 เมษายน มีเด็ก 4 คนที่อาการหนัก

เด็กที่ติดเชื้อส่วนใหญ่มีอาการเพียงเล็กน้อย แม้ในบางครั้งจะมีอาการต่าง ๆ เช่น มีไข้สูง อาเจียน และหายใจติดขัดเนื่องจากเกิดอาการบวมในลำคอ

สมาคมกุมารแพทย์แห่งญี่ปุ่นระบุว่าเด็กที่มีโรคเกี่ยวกับหัวใจและปอดมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอาการหนัก และถึงแม้เด็กที่ติดเชื้อจะไม่มีอาการแต่ก็อาจเกิดผลกระทบตามมาได้ เช่น ไอและหายใจลำบาก

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 11 พฤษภาคม 2565)

การฉีดวัคซีนให้แก่เด็กในญี่ปุ่น ตอนที่ 3

ญี่ปุ่นเริ่มฉีดวัคซีนให้แก่เด็กอายุ 5 ถึง 11 ปีเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ เราจะนำเสนอข้อมูลซึ่งรวมถึงข้อมูลใหม่ ๆ เพื่อช่วยให้เด็กและผู้ปกครองของเด็กร่วมกันตัดสินใจว่าจะเข้ารับวัคซีนหรือไม่ โดยครั้งนี้เราจะพิจารณากันเรื่องคำถามที่ว่า “ควรให้เด็กเข้ารับวัคซีนหรือไม่”

แต่ละครอบครัวต่างก็เผชิญกับสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป และก็มีแนวคิดเป็นของตนเอง ดังนั้นอะไรคือสิ่งที่ควรพิจารณาในตอนที่ต้องตัดสินใจว่าจะให้เด็กเข้ารับวัคซีนหรือไม่

สิ่งสำคัญก็คือการชั่งน้ำหนักถึงประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นเมื่อเข้ารับวัคซีน

ประโยชน์ที่ว่านี้รวมถึงการป้องกันไม่ให้เด็ก ๆ ติดเชื้อและเกิดอาการป่วยหนัก การป้องกันการแพร่เชื้อไวรัสนี้ไปยังผู้อื่น และความรู้สึกสบายใจยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ที่โรงเรียนและสถานที่อื่น ๆ

ส่วนความเสี่ยงนั้นรวมถึงภัยที่เกิดจากผลข้างเคียง ซึ่งเป็นปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์ต่อวัคซีน ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าประเด็นอื่น ๆ ที่ควรพิจารณาก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่กำลังแพร่ไปเป็นวงกว้างในกลุ่มเด็กและกรณีของเด็กที่ติดเชื้อแล้วเกิดอาการหนักนั้น ไม่ค่อยพบเห็นในญี่ปุ่น พวกเขากล่าวว่าอีกประเด็นหนึ่งสำหรับการพิจารณาก็คือวัคซีนมีประสิทธิผลน้อยลงในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน ซึ่งกลายเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดในญี่ปุ่นและทั่วโลก

การเข้ารับวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่สำหรับเด็กอายุ 5 ถึง 11 ปี ไม่มีค่าใช้จ่ายในญี่ปุ่น เช่นเดียวกับกลุ่มอายุอื่น ๆ แต่การฉีดวัคซีนดังกล่าวไม่เหมือนกับการฉีดวัคซีนโรคหัดเยอรมัน, โรคอีสุกอีใส และโรคไข้สมองอักเสบเจอี เนื่องจากกฎหมายไม่ได้กำหนดหน้าที่ให้ผู้ปกครองต้องพยายามนำบุตรหลานของตนไปเข้ารับวัคซีน

การที่ครอบครัวต้องพิจารณาอย่างรอบคอบร่วมกับบุตรหลานของตนว่าควรทำอย่างไรนั้นถือเป็นสิ่งสำคัญ ในตอนต่อไป เราจะนำเสนอข้อมูลเพื่อช่วยในการตัดสินใจเรื่องนี้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 10 พฤษภาคม 2565)

การฉีดวัคซีนให้แก่เด็กในญี่ปุ่น ตอนที่ 2

ญี่ปุ่นเริ่มฉีดวัคซีนให้แก่เด็กอายุ 5 ถึง 11 ปีเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ เราจะนำเสนอข้อมูลซึ่งรวมถึงข้อมูลใหม่ ๆ เพื่อช่วยให้เด็กและผู้ปกครองของเด็กร่วมกันตัดสินใจว่าจะเข้ารับวัคซีนหรือไม่ โดยครั้งนี้เราจะมาดูการทำงานของวัคซีน

วัคซีนช่วยป้องกันไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ด้วยการกระตุ้นการตอบสนองของ “ระบบภูมิคุ้มกัน” ในร่างกายของเรา ซึ่งจะไปโจมตีผู้บุกรุกจากภายนอก เช่น ไวรัสและแบคทีเรีย

เชื้อไวรัสโคโรนามี “โปรตีนหนาม” ยื่นออกมาจากพื้นผิวของมัน วัคซีนไวรัสโคโรนามีส่วนผสมของ “messenger RNA” ซึ่งเป็นสารที่มีชุดคำสั่งว่าจะผลิต “โปรตีนหนาม” อย่างไร เมื่อฉีดวัคซีนเข้าไป จะมีการสร้าง “โปรตีนหนาม” ในร่างกายของเราโดยอิงจากชุดคำสั่งเหล่านี้

“โปรตีนหนาม” เป็นส่วนหนึ่งของไวรัสโคโรนาและ “ระบบภูมิคุ้มกัน” ของเราก็จดจำได้ว่าโปรตีนหนามดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่ควรมีอยู่ในร่างกาย จากนั้นก็จะสร้างสารที่เรียกว่า “ภูมิต้านทาน” ซึ่งทำหน้าที่เป็นอาวุธโจมตีไวรัส ด้วยวิธีที่ว่านี้ ร่างกายของเราจะเรียนรู้วิธีต่อสู้กับการติดเชื้อเมื่อไวรัสจริงเข้ามาในร่างกาย

เมื่อคุณติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่โดยที่ยังไม่ได้รับวัคซีน “ระบบภูมิคุ้มกัน” ของคุณจะพยายามสู้กับไวรัสด้วยการสร้าง “สารภูมิต้านทาน” ซึ่งตรงกับรูปร่างของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่เข้ามาในร่างกาย แต่ร่างกายของเราอาจไม่สามารถผลิต “สารภูมิต้านทาน” ได้อย่างรวดเร็วเพียงพอ หรือไวรัสอาจทรงพลังเกินไปจนไม่อาจสู้ได้ ซึ่งจะทำให้เรามีอาการต่าง ๆ เช่น ไอหรือเหนื่อยอ่อนเป็นอย่างมาก และบางครั้งก็อาจป่วยหนัก

การเข้ารับวัคซีนจะช่วยให้ร่างกายของเราผลิต “สารภูมิต้านทาน” ไว้ล่วงหน้าเพื่อสู้กับไวรัส การเตรียมพร้อมร่างกายก่อนที่ไวรัสจะโจมตีในอนาคตนั้น จะช่วยให้เราสามารถป้องกันการติดเชื้อ การเกิดอาการต่าง ๆ ตลอดจนการเกิดอาการป่วยหนักจากไวรัสนี้ได้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 9 พฤษภาคม 2565)

การฉีดวัคซีนให้แก่เด็กในญี่ปุ่น ตอนที่ 1

ญี่ปุ่นเริ่มฉีดวัคซีนให้แก่เด็กอายุ 5 ถึง 11 ปีไปเมื่อกว่า 2 เดือนก่อน ร้อยละ 9 ของเด็กในกลุ่มอายุนี้ได้รับวัคซีน 2 เข็มแล้ว ตามปกติแล้วเด็ก ๆ มีแนวโน้มที่จะไม่เกิดอาการหนักเมื่อติดเชื้อ แต่ก็มีความกังวลว่าจำนวนผู้ติดเชื้อในกลุ่มเด็กนั้นไม่ได้ลดลงไป ประโยชน์ของการฉีดวัคซีนมีมากกว่าความเสี่ยงในกลุ่มเด็กเช่นกันหรือไม่ เราจะนำเสนอข้อมูลซึ่งรวมถึงข้อมูลใหม่ ๆ เพื่อช่วยให้เด็กและผู้ปกครองของเด็กร่วมกันตัดสินใจว่าจะเข้ารับวัคซีนหรือไม่

การฉีดวัคซีนให้แก่เด็กอายุ 5 ถึง 11 ปีเริ่มขึ้นแล้วในญี่ปุ่นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2565 โดยใช้วัคซีนซึ่งพัฒนาโดยไฟเซอร์ บริษัทยาของสหรัฐ โดยวัคซีนเข็มที่ 2 ฉีดห่างจากเข็มแรก 3 สัปดาห์ ขนาดยาที่ใช้อยู่ที่ 1 ใน 3 ของขนาดยาที่ฉีดให้แก่ผู้ใหญ่

นับจนถึงวันที่ 2 พฤษภาคม 2565 มีเด็กอายุ 5 ถึง 11 ปีกว่า 998,000 คน ที่ได้รับวัคซีนแล้ว 1 เข็มเป็นอย่างน้อย ซึ่งคิดเป็นประมาณร้อยละ 13.5 ของเด็กกลุ่มอายุนี้จำนวน 7,410,000 คนในญี่ปุ่น โดยมีเด็กเกือบ 660,000 คนหรือร้อยละ 8.9 ที่ได้รับวัคซีนแล้ว 2 เข็ม

บางประเทศได้เริ่มฉีดวัคซีนให้แก่เด็กก่อนญี่ปุ่น ในสหรัฐ มีเด็กร้อยละ 28.3 ที่ได้รับวัคซีนแล้ว 2 เข็มนับจนถึงวันที่ 20 เมษายน ส่วนที่แคนาดา สัดส่วนดังกล่าวอยู่ที่ร้อยละ 40.7 นับจนถึงวันที่ 10 เมษายน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 6 พฤษภาคม 2565)

มาตรการต้านการติดเชื้อในชีวิตประจำวัน

เราจะนำเสนอเรื่องไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดที่มีการกลายพันธุ์ใหม่รวมถึงมาตรการที่ควรดำเนินการ โดยครั้งนี้จะมุ่งเน้นไปที่มาตรการต้านการติดเชื้อในชีวิตประจำวัน

นอกเหนือจากการผสมกันของไวรัสกลายพันธุ์ต่าง ๆ และไวรัสสายพันธุ์ย่อยที่เราได้กล่าวถึงไปในตอนก่อนหน้านี้แล้ว ก็ยังมี “BA.4” และ “BA.5” ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนซึ่งพบในแอฟริกาใต้และที่อื่น ๆ ด้วย แต่ผู้เชี่ยวชาญยังไม่ได้สรุปว่าสายพันธุ์ดังกล่าวทำให้การติดเชื้อเป็นอย่างไรและมีอันตรายแค่ไหน

องค์การอนามัยโลกหรือ WHO เตือนว่าเรายังคงเผชิญความเสี่ยงสูงจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่มีการกลายพันธุ์ใหม่ ๆ อันเกิดจากการผสมกันของชนิดกลายพันธุ์ต่าง ๆ เจ้าหน้าที่ของ WHO กล่าวว่าเนื่องด้วยเหตุนี้ เราควรวิเคราะห์พันธุกรรมของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่และแบ่งปันข้อมูลดังกล่าว

ศาสตราจารย์ฮามาดะ อัตสึโอะ จากโรงพยาบาลแห่งมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์โตเกียวระบุว่า “BA.4” และ “BA.5” คือสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอน เหมือนกับ “BA.2” เขากล่าวว่าสายพันธุ์ย่อยเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อโอไมครอนกลายพันธุ์ในกระบวนการของการติดเชื้อและการเพิ่มจำนวน

เขากล่าวว่าการเฝ้าติดตามแต่ละสายพันธุ์ที่ปรากฏขึ้นมาใหม่นั้นเป็นสิ่งสำคัญ ถึงแม้เป็นช่วงก่อนที่เราจะทราบว่าสายพันธุ์ดังกล่าวจะมีแนวโน้มเป็นภัยคุกคามใหญ่โตหรือไม่ก็ตาม เขากล่าวว่าในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญต่าง ๆ คาดว่าสายพันธุ์ “XE” น่าจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้มากกว่าในบรรดาของสายพันธุ์ที่เกิดจากการผสมกันของไวรัสกลายพันธุ์ แต่เราก็ไม่สามารถกล่าวได้ว่าสายพันธุ์ “XE” นั้นจะทำให้เกิดการระบาดระลอกใหญ่อีกครั้งหนึ่งหรือไม่

ศาสตราจารย์ฮามาดะกล่าวว่าเราควรระวังเรื่องความเป็นไปได้ที่จะเกิดสายพันธุ์กลายพันธุ์ที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง และว่านี่เป็นเหตุผลที่ทำไมเราจึงต้องดำเนินการระบบสอดส่องต่อไปและวิเคราะห์พันธุกรรมของไวรัสอย่างต่อเนื่อง

ด้านศาสตราจารย์วาดะ โคจิจากมหาวิทยาลัยนานาชาติด้านสุขภาพและสวัสดิการกล่าวว่า ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์ที่เราพบนับจนถึงปัจจุบัน ไม่ได้มีการกลายพันธุ์ไปไกลกว่าที่เราคาดเอาไว้ เขากล่าวว่าเขาจะจับตาดูความเป็นไปต่อจากนี้ และคาดว่ามาตรการรับมือการติดเชื้ออาจไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมาก

เขากล่าวว่าขณะนี้ “BA.2” คือสายพันธุ์หลักที่ระบาดอยู่และอาจเปลี่ยนไปเป็นสายพันธุ์ “XE” อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสายพันธุ์ต่าง ๆ จะไม่ทำให้มาตรการต้านการติดเชื้อซึ่งเราควรปฏิบัติในชีวิตประจำวันเปลี่ยนแปลงไป และไม่ได้ทำให้ความจำเป็นที่จะต้องเข้ารับวัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้น ลดลงไปด้วย

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 28 เมษายน 2565)

ไวรัสกลายพันธุ์ที่เกิดจากการผสมกันของไวรัสกลายพันธุ์ต่าง ๆ

เราจะนำเสนอเรื่องไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดที่มีการกลายพันธุ์ใหม่รวมถึงมาตรการที่ควรดำเนินการ โดยครั้งนี้จะมุ่งเน้นไปยังไวรัสกลายพันธุ์ที่เกิดจากการผสมกันของไวรัสกลายพันธุ์ต่าง ๆ

ในตอนที่แล้ว เราได้มุ่งเน้นที่ไวรัสสายพันธุ์ XE ที่เกิดจากการผสมกันของสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอนระหว่าง BA.1 กับ BA.2 แต่ไม่ได้มีแค่ไวรัสสายพันธุ์ XE สายพันธุ์เดียวที่เกิดจากการผสมกันของไวรัสกลายพันธุ์ต่าง ๆ

ไวรัสสายพันธุ์ XD และ XF เป็นสายพันธุ์ที่เกิดจากการผสมกันของไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตา ซึ่งเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดในระลอกที่ 5 ในญี่ปุ่นเมื่อช่วงฤดูร้อนปี 2564 กับ BA.1 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอน

สายพันธุ์ XD มีส่วนประกอบส่วนใหญ่เหมือนสายพันธุ์เดลตา แต่มีโปรตีนหนามของ BA.1

เอกสารของหน่วยงานด้านสาธารณสุขของอังกฤษระบุว่า สายพันธุ์ XD ตรวจพบครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 ธันวาคมปี 2564 เอกสารระบุว่านับจนถึงวันที่ 1 เมษายนปี 2565 มีรายงานผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ XD ในฝรั่งเศส 66 คน ในเดนมาร์ก 8 คน และในเบลเยียม 1 คน

องค์การอนามัยโลกหรือ WHO ได้จัดให้สายพันธุ์ XD เป็นไวรัสกลายพันธุ์ที่อยู่ภายใต้การเฝ้าระวัง หรือ VUM โดย VUM นั้นหมายถึงไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์ที่ผลกระทบ เช่น การทำให้เกิดอาการรุนแรงและเรื่องที่ว่าวัคซีนที่มีอยู่ใช้ได้ผลกับไวรัสดังกล่าวหรือไม่นั้น ยังไม่ทราบแน่ชัด โดย WHO ระบุว่าการระบาดของสายพันธุ์ XD อยู่ในวงจำกัด

ขณะที่สายพันธุ์ XF นั้นเหมือนกับ BA.1 เสียเป็นส่วนมากซึ่งรวมถึงส่วนโปรตีนหนามด้วย และส่วนประกอบบางส่วนเหมือนกับสายพันธุ์เดลตา เจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขของอังกฤษระบุว่า พบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ XF ในอังกฤษนับตั้งแต่วันที่ 7 มกราคมปีนี้ แต่หลังจากวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ดังกล่าว

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 27 เมษายน 2565)

ไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนชนิด XE

เราจะนำเสนอเรื่องไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดที่มีการกลายพันธุ์ใหม่รวมถึงมาตรการที่ควรดำเนินการ โดยครั้งนี้จะมุ่งเน้นไปยังไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนชนิด XE

มีการรายงานผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ XE ในอังกฤษและประเทศอื่น ๆ โดยสายพันธุ์ดังกล่าวเกิดจากการผสมกันของไวรัสกลายพันธุ์ต่าง ๆ

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นได้ประกาศเมื่อวันที่ 11 เมษายนว่า ได้ตรวจพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ XE คนแรกที่ด่านกักกันโรคของสนามบิน

ไวรัสต่าง ๆ จะได้ลักษณะเฉพาะแบบใหม่เมื่อเกิดการกลายพันธุ์เล็กน้อยซ้ำ ๆ แต่เมื่อบุคคลคนหนึ่งติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ที่ต่างชนิดกันและสารพันธุกรรมของไวรัสกลายพันธุ์เหล่านั้นรวมตัวกัน การรวมตัวกันใหม่นี้ก็จะทำให้เกิดไวรัสกลายพันธุ์ขึ้นมา

สายพันธุ์ XE เกิดจากการผสมกันระหว่างโอไมครอนสายพันธุ์ BA.1 กับสายพันธุ์ BA.2 ส่วนประกอบส่วนใหญ่ของ XE ที่รวมถึงโปรตีนหนามบนพื้นผิวของไวรัสซึ่งมีบทบาทสำคัญเมื่อเกิดการติดเชื้อในเซลล์ของมนุษย์นั้น คล้ายคลึงกับ BA.2 ขณะที่ส่วนประกอบที่เหลือคล้ายคลึงกับ BA.1

องค์การอนามัยโลกระบุว่า XE คือชนิดหนึ่งของโอไมครอน ด้านเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของอังกฤษระบุว่ามีรายงานว่านับตั้งแต่ตรวจพบกรณีแรกของสายพันธุ์ XE เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2565 จากนั้นก็มีรายงานผู้ติดเชื้อสายพันธุ์นี้ในอังกฤษ 1,179 คน นับจนถึงวันที่ 5 เมษายน

ที่ผ่านมามีการติดเชื้อแบบเป็นกลุ่มขนาดเล็กด้วย แต่สายพันธุ์ดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนไม่ถึงร้อยละ 1 ของผู้ติดเชื้อที่มีการนำเชื้อไปวิเคราะห์ภายในประเทศ

เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของอังกฤษได้วิเคราะห์โดยใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่อิงจากข้อมูลนับจนถึงวันที่ 30 มีนาคม และได้ประมาณว่าการแพร่ระบาดของสายพันธุ์ XE เร็วกว่าสายพันธุ์ BA.2 ที่ร้อยละ 12.6

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 26 เมษายน 2565)

การแพร่ระบาดของ BA.2 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน ที่อาจเกิดขึ้นในญี่ปุ่นในอนาคต

เราจะนำเสนอเรื่องไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดที่มีการกลายพันธุ์ใหม่รวมถึงมาตรการจำเป็นเพื่อป้องกันการติดเชื้อและการแพร่ระบาด โดยจะมุ่งเน้นไปที่การแพร่ระบาดของ BA.2 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน ที่อาจเกิดขึ้นในญี่ปุ่นในอนาคต

คุณซูซูกิ โมโตอิ หัวหน้าศูนย์วิจัยด้านการเฝ้าระวัง การสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน และระบาดวิทยาของสถาบันโรคติดเชื้อแห่งชาติของญี่ปุ่นกล่าวว่า คาดว่า BA.2 จะเป็นสายพันธุ์ที่แพร่ระบาดหลักในการระบาดระลอกที่ 7

เขากล่าวว่าเชื่อว่า BA.2 มีความสามารถในการติดต่อได้ง่ายกว่า BA.1 เล็กน้อย จึงมีความจำเป็นที่จะต้องพิจารณาการเตรียมพร้อมเพื่อเสริมความเข้มแข็งให้แก่ระบบดูแลทางการแพทย์ เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่ว่าการระบาดระลอกที่ 7 อาจเป็นคลื่นระลอกที่สูงกว่าระลอกที่ 6

เมื่อตอนที่ไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน BA.1 เริ่มแพร่ระบาดในระลอกที่ 6 ดูเหมือนว่าผู้คนระมัดระวังกันน้อยลง เนื่องจากกล่าวกันว่าโอไมครอนทำให้เกิดความเสี่ยงน้อยกว่าที่จะมีอาการหนักเมื่อเทียบกับไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตา แต่จำนวนของผู้ติดเชื้อในการระบาดระลอกที่ 6 สูงกว่าระลอกที่ 5 อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตสูงขึ้นตามไปด้วย มีความกังวลว่า BA.2 อาจทำให้เกิดสิ่งเดียวกันนี้

ศาสตราจารย์ฮามาดะ อัตสึโอะ จากโรงพยาบาลแห่งมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์โตเกียวกล่าวว่า เชื่อกันว่า BA.2 ได้เข้ามาแทนที่ไวรัสกลายพันธุ์ชนิดอื่น ๆ ในฐานะของสายพันธุ์หลักที่ทำให้เกิดการติดเชื้อในประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลก เขาชี้ว่าในบางประเทศของยุโรปนั้น ผู้ติดเชื้อสายพันธุ์นี้คิดเป็นกว่าร้อยละ 90 ของการติดเชื้อ

เขาระบุว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ญี่ปุ่นจะต้องดำเนินมาตรการต้านไวรัสที่เข้มงวดมากกว่าเดิมเล็กน้อย โดยลดการติดต่อพบปะกันของผู้คนลง ตลอดจนส่งเสริมการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น เขากล่าวเสริมว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่กำลังเพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มผู้คนในช่วงวัย 20 ปี โดยมาตรการที่พุ่งเป้าไปยังกลุ่มคนอายุนี้อาจเป็นกุญแจสำคัญในการลดจำนวนผู้ติดเชื้อไม่ให้กลับมาพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 25 เมษายน 2565)

ลักษณะของ BA.2 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน

เราจะนำเสนอเรื่องไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดที่มีการกลายพันธุ์ใหม่รวมถึงมาตรการจำเป็นเพื่อป้องกันการติดเชื้อและการแพร่ระบาด โดยจะมุ่งเน้นไปที่ลักษณะของ BA.2 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนที่ติดต่อกันได้ง่ายกว่าเดิม และประสิทธิผลของวัคซีนต่าง ๆ

องค์การอนามัยโลกระบุว่า BA.2 ติดต่อกันได้ง่ายกว่า BA.1 ซึ่งกลายเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดอยู่ทั่วโลกในช่วงการระบาดระลอกที่ 6 การวิเคราะห์ข้อมูลจากเดนมาร์กแสดงให้เห็นว่า BA.2 ใช้เวลาในการแพร่ระบาดน้อยกว่า BA.1 ร้อยละ 15 และพบว่าความสามารถในการเพิ่มจำนวนซึ่งหมายถึงจำนวนเฉลี่ยของผู้คนที่ติดเชื้อมาจากผู้แพร่เชื้อเพียง 1 คน มีแนวโน้มสูงกว่า BA.1 ร้อยละ 26 อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่จะเกิดอาการป่วยหนักจากการติดเชื้อนั้นดูเหมือนจะอยู่ในระดับต่ำ

องค์การอนามัยโลกระบุถึงผลการวิเคราะห์จากอังกฤษที่แสดงให้เห็นว่าอัตราการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลระหว่างผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ BA.1 กับ BA.2 นั้นไม่แตกต่างกัน และเสริมว่าผู้ที่เคยติดเชื้อ BA.1 ยังสามารถติดเชื้อ BA.2 ได้อีก

การวิจัยในอังกฤษพบว่าผู้ที่ติดเชื้อ BA.1 หลังจากได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นไปแล้วอย่างน้อย 1 สัปดาห์ ร้อยละ 71.3 ของผู้ติดเชื้อไม่แสดงอาการ ส่วนผู้ที่ติดเชื้อ BA.2 ตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ร้อยละ 72.2 ประสิทธิผลของวัคซีนลดลงไปอยู่ที่ร้อยละ 45.5 สำหรับ BA.1 และอยู่ที่ร้อยละ 48.4 สำหรับ BA.2 ในช่วงระยะเวลาอย่างน้อย 15 สัปดาห์หลังได้รับวัคซีนเข็มที่ 3

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 22 เมษายน 2565)

การกลายพันธุ์ใหม่ต่าง ๆ และมาตรการที่จำเป็นเพื่อป้องกันการติดเชื้อและการแพร่ระบาด

BA.2 คือสายพันธุ์ย่อยของไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนซึ่งติดต่อกันได้ง่ายมากขึ้น เมื่อวันที่ 11 เมษายน ญี่ปุ่นได้ยืนยันกรณีติดเชื้อไวรัสโอไมครอนสายพันธุ์ XE รายแรกของญี่ปุ่นในผู้หญิงคนหนึ่งที่มาถึงญี่ปุ่นจากสหรัฐ สายพันธุ์ดังกล่าวเป็นอีกสายพันธุ์หนึ่งของโอไมครอน ครั้งนี้เราจะนำเสนอเกี่ยวกับการกลายพันธุ์ใหม่ต่าง ๆ และมาตรการที่จำเป็นเพื่อป้องกันการติดเชื้อและการแพร่ระบาด

ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่มีการกลายพันธุ์หลายต่อหลายครั้งในขณะที่มันแพร่ระบาดไปทั่วโลก ปัจจุบัน สายพันธุ์หลักที่ระบาดอยู่ทั่วโลกได้แก่ BA.2 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอน ซึ่งกลายพันธุ์มาจาก BA.1

การกลายพันธุ์ดังกล่าวพบได้ในสารพันธุกรรมของโปรตีนหนามบนผิวของไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน โปรตีนหนามมีบทบาทสำคัญเมื่อไวรัสทำให้เกิดการติดเชื้อในเซลล์ของมนุษย์

สัดส่วนของผู้ที่ติดเชื้อ BA.2 กำลังเพิ่มมากขึ้น เจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขของอังกฤษระบุว่าผู้ที่ติดเชื้อ BA.2 คิดเป็นร้อยละ 93.9 ของผู้ที่ติดเชื้อในสัปดาห์ที่นับจนถึงวันที่ 27 มีนาคม ขณะที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐประมาณการว่าการติดเชื้อ BA.2 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 72.2 ของการติดเชื้อในสัปดาห์ที่นับจนถึงวันที่ 2 เมษายน

จากการประมาณการโดยสถาบันโรคติดเชื้อแห่งชาติของญี่ปุ่นซึ่งอิงจากข้อมูลที่ได้จากบริษัทตรวจหาเชื้อของภาคเอกชนระบุว่า การติดเชื้อสายพันธุ์ย่อย BA.2 นี้คิดเป็นประมาณร้อยละ 30 ของผู้ติดเชื้อในญี่ปุ่นนับจนถึงกลางเดือนมีนาคม อย่างไรก็ตาม ทางสถาบันเชื่อว่าจำนวนผู้ติดเชื้อ BA.2 จะพุ่งเป็นร้อยละ 93 ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม และเกือบร้อยละ 100 ภายในสัปดาห์แรกของเดือนมิถุนายน

การติดเชื้อสายพันธุ์ BA.1 ภายในชุมชนนั้นได้รับการยืนยันครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อช่วงปลายเดือนธันวาคมปี 2564 ในช่วงไม่กี่สัปดาห์นับจนถึงกลางเดือนมกราคมปีนี้ สายพันธุ์ดังกล่าวได้เข้ามาแทนที่ไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตาในฐานะสายพันธุ์หลักที่มีการแพร่ระบาด

การติดเชื้อสายพันธุ์ BA.2 ภายในชุมชนนั้นได้รับการยืนยันครั้งแรกในกรุงโตเกียวช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ โดยจังหวะที่สายพันธุ์ย่อยนี้จะเข้ามาแทนที่ BA.1 นั้นไม่รวดเร็วเท่ากับตอนที่ BA.1 เข้ามาแทนที่สายพันธุ์เดลตา แต่ก็คืบหน้ามาอย่างต่อเนื่อง

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 21 เมษายน 2565)

ผลกระทบระยะยาวที่เกิดจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ตอนที่ 5

ครั้งนี้เราจะนำเสนอเกี่ยวกับผลกระทบระยะยาวที่เกิดขึ้นหลังการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยจะมุ่งเน้นไปที่เรื่องการรักษาผู้ป่วยในอนาคต

เจ้าหน้าที่ในจังหวัดไซตามะและสมาคมการแพทย์แห่งไซตามะได้วิเคราะห์ผู้ป่วยที่มีอาการระยะยาวหลังติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่เหล่านี้ติดเชื้อก่อนที่จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนจะเพิ่มขึ้นแบบพุ่งพรวด เจ้าหน้าที่ได้เปลี่ยนผลการวิเคราะห์นี้เป็นแนวทางสำหรับการวินิจฉัยและรักษา โดยมีแผนที่จะศึกษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนที่มีอาการระยะยาวด้วยเช่นกัน

เจ้าหน้าที่จังหวัดไซตามะมีแผนที่จะเพิ่มสถาบันทางการแพทย์ภายในจังหวัดที่สามารถรักษาผู้ป่วยที่มีอาการระยะยาวให้มีจำนวนมากกว่า 140 แห่ง พวกเขาต้องการให้สถาบันทางการแพทย์ที่ว่านี้กระจายตัวอยู่ทั่วทั้งจังหวัด

มารูกิ ยูอิจิ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสมาคมการแพทย์แห่งไซตามะ คาดว่าจำนวนผู้ป่วยที่มีอาการระยะยาวในการระบาดระลอกถัดไปนั้นจะเพิ่มขึ้น 2 เท่าหรือมากกว่านั้นจากระดับที่พบในช่วงการระบาดระลอกที่ 5

เขากล่าวว่าจะมีการเพิ่มข้อมูลเชิงลึกใหม่ ๆ ที่ได้จากผู้ป่วยกลุ่มนี้ลงไปในแนวทางดังกล่าว เขาหวังว่าสิ่งนี้จะช่วยให้แพทย์รักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่โดยเข้าใจอาการของพวกเขาได้ดียิ่งขึ้น

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 20 เมษายน 2565)

ผลกระทบระยะยาวที่เกิดจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ตอนที่ 4

ครั้งนี้เราจะนำเสนอเกี่ยวกับผลกระทบระยะยาวที่เกิดขึ้นหลังการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยจะรายงานเกี่ยวกับผู้ป่วยคนหนึ่งซึ่งอาการของเธอดีขึ้นเนื่องจากความพยายามอย่างต่อเนื่อง

ผู้ป่วยคนนี้เป็นเด็กนักเรียนหญิงวัย 16 ปีในจังหวัดไซตามะ เธอติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2564 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเพียงไม่นานหลังจากเธอเข้าโรงเรียนมัธยมปลาย เธอมีอาการปวดศีรษะรุนแรง หายใจลำบาก และมีไข้สูงเกือบ 39 องศาเซลเซียส เธอพักรักษาตัวอยู่ในโรงแรมสำหรับกักตัวซึ่งมีการจัดหาไว้ให้ และกลับไปโรงเรียน แต่เพียงไม่นานเธอก็เริ่มมีอาการต่าง ๆ เช่น วิงเวียน ปวดศีรษะ เหนื่อยอ่อนอย่างมาก และการรับรสและรับกลิ่นเปลี่ยนไป

ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีเดียวกันนั้น เธอก็ไม่สามารถไปโรงเรียนได้เนื่องจากอาการเวียนศีรษะจนทำให้ทรงตัวลำบาก เธอใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนเตียงนอน เธอไปพบแพทย์ที่สถาบันการแพทย์ 4 แห่งแต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้น

จากนั้น เธอไปยังคลินิกด้านหู จมูกและลำคอที่มีแผนกเชี่ยวชาญเรื่องอาการที่เกิดหลังหายจากโรคโควิด-19 แพทย์ที่นั่นเสนอให้เธอเข้ารับการฝึกฝนเพื่อลดอาการวิงเวียนและฟื้นฟูการรับกลิ่น

แพทย์ขอให้ผู้ป่วยคนนี้จ้องไปยังจุดบนกำแพงและมองขึ้น-ลง และซ้าย-ขวา ตามคำสั่งโดยไม่ขยับศีรษะหรือส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย การฝึกดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อฟื้นฟูการทรงตัว ในอีกการฝึกหนึ่งที่มีจุดประสงค์เพื่อฟื้นฟูการรับกลิ่นของเธอนั้น เธอต้องดมน้ำมันบำรุงที่มีกลิ่นคล้ายลาเวนเดอร์หรือเลมอนไปพร้อมกับการจ้องภาพของพืชเหล่านี้ สิ่งนี้ทำเพื่อสร้างความเชื่อมโยงระหว่างกลิ่นกับความทรงจำของเธอ เธอฝึกฝนสิ่งเหล่านี้ที่บ้านทุกวันและอาการก็ค่อย ๆ ดีขึ้น

นายแพทย์ซากาตะ ฮิเดอากิ ซึ่งเป็นผู้อำนวยการคลินิกที่ผู้ป่วยคนนี้ไปรักษาบอกกับเราว่า ผู้ป่วยที่มาพบแพทย์เร็วและเข้ารับการรักษาที่เหมาะสม มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่าผู้ป่วยบางคนที่รอ 3 ถึง 6 เดือนก่อนมาเข้ารับการรักษานั้น พบว่าอาการของพวกเขาดีขึ้นเล็กน้อย เขากล่าวว่าสถานการณ์เช่นนี้ไม่อาจมองในแง่บวกได้ เนื่องจากเขาคาดว่าจะมีผู้ป่วยที่มีอาการหลังหายจากโรคโควิด-19 มากขึ้น จากการระบาดระลอกที่ 6

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 19 เมษายน 2565)

ผลกระทบระยะยาวที่เกิดจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ตอนที่ 3

ครั้งนี้เราจะนำเสนอเกี่ยวกับผลกระทบระยะยาวที่เกิดขึ้นหลังการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยจะรายงานเกี่ยวกับผู้ป่วยคนหนึ่งซึ่งยังคงมีอาการระยะยาวหลังหายจากโรคโควิดมากว่า 6 เดือนแล้ว

ผู้ป่วยคนนี้เป็นชายวัย 60 ปีซึ่งอาศัยอยู่ในจังหวัดไซตามะ เขาติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เมื่อเดือนสิงหาคมปี 2564 เขามีอาการเหนื่อยอ่อน ปอดอักเสบ และมีไข้สูงเกือบ 39 องศาเซลเซียส เขาพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน โดยเขาเสียการรับรู้กลิ่นและรสไปและไม่สามารถรับประทานอาหารได้มากนัก น้ำหนักตัวของเขาลดลงไปกว่า 10 กิโลกรัม

หลังจากที่ฟื้นจากอาการป่วยแล้ว เขากลับไปทำงานที่บริเวณก่อสร้าง แต่เขายังมีอาการเหนื่อยอ่อนและนอนไม่ค่อยหลับ เขาออกจากงานเมื่อเดือนธันวาคมปี 2564 เพราะไม่สามารถทำงานต่อได้

ผู้ชายคนนี้กล่าวว่าเมื่อเขาเข้านอน เขานอนหลับไปอาจจะ 1 ชั่วโมงและก็ไม่สามารถนอนหลับต่อได้จนถึงเช้า เขาบอกว่าเวลาอยู่ที่ทำงาน ดูเหมือนเขาจะไม่มีความอดทน และเขารู้ว่าเขาต้องทำงานแต่ใจก็เริ่มกังวลและแขนขาก็หยุดเคลื่อนไหว เขาบอกว่าเขารู้ว่าไม่สามารถไปทำงานได้ในสภาพเช่นนี้

ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับอาการที่เกิดหลังหายจากโรคโควิด-19 บอกกับผู้ชายคนนี้ว่า เขามีอาการที่เรียกว่าสมองล้า ซึ่งรวมถึงอาการเลอะเลือนและเกิดความผิดปกติเรื่องความจำและการเพ่งสมาธิ

ปัจจุบัน เขาเข้ารับการรักษาและได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ชีวิตประจำวันจากแพทย์ แต่อาการของเขายังไม่ดีขึ้นแม้ผ่านมา 7 เดือนแล้ว เขายังคงมีอาการเหนื่อยอ่อนและเลอะเลือน ผู้ชายคนนี้กล่าวว่าเขาไม่คิดว่าอาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นนานขนาดนี้ และเขารู้สึกกังวลอนาคตของตัวเอง

นายแพทย์โคไดระ มาโกโตะ ซึ่งเป็นแพทย์ของเขาบอกกับเราว่า อาการเหนื่อยอ่อนและสมองล้าเป็น 2 อาการหลักหลังหายจากโรคโควิด-19 ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเป็นอาการเรื้อรัง ในบางครั้งอาจกินเวลา 6 เดือนหรือนานกว่านั้น เขากล่าวว่าผู้ป่วยที่มีอาการเหล่านี้ต้องได้รับความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 18 เมษายน 2565)

ผลกระทบระยะยาวที่เกิดจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ตอนที่ 2

ครั้งนี้เราจะนำเสนอเกี่ยวกับผลกระทบระยะยาวที่เกิดขึ้นหลังการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยเป็นเรื่องแนวทางสำหรับการวินิจฉัยและรักษาซึ่งจัดทำโดยแพทย์ที่อยู่แนวหน้า

จังหวัดไซตามะและสมาคมการแพทย์แห่งไซตามะได้เผยแพร่การวิจัยที่ดำเนินการระหว่างเดือนตุลาคมปี 2564 ถึงเดือนมกราคมปี 2565 โดยเก็บข้อมูลจากผู้ป่วยที่เผชิญผลกระทบระยะยาวจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 422 คน คณะแพทย์ที่จัดทำการวิจัยนี้ได้ระบุอาการหลัก ๆ ที่เกิดขึ้นหลังป่วยด้วยโรคโควิด-19 รวมถึงเรื่องที่ว่าผู้เชี่ยวชาญสามารถทำอย่างไรได้บ้างเพื่อให้อาการของผู้ป่วยดีขึ้น

ก่อนอื่นเราไปดูแนวทางต่าง ๆ ที่แพทย์ด้านอายุรศาสตร์ได้รวบรวมไว้กัน
1. ผู้ป่วยมีแนวโน้มที่จะเผชิญอาการมากมาย เช่น เหนื่อยอ่อนและสมองล้า, อาการที่เกี่ยวเนื่องกับภาวะเลอะเลือน, อาการหลง ๆ ลืม ๆ และไม่มีสมาธิ
2. อาจต้องใช้เวลา 6 เดือนหรือนานกว่านั้นเพื่อให้อาการดีขึ้น บ่อยครั้งอาการดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วย
3. แพทย์ควรแนะนำให้ผู้ป่วยที่กำลังฟื้นตัวรักษาสมดุลระหว่างการพักผ่อนกับการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน
4. แพทย์ควรช่วยให้ผู้ป่วยจัดการตนเองและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับอาการเหล่านี้ได้

ส่วนแพทย์ด้านหู จมูก และลำคอให้คำแนะนำดังต่อไปนี้
1. อาการที่เกิดขึ้นหลังป่วยเป็นโรคโควิด-19 มีแนวโน้มว่าเป็นเรื่องปกติในกลุ่มวัยรุ่นมากกว่า
2. ผู้ป่วยที่คุณภาพการใช้ชีวิตลดลงเนื่องจากการรับรสหรือรับกลิ่นเปลี่ยนไป การได้รับกำลังใจและแรงสนับสนุนด้านจิตใจจากแพทย์ ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการฟื้นจากอาการดังกล่าว
3. แพทย์ระบุว่าการฝึกดมกลิ่น ซึ่งเป็นวิธีที่มุ่งให้การรับกลิ่นดีขึ้นด้วยการดมกลิ่นที่หลากหลายนั้น เป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษา

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 15 เมษายน 2565)

ผลกระทบระยะยาวที่เกิดจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ตอนที่ 1

จังหวัดไซตามะและสมาคมการแพทย์แห่งไซตามะได้เผยแพร่การวิจัยที่ดำเนินการระหว่างเดือนตุลาคมปี 2564 ถึงเดือนมกราคมปี 2565 โดยเก็บข้อมูลจากผู้ป่วยที่เผชิญผลกระทบระยะยาวจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ด้วยการตรวจสอบอาการของผู้ป่วยนอก 422 คน ที่ไปพบแพทย์ตามโรงพยาบาลต่าง ๆ 7 แห่งในจังหวัดไซตามะ

การวิจัยพบว่าร้อยละ 25.6 ของผู้ป่วยกลุ่มนี้มีปัญหาเรื่องการรับกลิ่น ร้อยละ 16.6 มีปัญหาเรื่องการหายใจซึ่งรวมถึงการหายใจติดขัด ร้อยละ 15.6 มีอาการเหนื่อยอ่อน และร้อยละ 14.7 มีอาการไอและมีเสมหะ

ร้อยละ 9.7 ประสบปัญหาผมร่วง ร้อยละ 9.0 มีไข้ ปวดศีรษะ หรือรู้สึกขัดบริเวณท้ายทอย และร้อยละ 7.1 การรับรสผิดปกติไป

การวิจัยนี้ยังพบด้วยว่ามีผู้ป่วยจำนวนหนึ่งที่เผชิญอาการต่อเนื่องระยะยาวประมาณ 1 ปีหลังจากได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

ในตอนต่อไป เราจะนำเสนอคำแนะนำทางการแพทย์ที่สรุปไว้ในรายงานกรณีศึกษานี้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 14 เมษายน 2565)

เราสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นหลังจากนี้

ที่ญี่ปุ่นนั้น การระบาดระลอกที่ 6 ได้ผ่านพ้นช่วงสูงสุดมาแล้ว แต่จังหวะการลดลงของจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นไปอย่างเชื่องช้า เราจะนำเสนอโดยมุ่งเน้นว่าทำไมจำนวนผู้ติดเชื้อถึงไม่ลดลงมากนัก โดยตอนนี้จะไปดูกันว่าเราสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นหลังจากนี้

คุณโอมิ ชิเงรุ หัวหน้าคณะที่ปรึกษาด้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของรัฐบาลญี่ปุ่นระบุเมื่อวันที่ 17 มีนาคมว่า จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่อาจเพิ่มขึ้นหลังจากยกเลิกมาตรการเข้มงวดแบบมุ่งเน้นเฉพาะภาคส่วน เขากล่าวว่าสิ่งสำคัญก็คือการคงจำนวนของผู้ป่วยอาการหนักให้อยู่ในระดับต่ำเอาไว้ และการหลีกเลี่ยงไม่ให้ระบบดูแลทางการแพทย์แบกรับภาระท่วมท้น

เขากล่าวว่าการเข้ารับวัคซีนก็จำเป็นแต่แค่นั้นยังไม่พอ และว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 จะเพิ่มขึ้นเหมือนกับบางประเทศในยุโรป แม้ว่าเราจะยึดตามมาตรการต้านการติดเชื้อก็ตาม เขาได้ขอให้ผู้คนสวมหน้ากากอนามัยต่อไปเพื่อปกป้องตนเองและผู้อื่น เนื่องจากกรณีติดเชื้อจากละอองฝอยขนาดเล็กและละอองลอยนั้นกำลังเพิ่มขึ้น

ศาสตราจารย์วาดะ โคจิจากมหาวิทยาลัยนานาชาติด้านสุขภาพและสวัสดิการได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อปกป้องตนเองและครอบครัวรวมถึงเพื่อนฝูง เขาขอให้ทุกคนซึ่งรวมถึงกลุ่มคนหนุ่มสาวเข้ารับวัคซีนให้ครบ เพราะคนเหล่านี้เผชิญความเสี่ยงติดเชื้อมากขึ้นหลังจากมีการผ่อนคลายข้อจำกัดต่าง ๆ

เขากล่าวด้วยว่ารัฐบาลควรดำเนินการให้ชัดเจนว่าจะขอให้ประชาชนและภาคธุรกิจทำอะไร หลังจากที่ได้ยกเลิกมาตรการเข้มงวดแบบมุ่งเน้นเฉพาะภาคส่วนไปแล้ว

ขณะที่คุณทากายามะ โยชิฮิโระจากโรงพยาบาลโอกินาวา ชูบุกล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่เราจะได้เห็นการระบาดระลอกที่ 7 เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นหลังจากโรงเรียนหยุดในช่วงฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้วและปี 2563 เขากล่าวว่าเราเตรียมพร้อมรับมือได้ดีกว่าเดิม

เขาหวังว่าเราจะสามารถผ่านพ้นการระบาดระลอกที่ 7 ไปได้โดยที่ไม่ต้องใช้มาตรการเข้มงวดต่อสังคม และเพื่อที่จะทำเช่นนั้นได้ เขาได้ระบุถึง 2 ประเด็นได้แก่ ข้อแรกคือดำเนินมาตรการทันทีเมื่อพบผู้ติดเชื้อในสถานที่สำหรับผู้สูงอายุเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด และอีกข้อหนึ่งคือการเร่งดำเนินการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 1 เมษายน 2565)

สายพันธุ์ย่อยของโอไมครอนจะมาแทนที่โอไมครอนสายพันธุ์ดั้งเดิมหรือไม่

ที่ญี่ปุ่นนั้น การระบาดระลอกที่ 6 ได้ผ่านพ้นช่วงสูงสุดมาแล้ว แต่จังหวะการลดลงของจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นไปอย่างเชื่องช้า เราจะนำเสนอโดยมุ่งเน้นว่าทำไมจำนวนผู้ติดเชื้อถึงไม่ลดลงมากนักและจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ โดยตอนนี้จะไปดูกันว่า BA.2 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนนั้นจะมาแทนที่โอไมครอนสายพันธุ์ดั้งเดิมหรือไม่

BA.2 สายพันธุ์ย่อยของไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนเป็นปัจจัยที่น่ากังวลในการระบาดรอบล่าสุดในญี่ปุ่น คณะผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นได้ประชุมเมื่อวันที่ 15 มีนาคมและนำเสนอการคาดการณ์ว่า BA.2 จะแพร่ระบาดอย่างไรในญี่ปุ่น

ศาสตราจารย์นิชิอูระ ฮิโรชิจากมหาวิทยาลัยเกียวโตได้วิเคราะห์ข้อมูลการตรวจหาเชื้อในกรุงโตเกียวและประมาณการว่า BA.2 จะคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 82 ของการติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนทั้งหมด และในกรุงโตเกียวนั้น BA.2 จะแทนที่โอไมครอนสายพันธุ์ดั้งเดิมภายในวันที่ 1 เมษายน

คุณซูซูกิ โมโตอิ หัวหน้าศูนย์วิจัยด้านการเฝ้าระวัง การสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน และระบาดวิทยาของสถาบันโรคติดเชื้อแห่งชาติของญี่ปุ่น ได้วิเคราะห์ตัวอย่างของผลการตรวจหาเชื้อจากสถาบันตรวจหาเชื้อของภาคเอกชน 2 แห่ง และคาดการณ์สัดส่วนการติดเชื้อ BA.2 ทั่วญี่ปุ่น เขาประมาณการว่า BA.2 จะกินสัดส่วนร้อยละ 70 ของการติดเชื้อทั้งหมดในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนเมษายน และร้อยละ 97 ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม

มองกันว่า BA.2 มีความสามารถในการติดต่อได้ง่ายกว่า BA.1 ราวร้อยละ 20 ซึ่งปัจจุบัน BA.1 เป็นสายพันธุ์ย่อยที่แพร่ระบาดอยู่ หาก BA.2 เริ่มเข้ามาแทนที่ BA.1 มาตรการในปัจจุบันอาจไม่เพียงพอที่จะควบคุมการแพร่ระบาดได้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565)

จำนวนผู้ติดเชื้อที่อาจกลับมาเพิ่มสูงขึ้นโดยไม่มีวี่แววว่าจะลดจำนวนลงไป

ที่ญี่ปุ่นนั้น การระบาดระลอกที่ 6 ได้ผ่านพ้นช่วงสูงสุดมาแล้ว แต่จังหวะการลดลงของจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นไปอย่างเชื่องช้า เราจะนำเสนอโดยมุ่งเน้นว่าทำไมจำนวนผู้ติดเชื้อถึงไม่ลดลงอย่างรวดเร็วและจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ โดยตอนนี้จะพูดถึงจำนวนผู้ติดเชื้อที่อาจกลับมาเพิ่มสูงขึ้นโดยไม่มีวี่แววว่าจะลดจำนวนลงไป

คณะนักวิจัยที่นำโดยศาสตราจารย์ฮิราตะ อากิมาซะ จากสถาบันเทคโนโลยีนาโงยะได้ทำแบบจำลองสถานการณ์ในอนาคตของกรุงโตเกียวด้วยการป้อนข้อมูลมากมายไปยังระบบปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ข้อมูลดังกล่าวรวมถึงการเคลื่อนตัวของผู้คน แนวโน้มการติดเชื้อที่ผ่านมา และผลจากการฉีดวัคซีน

แบบจำลองหนึ่งคือหลังจากสิ้นสุดมาตรการเข้มงวดแบบมุ่งเน้นเฉพาะภาคส่วนแล้ว การเคลื่อนตัวของผู้คนจะกลับมาสู่ระดับเท่ากับช่วงเวลาเดียวกันของเมื่อปีที่แล้ว ในกรณีเช่นนี้ คาดว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อวันในกรุงโตเกียวจะลดลงไปอยู่ที่ประมาณ 5,400 คนในช่วงต้นเดือนเมษายน จากนั้นจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยและคงที่ โดยอยู่ที่กว่า 5,600 คนในช่วงปลายเดือนเมษายน

ส่วนอีกแบบจำลองหนึ่งระบุว่าการเคลื่อนตัวของผู้คนจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 จากปีที่แล้ว และคาดว่ายอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อวันจะค่อย ๆ มากขึ้นตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนและจะเพิ่มขึ้นจนมากกว่า 7,000 คนในช่วงกลางเดือนเมษายน

นอกจากนี้ แบบจำลองยังดำเนินการภายใต้ข้อสันนิษฐานที่ว่าการเคลื่อนตัวของผู้คนจะเพิ่มขึ้นและการรวมตัวกันของผู้คนเพื่อดื่มกินนั้นจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับเดียวกันกับช่วงวันหยุดยาวปีใหม่ ในกรณีเช่นว่านี้ ยอดติดเชื้อรายใหม่ต่อวันจะเริ่มเพิ่มขึ้นในช่วงสิ้นเดือนมีนาคมและจะเพิ่มขึ้นถึงกว่า 13,000 คนในช่วงกลางเดือนเมษายน

คณะนักวิจัยระบุว่าเมื่อพิจารณาจากผลของการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น จำนวนผู้ป่วยอาการหนักก็ไม่น่าจะเพิ่มขึ้นมาก แต่พวกเขากล่าวว่าการจำกัดจำนวนผู้คนที่นั่งดื่มกินด้วยกันเพื่อควบคุมไม่ให้การติดเชื้อกลับมาพุ่งสูงอีกครั้ง อาจเป็นสิ่งจำเป็น

ศาสตราจารย์ฮิราตะกล่าวว่าการเคลื่อนตัวของผู้คนและการนั่งดื่มกินเป็นกลุ่มใหญ่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นในช่วงเวลานี้ของปี ซึ่งอาจเป็นเรื่องยากที่จะลดจำนวนผู้ติดเชื้อลง

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 30 มีนาคม 2565)

การติดเชื้อในกลุ่มเด็ก ๆ คือหนึ่งในเหตุผลที่จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ ลดลงไปอย่างเชื่องช้า

ที่ญี่ปุ่นนั้น การระบาดระลอกที่ 6 ได้ผ่านพ้นช่วงสูงสุดมาแล้ว แต่จังหวะการลดลงของจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นไปอย่างเชื่องช้า และหวั่นเกรงกันว่าสถานการณ์การติดเชื้อเช่นนี้อาจนำไปสู่การระบาดระลอกที่ 7 ได้

เราจะนำเสนอโดยมุ่งเน้นไปยังเรื่องที่ว่าทำไมจำนวนผู้ติดเชื้อถึงไม่ลดลงอย่างรวดเร็วรวมถึงว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป ครั้งนี้เป็นเรื่องการติดเชื้อในกลุ่มเด็ก ๆ

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นระบุว่าเด็กกว่า 65,000 คนที่มีอายุไม่ถึง 10 ปี ติดเชื้อในช่วงสัปดาห์ที่นับจนถึงวันที่ 15 มีนาคม แม้ว่าการระบาดระลอกที่ 6 ได้ผ่านพ้นไปแล้วก็ตาม จำนวนดังกล่าวสูงมากเมื่อเทียบกับผู้ติดเชื้อเด็กรายใหม่จำนวน 10,380 คนในสัปดาห์ที่นับจนถึงวันที่ 31 สิงหาคมปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงการระบาดระลอกที่ 5

สัดส่วนของเด็กในกลุ่มผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งหมดยังคงเพิ่มขึ้นด้วย โดยอยู่ที่ราวร้อยละ 5 ในช่วงต้นเดือนมกราคม แต่เพิ่มเป็นร้อยละ 21 ในช่วงสัปดาห์ที่นับจนถึงวันที่ 15 มีนาคม แซงหน้ากลุ่มอายุอื่น ๆ แม้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมดได้เริ่มลดลงในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์

จำนวนการติดเชื้อแบบเป็นกลุ่มตามสถานที่ด้านสวัสดิการเด็ก เช่น สถานดูแลเด็กก่อนวัยเรียน เพิ่มขึ้นเป็น 229 กรณีในช่วงสัปดาห์ที่นับจนถึงวันที่ 14 มีนาคมซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ มากกว่าสัปดาห์ก่อนหน้านั้น 56 กรณี การติดเชื้อแบบเป็นกลุ่มตามโรงเรียนต่าง ๆ ก็เพิ่มขึ้น 59 กรณีเป็น 318 กรณีในช่วงเวลาเดียวกัน

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนแพร่ระบาดได้ง่ายกว่าไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตาในกลุ่มเด็ก ๆ ตามสถานที่ที่พวกเด็ก ๆ ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน เช่น โรงเรียนและโรงเรียนอนุบาล นอกจากนี้ยังชี้ว่าอัตราการฉีดวัคซีนในกลุ่มเด็กนั้นต่ำกว่ากลุ่มอายุอื่น ๆ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 29 มีนาคม 2565)

เหตุผลที่จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในช่วงการระบาดระลอกที่ 6 ลดลงไปอย่างเชื่องช้า

ที่ญี่ปุ่นนั้น การระบาดระลอกที่ 6 ซึ่งเป็นการระบาดของไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนได้ผ่านพ้นช่วงสูงสุดมาแล้ว แต่จังหวะการลดลงของจำนวนผู้ติดเชื้อนั้นเป็นไปอย่างเชื่องช้าและผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังมีจำนวนสูงอยู่ มีการแสดงความเห็นที่หวั่นเกรงว่าสถานการณ์การติดเชื้อเช่นนี้อาจนำไปสู่การระบาดระลอกที่ 7 ได้

ครั้งนี้เราจะนำเสนอโดยมุ่งเน้นไปยังเรื่องที่ว่าทำไมจำนวนผู้ติดเชื้อถึงไม่ลดลงอย่างรวดเร็ว และความเป็นไปของสถานการณ์ดังกล่าวในอนาคต

บรรดาผู้เชี่ยวชาญชี้ถึงเหตุผลสำคัญของการติดเชื้อที่ลดจำนวนลงอย่างเชื่องช้านี้ โดยเหตุผลข้อแรกคือความล่าช้าในการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ส่งผลให้การติดเชื้อดำเนินต่อไปในกลุ่มผู้สูงอายุ ส่วนเหตุผลอื่น ๆ นั้น ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แพร่ระบาดในกลุ่มเด็ก ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเป็นการระบาดครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา

เมื่อพิจารณาจากการติดเชื้อในกลุ่มผู้สูงอายุในระลอกที่ 5 ของการระบาด กว่าร้อยละ 70 ของผู้คนที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 แล้วนับจนถึงเดือนกรกฎาคมปี 2564 ซึ่งเป็นช่วงที่การติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก

ในช่วงเวลาดังกล่าว ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แพร่ระบาดเป็นวงกว้างในกลุ่มคนหนุ่มสาว แต่กลุ่มผู้สูงอายุไม่ได้ติดเชื้อ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่านี่ส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อลดลงอย่างรวดเร็ว

แต่อีกด้านหนึ่ง นับจนถึงต้นเดือนมกราคมปี 2565 ท่ามกลางการระบาดระลอกที่ 6 การป้องกันโรคโควิด-19 ที่ได้จากวัคซีนลดน้อยลงไปเนื่องจากช่วงที่ทิ้งห่างจากวัคซีนเข็มที่ 2 ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงนั้น ผู้คนที่อายุ 65 ปีขึ้นไปมีไม่ถึงร้อยละ 1 ที่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นแล้ว

อัตราการฉีดวัคซีนอยู่ที่ร้อยละ 15 เท่านั้นนับจนถึงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันที่มียอดติดเชื้อสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ดูเหมือนว่าการติดเชื้อได้แพร่ไปยังกลุ่มผู้สูงอายุหลังจากที่ได้แพร่ระบาดในกลุ่มคนหนุ่มสาวไปแล้ว

ปัจจุบัน ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ยังคงแพร่ระบาดในกลุ่มผู้สูงอายุ กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการระบุว่าระหว่างสัปดาห์ที่นับจนถึงวันที่ 14 มีนาคม มีการยืนยันการติดเชื้อแบบเป็นกลุ่ม 341 กรณีตามสถานที่ดูแลผู้สูงอายุทั่วญี่ปุ่น

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 28 มีนาคม 2565)

ความสำคัญในการพบแพทย์แต่เนิ่น ๆ เมื่อสงสัยว่าเกิดอาการแพ้ละอองเกสร

ญี่ปุ่นกำลังเข้าสู่ฤดูกาลที่ผู้คนมีอาการแพ้ละอองเกสร ท่ามกลางการติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนที่แพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ครั้งนี้เราจะนำเสนอเรื่องความสำคัญในการพบแพทย์แต่เนิ่น ๆ เมื่อสงสัยว่าเกิดอาการแพ้ละอองเกสร

หากจู่ ๆ คุณมีอาการที่อาจเป็นการแพ้ละอองเกสร แต่ปีที่แล้วไม่ได้มีอาการนี้ ก็ควรระมัดระวังและเลี่ยงที่จะสันนิษฐานว่าเป็นอาการแพ้ละอองเกสร

เว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลด้านการแพ้ละอองเกสรของกระทรวงสิ่งแวดล้อมญี่ปุ่นระบุว่า ละอองเกสรต้นซีดาร์ได้เริ่มกระจายไปทั่วญี่ปุ่นแล้ว

สมาคมสภาพอากาศแห่งญี่ปุ่นพยากรณ์เรื่องละอองเกสรสำหรับฤดูกาลนี้ว่า การแพร่กระจายของละอองเกสรนั้นมากกว่าฤดูกาลเดียวกันของปีก่อนในระดับเล็กน้อยหรือมากในหลายพื้นที่ ส่วนใหญ่ทางตะวันออกของญี่ปุ่น

หากคุณจามบ่อย ๆ หรือมีน้ำมูกไหลเมื่อออกไปข้างนอก ผู้คนรอบตัวคุณอาจเป็นกังวลเพราะพวกเขาบอกไม่ได้ว่านี่เป็นอาการแพ้ละอองเกสรหรืออาการของโรคโควิด-19

คุณควรเข้ารับการรักษาอาการแพ้ละอองเกสรโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หากมีอาการเหล่านี้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 25 มีนาคม 2565)

ความยากลำบากในการตัดสินว่าอาการที่เป็นนั้นคืออาการจากโควิด-19 หรืออาการแพ้ละอองเกสร

ญี่ปุ่นกำลังเข้าสู่ฤดูกาลที่ผู้คนมีอาการแพ้ละอองเกสร ท่ามกลางการติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนที่แพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ครั้งนี้เราจะนำเสนอว่าควรทำอย่างไรเมื่อคุณประสบความยากลำบากในการตัดสินว่าอาการที่คุณเป็นอยู่นั้นคืออาการที่เกิดจากโรคโควิด-19 หรืออาการแพ้ละอองเกสร

แพทย์หญิงคิมูระ ยูริกะซึ่งเป็นผู้นำคณะทำงานด้านมาตรการไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของสมาคมศัลยกรรมศีรษะและลำคอโสตศอนาสิกวิทยาแห่งญี่ปุ่นระบุว่า หากคุณมีอาการแพ้ละอองเกสรแบบเดิมตามปกติโดยไม่มีอาการอื่นที่โดดเด่นขึ้นมา เช่น ไข้สูง และถ้าคนรอบข้างของคุณไม่มีใครติดโควิด-19 ก็ไม่มีปัญหาอะไรในการไปพบแพทย์เพื่อรักษาอาการแพ้ละอองเกสรตามปกติ

เธอกล่าวว่าถ้าคุณมักมีอาการจามและน้ำมูกไหล แต่ในปีนี้ยังมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ไข้สูง เจ็บคอ หรือปวดศีรษะ ก็ควรแจ้งข้อมูลนี้ให้คลินิกได้รับทราบก่อนจะไปพบแพทย์

เธอกล่าวว่าเธอต้องการให้ผู้คนที่มีอาการแพ้ละอองเกสรไปเข้ารับการรักษาเร็วกว่าปกติในช่วงฤดูกาลนี้ เพื่อป้องกันตัวเองและผู้คนที่อยู่ใกล้ชิด

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 24 มีนาคม 2565)

ควรทำอย่างไรเมื่อจามหรือมีน้ำมูกไหลในฤดูกาลที่ผู้คนแพ้ละอองเกสรท่ามกลางการระบาดของโควิด-19

ญี่ปุ่นกำลังเข้าสู่ฤดูกาลที่ผู้คนมีอาการแพ้ละอองเกสร ท่ามกลางการติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนที่แพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ครั้งนี้เราจะนำเสนอว่าควรทำอย่างไรเมื่อเริ่มจามหรือมีน้ำมูกไหล

สมาคมศัลยกรรมศีรษะและลำคอโสตศอนาสิกวิทยาแห่งญี่ปุ่นขอให้ผู้คนที่มีอาการแพ้ละอองเกสรไปพบแพทย์ให้เร็วกว่าปกติ

คณะแพทย์กล่าวว่าการรักษาแต่เนิ่น ๆ สามารถลดอาการแพ้ละอองเกสรได้ พวกเขาบอกว่าการศึกษาพบว่าเมื่อเริ่มรักษาก่อนที่จะมีอาการหรือในขณะที่มีอาการเพียงเล็กน้อยนั้น สามารถบรรเทาอาการที่จะเกิดหลังจากนั้นได้

มียามากมายที่ใช้รักษาอาการแพ้ละอองเกสร ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าหากไปพบแพทย์ด้านหู จมูก คอ ก็จะช่วยให้ผู้ที่มีอาการแพ้ละอองเกสรได้รับการรักษาที่ถูกต้องสำหรับอาการต่าง ๆ และสภาพร่างกาย

หากคุณมีอาการ เช่น เจ็บคอ ปวดศีรษะ หรืออ่อนเพลียอย่างมาก แม้ว่าอาการแพ้ละอองเกสรจะบรรเทาแล้วจากการรักษา ก็อาจสงสัยได้ว่าเป็นการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ นอกจากนี้ หากสิ่งที่คุณคิดว่าเป็นอาการแพ้ไม่ดีขึ้นหลังจากเข้ารับการรักษาอาการแพ้ละอองเกสร ก็อาจเป็นไปได้ว่าคุณติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 23 มีนาคม 2565)

ความเป็นไปได้ที่จะเกิดการแพร่กระจายของไวรัสเนื่องจากผู้คนไม่ได้ระวังว่าตนเองติดเชื้อ

ญี่ปุ่นกำลังเข้าสู่ฤดูกาลที่ผู้คนมีอาการแพ้ละอองเกสร ท่ามกลางการติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนที่แพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ครั้งนี้เราจะนำเสนอเรื่องความเป็นไปได้ที่จะเกิดการแพร่กระจายของไวรัสเนื่องจากผู้คนไม่ได้ระวังว่าตนเองติดเชื้อ

ในคำแนะนำที่ออกโดยสมาคมศัลยกรรมศีรษะและลำคอโสตศอนาสิกวิทยาแห่งญี่ปุ่นได้ระบุถึงปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นท่ามกลางการระบาดของไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนในช่วงฤดูกาลที่มีการแพ้ละอองเกสร

หนึ่งในปัญหาดังกล่าวก็คือความเสี่ยงที่ผู้คนจะแพร่เชื้อไวรัสนี้เพราะเชื่อว่าอาการของตนนั้นเป็นอาการแพ้ละอองเกสร ไม่ใช่การติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้ดำเนินมาตรการป้องกันที่จำเป็น

ผู้ที่มีทั้งอาการแพ้ละอองเกสรและติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน ควรระมัดระวังเป็นพิเศษเวลาจาม ทางสมาคมระบุว่าการจามทำให้เกิดละอองฝอยมากกว่าการไอ 10 เท่า

ทางสมาคมยังเตือนด้วยว่าหากไม่รักษาอาการแพ้ละอองเกสร ความเสี่ยงที่จะติดเชื้อก็จะมีมากขึ้น เนื่องจากผู้คนอาจใช้มือขยี้ตาหรือจมูกเพื่อบรรเทาอาการคันอันเป็นผลจากการแพ้ละอองเกสร โดยที่มือนั้นมีเชื้อไวรัสปะปนอยู่ จึงทำให้เกิดการติดเชื้อตามมาผ่านทางเยื่อเมือก

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 22 มีนาคม 2565)

ความกังวลจากการที่ไม่สามารถแยกได้ว่าอาการที่เกิดขึ้นเป็นอาการแพ้ละอองเกสรหรือโรคโควิด-19

ญี่ปุ่นกำลังเข้าสู่ฤดูกาลที่ผู้คนมีอาการแพ้ละอองเกสร ท่ามกลางการติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนที่แพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ครั้งนี้เราจะนำเสนอเรื่องความกังวลที่มาจากการที่ไม่สามารถแยกได้ว่าอาการที่เกิดขึ้นเป็นอาการแพ้ละอองเกสรหรือเป็นอาการของโรคโควิด-19

ในคำแนะนำที่ออกโดยสมาคมศัลยกรรมศีรษะและลำคอด้านโสตศอนาสิกวิทยาแห่งญี่ปุ่น ได้ระบุถึงปัญหาต่าง ๆ ที่ผู้คนเผชิญในช่วงฤดูกาลที่เกิดการแพ้ละอองเกสร ท่ามกลางการติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน

ประการแรก ทางสมาคมอ้างอิงถึงความรู้สึกเป็นกังวลที่ผู้คนไม่สามารถบอกได้ว่าพวกตนมีอาการแพ้หรือป่วยเป็นโรคโควิด-19 ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าเมื่อคุณมีอาการแพ้ละอองเกสร ก็จะถือเป็นเรื่องยากที่จะทราบได้ว่าคุณติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่หรือไม่ แม้กระทั่งแพทย์เองก็ถือเป็นเรื่องยากเช่นกันที่จะบอกได้ว่าอาการของผู้ป่วยนั้นมาจากการแพ้ละอองเกสรหรือมาจากการติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจที่ตัวผู้ป่วยเองก็ไม่สามารถบอกได้ว่าอาการนี้เกิดจากอะไร

เมื่อคุณมีน้ำมูกไหล คุณสามารถไปโรงเรียนหรือไปทำงานได้หากนี่เกิดจากอาการแพ้ละอองเกสร แต่ถ้าสงสัยว่าติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน ก็ควรอยู่บ้านและไปพบแพทย์ การที่ไม่ทราบว่าควรทำอย่างไร ทำให้ผู้คนรู้สึกเป็นกังวล

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 18 มีนาคม 2565)

คำแนะนำจากกลุ่มแพทย์ด้านหู จมูก ลำคอเกี่ยวกับการแพ้ละอองเกสรกับอาการของโรคโควิด-19

ญี่ปุ่นกำลังเข้าสู่ฤดูกาลที่ผู้คนมีอาการแพ้ละอองเกสร ท่ามกลางการติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนที่แพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ครั้งนี้เราจะนำเสนอคำแนะนำจากกลุ่มแพทย์ด้านหู จมูก ลำคอ

การสำรวจระดับชาติที่ดำเนินการในปี 2562 โดยคณะที่รวมถึงสมาคมภูมิคุ้มกันวิทยาและโรคภูมิแพ้ในโสตศอนาสิกวิทยาแห่งญี่ปุ่นพบว่า ร้อยละ 42.5 ของผู้ตอบระบุว่าพวกเขาแพ้ละอองเกสรบางประเภท ร้อยละ 38.8 ระบุว่าพวกเขาแพ้ละอองเกสรต้นซีดาร์ ผลที่ได้ชี้เป็นนัยว่าผู้คนมากกว่า 1 ใน 3 ในญี่ปุ่นมีอาการแพ้ละอองเกสร แต่ถือเป็นเรื่องยากที่จะให้ผู้คนจำนวนมากไปตรวจหาโรคโควิด-19 เมื่อพวกเขาเกิดอาการต่าง ๆ เช่น จามและมีน้ำมูกไหล

เมื่อคาดว่าจะเกิดความสับสนขึ้น สมาคมศัลยกรรมศีรษะและลำคอด้านโสตศอนาสิกวิทยาแห่งญี่ปุ่นได้เผยแพร่คำแนะนำบนเว็บไซต์ของตนเมื่อวันที่ 25 มกราคม ก่อนที่ฤดูกาลแห่งการแพ้ละอองเกสรจะเริ่มขึ้น

คำแนะนำดังกล่าวระบุว่าอาการที่ผู้แพ้ละอองเกสรเป็น เช่น น้ำมูกไหล จาม คัดจมูก สูญเสียการรับกลิ่น และอ่อนเพลียนั้น เป็นอาการเหมือนกับโรคโควิด-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน

ทางสมาคมระบุว่านี่เป็นเรื่องยากสำหรับผู้ที่มีอาการแพ้ดังกล่าวที่จะตัดสินได้ว่าพวกเขาติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่หรือไม่ ในตอนต่อไป เราจะนำเสนอคำแนะนำเพิ่มเติมของทางสมาคม

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 17 มีนาคม 2565)

แพทย์ประสบความยากลำบากในการแยกระหว่างอาการแพ้ละอองเกสรกับการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน

ญี่ปุ่นกำลังเข้าสู่ฤดูกาลที่ผู้คนมีอาการแพ้ละอองเกสร ท่ามกลางการติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนที่แพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ครั้งนี้เราจะสอบถามแพทย์ที่รักษาผู้ป่วยซึ่งมีอาการต่าง ๆ

แพทย์หญิงคิมูระ ยูริกะ ซึ่งเป็นผู้นำคณะทำงานด้านมาตรการไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของสมาคมศัลยกรรมศีรษะและลำคอด้านโสตศอนาสิกวิทยาแห่งญี่ปุ่นระบุว่า แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ก็ประสบความยากลำบากในการแยกระหว่างอาการแพ้ละอองเกสรตามฤดูกาลกับอาการของไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน

แพทย์หญิงคิมูระเล่าถึงกรณีหนึ่งที่ผู้ป่วยมาพบแพทย์เพื่อรับยาสำหรับอาการแพ้ละอองเกสรตามปกติเพื่อรักษาอาการจามและน้ำมูกไหล อย่างไรก็ตาม สองวันต่อมา ผู้ป่วยคนนี้กลับมาพร้อมกับอาการเจ็บคอและได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

แพทย์หญิงคิมูระกล่าวว่ากรณีดังกล่าวทำให้เธอทราบถึงความยากลำบากในการจำแนกอาการที่เกิดจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในระยะแรกเริ่มของโรคนี้ เธอกล่าวว่าในขณะที่อาการแพ้ละอองเกสรนั้นกล่าวกันว่าในทางเทคนิคแล้วจะแสดงสัญญาณแบบเดียวกันนั่นคือเยื่อเมือกในจมูกจะกลายเป็นสีขาว มีหลายกรณีที่อาการเหล่านี้ไม่กำเริบในช่วงแรก ๆ ของการแพ้

แพทย์หญิงคิมูระกล่าวเสริมว่าแม้กระทั่งกับแพทย์เองก็ถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องยาก ที่จะแยกระหว่างอาการแพ้ละอองเกสรกับโรคโควิด-19 หากผู้ป่วยไม่มาเข้ารับการตรวจ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 16 มีนาคม 2565)

อาการที่คล้ายคลึงกันของการแพ้ละอองเกสรกับการติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน

ญี่ปุ่นกำลังเข้าสู่ฤดูกาลที่ผู้คนมีอาการแพ้ละอองเกสรของต้นซีดาร์และต้นสนฮิโนกิ ท่ามกลางการติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนที่แพร่ระบาดเป็นวงกว้าง เมื่อคุณจามหรือมีน้ำมูกไหล คุณอาจสงสัยว่าคุณแพ้ละอองเกสรหรือป่วยเป็นโรคโควิด-19 เราจะนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับว่าควรทำอย่างไรเมื่อคุณไม่ทราบสาเหตุของอาการต่าง ๆ รวมถึงสิ่งที่ควรระวังและควรเตรียมพร้อม

แพทย์ด้านหู จมูก และคอระบุว่าอาการดังต่อไปนี้เป็นอาการหลักของการแพ้ละอองเกสร ได้แก่ จาม น้ำมูกไหล คัดจมูก คันตา อ่อนเพลีย การรับกลิ่นผิดปกติ มีไข้ เจ็บคอ ระคายคอ ไอ ปวดศีรษะเล็กน้อย และคันหู

สถาบันโรคติดเชื้อแห่งชาติของญี่ปุ่นระบุว่าผู้ที่ติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนมีอาการดังต่อไปนี้ ร้อยละ 66.6 ของผู้ป่วยมีไข้ ร้อยละ 41.6 ไอ ร้อยละ 22.5 อ่อนเพลีย ร้อยละ 21.1 ปวดศีรษะ ทางสถาบันระบุด้วยว่าร้อยละ 12.9 มีอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจนอกเหนือจากอาการไอ ร้อยละ 2.7 คลื่นไส้หรืออาเจียน ร้อยละ 2.3 ท้องเสีย และร้อยละ 0.8 การรับกลิ่นหรือรับรสผิดปกติไป

อีกการสำรวจหนึ่งโดยสถาบันโรคติดเชื้อแห่งชาติของญี่ปุ่นแสดงให้เห็นว่า ร้อยละ 45.1 ของผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนมีอาการไอ ร้อยละ 32.8 มีไข้ ร้อยละ 32.8 เจ็บคอ ร้อยละ 20.5 มีน้ำมูกไหล ร้อยละ 1.6 การรับกลิ่นผิดปกติ และร้อยละ 0.8 การรับรสผิดปกติ

ส่วนอีกการสำรวจหนึ่งโดยคณะนักวิจัยในสหราชอาณาจักรระบุว่า ผู้ป่วยที่มีอาการจากการติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนนั้น ร้อยละ 60 มีอาการจาม

อาการต่าง ๆ นั้นแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่ผู้ที่แพ้ละอองเกสรกับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนนั้น มีแนวโน้มที่จะปรากฏอาการคล้ายคลึงกันซึ่งรวมถึงน้ำมูกไหลและจาม ในตอนต่อไปเราจะสอบถามแพทย์ที่รักษาผู้ป่วยซึ่งมีอาการที่ว่านี้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 15 มีนาคม 2565)

ทัศนะจากผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนให้แก่เด็ก

ญี่ปุ่นเริ่มฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่เด็กอายุ 5 ถึง 11 ปีแล้ว เราจะมุ่งเน้นเรื่องการฉีดวัคซีนให้เด็ก ในตอนที่ 10 นี้เราจะสอบถามทัศนะจากผู้เชี่ยวชาญ

ศาสตราจารย์นากายามะ เท็ตสึโอะ จากมหาวิทยาลัยคิตาซาโตะ ซึ่งเป็นกุมารแพทย์และเชี่ยวชาญด้านการฉีดวัคซีนระบุว่า เราควรเข้าใจข้อดีของการฉีดวัคซีนตลอดจนข้อเสีย เช่น ผลข้างเคียง หรือเรื่องที่ว่าอาจเกิดอะไรขึ้นถ้าเด็กติดเชื้อ

ศาสตราจารย์นากายามะอ้างอิงถึงปัจจัยหลายข้อที่ควรนำมาพิจารณา เขากล่าวว่าถ้าเด็ก ๆ ติดเชื้อ พวกเขาอาจต้องอยู่ที่บ้านนานออกไปอีกระยะหนึ่งถึงแม้ว่าจะมีอาการเล็กน้อย และอาจทำให้ต้องเผชิญช่วงเวลาอันยากลำบากทั้งทางร่างกายและจิตใจ

ศาสตราจารย์นากายามะกล่าวว่าวัคซีนไม่ได้ป้องกันการติดเชื้อได้อย่างสมบูรณ์ แต่มีแนวโน้มที่จะทำให้อาการไม่รุนแรง เขากล่าวว่าวัคซีนอาจช่วยป้องกันไม่ให้เด็ก ๆ นำเชื้อไวรัสกลับมายังที่บ้านและนำมาติดพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายที่อาศัยอยู่ด้วยกัน

ศาสตราจารย์นากายามะกล่าวว่าควรแนะนำอย่างแข็งขันให้เด็กที่มีปัญหาทางสุขภาพเรื้อรังซึ่งอาจป่วยหนักได้ ไปเข้ารับวัคซีน อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่าบรรดาผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นต่างกันเกี่ยวกับว่าควรแนะนำให้ทุกคนเข้ารับวัคซีนหรือไม่

ศาสตราจารย์นากายามะกล่าวว่ามีบางคนที่อาจคิดว่าต่อให้การติดเชื้อในกลุ่มเด็ก ๆ กำลังเพิ่มสูงขึ้น แต่มีเด็กจำนวนไม่มากที่ป่วยหนัก ด้วยเหตุนี้เด็ก ๆ จึงไม่ต้องเข้ารับวัคซีน แต่เขาระบุว่าเราไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่าใครจะป่วยหนัก

เขากล่าวว่าไม่ควรบังคับผู้คนให้เข้ารับวัคซีน และว่าการที่ผู้คนจะทำความเข้าใจและตัดสินใจด้วยตัวเองนั้นเป็นสิ่งสำคัญ เขาต้องการให้ผู้คนได้รับข้อมูลที่ถูกต้องรวมถึงทัศนะที่เป็นวิทยาศาสตร์เพื่อตัดสินใจด้วยตนเอง

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 14 มีนาคม 2565)

พ่อแม่ผู้ปกครองรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนให้แก่เด็ก

ญี่ปุ่นเริ่มฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่เด็กอายุ 5 ถึง 11 ปีแล้ว เราจะมุ่งเน้นเรื่องการฉีดวัคซีนให้เด็ก และในตอนที่ 9 นี้จะนำเสนอว่าพ่อแม่ผู้ปกครองรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนให้แก่เด็ก

เขตโคโตของกรุงโตเกียวได้จัดทำการสำรวจผู้อยู่อาศัยซึ่งมีลูกอายุ 5 ถึง 11 ปี และพวกเขาลงทะเบียนกับแอปพลิเคชัน LINE การสำรวจดังกล่าวดำเนินการระหว่างวันที่ 10 ถึง 13 กุมภาพันธ์ โดยมีผู้ตอบการสำรวจนี้กว่า 2,000 คน

ต่อคำถามที่ว่าพวกเขาต้องการให้ลูก ๆ เข้ารับวัคซีนหรือไม่ ร้อยละ 31.3 ของผู้ตอบระบุว่า “ต้องการ โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” และร้อยละ 48.7 ระบุว่า “ต้องการ แต่หลังจากรอสักระยะหนึ่งและถ้าไม่มีปัญหาอะไร” ขณะที่ร้อยละ 20 ระบุว่าพวกเขาไม่ต้องการให้ลูก ๆ เข้ารับวัคซีน

ต่อคำถามที่ว่าพวกเขารู้สึกกังวลเกี่ยวกับการให้ลูก ๆ เข้ารับวัคซีนหรือไม่ ร้อยละ 39.6 ตอบว่า “กังวลมาก” และร้อยละ 49.7 ตอบว่า “กังวลเล็กน้อย” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้คนจำนวนมากรู้สึกกังวลในการพิจารณาให้ลูก ๆ ของตนเข้ารับวัคซีน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 11 มีนาคม 2565)

ประสิทธิผลของการฉีดวัคซีนให้แก่เด็กและวัยรุ่นอายุ 5 ถึง 17 ปี

ญี่ปุ่นเริ่มฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่เด็กอายุ 5 ถึง 11 ปีแล้ว เราจะมุ่งเน้นเรื่องการฉีดวัคซีนให้เด็ก และในตอนที่ 8 นี้จะนำเสนอประสิทธิผลของการฉีดวัคซีน

เมื่อวันที่ 1 มีนาคม ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐหรือ CDC ได้เปิดเผยผลการวิจัยเกี่ยวกับประสิทธิผลของวัคซีนไฟเซอร์-ไบออนเทคเมื่อใช้กับเด็กและวัยรุ่น อายุ 5 ถึง 17 ปี

การวิจัยดังกล่าวดำเนินการระหว่างต้นเดือนเมษายนปีที่แล้วถึงปลายเดือนมกราคมปีนี้ โดยเก็บข้อมูลจากผู้คนซึ่งรวมถึงเด็กและวัยรุ่นราว 40,000 คนที่เคยติดโควิด-19 และเข้ารับการดูแลอย่างเร่งด่วนหรือเข้ารักษาตัวตามสถาบันด้านการแพทย์ทั่วสหรัฐ

ผลการวิจัยระบุว่าประสิทธิผลของวัคซีนในการป้องกันการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลนั้นอยู่ที่ร้อยละ 74 สำหรับเด็กอายุ 5 ถึง 11 ปีที่ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว ส่วนวัยรุ่นอายุ 12 ถึง 17 ปี วัคซีนมีประสิทธิผลในการป้องกันการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลที่ร้อยละ 73 ถึง 94 โดยขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่เข้ารับวัคซีน

CDC แนะนำให้เด็กและวัยรุ่นในกลุ่มอายุนี้เข้ารับวัคซีนโดยระบุว่าประสิทธิผลของวัคซีนมีแนวโน้มจะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป แต่ยังคงมีประสิทธิผลสูงอยู่ในการป้องกันการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 10 มีนาคม 2565)

การฉีดวัคซีนให้แก่เด็กเล็กนั้นมีความสำคัญแค่ไหน

ญี่ปุ่นเริ่มฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่เด็กอายุ 5 ถึง 11 ปีแล้ว เราจะมุ่งเน้นเรื่องการฉีดวัคซีนให้เด็ก และในตอนที่ 7 นี้จะนำเสนอว่าการฉีดวัคซีนให้แก่เด็กเล็กนั้นมีความสำคัญแค่ไหน

หน่วยงานด้านสาธารณสุขในรัฐนิวยอร์กของสหรัฐเปิดเผยผลการวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าประสิทธิผลของวัคซีนไฟเซอร์ในการป้องกันการติดเชื้อในกลุ่มเด็กอายุ 5 ถึง 11 ปี ลดลงไปอย่างมากในช่วงที่ไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดอยู่

ศาสตราจารย์นากายามะ เท็ตสึโอะ จากมหาวิทยาลัยคิตาซาโตะซึ่งเป็นกุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการฉีดวัคซีนระบุว่า ขนาดยาที่ฉีดให้แก่เด็กอายุ 5 ถึง 11 ปีอยู่ที่ 1 ใน 3 ของขนาดยาที่ฉีดให้แก่ผู้ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป เขาชี้ว่าโดยปกติแล้ว ขนาดร่างกายของเด็กอายุ 11 ปีกับ 12 ปีนั้นไม่แตกต่างกันมากนัก และว่าขนาดยาที่น้อยลง ทำให้ประสิทธิผลของวัคซีนน้อยลงตามไปด้วย เขากล่าวว่าด้วยเหตุนี้จึงอนุมานได้โดยง่ายว่าวัคซีนจะคงประสิทธิผลในระยะที่สั้นกว่าสำหรับกลุ่มเด็กอายุน้อย

ศาสตราจารย์นากายามะระบุว่าวัตถุประสงค์แรกเริ่มของการฉีดวัคซีนนั้นก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ติดเชื้อมีอาการป่วยหนัก เขากล่าวว่าหากพิจารณาวัตถุประสงค์นี้ แน่นอนว่าวัคซีนของไฟเซอร์ใช้ได้ผลอยู่บ้าง เนื่องจากประสิทธิผลของวัคซีนที่ป้องกันการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลนั้นอยู่ที่อย่างน้อยประมาณร้อยละ 50 เขากล่าวว่าการได้ภูมิคุ้มกันผ่านการฉีดวัคซีนนั้นดีกว่าภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อโดยที่ไม่มีการป้องกันใด ๆ

ศาสตราจารย์นากายามะกล่าวเสริมว่าการตัดสินใจเรื่องขนาดยาที่เหมาะสมสำหรับเด็ก ๆ ถือเป็นเรื่องยาก และเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่าควรลดขนาดยาจากของผู้ใหญ่เท่าไหร่และควรใช้อะไรเป็นพื้นฐานในการลด เขากล่าวว่าไม่ใช่แค่เรื่องอายุเท่านั้นแต่ยังรวมถึงขนาดร่างกายของเด็กที่อาจต้องนำมาพิจารณาร่วมด้วย และยังระบุด้วยว่าการลดเกณฑ์อายุของเด็กเพื่อเข้ารับวัคซีนที่มีขนาดยาน้อยลง อาจเป็นตัวเลือกหนึ่งได้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 9 มีนาคม 2565)

การป้องกันการติดเชื้อที่ได้จากวัคซีนในกลุ่มเด็กเปลี่ยนไปอย่างไรบ้างเมื่อเวลาผ่านไป

ญี่ปุ่นเริ่มฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่เด็กอายุ 5 ถึง 11 ปีแล้ว เราจะมุ่งเน้นเรื่องการฉีดวัคซีนให้เด็ก และในตอนที่ 6 นี้จะนำเสนอว่าเมื่อเวลาผ่านไป การป้องกันการติดเชื้อเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง

เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ หน่วยงานด้านสาธารณสุขในรัฐนิวยอร์กของสหรัฐเปิดเผยผลการวิจัยเกี่ยวกับประสิทธิผลของวัคซีนไฟเซอร์ในการป้องกันการติดเชื้อและเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลในกลุ่มเด็กอายุ 5 ถึง 17 ปี

รายงานดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าการป้องกันของวัคซีนไม่ให้เกิดการติดเชื้อในกลุ่มเด็กอายุ 12 ถึง 17 ปีลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 51 ในช่วงปลายเดือนมกราคม จากร้อยละ 66 ในช่วงกลางเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดอยู่ แต่ประสิทธิผลดังกล่าวในกลุ่มเด็กอายุ 5 ถึง 11 ปีลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด จากร้อยละ 68 มาอยู่ที่ร้อยละ 12

คณะนักวิจัยระบุว่าประสิทธิผลดังกล่าวที่ลดลงในกลุ่มเด็กอายุ 5 ถึง 11 ปีนั้นอาจเป็นเพราะข้อเท็จจริงที่ว่าเด็กกลุ่มอายุนี้ได้รับวัคซีนแค่ 1 ใน 3 ของขนาดยาที่เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปได้รับ

นับจนถึงช่วงปลายเดือนมกราคม ประสิทธิผลของวัคซีนไฟเซอร์ที่ช่วยให้ไม่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลนั้นอยู่ที่ร้อยละ 73 ในกลุ่มเด็กอายุ 12 ถึง 17 ปี และร้อยละ 48 ในเด็กอายุ 5 ถึง 11 ปี

คณะนักวิจัยระบุว่าพวกตนไม่มีข้อมูลมากพอที่จะให้ผลการวิเคราะห์ที่แม่นยำได้เนื่องจากมีเด็กจำนวนไม่มากนักที่เกิดอาการหนัก

แม้ว่าผลที่ได้ดังกล่าวจะยังไม่ได้รับการพิสูจน์จากฝ่ายที่ 3 แต่คณะผู้เชี่ยวชาญระบุว่าพวกตนได้เน้นให้เห็นถึงความจำเป็นที่อาจจะต้องศึกษาขนาดยาที่เป็นทางเลือกสำหรับเด็ก ๆ ตลอดจนการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 8 มีนาคม 2565)

การประเมินการฉีดวัคซีนให้เด็กโดยหน่วยงานด้านสาธารณสุขของสหรัฐ

ญี่ปุ่นเริ่มฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่เด็กอายุ 5 ถึง 11 ปีแล้ว เราจะมุ่งเน้นเรื่องการฉีดวัคซีนให้เด็ก และในตอนที่ 5 นี้จะนำเสนอเรื่องการประเมินการฉีดวัคซีนให้เด็กโดยหน่วยงานด้านสาธารณสุขของสหรัฐ

หน่วยงานด้านสาธารณสุขของสหรัฐแนะนำการฉีดวัคซีนเมื่อประโยชน์จากการฉีดวัคซีนมีมากกว่าความเสี่ยง เช่น อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐหรือ CDC แนะนำการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่เด็กอายุ 5 ถึง 11 ปีโดยระบุว่าปลอดภัย มีประสิทธิผล และมีข้อดีมากกว่าข้อเสีย โดยหน่วยงานด้านสาธารณสุขในแคนาดาและฝรั่งเศสก็มีความเห็นแบบเดียวกัน

ขณะที่หน่วยงานด้านสาธารณสุขในสหราชอาณาจักรและเยอรมนีระบุว่า เด็กที่มีความเสี่ยงสูงและเด็กที่อาศัยกับสมาชิกครอบครัวที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอเท่านั้น ที่ควรเข้ารับการฉีดวัคซีน

เมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2564 คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านแนวทางสร้างเสริมภูมิคุ้มกันของ CDC ได้อ้างอิงถึงข้อดีหลายประการของการฉีดวัคซีนให้แก่เด็ก โดยระบุว่าการฉีดวัคซีนช่วยป้องกันไม่ให้เด็กติดเชื้อหรือเกิดอาการหนักเมื่อติดเชื้อ และเป็นการหยุดยั้งไม่ให้เชื้อแพร่กระจายผ่านเด็ก รวมถึงทำให้เด็กรู้สึกปลอดภัยในการไปโรงเรียน ส่วนข้อเสียนั้น ทางคณะกรรมการอ้างอิงถึงผลข้างเคียงระยะสั้นตลอดจนผลข้างเคียงรุนแรงที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก ซึ่งรวมถึงกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบด้วย

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 7 มีนาคม 2565)

รายงานของสหรัฐเกี่ยวกับผลข้างเคียงในการฉีดวัคซีนให้แก่เด็ก

ญี่ปุ่นเริ่มฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่เด็กอายุ 5 ถึง 11 ปีแล้ว เราจะมุ่งเน้นเรื่องการฉีดวัคซีนให้เด็กและในตอนที่ 4 นี้จะนำเสนอรายงานของสหรัฐเกี่ยวกับผลข้างเคียง

การฉีดวัคซีนให้แก่เด็กอายุ 5 ถึง 11 ปีในสหรัฐนั้นเริ่มขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐหรือ CDC ได้เผยแพร่ผลวิเคราะห์รายงาน 4,249 กรณีที่เกิดผลข้างเคียงในกลุ่มเด็กที่ได้รับวัคซีนนับจนถึงวันที่ 19 ธันวาคมปี 2564 ในช่วงเวลานั้น มีการฉีดวัคซีนให้แก่เด็กกลุ่มอายุนี้ไปราว 8,700,000 เข็ม

ในสหรัฐนั้น ใครก็ตามที่เกิดปัญหาหลังจากเข้ารับวัคซีน สามารถรายงานได้ว่าอาจเป็นผลข้างเคียง

ผลการวิเคราะห์ของ CDC ระบุว่ารายงาน 4,149 กรณีหรือร้อยละ 97.6 นั้นเป็นอาการไม่รุนแรง โดยมีลักษณะอาการที่เฉพาะเจาะจงดังต่อไปนี้

รายงาน 316 กรณีหรือร้อยละ 7.6 จากทั้งหมดระบุถึงอาการอาเจียน, 291 กรณีหรือร้อยละ 7 มีอาการไข้, 255 กรณีหรือร้อยละ 6.2 ปวดศีรษะ และหลายกรณีเป็นลม มี 244 กรณีหรือร้อยละ 5.9 เกิดอาการวิงเวียน, 201 กรณีหรือร้อยละ 4.8 อ่อนเพลีย

ในบรรดา 100 กรณีที่ CDC จัดว่าเป็นอาการรุนแรง มี 29 กรณีหรือร้อยละ 29 ที่เกี่ยวข้องกับอาการไข้, 21 กรณีหรือร้อยละ 21 อาเจียน และ 12 กรณีหรือร้อยละ 12 มีอาการชัก

เด็กที่ได้รับวัคซีนแล้ว 11 คนได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ แต่มีรายงานว่าทุกคนหายแล้ว ผลการวิเคราะห์ระบุว่าสัดส่วนของผู้ที่มีอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบในกลุ่มอายุนี้นั้นน้อยมากเมื่อเทียบกับกลุ่มอายุ 12 ปีขึ้นไป

มีเด็ก 2 คนเสียชีวิตหลังจากได้รับวัคซีน แต่ CDC ระบุว่าพวกเขามีประวัติทางการแพทย์อันซับซ้อนและสุขภาพไม่แข็งแรงก่อนเข้ารับวัคซีน ผลการวิเคราะห์ระบุว่าไม่มีข้อมูลที่ชี้ให้เห็นความเกี่ยวพันระหว่างการเสียชีวิตดังกล่าวกับการฉีดวัคซีน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 4 มีนาคม 2565)

ความปลอดภัยในการทดลองทางคลินิกเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนให้แก่เด็ก

ญี่ปุ่นเริ่มฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่เด็กอายุ 5 ถึง 11 ปีแล้ว เราจะมุ่งเน้นเรื่องการฉีดวัคซีนให้เด็กและในตอนที่ 3 นี้จะนำเสนอเรื่องความปลอดภัยในการทดลองทางคลินิก

บริษัทไฟเซอร์และไบออนเทคได้ดำเนินการทดลองทางคลินิกในกลุ่มเด็กอายุ 5 ถึง 11 ปีกว่า 2,200 คนในสหรัฐ สเปน และพื้นที่อื่น ๆ โดยมีรายงานอาการข้างเคียงบางประการ เช่น ปวดตรงจุดที่ฉีดวัคซีนและอ่อนเพลีย แต่อาการข้างเคียงเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง และดีขึ้นใน 1 ถึง 2 วัน

เรามาดูลักษณะอาการแบบเฉพาะเจาะจงกัน

มีรายงานเรื่องอาการปวดตรงจุดที่ฉีดวัคซีนร้อยละ 74 หลังจากได้รับวัคซีนเข็มแรก และร้อยละ 71 หลังจากได้รับวัคซีนเข็มที่ 2

มีรายงานอาการอ่อนเพลียร้อยละ 34 หลังจากได้รับวัคซีนเข็มแรก และร้อยละ 39 หลังได้รับวัคซีนเข็มที่ 2

ร้อยละ 22 มีอาการปวดศีรษะหลังได้รับวัคซีนเข็มแรก และร้อยละ 28 ปวดศีรษะหลังได้รับวัคซีนเข็มที่ 2

ร้อยละ 15 มีรอยแดงตรงจุดที่ฉีดวัคซีนหลังจากได้รับวัคซีนเข็มแรก และร้อยละ 19 มีอาการนี้หลังได้รับวัคซีนเข็มที่ 2

ร้อยละ 10 เกิดอาการบวมตรงจุดที่ฉีดวัคซีนหลังได้รับวัคซีนเข็มแรก และร้อยละ 15 มีอาการนี้หลังได้รับวัคซีนเข็มที่ 2

มีรายงานอาการปวดกล้ามเนื้อร้อยละ 9 หลังได้รับวัคซีนเข็มแรก และร้อยละ 12 หลังได้รับวัคซีนเข็มที่ 2

มีรายงานอาการหนาวสั่นร้อยละ 5 หลังได้รับวัคซีนเข็มแรก และร้อยละ 10 หลังจากได้รับวัคซีนเข็มที่ 2

ร้อยละ 3 มีไข้สูง 38 องศาเซลเซียสหรือสูงกว่านั้น หลังจากได้รับวัคซีนเข็มแรก และร้อยละ 7 มีอาการนี้หลังได้รับวัคซีนเข็มที่ 2

ร้อยละ 14 ใช้ยาลดไข้หลังจากได้รับวัคซีนเข็มแรก และร้อยละ 20 ใช้ยาลดไข้หลังได้รับวัคซีนเข็มที่ 2

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 3 มีนาคม 2565)

ประสิทธิผลของการฉีดวัคซีนให้แก่เด็ก

ญี่ปุ่นเริ่มฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่เด็กอายุ 5 ถึง 11 ปีแล้วเมื่อช่วงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ในตอนที่ 2 ของการฉีดวัคซีนให้เด็กนั้น เราจะนำเสนอเรื่องประสิทธิผลของการฉีดวัคซีน

ไฟเซอร์ได้ดำเนินการทดลองทางคลินิกโดยมีเด็กอายุ 5 ถึง 11 ปีกว่า 2,200 คนในประเทศต่าง ๆ เช่น สหรัฐและสเปนเข้าร่วม ไฟเซอร์ระบุว่าผลที่ได้นั้นยืนยันประสิทธิผลของวัคซีนตนที่ร้อยละ 90.7 ในการป้องกันการเกิดอาการจากการติดเชื้อ

นอกจากนี้ ไฟเซอร์ยังระบุด้วยว่าวัคซีนมีความปลอดภัยเนื่องจากอาการที่ปรากฏในเด็กกลุ่มนี้หลังจากเข้ารับวัคซีนนั้น โดยมากเป็นอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง

ในการทดลองทางคลินิกดังกล่าว เด็กกว่า 1,500 คนได้รับวัคซีน 10 ไมโครกรัมต่อขนาดยา หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของปริมาณที่ฉีดให้แก่ผู้ใหญ่ เด็ก ๆ จะได้รับวัคซีน 2 เข็มโดยเข็มที่ 2 จะเว้นห่างจากเข็มแรก 3 สัปดาห์ มีเด็ก 750 คนที่ได้รับวัคซีนหลอก

คณะนักวิจัยยืนยันว่าระดับสารภูมิต้านทานที่มีฤทธิ์ลบล้างไวรัสในเด็กที่ได้รับวัคซีนจริงนั้น สูงเท่ากับผู้คนอายุ 16-25 ปีที่ได้รับวัคซีนตามขนาดยาปกติ

มีเด็ก 3 คนในกลุ่มที่ได้รับวัคซีนจริงเกิดอาการจากโรคโควิด-19 หลังได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 ไปแล้ว 7 วันหรือนานกว่านั้น ในขณะที่กลุ่มซึ่งได้รับวัคซีนหลอก จำนวนดังกล่าวอยู่ที่ 16 คน คณะนักวิจัยสรุปว่าวัคซีนไฟเซอร์มีประสิทธิผลร้อยละ 90.7 ในการป้องกันการเกิดอาการจากโรคโควิด-19

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 2 มีนาคม 2565)

นโยบายของรัฐบาลญี่ปุ่นเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่เด็กอายุ 5 ถึง 11 ปี

ญี่ปุ่นเริ่มฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่เด็กอายุ 5 ถึง 11 ปีเมื่อช่วงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ เราจะมุ่งเน้นเรื่องการฉีดวัคซีนของเด็กและอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงว่าการฉีดวัคซีนให้แก่เด็กนั้นดำเนินการอย่างไร โดยตอนแรกเราจะนำเสนอนโยบายของรัฐบาลญี่ปุ่น

รัฐบาลญี่ปุ่นได้อนุญาตการฉีดวัคซีนให้แก่เด็กอายุ 5 ถึง 11 ปีอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ขนาดยาที่ใช้สำหรับกลุ่มอายุนี้คือ 1 ใน 3 ของปริมาณที่ฉีดให้แก่ผู้ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป เด็กกลุ่มอายุนี้จะได้รับวัคซีน 2 เข็มโดยเข็มที่ 2 จะเว้นห่างจากเข็มแรก 3 สัปดาห์ รัฐบาลไม่แนะนำการจัดฉีดวัคซีนแก่ผู้คนจำนวนมากตามโรงเรียน โดยให้เด็ก ๆ ไปรับวัคซีนตามสถานที่ฉีดวัคซีนในเทศบาลของตนหรือคลินิกเด็กเป็นรายบุคคลไป

ปัจจุบัน ไม่มีข้อกำหนดให้เด็กอายุ 5 ถึง 11 ปีพยายามไปเข้ารับวัคซีนโควิด-19 เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะพิสูจน์ประสิทธิผลที่มีต่อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน เมื่อเด็กกลุ่มอายุนี้เข้ารับวัคซีน จะต้องได้รับความยินยอมจากพ่อแม่หรือผู้ปกครอง กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นขอให้พ่อแม่ผู้ปกครองพูดคุยอย่างละเอียดกับเด็กเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนก่อนเข้ารับวัคซีน โดยอิงจากข้อมูลเรื่องประสิทธิผลและความปลอดภัย

นอกจากนี้ ยังแนะนำให้ปรึกษากับแพทย์ที่ไปพบเป็นประจำก่อนตัดสินใจว่าจะเข้ารับวัคซีนหรือไม่ ทางกระทรวงขอให้เด็ก ๆ ที่มีปัญหาเรื่องระบบหายใจและอาการเรื้อรังอื่น ๆ เข้ารับวัคซีน เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงกว่าที่จะเกิดอาการรุนแรงจากโรคโควิด-19

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 1 มีนาคม 2565)

ทัศนะของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการใช้วัคซีนต่างยี่ห้อกันเป็นเข็มกระตุ้น

คณะนักวิจัยของรัฐบาลญี่ปุ่นได้เปิดเผยผลการวิจัยเป็นครั้งแรกเกี่ยวกับประสิทธิผลและความปลอดภัยของการใช้วัคซีนต่างยี่ห้อกันเป็นเข็มกระตุ้นจากวัคซีนที่เคยได้รับไปแล้ว 2 เข็ม

เราจะรายงานเกี่ยวกับวัคซีนเข็มกระตุ้นที่ต่างยี่ห้อกันแทนที่จะเป็นวัคซีนเดิมเหมือนที่เคยได้รับไปก่อนหน้านี้ โดยในตอนที่ 3 ซึ่งเป็นตอนสุดท้าย เราจะนำเสนอทัศนะของผู้เชี่ยวชาญ

ศาสตราจารย์อิโต ซูมิโนบุ จากคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยจุนเท็นโด ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะนักวิจัยดังกล่าวระบุว่า เมื่อเทียบกับวัคซีน 3 เข็มของไฟเซอร์แล้ว ระดับของสารภูมิต้านทานจากการใช้วัคซีนต่างยี่ห้อกันโดยวัคซีนเข็มที่ 3 เป็นของโมเดอร์นานั้นสูงกว่า แม้มีรายงานอาการข้างเคียงมากกว่า แต่จำนวนของผู้คนที่ลาหยุดงานก็ไม่ต่างกันมากนัก เขากล่าวว่าเมื่อจะเลือกวัคซีนนั้น ควรพิจารณาทั้งประสิทธิผลและอาการข้างเคียง

ศาสตราจารย์ฮามาดะ อัตสึโอะ จากโรงพยาบาลแห่งมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์โตเกียว ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อระบุว่า สหรัฐและหลายประเทศในยุโรปเปลี่ยนกลับมาใช้ชีวิตและฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจสังคมได้อย่างรวดเร็วเหมือนช่วงก่อนการระบาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม เขาชี้ว่าจำนวนของผู้ติดเชื้อรายใหม่ในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อไม่นานมานี้ และมีประชากรแค่กว่าร้อยละ 10 เท่านั้นที่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นแล้ว

เขากล่าวว่าการฟื้นสภาพเศรษฐกิจสังคมในพื้นที่ที่ไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่มากนักสามารถทำได้ แต่สำหรับพื้นที่เช่นกรุงโตเกียวและโอซากาซึ่งยังคงมีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่จำนวนมากอย่างต่อเนื่องนั้น ทางการควรพิจารณาสถานการณ์ด้านการแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสัดส่วนของผู้สูงอายุที่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นแล้ว ก่อนตัดสินใจยกเลิกมาตรการเข้มงวดแบบมุ่งเน้นเฉพาะภาคส่วน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565)

อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้วัคซีนต่างยี่ห้อกันเป็นเข็มกระตุ้น

คณะนักวิจัยของรัฐบาลญี่ปุ่นได้เปิดเผยผลการวิจัยเป็นครั้งแรกเกี่ยวกับประสิทธิผลและความปลอดภัยของการใช้วัคซีนต่างยี่ห้อกันเป็นเข็มกระตุ้นจากวัคซีนที่เคยได้รับไปแล้ว 2 เข็ม

เราจะรายงานเกี่ยวกับวัคซีนเข็มกระตุ้นที่ต่างยี่ห้อกันแทนที่จะเป็นวัคซีนเดิมเหมือนที่เคยได้รับไปก่อนหน้านี้ โดยในตอนที่ 2 เราจะมุ่งเน้นไปยังอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

รายงานของคณะนักวิจัยของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่น นำเสนอข้อมูลเรื่องอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นหลังจากที่ผู้คนได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น โดยในกลุ่มผู้ที่ได้รับวัคซีนของไฟเซอร์ 3 เข็ม ร้อยละ 21.4 มีไข้สูง 38 องศาเซลเซียสหรือสูงกว่านั้น ร้อยละ 69.1 มีอาการอ่อนเพลีย และร้อยละ 55 ปวดศีรษะ

ในกลุ่มผู้ที่ได้รับวัคซีนของไฟเซอร์แล้ว 2 เข็มและได้รับวัคซีนของโมเดอร์นาเป็นเข็มกระตุ้นนั้น ร้อยละ 49.2 มีไข้สูง 38 องศาเซลเซียสหรือสูงกว่านั้น ร้อยละ 78 มีอาการอ่อนเพลีย และร้อยละ 69.6 ปวดศีรษะ อาการข้างเคียงทั้งหมดนี้ จะหนักที่สุดในวันหลังจากที่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น และอาการจะหายไปภายใน 2 หรือ 3 วัน

มี 2 กรณีที่สงสัยว่าเกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบในกลุ่มผู้ที่ได้รับวัคซีนของไฟเซอร์ 3 เข็ม แต่มีรายงานว่าอาการของพวกเขาไม่รุนแรง ทั้งนี้ ไม่ปรากฏอาการข้างเคียงรุนแรงใด ๆ ในกลุ่มผู้ที่ได้รับวัคซีนของไฟเซอร์แล้ว 2 เข็มและวัคซีนเข็มกระตุ้นของโมเดอร์นา

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2565)

ประสิทธิผลและความปลอดภัยของการใช้วัคซีนต่างยี่ห้อกันเป็นเข็มกระตุ้น

คณะนักวิจัยของรัฐบาลญี่ปุ่นได้เปิดเผยผลการวิจัยเป็นครั้งแรกเกี่ยวกับประสิทธิผลและความปลอดภัยของการใช้วัคซีนต่างยี่ห้อกันเป็นเข็มกระตุ้นจากวัคซีนที่เคยได้รับไปแล้ว 2 เข็ม

เราจะรายงานเกี่ยวกับวัคซีนเข็มกระตุ้นที่ต่างยี่ห้อกันแทนที่จะเป็นวัคซีนเดิมเหมือนที่เคยได้รับไปก่อนหน้านี้ โดยในตอนแรกจะมุ่งเน้นไปยังประสิทธิผลของการฉีดวัคซีนในลักษณะเช่นนี้

คณะนักวิจัยของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นได้วิเคราะห์ข้อมูลของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ซึ่งเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 ในญี่ปุ่น เจ้าหน้าที่เหล่านี้ทั้งหมดเคยได้รับวัคซีนของไฟเซอร์มาแล้ว 2 เข็ม สำหรับเข็มที่ 3 นั้น มี 2,826 คนที่ได้รับวัคซีนของไฟเซอร์ ขณะที่ 773 คนได้รับวัคซีนของโมเดอร์นา นับจนถึงวันที่ 28 มกราคม

คณะนักวิจัยได้วัดระดับสารภูมิต้านทานในกลุ่มคนเหล่านี้ที่มีต่อไวรัสสายพันธุ์ดั้งเดิมและตรวจสอบผลข้างเคียง โดยอธิบายเกี่ยวกับผลที่ได้ในที่ประชุมของคณะผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์

คณะนักวิจัยได้ศึกษาระดับของสารภูมิต้านทานในกลุ่มคนเหล่านี้ 1 เดือนหลังจากได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 ทั้งนี้ พวกเขาไม่เคยมีสารภูมิต้านทานที่ได้จากการติดเชื้อไวรัสนี้ ระดับสารภูมิต้านทานของกลุ่มที่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นของไฟเซอร์นั้น เพิ่มขึ้นจากระดับก่อนหน้าที่จะได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นเฉลี่ย 54.1 เท่า ขณะที่ระดับดังกล่าวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 67.9 เท่าในกลุ่มผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นของโมเดอร์นา

คณะนักวิจัยระบุว่าเมื่อนำผลการวิจัยในต่างประเทศมาพิจารณาด้วยนั้น ดูเหมือนว่าวัคซีนเข็มกระตุ้นของโมเดอร์นามีประสิทธิผลต่อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนมากกว่าด้วย

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565)

สิ่งที่เราได้รู้เกี่ยวกับไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน ตอนที่ 4

ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในอัตราที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

เราจะรายงานสิ่งที่เราได้รู้เกี่ยวกับไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน เช่น ความสามารถในการติดต่อ ความเสี่ยงของการเกิดอาการหนัก ครั้งนี้เราจะนำเสนอว่าวัคซีนมีประสิทธิผลเพียงใดต่อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน

มีรายงานว่าผู้ที่ได้รับวัคซีน 2 เข็มแล้วก็สามารถติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนได้ องค์การอนามัยโลกเตือนในรายงานรายสัปดาห์ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 11 มกราคมว่า มีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นในการกลับมาติดเชื้ออีกครั้ง

รายงานดังกล่าวยังระบุด้วยว่าการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนทำให้การป้องกันการติดเชื้อและการป้องกันการแสดงอาการของโรคที่ได้จากวัคซีนนั้นลดลงไป ตลอดจนการป้องกันไม่ให้เกิดอาการหนักก็อาจลดลงด้วย

เจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขของสหราชอาณาจักรระบุในรายงานสรุปเมื่อวันที่ 31 ธันวาคมปี 2564 ว่า วัคซีน mRNA 2 เข็ม เช่นวัคซีนที่พัฒนาโดยไฟเซอร์และโมเดอร์นานั้น มีประสิทธิผลอยู่ที่ร้อยละ 65 ถึง 70 ในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนแบบแสดงอาการ นี่คือหลังจากได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 แล้ว 2 ถึง 4 สัปดาห์ แต่ประสิทธิผลจะลดลงมาอยู่ที่ประมาณร้อยละ 10 หลังจากผ่านไป 20 สัปดาห์

ข้อมูลยังแสดงให้เห็นด้วยว่าวัคซีนเข็มกระตุ้นของไฟเซอร์หรือของโมเดอร์นาที่ใช้กับผู้ที่ได้รับวัคซีนไฟเซอร์มาแล้ว 2 เข็มนั้น มีประสิทธิผลอยู่ที่ร้อยละ 65 ถึง 75 ในการป้องกันการแสดงอาการของโรคหลังจากผ่านไป 2 ถึง 4 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านไป 5 ถึง 9 สัปดาห์ ประสิทธิผลลดลงไปอยู่ที่ร้อยละ 55 ถึง 70 และหลังจากผ่านไป 10 สัปดาห์ ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 40 ถึง 50

ข้อมูลระบุว่าการฉีดวัคซีนมีประสิทธิผลมากกว่าในการลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการหนักและเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล โดยผู้ที่ได้รับวัคซีนของไฟเซอร์, โมเดอร์นา หรือแอสตราเซเนกาแล้ว 2 เข็ม ประสิทธิผลของการป้องกันไม่ให้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่ที่ร้อยละ 72 ระหว่าง 2 ถึง 24 สัปดาห์หลังจากได้รับวัคซีน และหลังจากผ่านไป 52 สัปดาห์ ประสิทธิผลอยู่ที่ร้อยละ 52

ส่วนผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้ว 2 เข็ม และได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นนั้น ประสิทธิผลในการป้องกันให้ไม่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่ที่ร้อยละ 88 หลังจากได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 ไปแล้ว 2 สัปดาห์

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 20 มกราคม 2565)

สิ่งที่เราได้รู้เกี่ยวกับไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน ตอนที่ 3

ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในอัตราที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

เราจะรายงานสิ่งที่เราได้รู้เกี่ยวกับไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน เช่น ความสามารถในการติดต่อ ความเสี่ยงของการเกิดอาการหนัก ครั้งนี้เราจะนำเสนอว่าไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนทำให้เกิดอาการหนักหรือไม่

เจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขในสหราชอาณาจักรระบุในรายงานสรุปเมื่อวันที่ 31 ธันวาคมปี 2564 ว่า ความเสี่ยงที่จะเข้าโรงพยาบาลของผู้ที่ติดไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนนั้นอยู่ที่ประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ที่ติดไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตา

นอกจากนี้ยังระบุด้วยว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 แล้ว 14 วันหรือนานกว่านั้น มีความเสี่ยงที่จะเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลลดลงร้อยละ 65 เมื่อเทียบกับผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน มีรายงานว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 มาแล้วนานกว่า 14 วัน มีความเสี่ยงที่จะเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลลดลงร้อยละ 81

อย่างไรก็ตาม เราควรระมัดระวังในการตีความข้อมูลนี้ เจ้าหน้าที่ของสหราชอาณาจักรระบุว่าวัคซีนเข็มกระตุ้นมีประสิทธิผลในการป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนเกิดอาการหนัก และในสหราชอาณาจักรนั้น ประชากรร้อยละ 62.3 ได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 แล้วนับจนถึงวันที่ 10 มกราคม

ขณะที่ในญี่ปุ่น มีประชากรแค่ร้อยละ 1.1 ที่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นนับจนถึงวันที่ 17 มกราคม องค์การอนามัยโลกชี้ว่าไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนกำลังทำให้ระบบดูแลทางการแพทย์ของแต่ละประเทศแบกรับภาระมากขึ้น แม้ความเสี่ยงของการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจะลดลงก็ตาม ทั้งนี้เป็นเพราะจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มมากขึ้นทำให้จำนวนของผู้ป่วยอาการหนักและผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 19 มกราคม 2565)

สิ่งที่เราได้รู้เกี่ยวกับไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน ตอนที่ 2

ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในอัตราที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

เราจะรายงานสิ่งที่เราได้รู้เกี่ยวกับไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน เช่น ความสามารถในการติดต่อ ความเสี่ยงของการเกิดอาการหนัก และภาระต่อระบบด้านการแพทย์ที่อาจมีขึ้น ครั้งนี้เป็นตอนที่ 2 โดยจะนำเสนอว่าไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนทำให้เกิดอาการหนักหรือไม่

มีหลักฐานมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนทำให้เกิดอาการที่ร้ายแรงน้อยกว่าเมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่น ๆ

องค์การอนามัยโลกหรือ WHO ระบุในรายงานรายสัปดาห์ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2565 ว่า ในช่วงที่ไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดนั้น ดูเหมือนว่าอัตราการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจะต่ำกว่าและมีผู้ป่วยอาการหนักในจำนวนน้อยกว่า

เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2565 เจ้าหน้าที่ของ WHO ระบุว่าไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อทางเดินหายใจส่วนบนซึ่งรวมถึงจมูกและคอมากกว่า เมื่อเทียบกับไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์อื่น และมีแนวโน้มน้อยกว่าที่จะไปถึงปอดและก่อให้เกิดอาการหนัก อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่เตือนว่าจำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมเพื่อพิสูจน์ความเห็นเหล่านี้

ที่ญี่ปุ่นนั้น ข้อมูลเบื้องต้นที่รวบรวมในจังหวัดโอกินาวาแสดงให้เห็นเกี่ยวกับความรุนแรงของอาการป่วยที่เกิดจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์ต่าง ๆ

เจ้าหน้าที่ได้ทำการสำรวจผู้ป่วยโควิด-19 ในจังหวัดโอกินาวาในตอนที่จำนวนผู้ติดเชื้อแตะที่ 650 คนในช่วงหนึ่งของการระบาดใหญ่ โดยพบว่าร้อยละ 84.8 ของบรรดาผู้ป่วยมีอาการเล็กน้อยหรือไม่มีอาการ และร้อยละ 0.6 มีอาการหนัก นับจนถึงวันที่ 1 เมษายนปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงที่ไวรัสสายพันธุ์ดั้งเดิมเป็นสายพันธุ์หลักอยู่

นับจนถึงวันที่ 18 กรกฎาคมปี 2564 ในช่วงที่สายพันธุ์อัลฟาเป็นสายพันธุ์หลักของการระบาด ร้อยละ 72.8 ของผู้ป่วยมีอาการเล็กน้อยหรือไม่มีอาการ ขณะที่ร้อยละ 0.9 มีอาการหนัก

เมื่อวันที่ 4 มกราคมปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่ไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนกลายเป็นสายพันธุ์หลัก ร้อยละ 92.3 ของผู้ป่วยมีอาการเล็กน้อยหรือไม่มีอาการ ส่วนผู้ป่วยอาการหนักไม่มีเลย

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ณ ปัจจุบัน ผู้ป่วยส่วนใหญ่ในจังหวัดโอกินาวาเป็นคนหนุ่มสาว และจำนวนผู้ป่วยอาการหนักอาจเพิ่มขึ้นหากการติดเชื้อแพร่ไปยังกลุ่มผู้สูงอายุ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 18 มกราคม 2565)

สิ่งที่เราได้รู้เกี่ยวกับไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน ตอนที่ 1

ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในอัตราที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รายงานอย่างต่อเนื่องจากทั่วโลกแสดงให้เห็นว่าไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนติดต่อกันได้ง่ายมาก การติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนในญี่ปุ่นก็กำลังพุ่งสูงขึ้นเช่นกัน โดยเคยมีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อวันมากกว่า 20,000 คน อะไรคือความเสี่ยงของการแพร่เชื้อและการเกิดอาการหนัก และสิ่งนี้จะส่งผลกระทบต่อบริการด้านการแพทย์อย่างไร

เราจะรายงานสิ่งที่เราได้รู้เกี่ยวกับไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน ครั้งนี้เป็นตอนแรก โดยจะนำเสนอความสามารถในการติดต่อของไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน

องค์การอนามัยโลกหรือ WHO ได้ระบุในรายงานรายสัปดาห์เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2565 เรื่อง “ความสามารถในการติดต่อที่เพิ่มมากขึ้น” ของไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน

รายงานดังกล่าวระบุถึงผลการวิจัยที่ดำเนินการในเดนมาร์กเมื่อเดือนธันวาคมปี 2564 ซึ่งพบว่าอัตราการติดต่อขั้นที่ 2 ภายในครัวเรือนนั้นอยู่ที่ร้อยละ 31 สำหรับไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน ขณะที่ไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตาอยู่ที่ร้อยละ 21

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐระบุว่าทางศูนย์พบว่าความสามารถในการติดต่อของไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนนั้นสูงสุด 3 เท่าเมื่อเทียบกับไวรัสสายพันธุ์เดลตา

ในสหรัฐและหลายประเทศในยุโรป ไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนได้เข้ามาแทนที่ไวรัสสายพันธุ์เดลตาได้อย่างรวดเร็ว กลายเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดอยู่

ที่อังกฤษนั้น นับจนถึงวันที่ 30 ธันวาคมปี 2564 ราวร้อยละ 95 ของผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่มีรายงานทั่วภูมิภาคส่วนใหญ่ในอังกฤษคือการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐระบุว่าในสหรัฐนั้น นับจนถึงวันที่ 8 มกราคมปี 2565 ราวร้อยละ 98.3 ของผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน แสดงให้เห็นว่าสายพันธุ์นี้กลายเป็นสายพันธุ์หลักและมาแทนที่ไวรัสสายพันธุ์อื่น ๆ เกือบทั้งหมดแล้ว

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 17 มกราคม 2565)

จะทราบได้อย่างไรว่าตนเองติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ตอนที่ 4

ญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนท่ามกลางฤดูที่เอื้อต่อการเป็นไข้หวัดธรรมดาอยู่แล้ว เราจะทำอย่างไรเมื่อมีอาการคล้ายไข้หวัดและต้องการทราบว่าเราป่วยเป็นโรคโควิด-19 หรือไม่ ครั้งนี้เราจะมาดูกันว่าจะใช้ชุดตรวจแอนติเจนอย่างไรเมื่อมีอาการต่าง ๆ

คณะผู้เชี่ยวชาญระบุว่าชุดตรวจแอนติเจนเพื่อหาเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่อาจช่วยได้เมื่อเรามีอาการต่าง ๆ ในช่วงกลางคืนหรือเมื่อยากที่จะตัดสินใจว่าควรไปพบแพทย์หรือไม่ แต่ไม่แนะนำให้ใช้ชุดตรวจแอนติเจนเมื่อไม่มีอาการใด ๆ เนื่องจากกล่าวกันว่าในกรณีเช่นนี้ มีความถูกต้องแม่นยำน้อยกว่า

ถ้ามีอาการต่าง ๆ กล่าวกันว่าชุดตรวจแอนติเจนให้ผลที่น่าเชื่อถือหากใช้ภายใน 9 วันของการเกิดอาการเหล่านั้น แต่ในกรณีเช่นว่านี้ ต้องมั่นใจว่าใช้ชุดตรวจที่มีข้อความระบุว่า “in vitro diagnostics” หรือ IVD ผู้เชี่ยวชาญสนับสนุนให้ผู้คนมีชุดตรวจนี้ไว้เผื่อต้องใช้

อย่างไรก็ตาม ชุดตรวจแอนติเจนอาจให้ผลเป็นลบปลอม เราต้องไปพบแพทย์หากยังมีอาการอยู่แม้ว่าหลังจากมีผลตรวจเป็นลบก็ตาม

คุณโอตสึกะ โยชิฮิโตะ จากศูนย์การแพทย์คาเมดะระบุว่า ชุดตรวจแอนติเจนที่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลญี่ปุ่นวางจำหน่ายในราคาไม่ถึง 2,000 เยนต่อชุด และก็มีพร้อมให้ใช้งาน เขากล่าวว่าเป็นแนวคิดที่ดีที่จะมีชุดตรวจดังกล่าวติดบ้านไว้ แต่เขาเตือนว่าชุดตรวจนี้อาจให้ผลเป็นลบปลอมเมื่อเชื้อไวรัสมีไม่ถึงระดับที่กำหนด คุณโอตสึกะขอให้ไปพบแพทย์เมื่ออาการยังไม่หายไปและรู้สึกเป็นกังวล

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 14 มกราคม 2565)

จะทราบได้อย่างไรว่าตนเองติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ตอนที่ 3

ญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนท่ามกลางฤดูที่เอื้อต่อการเป็นไข้หวัดธรรมดาอยู่แล้ว เราจะทำอย่างไรเมื่อมีอาการคล้ายไข้หวัดและต้องการทราบว่าเราป่วยเป็นโรคโควิด-19 หรือไม่ ครั้งนี้เราจะมาดูกันว่าควรทำอย่างไรเมื่อมีอาการเล็กน้อยหรือไม่มีอาการเลย

รัฐบาลญี่ปุ่นได้แจ้งไปยังทางการท้องถิ่นในพื้นที่ที่ “ต้องใช้มาตรการต้านการติดเชื้อเป็นพิเศษ” เพื่อให้บริการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายในกรณีที่บุคคลผู้นั้นไม่มีอาการใด ๆ ทั้งนี้ ทางการท้องถิ่นได้ดำเนินการแยกต่างหากเพื่อให้บริการตรวจหาเชื้อแบบไม่คิดค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ที่ไม่สามารถเข้ารับวัคซีนอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม การตรวจหาเชื้อเหล่านี้ดำเนินการสำหรับผู้คนที่ไม่ปรากฏอาการของการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

แล้วในกรณีของผู้ที่แสดงอาการเพียงเล็กน้อย ควรทำอย่างไร

คณะผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นกำลังขอให้ผู้คนไปยังสถานที่ด้านการแพทย์หากมีอาการไข้อ่อน ๆ เหนื่อยอ่อน หรือรู้สึกไม่สบาย

คุณโอตสึกะ โยชิฮิโตะ จากศูนย์การแพทย์คาเมดะซึ่งเป็นสมาชิกของคณะผู้เชี่ยวชาญที่ร่างแนวทางสำหรับการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ระบุว่า ผู้ที่มีอาการคล้ายไข้หวัด เช่น เจ็บคอ น้ำมูกไหล มีไข้ ปวดศีรษะ หรืออ่อนเพลีย ควรไปเข้ารับการตรวจหาเชื้อ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 13 มกราคม 2565)

จะทราบได้อย่างไรว่าตนเองติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ตอนที่ 2

ญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนท่ามกลางฤดูที่เอื้อต่อการเป็นไข้หวัดธรรมดาอยู่แล้ว เราจะทำอย่างไรเมื่อมีอาการไข้หวัดอ่อน ๆ และต้องการทราบว่าเราป่วยเป็นโรคโควิด-19 หรือไม่ ครั้งนี้เราจะมาดูกันว่าอาการที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนนั้นเป็นอย่างไร

เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2565 คณะผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นได้ประชุมและรับฟังรายงานเกี่ยวกับผู้ป่วย 50 คนจากจังหวัดโอกินาวา ซึ่งเป็นผู้ที่ตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนนับจนถึงวันที่ 1 มกราคม

รายงานดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าร้อยละ 72 ของผู้ป่วยดังกล่าวมีไข้สูง 37.5 องศาเซลเซียสหรือมากกว่านั้น ขณะที่ร้อยละ 58 มีอาการไอ และร้อยละ 50 รู้สึกอ่อนแรง นอกจากนี้ยังระบุด้วยว่าร้อยละ 44 เจ็บคอ ร้อยละ 36 คัดจมูกหรือน้ำมูกไหล ร้อยละ 32 ปวดศีรษะ และร้อยละ 24 ปวดตามข้อ ร้อยละ 8 คลื่นไส้หรืออาเจียน ร้อยละ 6 หายใจลำบาก และร้อยละ 2 เกิดความผิดปกติในการรับรสหรือกลิ่น จากรายงานนี้ มีเพียงร้อยละ 4 เท่านั้นที่ไม่แสดงอาการ

คุณวากิตะ ทากาจิ ประธานคณะผู้เชี่ยวชาญดังกล่าวและผู้อำนวยการสถาบันโรคติดเชื้อแห่งชาติของญี่ปุ่นระบุว่า ในขณะที่กล่าวกันว่าผู้ป่วยโควิด-19 มักจะมีอาการเกี่ยวกับการย่อยอาหารหรือสูญเสียการรับรสหรือรับกลิ่น แต่รายงานจากโอกินาวาชี้ว่าไม่มีอาการลักษณะนี้ในผู้ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน เขากล่าวว่าอาการที่เกิดจากไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนนั้นคล้ายคลึงกับอาการไข้หวัดธรรมดามากกว่า

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 12 มกราคม 2565)

จะทราบได้อย่างไรว่าตนเองติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ตอนที่ 1

ญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน ฤดูหนาวเป็นฤดูที่เอื้อต่อการเป็นไข้หวัดธรรมดาอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อมีอาการไข้อ่อน ๆ ผู้คนอาจรู้สึกกังวลว่าตนเองป่วยเป็นโรคโควิด-19 หรือไม่ เราจะทำอย่างไรเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นว่านี้

อาการของโรคโควิด-19 แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล องค์การอนามัยโลกหรือ WHO ระบุว่าอาการดังต่อไปนี้ถือเป็นอาการที่มักเกิดขึ้นเมื่อติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยผู้ติดเชื้อจะมีไข้ ไอแห้ง ๆ เหนื่อยอ่อน และสูญเสียการรับรสหรือกลิ่น ส่วนอาการอื่น ๆ ที่อาจส่งผลกระทบกับผู้ป่วยบางคนได้แก่ เจ็บคอ ปวดศีรษะ ท้องเสีย ผิวหนังเป็นผื่นหรือนิ้วมือและนิ้วเท้าเปลี่ยนสี รวมถึงตาแดง

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐยังระบุถึงอาการต่าง ๆ ของโรคโควิด-19 เช่น หายใจติดขัดหรือหายใจลำบาก ปวดกล้ามเนื้อหรือปวดตามร่างกาย น้ำมูกไหลหรือคัดจมูก คลื่นไส้หรืออาเจียน และหนาวสั่น

คำถามก็คืออาการเหล่านี้เหมือนกับกรณีติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนหรือไม่

เจ้าหน้าที่ของ WHO ระบุเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2565 ว่า การศึกษาวิจัยมากยิ่งขึ้นชี้ว่าไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนทำให้ทางเดินหายใจส่วนบนติดเชื้อ ซึ่งต่างจากสายพันธุ์อื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อปอดและทำให้เกิดปอดอักเสบรุนแรง เขาชี้ว่าการอักเสบที่เกิดจากไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนนั้นส่วนมากจะอยู่ในจมูกและคอ นี่ชี้เป็นนัยว่าอาการที่ปรากฏนั้นอาจต่างไปจากไวรัสสายพันธุ์อื่น ๆ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 11 มกราคม 2565)

การระบาดของกรณีติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนภายในชุมชนในกรุงโตเกียว

กรุงโตเกียวได้รายงานกรณีติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ โดยกรณีที่เชื่อว่าเป็นการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนที่เป็นการติดเชื้อภายในชุมชนก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ครั้งนี้เราจะไปติดตามการระบาดของกรณีติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนภายในชุมชน

กรุงโตเกียวได้ยืนยันผู้ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนรายแรกเมื่อวันที่ 16 ธันวาคมปี 2564 ในช่วง 2 สัปดาห์นับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันที่ 28 ธันวาคม ยอดรวมของผู้ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนอยู่ที่ 13 คน แต่วันที่ 30 ธันวาคมแค่วันเดียว ยอดดังกล่าวอยู่ที่ 9 คน และในวันที่ 3 มกราคม 2565 วันเดียวอยู่ที่ 25 คน

ขณะที่กรณีที่ดูเหมือนเป็นการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนภายในชุมชนนั้นมีเพียงคนเดียวนับจนถึงวันที่ 28 ธันวาคม แต่จำนวนดังกล่าวเพิ่มเป็นถึง 12 คนสำหรับยอดของวันที่ 30 ธันวาคมรวมกับวันที่ 3 มกราคม

เจ้าหน้าที่ของทางการกรุงโตเกียวระบุว่ากรณีติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังวันคริสต์มาสและมีความเป็นไปได้ที่ไวรัสสายพันธุ์นี้จะแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วตั้งแต่ช่วงสิ้นปีจนถึงปีใหม่

ในประเด็นเรื่องระบบด้านการแพทย์นั้น เตียงในโรงพยาบาลสูงสุดจำนวน 6,919 เตียงถูกใช้สำหรับผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ อัตราการครองเตียงอยู่ที่ร้อยละ 3.5 นับจนถึงวันที่ 3 มกราคม

ผู้เชี่ยวชาญของทางการกรุงโตเกียวระบุว่า ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน สถาบันทางการแพทย์สามารถสร้างสมดุลระหว่างการรักษาผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่กับการรักษาผู้ป่วยทั่วไปได้ อย่างไรก็ตาม พวกเขาเตือนว่าอาจเผชิญกับภาวะเตียงในโรงพยาบาลมีไม่เพียงพอ โดยขึ้นอยู่กับการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 7 มกราคม 2565)

ยอดติดเชื้อในกรุงโตเกียวที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

กรุงโตเกียวได้รายงานกรณีติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ โดยกรณีที่เชื่อว่าเป็นการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนที่เป็นการติดเชื้อภายในชุมชนก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน เราจะไปติดตามความเป็นไปของจำนวนผู้ติดเชื้อตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2564 ถึงวันที่ 5 มกราคม 2565

กรุงโตเกียวได้ยืนยันผู้ติดเชื้อรายใหม่จำนวน 76 คนเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2564 ถือเป็นการทำลายสถิติที่จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่ำกว่า 50 คนติดต่อกันมา 73 วัน

เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2564 จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่อยู่ที่ 64 คน และวันที่ 31 ธันวาคมอยู่ที่ 78 คน ถือเป็นจำนวนสูงสุดเป็นประวัติการณ์สำหรับเดือนธันวาคม จำนวนดังกล่าวของวันที่กล่าวมาทั้งหมดอยู่ที่เกือบ 2 เท่าของวันเดียวกันของเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้า

จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มมากขึ้นไปอีกในช่วงเริ่มต้นปีใหม่ โดยผู้ติดเชื้อที่ได้รับการยืนยันเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2565 อยู่ที่ 79 คน และวันที่ 2 มกราคมอยู่ที่ 84 คน ในวันที่ 3 มกราคม ยอดรายวันเพิ่มมาอยู่ที่ 103 คน เกิน 100 คนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม 2564 และในวันที่ 5 มกราคม จำนวนดังกล่าวอยู่ที่ 390 คน

เจ้าหน้าที่ของทางการกรุงโตเกียวระบุว่าความเร็วของการเพิ่มขึ้นนี้กำลังเร่งจังหวะมากขึ้น และว่าทางการกรุงโตเกียวเตรียมพร้อมรับมือวิกฤติ

ในช่วงเวลาดังกล่าว จำนวนผู้ติดเชื้อที่เป็นการติดจากสมาชิกครอบครัวด้วยกันเองนั้นปรากฏชัดเป็นอย่างยิ่ง จากจำนวนผู้ติดเชื้อ 484 คนในช่วง 6 วันนับจนถึงวันที่ 3 มกราคมนั้น มี 175 คนที่ทราบเส้นทางการติดเชื้อ หรือคิดเป็นร้อยละ 36.2 ในจำนวนนั้นมี 101 คนที่เป็นการติดเชื้อจากภายในครอบครัวซึ่งถือเป็นจำนวนสูงสุด คิดเป็นร้อยละ 57.7 ถัดมาคือร้อยละ 12.0 ที่เป็นการติดเชื้อจากที่ทำงาน ร้อยละ 9.1 เป็นการติดเชื้อจากการออกไปรับประทานอาหารข้างนอก และร้อยละ 7.4 เป็นการติดเชื้อมาจากสถานที่ต่าง ๆ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 6 มกราคม 2565)

เราทราบอะไรเกี่ยวกับไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนบ้าง ตอนที่ 2

เราจะนำเสนอว่านับจนถึงปัจจุบัน เราทราบอะไรบ้างเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน ซึ่งเป็นไวรัสชนิดกลายพันธุ์ล่าสุดที่น่าเป็นกังวล ครั้งนี้เราจะมุ่งเน้นไปที่ความรุนแรงของไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน

มีความเห็นที่ระบุว่าหากผู้คนติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน ก็อาจมีอาการที่รุนแรงน้อยกว่าไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์ก่อนหน้านี้ แต่องค์การอนามัยโลกได้เตือนว่าเรายังคงต้องระวังเกี่ยวกับความรุนแรงของไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน

รายงานจากยุโรป สหรัฐ และเกาหลีใต้ระบุว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนนั้นไม่มีอาการ หรือมีอาการเล็กน้อย

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐระบุว่า “ข้อมูลเบื้องต้นชี้เป็นนัยว่าการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนอาจรุนแรงน้อยกว่าการติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์ก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับความรุนแรงในการทดลองทางคลินิกนั้นยังคงมีอยู่อย่างจำกัด แม้ว่าสัดส่วนของการติดเชื้อที่เกิดอาการหนักจะต่ำกว่าไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์ก่อนหน้านี้ แต่เมื่อพิจารณาจากจำนวนการติดเชื้อที่มีแนวโน้มสูงขึ้นนั้น จำนวนจริงของผู้คนที่มีอาการหนักก็อาจมีมากตามไปด้วย”

ยิ่งไปกว่านั้น ก็ยังมีเรื่องของเวลาที่เหลื่อมกันของช่วงที่จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น กับช่วงที่จำนวนผู้ป่วยอาการหนักและเสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้นด้วย

องค์การอนามัยโลกระบุในการตีพิมพ์ข้อมูลรายสัปดาห์เมื่อวันที่ 21 ธันวาคมปี 2564 ว่า ข้อมูลเกี่ยวกับความรุนแรงของไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนจากการทดลองทางคลินิกนั้นยังคงมีอยู่อย่างจำกัด และว่า “การเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลในสหราชอาณาจักรและแอฟริกาใต้ยังคงเพิ่มสูงขึ้น และหากจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็มีความเป็นไปได้ที่ระบบสาธารณสุขอาจแบกรับภาระท่วมท้น”

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 28 ธันวาคม 2564)

เราทราบอะไรเกี่ยวกับไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนบ้าง ตอนที่ 1

ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนถือเป็นชนิดกลายพันธุ์ล่าสุดที่น่าเป็นกังวล ในสหรัฐและชาติยุโรปซึ่งกำลังมีการแพร่ระบาดของสายพันธุ์นี้ในชุมชนนั้น โอไมครอนได้เข้ามาแทนที่ไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตาได้อย่างรวดเร็วในฐานะสายพันธุ์หลักที่ระบาดอยู่ การติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนภายในชุมชนก็ได้รับการยืนยันในญี่ปุ่นเช่นกัน ครั้งนี้เราจะนำเสนอว่านับจนถึงปัจจุบัน เราทราบอะไรเกี่ยวกับไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนบ้าง

รายงานจากทั่วโลกชี้เป็นนัยว่าไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนติดต่อได้ง่ายกว่าเมื่อเทียบกับไวรัสกลายพันธุ์ก่อนหน้านี้ โอไมครอนขึ้นแท่นอย่างรวดเร็วกลายเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดในหลายประเทศ เช่น สหราชอาณาจักรและสหรัฐ ซึ่งก่อนหน้านี้กรณีติดเชื้อเกือบทั้งหมดเป็นการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตา

องค์การอนามัยโลกระบุว่าในบรรดาประเทศที่มีการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนในชุมชนนั้น จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 2 เท่าใน 1 วันครึ่งถึง 3 วันซึ่งเร็วขึ้น ในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 20 ธันวาคมปี 2564 นายทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกกล่าวว่า ตอนนี้มีหลักฐานเห็นได้ชัดว่าไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนกำลังแพร่ระบาดรวดเร็วกว่าไวรัสสายพันธุ์เดลตาอย่างมาก และยังกล่าวด้วยว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ผู้คนซึ่งได้รับวัคซีนแล้ว หรือหายจากโรคโควิด-19 แล้ว อาจสามารถติดเชื้อหรือติดเชื้อซ้ำอีกครั้งได้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 27 ธันวาคม 2564)

วัคซีนเข็มกระตุ้นจะมีประสิทธิผลแค่ไหนกับไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน ตอนที่ 7

เราได้สอบถามผู้เชี่ยวชาญว่าการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นจะมีประสิทธิผลแค่ไหนต่อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนที่ปรากฏขึ้นมาใหม่ ครั้งนี้เราจะนำเสนอเรื่องนี้กันต่อ

โมเดอร์นา ผู้ผลิตยาของสหรัฐระบุว่าวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เข็มกระตุ้นของตนดูเหมือนว่ามีประสิทธิผลสูงต่อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนในการทดลองในห้องปฏิบัติการ

การค้นพบเบื้องต้นนี้ที่เผยแพร่ออกมาโดยบริษัทโมเดอร์นาเมื่อวันที่ 20 ธันวาคมปี 2564 นั้นแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ได้รับวัคซีน 2 เข็มมีระดับสารภูมิต้านทานที่มีฤทธิ์ลบล้างไวรัสต่ำลงต่อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน

วัคซีนเข็มกระตุ้นที่มีขนาดยา 50 ไมโครกรัมซึ่งได้รับอนุญาตให้ฉีดทั้งในญี่ปุ่นและสหรัฐนั้น ได้เพิ่มระดับสารภูมิต้านทานที่มีฤทธิ์ลบล้างไวรัสต่อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนขึ้นมาราว 37 เท่าจากระดับก่อนการฉีดกระตุ้น

เมื่อฉีดเข็มกระตุ้นที่มีขนาดยา 100 ไมโครกรัม ระดับสารภูมิต้านทานดังกล่าวได้เพิ่มขึ้นมาราว 83 เท่าจากระดับก่อนการฉีดกระตุ้น ทั้งนี้ขนาดยา 100 ไมโครกรัมเทียบเท่ากับปริมาณที่ใช้ในวัคซีนแต่ละเข็มของ 2 เข็มแรก

โมเดอร์นาระบุว่าการป้องกันด่านหน้าต่อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนนั้นจะเป็นการให้วัคซีนเข็มกระตุ้นของวัคซีนที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ทางบริษัทระบุว่าในช่วงระหว่างนี้ วัคซีนที่ใช้กับไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนเป็นการเฉพาะนั้นยังไม่จำเป็น แต่ทางบริษัทจะพัฒนาวัคซีนดังกล่าวต่อไป

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 24 ธันวาคม 2564)

วัคซีนเข็มกระตุ้นจะมีประสิทธิผลแค่ไหนกับไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน ตอนที่ 6

เราได้สอบถามผู้เชี่ยวชาญว่าการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นจะมีประสิทธิผลแค่ไหนต่อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนที่ปรากฏขึ้นมาใหม่ ครั้งนี้เราจะมุ่งเน้นไปที่ความเคลื่อนไหวในสหรัฐ

คุณแอนโทนี เฟาซี หัวหน้าที่ปรึกษาด้านการแพทย์ประจำทำเนียบประธานาธิบดีสหรัฐระบุเมื่อวันที่ 15 ธันวาคมปี 2564 ว่า วัคซีนเข็มกระตุ้นของวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันได้ผลเพียงพอต่อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน

เขากล่าวว่าการได้รับวัคซีนครบโดยใช้วัคซีนของไฟเซอร์-ไบออนเทคหรือโมเดอร์นานั้น ได้ผลอันเป็นที่น่าพอใจมากกับไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน ทั้งในแง่ของการป้องกันการติดเชื้อและการเลี่ยงไม่ให้เกิดอาการรุนแรง

อย่างไรก็ตาม เขากล่าวเสริมว่าการวิจัยล่าสุดจำนวนหนึ่งชี้ว่าวัคซีนเข็มกระตุ้นช่วยเพิ่มระดับสารภูมิต้านทานที่มีฤทธิ์ลบล้างไวรัสขึ้นอย่างมาก และยังเพิ่มการป้องกันไวรัสสายพันธุ์นี้ด้วย

เขากล่าวว่า ณ ตอนนี้เขาคิดว่าวัคซีนเข็มกระตุ้นที่ใช้สำหรับไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนโดยเฉพาะนั้นไม่จำเป็น ก่อนหน้านี้ ไฟเซอร์และโมเดอร์นาได้ประกาศว่าพวกตนกำลังพัฒนาวัคซีนใหม่ที่มุ่งเป้าไปยังไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนเป็นการเฉพาะ

คุณเฟาซีได้เรียกร้องอีกครั้งให้ประชาชนในสหรัฐไปเข้ารับวัคซีนให้ครบ และรับวัคซีนเข็มกระตุ้นของวัคซีนที่มีอยู่

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 23 ธันวาคม 2564)

วัคซีนเข็มกระตุ้นจะมีประสิทธิผลแค่ไหนกับไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน ตอนที่ 5

เราได้สอบถามผู้เชี่ยวชาญว่าการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นจะมีประสิทธิผลแค่ไหนต่อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนที่ปรากฏขึ้นมาใหม่ ครั้งนี้เราจะมุ่งเน้นไปที่ผลการวิจัยจากประเทศแอฟริกาใต้

การวิจัยในห้องปฏิบัติการซึ่งนำโดยศาสตราจารย์อเล็กซ์ ซีกัล จากสถาบันวิจัยสุขภาพแห่งแอฟริกาชี้เป็นนัยอย่างชัดเจนว่า ไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนลดภูมิคุ้มกันและสารภูมิต้านทานที่เกิดจากการกระตุ้นโดยวัคซีนของไฟเซอร์-ไบออนเทคลงอย่างมาก การวิจัยดังกล่าวซึ่งใช้พลาสมาจากเลือดของผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้ว 12 คน พบว่าความสามารถของสารภูมิต้านทานจากวัคซีนเพื่อลบล้างฤทธิ์ของไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนนั้นลดลงไป 40 เท่า

ประมาณการของทางสถาบันเมื่อไม่นานมานี้แสดงให้เห็นว่า วัคซีนอาจใช้ได้ผลแค่ร้อยละ 22.5 ต่อการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนในแบบที่แสดงอาการ

ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าในบรรดาตัวอย่างเลือดจากผู้คน 6 คนที่เคยติดเชื้อมาก่อนและได้รับวัคซีน 2 เข็มแล้วนั้น มี 5 คนที่มีสารภูมิต้านซึ่งสามารถลบล้างฤทธิ์ของไวรัสในระดับค่อนข้างสูง โฆษกของสถาบันดังกล่าวระบุว่าการที่ผู้คนสามารถกระตุ้นระดับของสารภูมิต้านทานด้วยวัคซีนเข็มที่ 3 นั้นถือเป็นโอกาสอันดีและช่วยเลี่ยงไม่ให้เกิดอาการหนักได้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 22 ธันวาคม 2564)

วัคซีนเข็มกระตุ้นจะมีประสิทธิผลแค่ไหนกับไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน ตอนที่ 4

เราได้สอบถามผู้เชี่ยวชาญว่าการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นจะมีประสิทธิผลแค่ไหนต่อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนที่ปรากฏขึ้นมาใหม่ ครั้งนี้เราจะนำเสนอเรื่องนี้กันต่อ

เมื่อวันที่ 8 ธันวาคมปี 2564 ไฟเซอร์ บริษัทยารายใหญ่ของสหรัฐและไบออนเทค หุ้นส่วนจากเยอรมนี ได้เผยแพร่ผลการวิจัยขั้นต้นเกี่ยวกับประสิทธิผลของวัคซีนไฟเซอร์ที่มีต่อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน ผลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าวัคซีนไฟเซอร์เข็มที่ 3 ได้เพิ่มสารภูมิต้านทานขึ้น 25 เท่าเมื่อเทียบกับวัคซีน 2 เข็ม โดยให้การป้องกันระดับเดียวกันกับไวรัสสายพันธุ์ดั้งเดิม

ในการวิจัยดังกล่าว ทางบริษัทได้ทดสอบตัวอย่างเลือดที่ได้จากผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 แล้วหนึ่งเดือน เพื่อดูระดับสารภูมิต้านทานที่มีฤทธิ์ลบล้างไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน โดยพบว่าระดับสารภูมิต้านทานดังกล่าวสามารถเทียบเคียงได้กับระดับสารภูมิต้านทานที่พบในผู้คนที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 มาแล้ว 3 สัปดาห์เพื่อสู้กับไวรัสสายพันธุ์ดั้งเดิม และคาดว่าวัคซีนเข็มที่ 3 จะให้การป้องกันในระดับสูงต่อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน

ไฟเซอร์และไบออนเทคกล่าวด้วยว่าร้อยละ 80 ของส่วนหนึ่งของโปรตีนหนามที่เซลล์ภูมิคุ้มกันจดจำได้ว่าเป็นเป้าหมายนั้น ไม่ได้รับผลกระทบจากการกลายพันธุ์ที่เกิดขึ้นในไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน ซึ่งเท่ากับว่าวัคซีน 2 เข็มอาจจะยังสามารถกระตุ้นการป้องกันไม่ให้เกิดอาการหนักได้ และว่าเชื่อว่าวัคซีนเข็มที่ 3 จะเพิ่มระดับของเซลล์ภูมิคุ้มกันและช่วยป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยโรคโควิด-19 กลายเป็นผู้ป่วยอาการหนัก

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 21 ธันวาคม 2564)

วัคซีนเข็มกระตุ้นจะมีประสิทธิผลแค่ไหนกับไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน ตอนที่ 3

เราได้สอบถามผู้เชี่ยวชาญว่าการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นจะมีประสิทธิผลแค่ไหนต่อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนที่ปรากฏขึ้นมาใหม่ ครั้งนี้เราจะมุ่งเน้นไปที่การทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกัน

ศาสตราจารย์นากายามะ เท็ตสึโอะ จากมหาวิทยาลัยคิตาซาโตะ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสและการฉีดวัคซีนได้ชี้ว่า แม้ไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนจะมีการกลายพันธุ์ 30 จุดที่โปรตีนหนามซึ่งใช้ยึดเกาะกับเซลล์มนุษย์ แต่การกลายพันธุ์ดังกล่าวเกิดขึ้นแค่ร้อยละ 3 ของโปรตีนหนามทั้งหมด ด้วยเหตุนี้เขาจึงให้เหตุผลว่าไม่น่าเป็นไปได้ที่วัคซีนจะใช้ไม่ได้ผลเลยต่อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน

เขากล่าวว่าประสิทธิผลของวัคซีนในการป้องกันการติดเชื้อนั้นอาจลดลงในระดับหนึ่ง แต่ความสามารถในการป้องกันไม่ให้ผู้ติดเชื้อมีอาการหนักนั้น จะไม่ลดลงไปมากนัก

ศาสตราจารย์นากายามะกล่าวว่าวัคซีนเข็มกระตุ้นสามารถเพิ่มระดับของสารภูมิต้านทานได้และยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถของเซลล์ภูมิคุ้มกันซึ่งทำหน้าที่โจมตีไวรัสที่เข้ามาในร่างกาย เขากล่าวว่าแม้การกลายพันธุ์อาจช่วยให้ไวรัสฝ่าสารภูมิต้านทานไปได้ แต่การป้องกันที่ได้จากเซลล์ภูมิคุ้มกันซึ่งสามารถตอบสนองต่อการกลายพันธุ์อันหลากหลายได้นั้น จะยังคงอยู่ในระดับสูงจากการรับวัคซีนเข็มกระตุ้น ซึ่งจะทำให้กรณีผู้ป่วยอาการหนักนั้นลดลงไป

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 20 ธันวาคม 2564)

วัคซีนเข็มกระตุ้นจะมีประสิทธิผลแค่ไหนกับไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน ตอนที่ 2

ในขณะที่หลายประเทศดำเนินการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเนื่องจากเกิดไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์ใหม่ขึ้นมา เราได้สอบถามผู้เชี่ยวชาญว่าการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 น่าจะมีประสิทธิผลแค่ไหนต่อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน โดยจะนำเสนอเรื่องนี้กันต่อ

คุณทานิงูจิ คิโยซุ หัวหน้าการวิจัยทางคลินิกของโรงพยาบาลมิเอะซึ่งเป็นโรงพยาบาลรัฐและเป็นสมาชิกของคณะผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของรัฐบาลญี่ปุ่นระบุว่า การฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 จะไม่เพียงเพิ่มปริมาณของสารภูมิต้านทานเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างความจำของระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงด้วย

เมื่อมีการฉีดวัคซีนเข็มแรกซึ่งหมายถึงวัคซีนเข็มเบื้องต้นหรือ “prime” นั้น ร่างกายจะจดจำว่าไวรัสเป็นศัตรูเป้าหมายเพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันที่มีอยู่ในตัวเองเข้าโจมตี จากนั้นเมื่อฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ระบบภูมิคุ้มกันจะสร้างความจำของศัตรูเป้าหมาย วัคซีนเข็มที่ 3 จะหมายถึงการกระตุ้นหรือ “boost” ที่มุ่งเสริมความเข้มแข็งและทำให้ความจำดังกล่าวคงอยู่ได้นานขึ้น ด้วยเหตุนี้ ยุทธศาสตร์ “prime and boost” จึงมีเป้าหมายที่จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันได้เรียนรู้เกี่ยวกับ “ศัตรู” และเสริมสร้างความจำดังกล่าว

คุณทานิงูจิกล่าวว่าเนื่องจากยุทธศาสตร์ที่ต้องใช้ภูมิคุ้มกันให้มากพอผ่านการฉีดวัคซีนนี้ มุ่งที่จะป้องกันไม่ให้เกิดอาการหนัก ยุทธศาสตร์นี้จึงสมควรใช้ได้ผลกับไวรัสกลายพันธุ์ใหม่ใด ๆ ก็ตามที่กำลังปรากฏขึ้น ซึ่งรวมถึงสายพันธุ์โอไมครอนด้วย เขาได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของมาตรการจัดฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้รุดหน้าต่อไป

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 17 ธันวาคม 2564)

วัคซีนเข็มกระตุ้นจะมีประสิทธิผลแค่ไหนกับไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน ตอนที่ 1

มีความกังวลเพิ่มมากขึ้นว่าวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่มีอยู่ในปัจจุบันมีประสิทธิผลน้อยลงต่อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน กรณีผู้ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนกำลังเพิ่มขึ้นทั่วโลก ความกังวลดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ทั่วโลกกำลังฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้แก่ผู้คนที่ได้รับวัคซีน 2 เข็มแล้ว วัคซีนที่นำมาใช้เป็นเข็มกระตุ้นนั้นคือชนิดเดียวกันกับวัคซีนเข็มที่ 1 และ 2 ซึ่งผลิตมาสำหรับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ระบาดเมื่อช่วงก่อนหน้านี้

เราได้สอบถามผู้เชี่ยวชาญว่าทำไมเรายังคงต้องเข้ารับวัคซีนเข็มที่ 3 และการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 นี้น่าจะมีประสิทธิผลแค่ไหนต่อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน ครั้งนี้นำเสนอเป็นตอนแรก

ไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนมีการกลายพันธุ์ที่โปรตีนหนามหลายจุด โปรตีนหนามมีบทบาทสำคัญที่ทำให้เกิดการติดเชื้อในเซลล์ที่ไวรัสเข้าไปฝังตัว การกลายพันธุ์จึงเท่ากับว่าการที่สารภูมิต้านทานที่มีฤทธิ์ลบล้างไวรัสจะไปยึดโปรตีนหนามดังกล่าวและป้องกันการติดเชื้อนั้น อาจเป็นเรื่องยากมากขึ้น

คุณทานิงูจิ คิโยซุ หัวหน้าการวิจัยทางคลินิกของโรงพยาบาลมิเอะซึ่งเป็นโรงพยาบาลรัฐและเป็นสมาชิกของคณะผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของรัฐบาลญี่ปุ่นระบุว่า การเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นจะมีความหมาย แม้ว่าประสิทธิผลของวัคซีนที่มีต่อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนจะน้อยลงก็ตาม

คุณทานิงูจิกล่าวโดยยกตัวอย่างว่า แม้การกลายพันธุ์ในไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนทำให้ประสิทธิผลของสารภูมิต้านทานที่มีฤทธิ์ลบล้างไวรัสอยู่ที่ 1 ใน 4 แต่เรายังมีการป้องกันในระดับเท่าเดิมได้ ถ้าปริมาณของสารภูมิต้านทานเพิ่มขึ้น 4 เท่าหลังฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นซึ่งช่วยเสริมความเข้มแข็งของระบบภูมิคุ้มกันให้แก่เรา

คุณทานิงูจิกำลังหมายความว่าการเข้ารับวัคซีนเข็มที่ 3 และการเพิ่มปริมาณรวมทั้งหมดของสารภูมิต้านดังกล่าว จะทำให้เราสามารถมีสารภูมิต้านทานที่ไปยึดไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนได้มากขึ้น

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 16 ธันวาคม 2564)

ยาจะใช้ได้ผลกับไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนหรือไม่ ตอนที่ 4

มีการยืนยันผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนรายใหม่ทั่วโลก ยาจะใช้ได้ผลกับไวรัสสายพันธุ์ล่าสุดนี้หรือไม่ เราได้สอบถามผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับประสิทธิผลของยาหลายชนิด ครั้งนี้เราจะนำเสนอเรื่องนี้กันต่อ

ยาเดกซาเมทาโซนและยาบาริซิทินิบจะไปกดไม่ให้ภูมิคุ้มกันตอบสนองมากเกินไปต่อไวรัสที่ได้เพิ่มจำนวนแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงเชื่อกันว่ายาดังกล่าวใช้ได้ผลกับโรคโควิด-19 ไม่ว่าจะมีการกลายพันธุ์หรือไม่

ศาสตราจารย์โมริชิมะ สึเนโอะ จากมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ไอจิระบุว่า ไม่น่าเป็นไปได้ที่ยาสร้างสารภูมิต้านทานจะไม่ได้ผลอะไรเลยกับไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่ทั้งหลาย แต่เขากล่าวว่าเราไม่สามารถยืนยันได้ชัดเจนว่าประสิทธิผลของยาดังกล่าวที่มีต่อสายพันธุ์ที่กลายพันธุ์นั้นจะลดลงไประดับใด จนกว่าเราจะยืนยันเรื่องนี้กับผู้ป่วยที่ได้รับยานี้

ส่วนยาสำหรับรับประทานที่อยู่ระหว่างการพัฒนานั้น ศาสตราจารย์โมริชิมะกล่าวว่าคาดว่ายาดังกล่าวจะได้ผลกับไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนเหมือนที่ใช้ได้ผลกับไวรัสกลายพันธุ์อื่น ๆ ก่อนหน้านี้ เนื่องจากยาดังกล่าวช่วยป้องกันไม่ให้ไวรัสในเซลล์มนุษย์เพิ่มจำนวนขึ้น

ศาสตราจารย์โมริชิมะกล่าวว่ายุทธศาสตร์ในขณะนี้ก็คือการเรียกร้องให้จ่ายยาสำหรับรับประทานหากยาดังกล่าวได้รับการรับรองและจ่ายยาสร้างสารภูมิต้านทานตั้งแต่เนิ่น ๆ เขากล่าวว่ายุทธศาสตร์นี้จะไม่เปลี่ยนไปแม้ประสิทธิผลของยาดังกล่าวจะเปลี่ยนแปลงในกรณีที่เป็นสายพันธุ์โอไมครอนก็ตาม

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 15 ธันวาคม 2564)

ยาจะใช้ได้ผลกับไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนหรือไม่ ตอนที่ 3

มีการยืนยันผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนรายใหม่ทั่วโลก ยาจะใช้ได้ผลกับไวรัสสายพันธุ์ล่าสุดนี้หรือไม่ เราได้สอบถามผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับประสิทธิผลของยาหลายชนิด ครั้งนี้เราจะนำเสนอเรื่องนี้กันต่อ

ในบรรดายาที่พัฒนาขึ้นเพื่อรักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นั้น มียาบางชนิดมุ่งที่จะป้องกันการสร้างเอนไซม์ที่จำเป็นสำหรับการเติบโตของไวรัสนี้ภายในเซลล์ ยาเรมเดซิเวียร์ซึ่งได้รับการรับรองจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขของญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในยาเช่นว่านี้โดยเป็นยาที่ให้ผ่านทางหลอดเลือด เพื่อรักษาผู้ป่วยที่มีอาการปานกลางไปจนถึงอาการหนัก

ขณะนี้กำลังมีการพัฒนายาสำหรับรับประทานซึ่งส่วนใหญ่จะใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อยซึ่งพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน ยาดังกล่าวรวมถึงยาโมลนูพิราเวียร์ที่พัฒนาโดยเมอร์ค บริษัทยาของสหรัฐ ทางบริษัทได้ยื่นเรื่องเพื่อขอให้กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่นรับรองการใช้ยาดังกล่าว ยาแพกซ์โลวิดที่พัฒนาขึ้นโดยบริษัทไฟเซอร์ของสหรัฐ ทางบริษัทได้ยื่นเรื่องให้ผู้กำกับดูแลของสหรัฐรับรองให้ใช้เป็นกรณีฉุกเฉิน และยาสำหรับรับประทานที่คล้ายคลึงกันอีกชนิดหนึ่งนั้นกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาโดยชิโอโนงิ บริษัทยาของญี่ปุ่น

คุณโมริชิมะ สึเนโอะจากมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ไอจิระบุว่า การรักษาเหล่านี้มุ่งเป้าไปยังไวรัสที่ได้เข้ามาในเซลล์ของมนุษย์แล้ว ยาดังกล่าวจึงควรได้รับการพิจารณาว่าใช้ได้ผลกับไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 14 ธันวาคม 2564)

ยาจะใช้ได้ผลกับไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนหรือไม่ ตอนที่ 2

มีการยืนยันผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนรายใหม่ทั่วโลก ยาจะใช้ได้ผลกับไวรัสสายพันธุ์ล่าสุดนี้หรือไม่ เราได้สอบถามผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับประสิทธิผลของยาหลายชนิด ครั้งนี้เราจะนำเสนอเรื่องนี้กันต่อ

ในบรรดายาที่ได้รับการรับรองในญี่ปุ่น ยาค็อกเทลแอนติบอดีและยาโซโทรวิแมบถูกจัดอยู่ในประเภทการรักษาแบบแอนติบอดี ยานี้ป้องกันไม่ให้ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เข้ามาในเซลล์ของมนุษย์ได้ด้วยการพุ่งเป้าไปยังโปรตีนหนาม ซึ่งเป็นส่วนที่ยื่นออกมาจากผิวของไวรัสซึ่งมันใช้เป็นที่ยึดเกาะเพื่อเข้ามายังเซลล์ของมนุษย์

ยาดังกล่าวจะให้ผ่านทางหลอดเลือดโดยใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อยเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาป่วยหนัก ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน มีการกลายพันธุ์ที่โปรตีนหนามราว 30 จุด และว่านี่อาจลดประสิทธิผลของการรักษาเพื่อป้องกันไม่ให้ไวรัสเข้าไปในเซลล์ของมนุษย์

คุณโมริชิมะ สึเนโอะ จากมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ไอจิระบุว่า การรักษาแบบแอนติบอดีพุ่งเป้าไปยังโปรตีนหนามโดยตรง เขาเชื่อว่าการกลายพันธุ์ล่าสุดจะมีผลสำคัญต่อประสิทธิผลของการรักษา เขากล่าวว่าในขณะเดียวกันประสิทธิผลของการรักษาอาจยังคงอยู่ หากส่วนที่มีการกลายพันธุ์ดังกล่าวไม่ได้ซ้อนทับกับโปรตีนหนามที่เป็นเป้าหมาย

เชื่อกันว่ายาโซโทรวิแมบใช้ได้ผลกับไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน เนื่องจากแกล็กโซสมิธไคลน์ซึ่งเป็นบริษัทยารายใหญ่ของอังกฤษที่เป็นผู้พัฒนายานี้ ได้นำยาไปทดสอบกับไวรัสต่าง ๆ ที่คล้ายคลึงกับสายพันธุ์โอไมครอนและพบว่ามันใช้ได้ผล

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 13 ธันวาคม 2564)

ยาจะใช้ได้ผลกับไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนหรือไม่ ตอนที่ 1

มีการยืนยันผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนรายใหม่ทั่วโลก ยาจะใช้ได้ผลกับไวรัสสายพันธุ์ล่าสุดนี้หรือไม่ เราได้สอบถามผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับประสิทธิผลของยาหลายชนิด ทั้งยาที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันและยาที่อยู่ระหว่างพัฒนา เพื่อรักษาผู้ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน โดยครั้งนี้จะนำเสนอเป็นตอนแรก

มียา 3 ประเภทที่ใช้รักษาผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ยาดังกล่าวได้แก่ยาที่ป้องกันไม่ให้ไวรัสนี้เข้าไปในเซลล์ของมนุษย์ ยาที่ป้องกันไวรัสที่ได้เข้าไปในเซลล์ของมนุษย์แล้วไม่ให้เพิ่มจำนวน และยาที่ป้องกันไม่ให้ภูมิคุ้มกันตอบสนองมากเกินไปต่อไวรัสที่ได้เพิ่มจำนวนแล้ว

คุณโมริชิมะ สึเนโอะ จากมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ไอจิ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ระบุว่า ประสิทธิผลของการให้ยาผ่านทางหลอดเลือดซึ่งพุ่งเป้าไปที่ “โปรตีนหนาม” บนผิวของไวรัสนั้น อาจผันแปรไปโดยขึ้นอยู่กับตำแหน่งของโปรตีนหนาม แต่ยาที่ใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อยซึ่งเป็นยาป้องกันไม่ให้ไวรัสเพิ่มจำนวนนั้น มีแนวโน้มที่จะใช้ได้ผลอยู่ เราจะนำเสนอประเด็นนี้อย่างละเอียดมากขึ้นในตอนต่อไป

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 10 ธันวาคม 2564)

การฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ตอนที่ 3

การฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เข็มที่ 3 ให้แก่บุคลากรด้านการแพทย์ทั่วญี่ปุ่น ได้เริ่มขึ้นแล้วเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ครั้งนี้เราจะนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 โดยจะมุ่งเน้นเรื่องที่ว่าเทศบาลท้องถิ่นทั้งหลายเตรียมพร้อมสำหรับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นนี้อย่างไร

เมืองใหญ่เล็กและหมู่บ้านทั่วญี่ปุ่นมีหน้าที่จัดฉีดวัคซีนให้แก่ผู้อยู่อาศัย เมืองเหล่านี้ประสบปัญหาต่าง ๆ ในตอนที่ประชาชนพบความยากลำบากในการจองวัคซีนเข็มแรก เนื่องจากสายโทรศัพท์ไม่ว่างและไม่สามารถเข้าเว็บไซต์รับจองได้เนื่องจากมีผู้เข้าใช้งานจำนวนมาก

เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2564 NHK ได้สอบถาม 23 เขตในกรุงโตเกียวว่ามีแผนการรับมือประเด็นเหล่านี้อย่างไรสำหรับการจัดฉีดวัคซีนเข็มที่ 3

19 เขตตอบว่าพวกตนกำลังดำเนินมาตรการเพื่อป้องกันความวุ่นวายในลักษณะคล้ายคลึงกันนี้ โดย 6 ใน 19 เขตระบุว่าพวกตนจะกำหนดวัน เวลา และสถานที่สำหรับฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น และแจ้งไปยังประชาชน ส่วน 8 เขตระบุว่าพวกตนจะเพิ่มจำนวนสายโทรศัพท์สำหรับรับจองและสถานที่ที่ผู้คนสามารถไปเพื่อขอความช่วยเหลือในการจองวัคซีนได้

เขตเอโดงาวะของกรุงโตเกียวมีแผนที่จะให้ผู้สูงอายุซึ่งได้รับวัคซีนที่สถานที่ฉีดวัคซีนสำหรับคนจำนวนมากของเขต มาเข้ารับวัคซีนเข็มที่ 3 หลังจากผ่านไป 8 เดือนแล้วตามวันและเวลาเดิมกับวัคซีนเข็มที่ 2 นอกจากนี้ พวกเขายังสามารถเข้ารับวัคซีนเข็มที่ 3 ที่สถานที่เดิมหรือสถานที่ใกล้เคียงได้ด้วย

ผู้ที่ต้องการเปลี่ยนวันหรือสถานที่สามารถทำได้ด้วยการโทรศัพท์หรือเข้าไปยังเว็บไซต์ของเขต เจ้าหน้าที่ของเขตระบุว่าพวกตนจะพิจารณาการใช้มาตรการคล้ายคลึงกันนี้สำหรับผู้คนกลุ่มอายุอื่น ๆ ถ้าความพยายามที่ดำเนินการกับผู้สูงอายุนั้นเป็นไปด้วยดี

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2564)

การฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ตอนที่ 2

การฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เข็มที่ 3 ให้แก่บุคลากรด้านการแพทย์ทั่วญี่ปุ่น ได้เริ่มขึ้นแล้วเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ครั้งนี้เราจะนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 โดยจะมุ่งเน้นเรื่องการใช้วัคซีนที่ต่างไปจากวัคซีนที่เคยได้รับมาแต่เดิม

รัฐบาลญี่ปุ่นได้ตัดสินใจอนุญาตให้ใช้วัคซีนที่ต่างไปจากวัคซีน 2 เข็มที่เคยได้รับมาก่อนหน้านี้ได้ โดยทางการได้ตัดสินใจเรื่องนี้เนื่องจากไม่แน่ใจว่าวัคซีนของไฟเซอร์นั้นจะมีจำนวนเพียงพอให้ใช้งานได้ในเร็ว ๆ นี้ สำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีนของไฟเซอร์ไปแล้ว 2 เข็มหรือไม่

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นระบุว่าได้จัดหาวัคซีนของไฟเซอร์ให้ผู้คนราว 4,000,000 คนที่มีสิทธิเข้ารับวัคซีนเข็มที่ 3 ในเดือนธันวาคมและมกราคมได้แล้ว แต่รัฐบาลญี่ปุ่นน่าจะสามารถเตรียมวัคซีนของไฟเซอร์ให้ผู้คนได้แค่ 20 ล้านคน ในขณะที่มีผู้คนราว 34 ล้านคนที่มีสิทธิจะได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 ในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม

กระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่นจึงอนุญาตให้ใช้วัคซีนของโมเดอร์นาได้ หากมีการยืนยันความปลอดภัยและประสิทธิผลของวัคซีน และเมื่อวัคซีนได้รับการรับรองให้ใช้เป็นวัคซีนเข็มที่ 3 ได้แล้ว

ทางกระทรวงระบุว่ายังไม่แน่นอนว่าวัคซีนของไฟเซอร์จะมีเพียงพอสำหรับทุกคนที่ต้องการเข้ารับวัคซีนเข็มที่ 3 หลังจากได้รับเข็มที่ 2 ไปแล้ว 8 เดือนหรือไม่ ในกรณีเช่นว่านี้ ทางกระทรวงระบุว่าควรนำเรื่องการใช้วัคซีนของโมเดอร์นามาพิจารณา

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 8 ธันวาคม 2564)

การฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ตอนที่ 1

การฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เข็มที่ 3 ให้แก่บุคลากรด้านการแพทย์ทั่วญี่ปุ่น ได้เริ่มขึ้นแล้วเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ผู้คนที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปจะมีสิทธิเข้ารับวัคซีนเข็มที่ 3 ในเดือนมกราคมปี 2565 ครั้งนี้เราจะนำเสนอโดยมุ่งเน้นไปที่การฉีดวัคซีนเข็มที่ 3

เดิมกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นได้ระบุว่า ตามหลักการแล้ว ผู้ที่ได้รับวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เข็มที่ 2 เมื่อ 8 เดือนก่อนเป็นอย่างน้อย คือผู้มีสิทธิได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น แต่เมื่อไม่นานมานี้ รัฐบาลญี่ปุ่นชี้ว่ามีเป้าหมายที่จะลดระยะเวลาระหว่างการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 กับเข็มที่ 3

ช่วงเวลาที่จะฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้แก่ผู้คนแต่ละกลุ่มนั้นจะตัดสินใจโดยอิงจากเรื่องที่ว่าเทศบาลทั้งหลายพร้อมที่จะจัดฉีดวัคซีนหรือไม่และมีวัคซีนให้ฉีดมากเท่าใด โดยเทศบาลเหล่านั้นจะส่งบัตรฉีดวัคซีนไปให้ประชาชนที่มีกำหนดเข้ารับวัคซีนเข็มที่ 3

ก่อนหน้านี้กระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่นระบุว่า ในเดือนธันวาคมปี 2564 มีบุคลากรทางการแพทย์ 1,040,000 คนที่มีสิทธิได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น โดยนับตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นไป ผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป และผู้คนจำนวนหนึ่งที่อายุไม่ถึง 65 ปีซึ่งได้รับวัคซีนไปแล้ว 2 เข็มเร็วกว่าผู้อื่น จะมีสิทธิเข้ารับวัคซีนเข็มที่ 3 และในเดือนมีนาคม จะเริ่มการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นตามสถานที่ทำงานและมหาวิทยาลัยต่าง ๆ

ทางกระทรวงระบุว่าการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นนี้จะดำเนินต่อเนื่องไปจนถึงเดือนกันยายนปี 2565 เป็นอย่างน้อย

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 7 ธันวาคม 2564)

สถานการณ์การติดเชื้อในฮอกไกโดอาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นการระบาดระลอกที่ 6 ในญี่ปุ่น ตอนที่ 4

ปัจจุบันผู้ติดเชื้อรายใหม่ในญี่ปุ่นกำลังอยู่ในระดับต่ำที่สุดของปีนี้ แต่เมื่ออุณหภูมิต่ำลง การติดเชื้อมีแนวโน้มที่จะระบาดในจังหวัดฮอกไกโดซึ่งอยู่เหนือสุดของญี่ปุ่นก่อนพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศ คณะผู้เชี่ยวชาญระบุว่าควรจับตาแนวโน้มดังกล่าวในจังหวัดฮอกไกโดอย่างใกล้ชิด ครั้งนี้เราจะนำเสนอเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ฮอกไกโดกันต่อ

ศาสตราจารย์ทาเตดะ คาซูฮิโระจากมหาวิทยาลัยโทโฮ ซึ่งเป็นสมาชิกของคณะทำงานที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านการระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของรัฐบาลญี่ปุ่นระบุว่า เมื่อปี 2563 ฮอกไกโดเป็นหนึ่งในจังหวัดแรก ๆ ของญี่ปุ่นที่พบเห็นแนวโน้มการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม

เขากล่าวว่าเมื่ออากาศเริ่มเย็น ไวรัสที่ผู้คนปล่อยออกมาจะลอยอยู่ในอากาศได้นานขึ้น และยังกล่าวด้วยว่าเยื่อบุทางเดินหายใจจะได้รับผลกระทบง่ายขึ้นเมื่ออากาศแห้ง ซึ่งอาจทำให้มีโอกาสติดเชื้อไวรัส ยิ่งไปกว่านั้น เขากล่าวว่าผู้คนมีแนวโน้มจะอยู่ภายในสถานที่ปิดกันนานขึ้นเมื่ออากาศเย็น สิ่งนี้อาจเพิ่มความเสี่ยงติดเชื้อได้

ศาสตราจารย์ทาเตดะกล่าวว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ยังคงอยู่ในทุกพื้นที่ รวมถึงอาจเพิ่มจำนวนขึ้นและแพร่ระบาดในตอนที่เราคาดไม่ถึง เขากล่าวว่าฤดูหนาวเป็นฤดูที่เอื้อต่อการติดเชื้อและเราต้องปฏิบัติมาตรการต้านการติดเชื้ออย่างถี่ถ้วน เช่น การสวมหน้ากาก การระบายอากาศภายในห้องอย่างเพียงพอ และหลีกเลี่ยงสภาวะ 3 ประการได้แก่ สถานที่ปิด สถานที่ที่มีผู้คนแออัด และการพบปะกันอย่างใกล้ชิด

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 6 ธันวาคม 2564)

สถานการณ์การติดเชื้อในฮอกไกโดอาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นการระบาดระลอกที่ 6 ในญี่ปุ่น ตอนที่ 3

ปัจจุบันผู้ติดเชื้อรายใหม่ในญี่ปุ่นกำลังอยู่ในระดับต่ำที่สุดของปีนี้ แต่เมื่ออุณหภูมิต่ำลง การติดเชื้อในจังหวัดฮอกไกโดซึ่งอยู่เหนือสุดของญี่ปุ่น ก็มีแนวโน้มที่จะแพร่ระบาดก่อนพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศ คณะผู้เชี่ยวชาญระบุว่าควรจับตาแนวโน้มดังกล่าวในจังหวัดฮอกไกโดอย่างใกล้ชิด ครั้งนี้เราจะนำเสนอเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ฮอกไกโดกันต่อ

คณะทำงานด้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของฮอกไกโดระบุว่าจำนวนผู้ติดเชื้อกำลังเพิ่มขึ้นเนื่องจากการติดเชื้อแบบเป็นกลุ่ม และว่าไม่มีการติดเชื้อในชุมชน โดยนับจนถึงขณะนี้ ไม่มีข้อบ่งชี้ว่าการติดเชื้อจะแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว

คณะทำงานดังกล่าวยังระบุด้วยว่าผู้ติดเชื้อรายใหม่ส่วนมากเป็นกลุ่มที่ยังไม่ได้รับวัคซีน

เจ้าหน้าที่จากศูนย์สาธารณสุขของฮอกไกโดกำลังดำเนินมาตรการต้านการติดเชื้อแบบเป็นกลุ่ม ด้วยการซักถามผู้ป่วยและผู้ที่ผู้ป่วยได้ไปพบปะใกล้ชิดมา พวกเขากำลังพยายามหาที่มาของการแพร่เชื้อเพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น และกำลังขอให้ผู้คนดำเนินมาตรการต้านการติดเชื้อพื้นฐาน

คณะทำงานด้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของฮอกไกโดระบุว่าถ้าผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ก็อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการระบาดระลอกที่ 6 ด้วยเหตุนี้พวกตนจะจับตาดูสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิดต่อไป

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 3 ธันวาคม 2564)

สถานการณ์การติดเชื้อในฮอกไกโดอาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นการระบาดระลอกที่ 6 ในญี่ปุ่น ตอนที่ 2

ปัจจุบันผู้ติดเชื้อรายใหม่ในญี่ปุ่นกำลังอยู่ในระดับต่ำที่สุดของปีนี้ แต่เมื่ออุณหภูมิต่ำลง การติดเชื้อในจังหวัดฮอกไกโดซึ่งอยู่เหนือสุดของญี่ปุ่น ก็มีแนวโน้มที่จะแพร่ระบาดก่อนพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศ คณะผู้เชี่ยวชาญระบุว่าควรจับตาแนวโน้มดังกล่าวในจังหวัดฮอกไกโดอย่างใกล้ชิด ครั้งนี้เราจะนำเสนอเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ฮอกไกโดกันต่อ

เป็นที่ทราบกันดีว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แพร่ระบาดง่ายขึ้นในพื้นที่ปิดซึ่งอากาศไม่ถ่ายเท และความเสี่ยงที่จะติดเชื้อนั้นอาจเพิ่มสูงขึ้นในฤดูหนาวเมื่ออุณหภูมิลดต่ำลงและมีโอกาสน้อยลงในการระบายอากาศ

เป็นที่ทราบกันครั้งแรกว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่สามารถติดต่อกันได้ง่ายขึ้นในพื้นที่ปิด หลังจากที่มีผู้คนติดเชื้อไวรัสนี้ที่พื้นที่พักผ่อนภายในอาคารของงานเทศกาลหิมะซัปโปโรเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2563 และก็เกิดกรณีอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกันนี้ด้วย

การวิเคราะห์ของคณะผู้เชี่ยวชาญแสดงให้เห็นว่าละอองฝอยที่เล็กมากซึ่งมีเชื้อไวรัสนี้อยู่ ลอยอยู่ในอากาศในระยะเวลาหนึ่งในพื้นที่ปิด และผู้คนสามารถติดเชื้อได้ด้วยการสูดละอองฝอยนี้เข้าไป เมื่ออิงจากข้อมูลดังกล่าว จึงมีการแนะนำให้ล้างมือ ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรค หลีกเลี่ยงการพูดคุยโดยไม่สวมหน้ากาก และหลีกเลี่ยงสภาวะ 3 ประการได้แก่ พื้นที่ปิด ผู้คนหนาแน่น และการพบปะกันอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ก็ยังเป็นที่ทราบกันว่าการระบายอากาศช่วยลดความเสี่ยงติดเชื้อได้

อย่างไรก็ตาม เมื่ออุณหภูมิลดต่ำลงในฤดูหนาว ผู้คนมักมีแนวโน้มที่จะอยู่ภายในอาคารมากกว่า และโอกาสที่ผู้คนจะพบปะกันในช่วงวันหยุดยาวสิ้นปีและปีใหม่นั้นก็มีมากขึ้น คณะผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นระบุว่าความเสี่ยงติดเชื้ออาจเพิ่มมากขึ้น และกำลังขอให้ประชาชนดำเนินมาตรการต้านการติดเชื้ออย่างถี่ถ้วน เช่น การระบายอากาศ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 2 ธันวาคม 2564)

สถานการณ์การติดเชื้อในฮอกไกโดอาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นการระบาดระลอกที่ 6 ในญี่ปุ่น ตอนที่ 1

ปัจจุบันผู้ติดเชื้อรายใหม่ในญี่ปุ่นกำลังอยู่ในระดับต่ำที่สุดของปีนี้ แต่ในจังหวัดฮอกไกโดซึ่งอยู่เหนือสุดของญี่ปุ่น จำนวนผู้ติดเชื้อต่อวันได้เพิ่มขึ้นในช่วงหนึ่งของเดือนพฤศจิกายน ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่มีแนวโน้มที่จะแพร่ระบาดในฮอกไกโดก่อนที่จะแพร่ไปยังพื้นที่อื่น ๆ ของญี่ปุ่นเมื่ออุณหภูมิต่ำลง

คณะผู้เชี่ยวชาญระบุว่าเราควรจับตาแนวโน้มนี้ในจังหวัดฮอกไกโดอย่างใกล้ชิด เนื่องจากนี่อาจเป็นสัญญาณการเริ่มระบาดระลอกที่ 6 ในญี่ปุ่น

ฮอกไกโดกลายเป็นสถานที่แห่งแรกในญี่ปุ่นที่เผชิญการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เมื่อช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ปี 2563 จากนั้นจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เริ่มเพิ่มสูงขึ้นในกรุงโตเกียวช่วงกลางเดือนมีนาคมปีเดียวกัน

นอกจากนี้ ก็ยังมีแนวโน้มที่สามารถสังเกตเห็นได้ในช่วงการระบาดระลอกที่ 3 ในฤดูหนาวปี 2563 โดยไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้แพร่ระบาดในฮอกไกโด 2 สัปดาห์ก่อนที่จะแพร่ไปยังพื้นที่อื่น ๆ ของญี่ปุ่นซึ่งรวมถึงกรุงโตเกียว

เมื่อช่วงปลายเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ฮอกไกโดเริ่มมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่โดยเฉลี่ยรายสัปดาห์เพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า ส่วนที่กรุงโตเกียว จำนวนดังกล่าวเริ่มเพิ่มขึ้นช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ก่อนที่แนวโน้มนี้จะเห็นได้ชัดราว 1 เดือนต่อมา

นับตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว จำนวนเฉลี่ยดังกล่าวเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดทั่วญี่ปุ่น จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อวันอยู่ที่ต่ำกว่า 1,000 คนนับจนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน แต่กลับเพิ่มไปถึง 2,000 คนในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน และแตะ 4,000 คนตอนสิ้นเดือนธันวาคม เมื่อวันที่ 8 มกราคมปี 2564 จำนวนดังกล่าวอยู่ที่เกือบ 8,000 คน

คณะผู้เชี่ยวชาญระบุว่าดูเหมือนว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จะถูกควบคุมไว้ได้ในระดับหนึ่งในฤดูหนาวปีนี้ เนื่องมาจากความคืบหน้าในการฉีดวัคซีน แต่ก็เตือนว่าการอยู่ในสถานที่ปิดภายในอาคารเป็นเวลานานจะเพิ่มความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสนี้ และว่าเราควรจับตาดูสถานการณ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในฮอกไกโดอย่างใกล้ชิด เพื่อตรวจหาสัญญาณใดก็ตามของการระบาดระลอกที่ 6 ที่อาจเกิดขึ้น

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 1 ธันวาคม 2564)

ทัศนะของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการระบาดระลอกใหม่ที่อาจเกิดขึ้น ตอนที่ 9

เราจะนำเสนอบทสัมภาษณ์ของผู้เชี่ยวชาญว่าการระบาดระลอกที่ 6 น่าจะส่งผลกระทบต่อเราหรือไม่และจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่

ในการให้สัมภาษณ์นั้น ผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดเตือนว่าการระบาดระลอกที่ 6 น่าจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูหนาวปีนี้ ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านกล่าวว่าการพบปะกันโดยตรงที่เพิ่มมากขึ้นจะเป็นปัจจัยหลักในการพยากรณ์ว่าการติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นอีกครั้งหรือไม่และเมื่อไหร่

คุณโอมิ ชิเงรุ ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะที่ปรึกษาด้านมาตรการไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของรัฐบาลญี่ปุ่น และคุณวากิตะ ทากาจิ ประธานคณะผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่น ต่างก็เตือนให้ผู้คนดำเนินมาตรการป้องกันไว้ก่อนในช่วงวันหยุดยาวสิ้นปีนี้และปีใหม่ ซึ่งกิจกรรมทางสังคมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น พวกเขาขอให้ทุกคนดำเนินมาตรการต้านการติดเชื้อพื้นฐานต่อไป เช่น การสวมหน้ากากและการขจัดภาวะแวดล้อมที่เป็นสถานที่ปิด มีผู้คนหนาแน่น และการมีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิด

ศาสตราจารย์วาดะ โคจิ จากมหาวิทยาลัยนานาชาติด้านสุขภาพและสวัสดิการกล่าวว่า การพยากรณ์ว่าการติดเชื้อจะกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้งหรือไม่นั้นเป็นเรื่องยาก เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่ส่งผลถึงกันในแนวทางที่ซับซ้อน เขากล่าวว่าวัคซีนและการพัฒนาการรักษาไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็นปัจจัยที่ช่วยให้เราเห็นแสงแห่งความหวัง

เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นอีกครั้งหนึ่งในช่วงฤดูหนาวปีนี้ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนควรใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ที่มีมาจนถึงการระบาดระลอกที่ 5 รวมถึงการปฏิบัติตามมาตรการต้านการติดเชื้อทั้งหลายต่อไป

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2564)

ทัศนะของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการระบาดระลอกใหม่ที่อาจเกิดขึ้น ตอนที่ 8

เราจะนำเสนอบทสัมภาษณ์ของผู้เชี่ยวชาญว่าการระบาดระลอกที่ 6 น่าจะส่งผลกระทบต่อเราหรือไม่และจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ โดยครั้งนี้เราจะไปฟังทัศนะของคุณชิบะ อาซาโกะ นักวิจัยหลังปริญญาเอกประจำสมาคมวิจัยนโยบายแห่งโตเกียวกันต่อ

คุณชิบะกล่าวว่าการระบาดระลอกที่ 6 น่าจะเกิดขึ้นเมื่อประสิทธิผลของวัคซีนลดลงประกอบกับจำนวนผู้คนที่ออกไปข้างนอกเพิ่มมากขึ้น เราได้สอบถามเธอว่าควรทำอย่างไรเพื่อรับมือการระบาดระลอกถัดไป

คุณชิบะกล่าวว่ากุญแจสำคัญคือการใช้ประโยชน์สูงสุดจากสิ่งที่รัฐบาลญี่ปุ่นเรียกว่า “ชุดมาตรการวัคซีนและตรวจ PCR” รัฐบาลมุ่งที่จะใช้ประวัติการฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่รวมกับการยืนยันผลตรวจหาเชื้อที่เป็นลบเพื่อผ่อนคลายข้อจำกัดทางสังคม

คุณชิบะได้ทำแบบจำลอง “มินิ โตเกียว” เธอพบว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่น่าจะลดลงแม้ว่าจำนวนของผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วหรือผู้ที่มีผลตรวจหาเชื้อเป็นลบซึ่งออกไปข้างนอก กลับมาอยู่ที่ระดับก่อนการระบาดใหญ่ก็ตาม แต่จะเป็นเช่นนี้ได้ก็ต่อเมื่อสามารถควบคุมยอดรวมของผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน ไม่ได้ตรวจหาเชื้อและออกไปข้างนอก ให้อยู่ที่ครึ่งหนึ่งของระดับก่อนการระบาดใหญ่ได้

คุณชิบะกล่าวว่ามีความเป็นไปได้ที่จะควบคุมการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยการจำกัดการเคลื่อนที่ของผู้คนอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เธอกล่าวว่าเมื่อเป็นเรื่องของความสมดุลระหว่างกิจกรรมทางเศรษฐกิจกับมาตรการต้านการติดเชื้อ วิธีหนึ่งที่ได้ผลก็คือการจำกัดการเคลื่อนที่ของผู้ที่มีความเสี่ยงสูงว่าจะติดเชื้อ เช่น ผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน เธอกล่าวว่ารัฐบาลควรหารือให้มากขึ้นอีกว่าจะนำ “ชุดมาตรการวัคซีนและตรวจ PCR” มาปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2564)

ทัศนะของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการระบาดระลอกใหม่ที่อาจเกิดขึ้น ตอนที่ 7

เราจะนำเสนอบทสัมภาษณ์ของผู้เชี่ยวชาญว่าการระบาดระลอกที่ 6 น่าจะส่งผลกระทบต่อเราหรือไม่และจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ โดยครั้งนี้เราจะไปฟังทัศนะของคุณชิบะ อาซาโกะ นักวิจัยหลังปริญญาเอกประจำสมาคมวิจัยนโยบายแห่งโตเกียว

คุณชิบะกังวลเกี่ยวกับจำนวนผู้ติดเชื้อที่อาจเพิ่มขึ้นอีกครั้งในช่วงฤดูหนาวปีนี้ เธอเชื่อว่าการระบาดระลอกที่ 6 จะมีสาเหตุมาจากประสิทธิผลของวัคซีนที่ลดลงไปบวกกับการเคลื่อนที่ของผู้คนที่เพิ่มมากขึ้น คุณชิบะกำลังพยายามหาคำตอบว่าจะทำอย่างไรให้การระบาดระลอกที่ 6 นี้ถูกควบคุมให้อยู่ในจำนวนน้อยเท่าที่จะเป็นไปได้ ด้วยการจำลองตัวแบบออกมาเป็น “มินิ โตเกียว”

เธอได้จัดทำแบบจำลองว่าการติดเชื้อจะแพร่ระบาดในเมืองสมมติที่มีประชากรราว 70,000 กว่าคนได้อย่างไร เมืองนี้เป็นรูปแบบย่อของกรุงโตเกียวซึ่งอิงจากสำมะโนประชากรและข้อมูลอื่น ๆ โดยโครงสร้างอายุ อาชีพ และลักษณะครอบครัวของผู้อยู่อาศัยคล้ายคลึงกับสิ่งที่เป็นอยู่จริงในกรุงโตเกียว

ในแบบจำลองของเธอนั้น เธอกำหนดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในเดือนตุลาคมปี 2564 หรือหลังจากนั้นให้อยู่ที่ 4 คน ซึ่งเท่ากับผู้ติดเชื้อรายใหม่ประมาณ 800 คนในกรุงโตเกียวจริง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากการเคลื่อนที่ของผู้คนสามารถรักษาให้ต่ำกว่าระดับก่อนการระบาดใหญ่ร้อยละ 30 การคำนวณแสดงให้เห็นว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังคงต่ำอยู่แม้ประสิทธิผลของวัคซีนจะลดลงก็ตาม ยิ่งมีผู้คนเข้ารับวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เข็มที่ 3 มากขึ้น จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ก็จะเริ่มลดลงภายใต้สถานการณ์นี้

อย่างไรก็ตาม เมื่อการเคลื่อนที่ของผู้คนอยู่ต่ำกว่าระดับก่อนการระบาดใหญ่แค่ร้อยละ 20 จำนวนของผู้ติดเชื้อรายใหม่จะเพิ่มต่อเนื่องแม้จะมีผู้คนจำนวนมากขึ้นที่เข้ารับวัคซีนเข็มที่ 3 ก็ตาม

คุณชิบะกล่าวว่าการจำลองนี้แสดงให้เห็นว่าการเคลื่อนที่ของผู้คนแม้จะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ก็สามารถทำให้สถานการณ์การติดเชื้อเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างมาก เธอกล่าวว่าถ้าบรรยากาศโดยรวมในสังคมโน้มเอียงไปยังการรวมตัวกันตอนสิ้นปี ก็มีความเป็นไปได้ที่จำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เธอระบุว่าเมื่อคำนึงในแง่ของเศรษฐกิจแล้ว การจะรักษาระดับการเคลื่อนที่ของผู้คนให้ลดลงอยู่เช่นนี้ต่อไปนั้นคงจะเป็นเรื่องยาก

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 26 พฤศจิกายน 2564)

ทัศนะของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการระบาดระลอกใหม่ที่อาจเกิดขึ้น ตอนที่ 6

เราจะนำเสนอบทสัมภาษณ์ของผู้เชี่ยวชาญว่าการระบาดระลอกที่ 6 น่าจะส่งผลกระทบต่อเราหรือไม่และจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ โดยครั้งนี้เราจะไปฟังทัศนะของคุณทากายามะ โยชิฮิโระ จากโรงพยาบาลโอกินาวา ชูบุกันต่อ

คุณทากายามะเตือนว่าการกลับมาระบาดอีกครั้งอาจเกิดขึ้นในช่วงฤดูวันหยุดยาวสิ้นปีและปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง เขากล่าวว่าไม่ว่าเราจะใช้มาตรการต้านการติดเชื้อแบบใดก็ตาม ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงเชื้อไวรัสนี้ที่ถูกนำมายังพื้นที่ท้องถิ่นได้ในระดับหนึ่งในช่วงฤดูกาลวันหยุดยาวดังกล่าว

ผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยกำลังตั้งตารอที่จะใช้เวลาช่วงปีใหม่กับลูกหลานของพวกตน หลังจากที่ไม่สามารถพบเจอกันได้มานานแล้ว การยืนยันว่าทั้งผู้สูงอายุและลูกหลานได้เข้ารับวัคซีนแล้วและดำเนินมาตรการป้องกันไว้ก่อนนั้นเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อที่พวกเขาจะสามารถใช้เวลาร่วมกันได้อย่างไม่ต้องกังวล

คุณทากายามะเน้นย้ำถึงความสำคัญของการส่งเสริมเรื่องการเตรียมการสำหรับการระบาดระลอกที่ 6 ที่อาจเกิดขึ้นได้

เขากล่าวว่าเมื่อพิจารณาสถานการณ์ปัจจุบันในสหรัฐและยุโรป เราควรยกระดับการเตรียมการบนสมมติฐานที่ว่าอาจเกิดการระบาดระลอกที่ใหญ่กว่าเดิม

เขากล่าวว่าการเพิ่มจำนวนเตียงในโรงพยาบาลไม่ใช่เรื่องง่ายโดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท ในช่วงที่จำนวนผู้ป่วยด้วยโรคอื่น ๆ เพิ่มสูงขึ้นเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว ด้วยเหตุนี้ เขาจึงให้เหตุผลว่าการเพิ่มจำนวนสถานที่ที่ผู้ป่วยสามารถพักรักษาตัวหลังออกจากโรงพยาบาลแล้วเป็นเรื่องสำคัญมาก เพื่อที่จะได้ลดระยะเวลาพักรักษาตัวในโรงพยาบาล หากเวลาในการพักรักษาตัวในโรงพยาบาลสามารถลดลงไปได้ครึ่งหนึ่ง ก็จะมีผลเท่ากับการเพิ่มจำนวนเตียงในโรงพยาบาล 2 เท่า

คุณทากายามะขอให้ทางการท้องถิ่นและโรงพยาบาลทั้งหลายปรึกษาหารือกันเพื่อทำให้แน่ใจว่ามีการเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่สำหรับการระบาดระลอกใหม่ที่อาจเกิดขึ้นนี้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 25 พฤศจิกายน 2564)

ทัศนะของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการระบาดระลอกใหม่ที่อาจเกิดขึ้น ตอนที่ 5

เราจะนำเสนอบทสัมภาษณ์ของผู้เชี่ยวชาญว่าการระบาดระลอกที่ 6 น่าจะส่งผลกระทบต่อเราหรือไม่และจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ โดยครั้งนี้เราจะไปฟังทัศนะของคุณทากายามะ โยชิฮิโระ จากโรงพยาบาลโอกินาวา ชูบุ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อและเป็นสมาชิกของคณะผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่น

คุณทากายามะระบุถึงความแตกต่างของการที่ไวรัสนี้ระบาดในตัวเมืองกับในพื้นที่ชนบท โดยกล่าวว่าเขาคิดว่าพื้นที่ในเมืองกับชนบทนั้นควรใช้วิธีต่างกันต่อการระบาดของไวรัสนี้

ในพื้นที่เมืองนั้น มีจุดศูนย์กลางบางแห่งที่การติดเชื้อดำเนินไปอยู่อย่างต่อเนื่อง เมื่อผู้คนเริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นบ่อยขึ้นในสถานที่เช่นว่านี้ การระบาดก็จะปะทุขึ้นเหมือนจุดชนวนระเบิด

ส่วนพื้นที่ชนบทส่วนใหญ่ซึ่งรวมถึงจังหวัดโอกินาวานั้น พบว่าสามารถควบคุมการติดเชื้อส่วนใหญ่ได้แล้วโดยไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อในบางพื้นที่ ผู้คนในพื้นที่ดังกล่าวควรเฝ้าระวังการเข้ามาในพื้นที่ของผู้ติดเชื้อจากตัวเมือง

กุญแจสำคัญก็คือมีการดำเนิน “ชุดมาตรการวัคซีนและตรวจ PCR” สำหรับผู้ที่มาจากนอกพื้นที่หรือไม่ และทางการท้องถิ่นสามารถขอร้องไม่ให้เดินทางข้ามจังหวัดเมื่อเกิดการระบาดขึ้นได้หรือไม่ ผู้คนในเขตจังหวัดต่าง ๆ มีความกังวลมากกว่าเกี่ยวกับการติดเชื้อและกระตือรือร้นต่อการขอให้ระวังไว้ก่อน อย่างไรก็ตาม ถ้าการสื่อสารเหล่านี้ไปไม่ถึงผู้อยู่อาศัยในพื้นที่เมือง ก็ไม่มีประโยชน์อันใด

ปัจจุบันกรณีติดเชื้อยังคงค่อนข้างต่ำอยู่ มีผู้คนจำนวนน้อยที่ยังให้ความสำคัญกับการสื่อสารเหล่านี้ จึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่เมืองที่จะคอยเตือนผู้คนว่าควรเฝ้าระวังตื่นตัวเอาไว้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 24 พฤศจิกายน 2564)

ทัศนะของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการระบาดระลอกใหม่ที่อาจเกิดขึ้น ตอนที่ 4

เราจะนำเสนอบทสัมภาษณ์ของผู้เชี่ยวชาญว่าการระบาดระลอกที่ 6 น่าจะส่งผลกระทบต่อเราหรือไม่และจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ โดยครั้งนี้เราจะไปฟังทัศนะจากศาสตราจารย์วาดะ โคจิ จากมหาวิทยาลัยนานาชาติด้านสุขภาพและสวัสดิการ และยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข เช่น โรคติดเชื้อ เขาเป็นสมาชิกของคณะผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่น

ศาสตราจารย์วาดะเตือนเหมือนกับผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ ว่าต้องระมัดระวังช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เพราะการเดินทางของผู้คนเพิ่มมากขึ้น

เขาชี้ว่าเมื่อพิจารณาจากปัจจัยด้านฤดูกาล เช่น อากาศเย็นและความชื้น บวกกับการเดินทางของผู้คน ไวรัสนี้น่าจะแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในช่วงสิ้นปีนี้และปีใหม่ ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้คนเฉลิมฉลองกันอย่างคึกคัก นี่เป็นสถานการณ์เดียวกันกับไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลและต้องมีการดูแลเป็นพิเศษ

ศาสตราจารย์วาดะกล่าวว่าแม้คณะผู้เชี่ยวชาญจะระบุว่าเป็นการยากที่จะคาดการณ์เกี่ยวกับการระบาดระลอกที่ 6 ที่อาจเกิดขึ้น เนื่องจากขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ความคืบหน้าในการฉีดวัคซีน การผ่อนคลายข้อจำกัดด้านกิจกรรมทางสังคม และเรื่องที่ว่าเวลาจะส่งผลต่อประสิทธิผลของวัคซีนอย่างไร นอกจากนั้นก็ยังมีอีกหลายประการที่เรายังไม่ทราบแน่ชัด

อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์วาดะเชื่อว่าเนื่องจากการฉีดวัคซีนที่เพิ่มมากขึ้นไม่เหมือนกับการระบาดระลอกก่อน จึงทำให้แนวโน้มของความเสี่ยงที่ผู้คนจะป่วยหนักนั้นลดลง

เขากล่าวว่าการศึกษากรณีที่เกิดขึ้นในต่างประเทศพบว่า เป็นที่น่าสงสัยไม่น้อยเลยว่าการแพร่ระบาดของไวรัสนี้และผู้ที่ป่วยหนักเพราะโควิด-19 นั้น น่าจะเป็นกลุ่มคนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนเป็นหลัก ในกรุงโตเกียว มี 1 ใน 5 คนที่อยู่ในช่วงวัย 40 ปีที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน เขากล่าวว่าเป็นเรื่องจำเป็นที่จะเร่งการฉีดวัคซีนเพื่อที่ทั้งตัวบุคคลเองและเพื่อกรุงโตเกียวทั้งหมดจะได้รู้สึกปลอดภัย

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2564)

ทัศนะของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการระบาดระลอกใหม่ที่อาจเกิดขึ้น ตอนที่ 3

เราจะนำเสนอบทสัมภาษณ์ของผู้เชี่ยวชาญว่าการระบาดระลอกที่ 6 น่าจะส่งผลกระทบต่อเราหรือไม่และจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ โดยครั้งนี้เราจะไปฟังเกี่ยวกับความพยายามพยากรณ์การติดเชื้อในอนาคตโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI

ศาสตราจารย์ฮิราตะ อากิมาซะ จากสถาบันเทคโนโลยีนาโงยะได้จำลองสถานการณ์ในอนาคตของกรุงโตเกียวด้วยการป้อนข้อมูลการติดเชื้อในอดีตไปยังระบบ AI มีการใช้ข้อมูลมากมายเป็นวงกว้างซึ่งรวมถึงความเป็นไปของจำนวนผู้ติดเชื้อ อุณหภูมิ ความชื้น การเคลื่อนที่ของผู้คน และเรื่องที่ว่ามีการประกาศภาวะฉุกเฉินหรือไม่

สมมติฐานก็คือการเคลื่อนที่ของผู้คนจะค่อย ๆ กลับมา ระบบ AI ได้จำลองออกมา 27 รูปแบบภายใต้เงื่อนไขที่ต่างกัน เช่น สัดส่วนของผู้คนที่ได้รับวัคซีนแล้ว 2 เข็มและการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นจะเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ ทุกรูปแบบดังกล่าวได้ผลลัพธ์ที่แสดงให้เห็นว่าการระบาดระลอกที่ 6 อาจจะเกิดขึ้นประมาณต้นเดือนมกราคม

ศาสตราจารย์ฮิราตะกล่าวว่าการคาดการณ์ของ AI ระบุว่าจุดสูงสุดของการระบาดระลอกที่ 6 จะเกิดขึ้นต้นเดือนมกราคมในทุกสถานการณ์ เมื่อนำเรื่องระยะฟักตัวของไวรัสมาพิจารณาด้วยนั้นพบว่า การออกไปข้างนอกของผู้คนช่วงวันหยุดยาวระหว่างวันคริสต์มาสถึงปีใหม่ และจำนวนของการรวมตัวกันกับครอบครัวและญาติพี่น้อง จะทำให้เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสนี้

ขณะเดียวกัน การคาดการณ์ของ AI แสดงให้เห็นว่าถ้าการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว จำนวนของผู้ติดเชื้ออาจเริ่มลดลงในระยะเวลาค่อนข้างเร็ว และยังระบุด้วยว่าจะสามารถควบคุมจำนวนของผู้ป่วยที่กลายเป็นผู้ป่วยอาการหนักได้

ศาสตราจารย์ฮิราตะกล่าวว่าเป็นเรื่องสำคัญสำหรับการเข้ารับวัคซีนเข็มที่ 3 และเพื่อให้ประชากรทั้งหมดยังคงรักษาประสิทธิผลของวัคซีนให้อยู่ในระดับสูงได้ การฉีดวัคซีนในญี่ปุ่นได้ดำเนินการไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งเท่ากับว่ามีความเป็นไปได้ที่ประสิทธิผลของวัคซีนจะลดลงอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน เขากล่าวว่าถ้าไม่เริ่มฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในเร็ว ๆ นี้ ก็อาจเป็นเรื่องยากที่ญี่ปุ่นจะคงประสิทธิผลนี้ไว้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 19 พฤศจิกายน 2564)

ทัศนะของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการระบาดระลอกใหม่ที่อาจเกิดขึ้น ตอนที่ 2

เราจะนำเสนอบทสัมภาษณ์ของผู้เชี่ยวชาญว่าการระบาดระลอกที่ 6 น่าจะส่งผลกระทบต่อเราหรือไม่และจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ โดยครั้งนี้เราจะฟังทัศนะของคุณฟูรูเซะ ยูกิ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยาของโรคติดเชื้อกันต่อ

คุณฟูรูเซะกล่าวว่าเราสามารถทำให้การเริ่มระบาดระลอกที่ 6 ล่าช้าออกไปได้ ถ้าเราลดการพบปะกันซึ่งหน้า อย่างไรก็ตาม การจำลองสถานการณ์ของเขาแสดงให้เห็นว่าแม้เราจะควบคุมการมีปฏิสัมพันธ์เช่นว่านี้ได้ร้อยละ 40 หรือร้อยละ 60 ของระดับก่อนการระบาดใหญ่ แต่การระบาดระลอกใหม่ก็น่าจะมาถึงในอีกประมาณ 5 เดือน

ทั้งนี้ การจำลองสถานการณ์ดังกล่าวไม่ได้รวมผลที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น เขากล่าวว่าการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นอาจช่วยลดผลกระทบจากการระบาดระลอกที่ 6 ได้

การจะสรุปได้ว่าปฏิสัมพันธ์แบบพบปะกันซึ่งหน้านั้นลดลงไปมากแค่ไหนถือเป็นเรื่องที่ยากมาก คุณฟูรูเซะบอกกับเราว่ากุญแจสำคัญคือการเพิ่มความตระหนักก่อนที่จะถึงฤดูกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

คุณฟูรูเซะกล่าวว่าฤดูหนาวเป็นฤดูที่เอื้ออย่างยิ่งต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ และว่านี่คือฤดูกาลแห่งงานเลี้ยงสังสรรค์ด้วย และหากผู้คนมารวมตัวกัน ดื่มกินหรือท่องเที่ยวกันเป็นจำนวนมากเหมือนที่เคยทำตอนก่อนการระบาดใหญ่ ก็อาจทำให้การติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นอีกครั้งหนึ่งได้

เขากล่าวว่าในขณะที่ผู้คนจำนวนหนึ่งกังวลว่าผู้คนจะค่อย ๆ ผ่อนคลายมาตรการต้านการติดเชื้อ แต่คนจำนวนมากก็ยังคงสวมหน้ากาก มีงานเลี้ยงดื่มกินน้อยลง และจัดประชุมทางออนไลน์แทนการพบปะกันซึ่งหน้า เขากล่าวว่าการใช้ชีวิตส่วนใหญ่ของพวกเราตอนนี้เป็นรูปแบบ “new normal” ภายใต้การระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยลดการมีปฏิสัมพันธ์ลง

เขากล่าวว่าถ้าเราทำแบบนี้ต่อไป ก็อาจช่วยลดผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่ให้เหลือน้อยที่สุดได้ ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ทั้งหมดก็ตาม และยังเป็นการช่วยไม่ให้เกิดแรงกดดันต่อระบบการแพทย์และสาธารณสุขมากจนเกินไปด้วย

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2564)

ทัศนะของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการระบาดระลอกใหม่ที่อาจเกิดขึ้น ตอนที่ 1

จำนวนผู้ติดโควิด-19 ในญี่ปุ่นกำลังอยู่ในระดับต่ำที่สุดในปีนี้ แต่ถึงอย่างนั้น รัฐบาลญี่ปุ่นก็ได้เผยแพร่แผนการเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการระบาดระลอกใหม่ที่อาจเกิดขึ้นได้ เราจะนำเสนอบทสัมภาษณ์ของผู้เชี่ยวชาญว่าการระบาดระลอกที่ 6 น่าจะส่งผลกระทบต่อเราหรือไม่และจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่

ผู้เชี่ยวชาญคนแรกของเราคือคุณฟูรูเซะ ยูกิ เขาเชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยาของโรคติดเชื้อและด้านการวิเคราะห์โดยใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ คุณฟูรูเซะซึ่งเป็นที่ปรึกษาของคณะทำงานด้านการติดเชื้อแบบเป็นกลุ่มของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นระบุว่า การระบาดระลอกที่ 6 น่าจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูหนาวปีนี้

คุณฟูรูเซะรับผิดชอบเรื่องการจำลองสถานการณ์การติดเชื้อสำหรับคณะทำงานที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของกระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่น เขาดำเนินการด้วยการหาจำนวนปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการแพร่ระบาดของไวรัสและใส่ข้อมูลพวกนี้ลงไปในสูตรทางคณิตศาสตร์เพื่อให้ได้การคาดคะเน

ข้อมูลต่อจากนี้คือสมมติฐานที่เขาใช้สำหรับการจำลองสถานการณ์
1. อัตราการฉีดวัคซีนอยู่ที่ร้อยละ 90 ในกลุ่มผู้คนอายุ 60 ปีขึ้นไป ร้อยละ 80 ในกลุ่มผู้คนที่อยู่ในช่วงวัย 40 ปีและช่วงวัย 50 ปี ร้อยละ 75 ในกลุ่มผู้คนที่อยู่ในช่วงวัย 20 ปีและช่วงวัย 30 ปี
2. ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว ถือว่ามีประสิทธิผลร้อยละ 70 ในการป้องกันการติดเชื้อ
3. การพบปะกันซึ่งหน้าจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 80 ของระดับก่อนการระบาดใหญ่ กล่าวคือลดลงมาร้อยละ 20

การจำลองสถานการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าจำนวนของผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เริ่มต่ำลงเป็นครั้งแรกนี้ จะเริ่มเพิ่มมากขึ้นหลังจาก 1 เดือนและการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจะเกิดขึ้นหลังจาก 2 เดือน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 17 พฤศจิกายน 2564)

ค่าชดเชยสำหรับพนักงานที่ได้รับผลกระทบตกค้างจากโรคโควิด-19 ตอนที่ 2

จำนวนของผู้คนที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในที่ทำงานซึ่งกำลังขอรับค่าชดเชยนั้นมีมากขึ้น นอกจากนี้ ก็ยังมีกรณีของผู้ที่ได้รับผลกระทบตกค้างจากโรคโควิด-19 ที่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มได้รับค่าชดเชยด้วย วันนี้เราจะนำเสนอเรื่อง “ค่าชดเชยสำหรับพนักงานที่ได้รับผลกระทบตกค้างจากโรคโควิด-19”

ชาวต่างชาติที่ทำงานเป็นพนักงานในญี่ปุ่นก็อยู่ในกลุ่มที่ประกันค่าชดเชยสำหรับพนักงานครอบคลุม ไม่ว่าจะสัญชาติใดก็ตาม โดยไม่ใช่แค่ผู้ที่มีสถานะเป็นผู้อยู่อาศัยที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงนักเรียนนักศึกษาที่เป็นพนักงานพาร์ทไทม์ด้วย

รัฐบาลญี่ปุ่นระบุว่าผู้คนมีสิทธิได้รับค่าชดเชยสำหรับพนักงานเมื่อติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ขณะทำงานหรือมีอาการป่วยจากผลกระทบตกค้างของโรคโควิด-19 จนไม่สามารถทำงานได้

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นกำลังขอให้ผู้คนปรึกษากับสำนักงานตรวจสอบมาตรฐานแรงงานในท้องถิ่น เมื่อติดเชื้อไวรัสนี้หรือป่วยจากอาการตกค้างยืดเยื้อของโรคโควิด-19

ทางกระทรวงพบว่านับจนถึงสิ้นเดือนกันยายนปี 2564 มีผู้คน 14,567 คนที่ถูกจัดให้มีสิทธิได้รับค่าชดเชยสำหรับพนักงานหลังจากติดเชื้อไวรัสนี้จากที่ทำงาน ในจำนวนดังกล่าว มี 11,214 คนที่เป็นบุคลากรด้านการแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ด้านสวัสดิการ ซึ่งรวมถึงแพทย์ พยาบาล และพนักงานพยาบาลดูแลที่ขึ้นทะเบียน

ผู้คนกลุ่มนี้คิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 70 ของจำนวนทั้งหมด นอกจากนี้ก็ยังมีพนักงานที่ทำงานด้านคมนาคมขนส่งหรือไปรษณีย์ 376 คน ด้านการผลิต 315 คน และภาคบริการ 245 คนซึ่งรวมถึงโรงแรมและร้านอาหาร โดยพนักงานในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เป็นวงกว้างก็อยู่ในกลุ่มของผู้มีสิทธิได้รับค่าชดเชยนี้

องค์กรไม่แสวงผลกำไรซึ่งมีฐานปฏิบัติงานในจังหวัดเฮียวโงะกำลังให้ความช่วยเหลือพนักงานที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 และกำลังดำเนินงานเพื่อปรับปรุงเงื่อนไขการทำงานให้ดีขึ้น คุณนิชิยามะ คาซูฮิโระ เลขาธิการขององค์กรดังกล่าวระบุว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอาการตกค้างต่าง ๆ หลังติดโควิด-19 ขณะทำงานนั้น มีสิทธิได้รับค่าชดเชยสำหรับพนักงานอีกครั้ง เขากล่าวว่ารัฐบาลญี่ปุ่นควรดำเนินการให้มากกว่านี้เพื่อทำให้ผู้คนทราบเรื่องนี้มากขึ้น

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 16 พฤศจิกายน 2564)

ค่าชดเชยสำหรับพนักงานที่ได้รับผลกระทบตกค้างจากโรคโควิด-19 ตอนที่ 1

จำนวนของผู้คนที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในที่ทำงานซึ่งกำลังขอรับค่าชดเชยนั้นมีมากขึ้น นอกจากนี้ ก็ยังมีกรณีของผู้ที่ได้รับผลกระทบตกค้างจากโรคโควิด-19 ที่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มได้รับค่าชดเชยด้วย วันนี้เราจะนำเสนอเรื่องค่าชดเชยสำหรับพนักงานที่ได้รับผลกระทบตกค้างจากโรคโควิด-19

ชายคนหนึ่งในช่วงวัย 40 ปี ซึ่งทำงานเป็นนักกายภาพบำบัดในบ้านพักสำหรับผู้สูงอายุในจังหวัดเฮียวโงะ ได้รับการยืนยันให้เป็นผู้มีสิทธิได้รับค่าชดเชยสำหรับพนักงานเนื่องจากผลกระทบตกค้างของโรคโควิด-19 ชายผู้นี้ติดโควิด-19 หลังจากใกล้ชิดกับผู้อยู่อาศัยในสถานพยาบาลดูแลแห่งหนึ่งที่ติดโควิด-19 อยู่ก่อนแล้ว หลังเข้ารับการตรวจ PCR เมื่อเดือนธันวาคมปี 2563 ก็พบว่าเขาติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่และถูกจัดให้เป็นผู้มีสิทธิได้รับค่าชดเชย

ชายผู้นี้กลับไปทำงานหลังจากรักษาตัวราว 2 เดือน แต่ก็ต้องหยุดงานอีกครั้งนับตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2564 เนื่องจากอาการอ่อนเพลียอย่างรุนแรง หายใจติดขัด และปัญหาเกี่ยวกับการรับรส แพทย์ของเขาวินิจฉัยว่านี่คือผลกระทบตกค้างจากโรคโควิด-19

เขาสมัครขอรับค่าชดเชยอีกครั้ง และในเดือนสิงหาคม เจ้าหน้าที่ตรวจสอบด้านมาตรฐานแรงงานก็ระบุว่าการติดเชื้อจากที่ทำงานคือสาเหตุของอาการป่วยทั้งหลายของเขา ชายผู้นี้ยังคงไม่สามารถทำงานได้ในขณะนี้ และกำลังพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านโดยได้รับความช่วยเหลือจากภรรยาและลูกสาววัย 5 ขวบ

เขากล่าวว่าเขารู้สึกโล่งใจหลังจากที่มีการระบุว่าเขามีสิทธิได้รับค่าชดเชยจากผลข้างเคียงระยะยาวของโรคโควิด-19 และว่าเขารู้สึกแย่นับตั้งแต่ที่เขาไม่แข็งแรงพอที่จะลุกขึ้นมาและเล่นกับลูกสาวได้ เขาต้องการทำทุกอย่างที่สามารถทำได้เพื่อกลับไปทำงานอีกครั้งโดยเร็วเท่าที่จะเป็นไปได้

เนื่องจากผลกระทบตกค้างของโรคโควิด-19 อยู่ในข่ายที่สามารถขอรับค่าชดเชยสำหรับพนักงานได้ รัฐบาลญี่ปุ่นจึงขอให้ผู้คนที่ประสบอาการคล้ายคลึงกันนี้ไปปรึกษากับเจ้าหน้าที่ด้านแรงงาน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 15 พฤศจิกายน 2564)

วัคซีนเข็มกระตุ้น ตอนที่ 9

เราจะนำเสนอเกี่ยวกับวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ “เข็มกระตุ้น” โดยจะพิจารณาบทเรียนที่เราได้เรียนรู้จากการระบาดระลอกที่ 5

ศาสตราจารย์โอกะ ฮิเดอากิ จากมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ไซตามะระบุว่า ผู้ป่วยโควิด-19 ส่วนใหญ่ในช่วงการระบาดระลอกที่ 5 คือผู้ที่ยังไม่ได้เข้ารับวัคซีนหรือได้รับวัคซีนเข็มแรกเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่าผู้ป่วยคนหนึ่งในช่วงวัย 80 ปี ซึ่งเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเกิดอาการทรุดหนักและเสียชีวิตในช่วงกลางเดือนสิงหาคม แม้จะได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 แล้วเมื่อเดือนกรกฎาคมก็ตาม ผู้ป่วยคนนี้ประสบภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงเนื่องจากรักษาโรคมะเร็ง

ศาสตราจารย์โอกะกล่าวว่าผู้ป่วยคนนี้โชคไม่ดีที่เกิดอาการหนักแม้จะได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว การวิจัยในต่างประเทศแสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยที่ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงจะไม่ได้รับผลจากการเข้ารับวัคซีน 2 เข็ม งานวิจัยชี้ว่ามีความเป็นไปได้ว่าประสิทธิผลของวัคซีนนั้นลดลงไปในผู้คนกลุ่มนี้

ศาสตราจารย์โอกะกล่าวเสริมว่ามีความเสี่ยงที่ผู้ป่วยซึ่งได้รับยากดภูมิคุ้มกันสำหรับโรคอื่น ๆ อาจไม่สามารถสร้างสารภูมิต้านทานได้อย่างเพียงพอแม้จะเข้ารับวัคซีน 2 เข็มแล้วก็ตาม

เขากล่าวว่าพวกตนกำลังรวบรวมข้อมูลเรื่องวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ และตอนนี้พวกตนทราบว่าการเข้ารับวัคซีน 2 เข็มนั้นไม่เพียงพอสำหรับการปกป้องผู้คนที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ แต่สารภูมิต้านทานของพวกเขาเพิ่มสูงขึ้นเมื่อได้รับวัคซีนเข็มที่ 3

ศาสตราจารย์โอกะกล่าวว่าในปัจจุบันวัคซีนกลายเป็นสิ่งแพร่หลายไปแล้ว เราควรพิจารณาว่าเราจะสามารถปกป้องผู้คนที่มีความเสี่ยงว่าจะป่วยหนักได้อย่างไรและจัดการในส่วนที่ยังเป็นข้อด้อยของเรา โดยถือเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการระบาดระลอกใหม่ เขากล่าวว่าหากทำตามแนวทางนี้ เราจะสามารถควบคุมไม่ให้ผู้ป่วยอาการหนักมีจำนวนเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งจะถือเป็นการช่วยปกป้องระบบสาธารณสุขด้วยเช่นกัน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 12 พฤศจิกายน 2564)

วัคซีนเข็มกระตุ้น ตอนที่ 8

เราจะนำเสนอเกี่ยวกับวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ “เข็มกระตุ้น” เราได้พูดคุยกับบุคคลท่านหนึ่งซึ่งต้องการเข้ารับวัคซีนแต่ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ด้วยเหตุผลบางประการ

คุณอิเกดะ มาซาฮิโระ วัย 49 ปี เป็นผู้บริหารกิจการบาร์แห่งหนึ่งในย่านรปปงงิ เขตมินาโตะของกรุงโตเกียว เขาไม่ได้เข้ารับวัคซีนเนื่องจากเป็นโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้และอาการแพ้อื่น ๆ

เมื่อ 9 ปีก่อน เขามีอาการป่วยหลังจากเข้ารับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ แพทย์ของเขาบอกว่านี่คืออาการแพ้รุนแรงเฉียบพลัน คุณอิเกดะบอกกับเราเกี่ยวกับประสบการณ์อันน่ากลัวที่เกิดขึ้นกับเขาในเวลานั้น เขากล่าวว่าตอนที่เขายืนขึ้นหลังจากได้รับวัคซีนเพื่อจะกลับบ้าน เขาไม่สามารถเดินตรง ๆ ได้ เขารู้สึกว่าเกิดอาการผิดปกติเมื่อหัวใจเริ่มเต้นแรง

คุณอิเกดะได้สอบถามแพทย์ประจำของเขาเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ แพทย์บอกเขาว่าน่าจะไม่มีปัญหาแต่ทั้งนี้การตัดสินใจขึ้นอยู่กับเขา เนื่องจากเขาเคยมีอาการแพ้รุนแรงเฉียบพลันมาก่อน

คุณอิเกดะยังเป็นโรคหอบหืดอีกด้วย เขาจึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการหนักหากติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เขากล่าวว่าเขาต้องการเข้ารับวัคซีนเพื่อตัวเขาเองและเพื่อลูกค้าที่มายังบาร์ของเขา แต่เขาไม่สามารถตัดสินใจได้

เขาบอกกับเราว่าพูดตรง ๆ ว่าเขารู้สึกอิจฉาคนที่สามารถเข้ารับวัคซีน 3 เข็มได้ เขาบอกว่าเขาจะทำเช่นนั้นหากเขาสุขภาพแข็งแรงดี และว่าเขารู้สึกกังวลและแปลกแยกเนื่องจากเขาเห็นว่ากฎเกณฑ์ต่าง ๆ ทยอยยกเลิกไปทีละข้อและผู้คนสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้ถ้ามีหลักฐานว่าได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว เขาอยากให้ผู้คนเข้าใจว่ามีคนแบบเขาที่ไม่สามารถเข้ารับวัคซีนได้และหารือกันว่าจะทำอย่างไรได้บ้างสำหรับคนกลุ่มนี้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2564)

วัคซีนเข็มกระตุ้น ตอนที่ 7

เราจะนำเสนอเกี่ยวกับวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ “เข็มกระตุ้น” โดยจะนำเสนอทัศนะจากสถานพยาบาลดูแล

เชื่อกันว่าเกิดการติดเชื้อแบบกลุ่มขึ้นจำนวนหนึ่งที่สถานพยาบาลดูแลแห่งต่าง ๆ ในปีนี้โดยเป็นกรณี “breakthrough infections” หรือการติดเชื้อหลังได้รับวัคซีนครบ ในกลุ่มผู้คนที่ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว ในช่วงการระบาดระลอกที่ 5 ในปีนี้

เมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2563 สถานพยาบาลดูแลแห่งหนึ่งในเขตเซตากายะของกรุงโตเกียวซึ่งมีผู้พักอาศัยอยู่ที่นี่ 90 คน และมีพนักงานกว่า 100 คนทำงานแบบเป็นกะ ทั้งผู้พักอาศัยและพนักงานกว่า 10 คนตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยผู้ติดเชื้อเหล่านี้ไม่ปรากฏอาการใด ๆ

สถานที่แห่งนี้ส่งเสริมเรื่องการฉีดวัคซีน โดยระหว่างเดือนเมษายนถึงพฤษภาคมปีนี้ ผู้พักอาศัยและพนักงานส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว นอกจากนี้ ก็ยังเพิ่มความพยายามในการป้องกันการติดเชื้อ ด้วยเหตุนี้ สถานพยาบาลดูแลแห่งนี้จึงไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่เลย นับจนถึงปัจจุบัน สถานที่ดังกล่าวยังคงจำกัดการพบปะกับผู้ที่มาเยี่ยมเยือน โดยให้พบได้แบบมีหน้าต่างกั้นหรือพบปะกันทางออนไลน์

นับตั้งแต่เดือนตุลาคม ผู้อยู่อาศัยที่นี่สามารถพบกับผู้มาเยี่ยมที่สถานพยาบาลดูแลได้ หลังจากดำเนินมาตรการป้องกันแล้ว

สถานพยาบาลดูแลระบุว่าหวังเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับประสิทธิผลของวัคซีนเข็มกระตุ้นว่าจะช่วยป้องกันกลุ่มผู้สูงอายุซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะป่วยหนักได้ และว่าวัคซีนเข็มที่ 3 นี้มีความจำเป็นเพื่อที่ทางสถานพยาบาลดูแลจะสามารถคงการเยี่ยมเยือนในแบบที่ใกล้เคียงกับลักษณะปกติเอาไว้ด้วย

คุณทานากะ มิซะ หัวหน้าสถานพยาบาลดูแลฮากูซุย-โนะ ซาโตะระบุว่า เธอเชื่อว่าการฉีดวัคซีนจะมีประสิทธิผลในการปกป้องผู้สูงอายุ มีการขอให้สมาชิกครอบครัวไปเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นเพื่อที่พวกเขาจะได้มาเยี่ยมเยือนผู้พักอาศัยที่นี่ได้ต่อไป

คุณทานากะกล่าวว่าภายในเดือนมกราคมปีหน้า จะเป็นช่วงที่ครบ 8 เดือนหลังจากที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 และเธอหวังว่าทางการท้องถิ่นจะดำเนินขั้นตอนอย่างรวดเร็วเพื่อจัดฉีดวัคซีนเข็มที่ 3

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 10 พฤศจิกายน 2564)

วัคซีนเข็มกระตุ้น ตอนที่ 6

เราจะนำเสนอเกี่ยวกับวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ “เข็มกระตุ้น” โดยจะไปดูสถานการณ์ในญี่ปุ่นเกี่ยวกับระเบียบ และใครที่มีสิทธิเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นนี้

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นมีแผนที่จะฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เข็มที่ 3 ให้แก่ผู้ที่ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้วและต้องการขอรับเข็มที่ 3

การฉีดวัคซีนรอบแรกในญี่ปุ่นนั้นจัดฉีดให้แก่บุคลากรด้านการแพทย์ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปี 2564 จากนั้นก็ตามด้วยกลุ่มผู้สูงอายุตั้งแต่เดือนเมษายน และถัดไปคือกลุ่มผู้ที่มีโรคประจำตัว

ทางกระทรวงไม่ได้วางแผนเพื่อกำหนดลำดับความสำคัญสำหรับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 แต่จะฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ให้แก่ผู้คนหลังจากที่ได้รับเข็มที่ 2 แล้วราว 8 เดือน จึงเท่ากับว่าบุคลากรด้านการแพทย์จะมีสิทธิได้รับเข็มที่ 3 ตั้งแต่เดือนธันวาคมปีนี้ และกลุ่มผู้สูงอายุจะได้รับตั้งแต่เดือนมกราคมปีหน้า จากนั้นก็จะตามด้วยกลุ่มผู้คนที่ไม่ได้จัดอยู่ในประเภทเหล่านี้

ทางกระทรวงกำลังขอให้ทางการท้องถิ่นเตรียมการเพื่อจัดฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น การเตรียมการดังกล่าวรวมถึงการหารือแนวทางเพื่อเปิดรับการจอง การเตรียมสถานที่ และการส่งบัตรฉีดวัคซีนไปให้ผู้ที่อีกไม่นานจะครบกำหนด 8 เดือนหลังจากได้รับวัคซีนเข็มที่ 2

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 9 พฤศจิกายน 2564)

วัคซีนเข็มกระตุ้น ตอนที่ 5

เราจะนำเสนอเกี่ยวกับวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ “เข็มกระตุ้น” โดยจะไปฟังทัศนะของผู้เชี่ยวชาญที่ระบุว่าผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ควรเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 3

ศาสตราจารย์ทาเตดะ คาซูฮิโระ จากมหาวิทยาลัยโทโฮซึ่งเป็นสมาชิกของคณะทำงานด้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของรัฐบาลญี่ปุ่นได้บอกกับเราว่า ผู้ที่มีความเสี่ยงว่าจะเกิดอาการหนักควรได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นก่อน เขากล่าวว่าการตัดสินใจว่าจะให้วัคซีนเข็มกระตุ้นแก่กลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า เช่น กลุ่มคนอายุน้อยหรือไม่นั้น สามารถดำเนินการได้หลังจากมีผลวิจัยเพิ่มเติมออกมา

ศาสตราจารย์ทาเตดะกล่าวว่ามีรายงานของสิ่งที่เรียกว่า “breakthrough infections” หรือการติดเชื้อหลังจากได้รับวัคซีนครบแล้ว เมื่อเวลาผ่านไปหลังจากที่ผู้คนเข้ารับวัคซีน อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่ารายงานเหล่านี้พบว่าวัคซีนยังคงมีประสิทธิผลในการป้องกันไม่ให้เกิดอาการป่วยหนักและเสียชีวิต เขากล่าวเสริมว่ากลุ่มผู้สูงอายุและผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องอาจเกิดอาการหนักได้ และอาจถึงขั้นเสียชีวิต หากพวกเขาติดเชื้อหลังจากได้รับวัคซีนครบแล้ว

ศาสตราจารย์ทาเตดะยังกล่าวด้วยว่ากลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ที่ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในกลุ่มความเสี่ยงสูง ก็อาจต้องได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 เพื่อที่จะไม่แพร่เชื้อไวรัสนี้ไปยังกลุ่มผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง เขากล่าวว่ารัฐบาลควรพิจารณาถึงลำดับความสำคัญและจับตาเรื่องความคืบหน้าในการฉีดวัคซีน รวมถึงผลการวิจัยจากทั่วโลกเพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายการฉีดวัคซีนของญี่ปุ่น

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 8 พฤศจิกายน 2564)

วัคซีนเข็มกระตุ้น ตอนที่ 4

เราจะนำเสนอเกี่ยวกับวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ “เข็มกระตุ้น” โดยจะไปดูว่าผู้คนควรได้รับวัคซีนชนิดเดียวกันหรือต่างกัน

ยังไม่มีการตัดสินแน่ชัดว่าผู้คนควรฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นชนิดเดียวกันกับวัคซีนที่ตนเคยได้รับ หรือว่าจะฉีดคนละชนิดกันก็ได้ ที่สหรัฐและอังกฤษนั้น การทดลองทางคลินิกกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการ โดยมีการฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่คนละชนิดกันให้แก่ผู้คน เพื่อดูว่าวัคซีนใดจะเพิ่มภูมิคุ้มกันได้ เมื่อผู้ที่ได้รับวัคซีนครบแล้วมาเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้น

เมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคม สถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐได้เผยแพร่ผลการทดลองทางคลินิกขั้นกลางที่ดำเนินการกับผู้ใหญ่ 458 คนซึ่งได้รับวัคซีนครบแล้ว โดยเป็นวัคซีนของไฟเซอร์-ไบออนเทค โมเดอร์นา หรือ จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน คณะนักวิจัยได้ให้วัคซีนเข็มกระตุ้นทั้งชนิดเดียวกันและต่างชนิดกันแก่พวกเขา และศึกษาความแตกต่างของระดับสารภูมิต้านทาน

คณะนักวิจัยระบุว่าไม่ว่าวัคซีนที่พวกเขาได้รับมาในตอนแรกจะเป็นวัคซีนอะไรก็ตาม แต่ระดับของสารภูมิต้านทานที่สามารถลบล้างฤทธิ์ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นของไฟเซอร์หรือโมเดอร์นานั้น เพิ่มขึ้นมา 10 ถึง 30 เท่าในช่วง 2 สัปดาห์

สิ่งนี้บ่งชี้ว่าวัคซีนเข็มกระตุ้นของไฟเซอร์และโมเดอร์นานั้นช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงมากขึ้น ไม่ว่าวัคซีนที่ได้รับมาแต่เดิมจะเป็นวัคซีนใดก็ตาม

สถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐระบุว่าการทดลองทางคลินิกดังกล่าวครอบคลุมกลุ่มผู้คนจำนวนไม่มาก แต่ไม่มีความกังวลเรื่องความปลอดภัยแต่อย่างใด และว่าจะเปิดเผยข้อมูลเรื่องระดับของสารภูมิต้านทานที่สามารถลบล้างฤทธิ์ของไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตาด้วย

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 5 พฤศจิกายน 2564)

วัคซีนเข็มกระตุ้น ตอนที่ 3

เราจะนำเสนอเกี่ยวกับวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ “เข็มกระตุ้น” โดยจะไปดูว่าวัคซีนดังกล่าวยังคงมีประสิทธิผลเมื่อเวลาผ่านไปโดยไม่ต้องฉีดเข็มกระตุ้นหรือไม่

มีบางรายงานที่ระบุว่าการป้องกันที่ได้รับจากวัคซีนนั้นจะลดลงเมื่อเวลาผ่านไปหลังจากได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 เนื่องจากระดับสารภูมิต้านทานที่สามารถลบล้างฤทธิ์ของไวรัสนั้นลดลง อย่างไรก็ตาม การวิจัยอื่น ๆ แสดงให้เห็นว่าแม้สารภูมิต้านทานจะลดลงไปแต่วัคซีนยังคงมีประสิทธิผลเพียงพอที่จะป้องกันไม่ให้ผู้ติดเชื้อต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลหรือเกิดอาการทรุดหนักขั้นวิกฤติ

คณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ของสหรัฐได้เผยแพร่งานวิจัยของพวกตนเกี่ยวกับประสิทธิผลของวัคซีนในรายงานรายสัปดาห์ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐเมื่อเดือนกันยายนปี 2564 งานวิจัยดังกล่าวดำเนินการที่โรงพยาบาล 21 แห่งใน 18 รัฐของสหรัฐ

งานวิจัยพบว่าวัคซีนของไฟเซอร์-ไบออนเทคมีประสิทธิผลร้อยละ 91 ตั้งแต่ 2 สัปดาห์ไปจนถึง 120 วันหลังจากได้รับเข็มที่ 2 และประสิทธิผลร้อยละ 77 ตั้งแต่วันที่ 121 เป็นต้นไป นอกจากนี้งานวิจัยยังแสดงให้เห็นว่าวัคซีนของโมเดอร์นามีประสิทธิผลร้อยละ 93 ระหว่าง 2 สัปดาห์ไปจนถึง 120 วันหลังจากได้รับเข็มที่ 2 และมีประสิทธิผลร้อยละ 92 ตั้งแต่วันที่ 121 เป็นต้นไป

ในญี่ปุ่นและในที่อื่น ๆ ทั่วโลกนั้น มีการรายงานสิ่งที่เรียกว่า “breakthrough infections” ซึ่งได้แก่การที่ผู้คนติดเชื้อหลังจากได้รับวัคซีนครบแล้ว 2 สัปดาห์หรือนานกว่านั้น อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าสัดส่วนของผู้คนกลุ่มนี้ที่กลายเป็นผู้ป่วยอาการหนักนั้นอยู่ในระดับต่ำ

ศูนย์การแพทย์และสาธารณสุขนานาชาติแห่งชาติของญี่ปุ่นได้ตรวจสอบข้อมูลจากผู้คนกว่า 3,400 คนซึ่งเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลเนื่องจากโรคโควิด-19 ในสถาบันทางการแพทย์กว่า 600 แห่งทั่วญี่ปุ่น โดยพบว่าสัดส่วนของผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้วที่ต้องเข้ารับการรักษาในห้องไอซียูนั้นอยู่ที่ 1 ใน 8 ของผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนแม้ในกลุ่มผู้สูงอายุก็ตาม

นอกจากนี้ งานวิจัยยังพบด้วยว่าอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยสูงอายุที่ได้รับวัคซีนครบแล้วอยู่ที่ 1 ใน 3 ของผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน และบ่งชี้ว่าวัคซีนมีประสิทธิผลในการลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการหนักจากการติดเชื้อ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 4 พฤศจิกายน 2564)

วัคซีนเข็มกระตุ้น ตอนที่ 2

เราจะนำเสนอเกี่ยวกับวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ “เข็มกระตุ้น” โดยจะมุ่งเน้นไปที่ระดับของสารภูมิต้านทานที่สามารถลบล้างฤทธิ์ของไวรัสที่รายงานโดยผู้ผลิตวัคซีน

ในขณะที่หลายประเทศกำลังเดินหน้าหรือกำลังพิจารณาเรื่องการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ก็มีรายงานว่าประสิทธิผลของวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในกลุ่มผู้ที่ได้รับวัคซีนครบแล้ว มีแนวโน้มลดลงเมื่อเวลาผ่านไปเนื่องจากระดับของสารภูมิต้านทานที่สามารถลบล้างฤทธิ์ของไวรัสนั้นลดลงไป สารภูมิต้านทานดังกล่าวช่วยปกป้องผู้คนจากไวรัส

บริษัทไฟเซอร์ โมเดอร์นา และแอสตราเซเนการะบุว่า การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นช่วยให้ประสิทธิผลของวัคซีนดีขึ้นด้วยการเพิ่มระดับสารภูมิต้านทานที่สามารถลบล้างฤทธิ์ของไวรัส

ไฟเซอร์ระบุว่าในการทดลองเพื่อเปรียบเทียบระดับสารภูมิต้านทานที่สามารถลบล้างฤทธิ์ของไวรัสที่มีต่อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตาในกลุ่มผู้คนที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 กับกลุ่มที่ได้รับเข็มที่ 2 นั้นพบว่า ระดับสารภูมิต้านทานดังกล่าวในกลุ่มผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 ซึ่งมีอายุไม่เกิน 55 ปี เพิ่มขึ้นกว่า 5 เท่า และในกลุ่มผู้มีอายุระหว่าง 65 ถึง 85 ปี เพิ่มขึ้นกว่า 11 เท่า การทดลองดังกล่าวดำเนินการ 1 เดือนหลังจากที่ทั้งสองกลุ่มนี้เข้ารับวัคซีน

นอกจากนี้ โมเดอร์นายังระบุว่าระดับสารภูมิต้านทานที่สามารถลบล้างฤทธิ์ของไวรัสที่มีต่อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตาในกลุ่มผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น 2 สัปดาห์หลังฉีดกระตุ้นนั้น เพิ่มขึ้นราว 42 เท่าเมื่อเทียบกับระดับของสารภูมิต้านทานที่มีในผู้ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มในช่วง 6 ถึง 8 เดือน

แอสตราเซเนกาก็รายงานว่าระดับสารภูมิต้านทานที่สามารถลบล้างฤทธิ์ของไวรัสเพิ่มขึ้นหลังการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 2 พฤศจิกายน 2564)

วัคซีนเข็มกระตุ้น ตอนที่ 1

สหรัฐและประเทศอื่น ๆ บางประเทศที่เริ่มดำเนินการฉีดวัคซีนในช่วงแรก ๆ กำลังเริ่มฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 หรือ “เข็มกระตุ้น” ประเทศเหล่านี้ระบุว่าประสิทธิผลของวัคซีนลดน้อยลงเมื่อเวลาผ่านไป วันนี้เราจะนำเสนอเกี่ยวกับวัคซีน “เข็มกระตุ้น”

เมื่อวันที่ 11 ตุลาคมปี 2564 คณะที่ปรึกษาขององค์การอนามัยโลกได้แนะนำ ให้ผู้ที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงเข้ารับวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เข็มกระตุ้น เช่น วัคซีนของไฟเซอร์-ไบออนเทค โมเดอร์นา และแอสตราเซเนกา

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าผู้ที่ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอปานกลางหรืออ่อนแอมาก มีความเสี่ยงสูงที่จะป่วยหนักแม้ว่าพวกเขาจะได้รับวัคซีนครบแล้วก็ตาม เนื่องจากการป้องกันที่ได้รับจากการฉีดวัคซีน 2 เข็มก่อนหน้านี้ ยังไม่เพียงพอ

รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแผนการที่จะฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้แก่ผู้ที่ได้รับวัคซีนครบแล้ว หลังจากได้รับเข็มที่ 2 ไปแล้วช่วงเวลาหนึ่ง โดยระบุว่าประสิทธิผลของวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่มีแนวโน้มลดลงเมื่อเวลาผ่านไป

เมื่อเดือนกันยายน คณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐหรือ FDA ได้อนุมัติเป็นกรณีฉุกเฉินสำหรับวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เข็มกระตุ้นของไฟเซอร์-ไบออนเทค ผู้ที่มีสิทธิเข้ารับวัคซีนเข็มที่ 3 ต้องมีอายุ 65 ปีขึ้นไป รวมถึงผู้มีอายุ 18 ปีขึ้นไปที่มีความเสี่ยงสูงว่าจะป่วยหนัก และบุคลากรทางการแพทย์หรือด้านอื่น ๆ ที่มีความเสี่ยงสูงว่าจะติดเชื้อไวรัสนี้

FDA ระบุว่าจะสามารถเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นได้หลังจากที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 แล้วอย่างน้อย 6 เดือน โดยการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นนี้เริ่มดำเนินการไปแล้ว

เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม คณะที่ปรึกษาของ FDA ได้ให้คำแนะนำคล้ายคลึงกันนี้สำหรับวัคซีนของโมเดอร์นา โดยเสนอให้ฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 แก่ผู้คนอายุ 65 ปีขึ้นไป และผู้ที่อายุ 18 ปีขึ้นไปซึ่งมีความเสี่ยงสูงว่าจะป่วยหนัก

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564)

ผลกระทบระยะยาวจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ long COVID ตอนที่ 4

เราจะนำเสนอผลการสำรวจของญี่ปุ่นเกี่ยวกับผลกระทบระยะยาวจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือที่รู้จักกันว่า long COVID

ศูนย์การแพทย์และสาธารณสุขนานาชาติแห่งชาติของญี่ปุ่นและหน่วยงานอื่น ๆ ได้สำรวจผู้คนที่หายจากโรคโควิด-19 ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปี 2563 โดยได้วิเคราะห์ข้อมูลจากคำตอบของผู้คน 457 คนในช่วงวัย 20 ถึงช่วงวัย 70 ปี

คุณโมริโอกะ ชินอิจิโร หนึ่งในนักวิจัยของศูนย์ดังกล่าวซึ่งเข้าร่วมในการสำรวจครั้งนี้ระบุว่า เชื่อกันว่าผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับผลกระทบตกค้างมากกว่าผู้ชาย และการวิจัยแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงจะมีอาการผมร่วงและปัญหาเกี่ยวกับการรับกลิ่นและรส ตลอดจนอาการอ่อนเพลียมากกว่า

ในระยะที่เกิดอาการอย่างเฉียบพลัน ผู้ชายสูงอายุที่อ้วนจะเผชิญความเสี่ยงจะป่วยหนักเนื่องจากไวรัสนี้มากกว่า คุณโมริโอกะกล่าวว่ายังไม่แน่ชัดว่าทำไมผู้หญิงมีผลกระทบตกค้าง เช่น ผลกระทบต่อการรับรสและกลิ่นมากกว่าผู้ชาย

เขากล่าวเสริมว่าแม้ในกลุ่มผู้หญิงที่อายุยังน้อยและผอมบาง ก็ไม่ควรมองข้ามเรื่องผลกระทบตกค้าง เนื่องจากเรื่องนี้สำคัญมากดังนั้นจึงควรตระหนักถึงผลสำรวจที่แสดงให้เห็นว่าคนกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะเกิดความผิดปกติเรื่องการรับกลิ่นหรือรับรสมากกว่า

เขากล่าวว่าปัญหาเกี่ยวกับการรับกลิ่นและรสนั้นมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นกับกลุ่มคนอายุยังน้อยมากกว่า ดังนั้น ผลกระทบตกค้างจึงถือเป็นปัญหาใหญ่ทั้งกับผู้ที่มีอาการเพียงเล็กน้อยจากโรคโควิด-19 และสำหรับกลุ่มคนอายุน้อย

นอกจากนี้ มีรายงานว่าเมื่อเทียบกับผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนนั้น ผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้ว 2 เข็มน่าจะไม่เผชิญอาการต่าง ๆ นานกว่า 28 วัน โดยวัคซีนน่าจะช่วยป้องกันผลกระทบตกค้างได้ด้วย ด้วยเหตุนี้การที่กลุ่มคนอายุน้อยเข้ารับวัคซีน 2 เข็มจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

ยิ่งไปกว่านั้น การดำเนินมาตรการป้องกันอย่างต่อเนื่องแม้จะเป็นช่วงหลังจากเข้ารับวัคซีนแล้ว 2 เข็มก็เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากยังคงมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่และเผชิญผลกระทบตกค้างจากการติดเชื้อ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 29 ตุลาคม 2564)

ผลกระทบระยะยาวจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ long COVID ตอนที่ 3

เราจะนำเสนอผลการสำรวจของญี่ปุ่นเกี่ยวกับผลกระทบระยะยาวจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือที่รู้จักกันว่า long COVID โดยจะมุ่งเน้นไปที่ผลกระทบจากการใช้ยารักษาและความแตกต่างระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง

ศูนย์การแพทย์และสาธารณสุขนานาชาติแห่งชาติของญี่ปุ่นและหน่วยงานอื่น ๆ ได้สำรวจผู้คนที่หายจากโรคโควิด-19 ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปี 2563 โดยได้วิเคราะห์ข้อมูลจากคำตอบของผู้คน 457 คนในช่วงวัย 20 ถึงช่วงวัย 70 ปี

นักวิจัยได้พิจารณาข้อมูลว่าประเภทของการรักษาที่นำมาใช้กับผู้ป่วยในช่วงที่พวกเขามีอาการจากโรคโควิด-19 เช่น ยาต้านไวรัสหรือสเตียรอยด์ตัวใด ที่ส่งผลกระทบต่อ long COVID นักวิจัยยังไม่พบความเกี่ยวพันใด ๆ อย่างชัดเจน โดยได้แนะนำให้ผู้คนเข้ารับวัคซีนและดำเนินมาตรการต้านการติดเชื้อ เพราะถ้าไม่ติดเชื้อตั้งแต่แรกก็จะไม่ต้องเผชิญกับผลกระทบระยะยาวใด ๆ

ผลการสำรวจยังแสดงให้เห็นความแตกต่างของ long COVID ที่เกิดขึ้นระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงด้วย โดยข้อมูลระบุว่าผู้หญิงมีแนวโน้มเกิดอาการผิดปกติเรื่องการรับกลิ่นมากกว่าผู้ชายราว 1.9 เท่า ส่วนแนวโน้มเรื่องความผิดปกติในการรับรสนั้น ผู้หญิงมากกว่าผู้ชายราว 1.6 เท่า ความรู้สึกอ่อนเพลีย ผู้หญิงมีแนวโน้มมากกว่าผู้ชายราว 2 เท่า และเรื่องผมร่วง ผู้หญิงมีแนวโน้มมากกว่าผู้ชายราว 3 เท่า

การสำรวจยังพบด้วยว่าคนยิ่งอายุน้อยและผอมบางไม่ว่าชายหรือหญิง ก็จะมีแนวโน้มมากกว่าที่จะเกิดความผิดปกติเรื่องการรับรสและกลิ่น และยังน่าจะเผชิญผลกระทบระยะยาวมากกว่าด้วย แม้ว่าผู้นั้นเคยมีอาการเพียงเล็กน้อยจากโรคโควิด-19 ก็ตาม

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 28 ตุลาคม 2564)

ผลกระทบระยะยาวจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ long COVID ตอนที่ 2

เราจะนำเสนอผลการสำรวจของญี่ปุ่นเกี่ยวกับผลกระทบระยะยาวจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือที่รู้จักกันว่า long COVID

ศูนย์การแพทย์และสาธารณสุขนานาชาติแห่งชาติของญี่ปุ่นและหน่วยงานอื่น ๆ ได้สำรวจผู้คนที่หายจากโรคโควิด-19 ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปี 2563 โดยได้วิเคราะห์ข้อมูลจากคำตอบของผู้คน 457 คนในช่วงวัย 20 ถึงช่วงวัย 70 ปี

เราจะมาดูข้อมูลเพิ่มเติมจากการสำรวจดังกล่าวโดยแบ่งตามลักษณะอาการ

4. หายใจติดขัด
ราวร้อยละ 20 ของผู้ตอบมีปัญหานี้ภายใน 1 เดือนของช่วงที่ปรากฏอาการต่าง ๆ ราวร้อยละ 5 ระบุว่ายังมีอาการนี้ราว 100 วันนับตั้งแต่ที่เริ่มปรากฏอาการ ร้อยละ 3.9 ระบุว่ายังคงมีอาการนี้หลังจากผ่านไป 6 เดือน และร้อยละ 1.5 บอกว่ายังมีอาการนี้หลังผ่านไป 1 ปี

5. ผมร่วง
มีผู้คนจำนวนไม่มากนักที่ผมร่วงตอนที่เริ่มปรากฏอาการจากการติดเชื้อ ราวร้อยละ 10 บอกว่ามีอาการนี้ในช่วงไม่กี่เดือนต่อมา ราวร้อยละ 8 ระบุว่าผมร่วงหลังจากผ่านไป 100 วัน ร้อยละ 3.1 ระบุว่าหลังจากผ่านไป 6 เดือน และร้อยละ 0.4 หลังจากผ่านไป 1 ปี

6. สูญเสียความทรงจำและปัญหาอื่น ๆ
สำหรับอาการหลง ๆ ลืม ๆ หรือความทรงจำขาดหายไปนั้น ร้อยละ 11.4 สังเกตได้ว่ามีอาการนี้หลังจากผ่านไป 6 เดือน และร้อยละ 5.5 หลังจากผ่านไป 1 ปี ส่วนอาการสมาธิสั้นลงนั้น ร้อยละ 9.8 มีปัญหานี้หลังจากผ่านไป 6 เดือน และร้อยละ 4.8 หลังจากผ่านไป 1 ปี บางรายมีอาการซึมเศร้า โดยร้อยละ 8.1 มีอาการนี้หลังผ่านไป 6 เดือน และร้อยละ 3.3 หลังจากผ่านไป 1 ปี

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 27 ตุลาคม 2564)

ผลกระทบระยะยาวจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ long COVID ตอนที่ 1

วันนี้เราจะนำเสนอผลการสำรวจของญี่ปุ่นเกี่ยวกับผลกระทบระยะยาวจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือที่รู้จักกันว่า long COVID

ศูนย์การแพทย์และสาธารณสุขนานาชาติแห่งชาติของญี่ปุ่นและหน่วยงานอื่น ๆ ได้สำรวจผู้คนที่หายจากโรคโควิด-19 ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปี 2563 โดยได้วิเคราะห์ข้อมูลจากคำตอบของผู้คน 457 คนในช่วงวัย 20 ถึงช่วงวัย 70 ปี

ผลที่ได้แสดงให้เห็นว่าร้อยละ 26.3 ของผู้ตอบมีอาการบางอย่างหลังจาก 6 เดือนนับตั้งแต่ที่เริ่มแสดงอาการหรือหลังได้รับการวินิจฉัยว่าติดโควิด-19 ขณะที่ร้อยละ 8.8 ยังคงมีอาการบางอย่างหลังผ่านไป 12 เดือน เราจะไปดูข้อมูลดังกล่าวโดยแบ่งตามลักษณะอาการ

1. ปัญหาเรื่องการรับกลิ่น
ผู้ตอบกว่าร้อยละ 10 ระบุว่ายังคงมีปัญหานี้ราว 100 วันนับตั้งแต่ที่เริ่มมีอาการป่วยหรือได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อ ร้อยละ 7.7 ระบุว่ายังคงมีอาการนี้หลังผ่านไป 6 เดือน กว่าร้อยละ 5 ระบุว่าหลังผ่านไป 200 วัน และร้อยละ 1.1 ระบุว่ายังคงมีปัญหานี้หลังผ่านไป 1 ปี

2. ปัญหาเรื่องการรับรส
ประมาณร้อยละ 5 ของผู้ตอบยังคงมีปัญหานี้หลังผ่านไป 100 วัน ร้อยละ 3.5 หลังผ่านไป 6 เดือน และร้อยละ 0.4 หลังจากผ่านไป 1 ปี

3. อาการอ่อนเพลีย
ราวร้อยละ 50 ของผู้ตอบระบุว่าพวกตนมีอาการอ่อนเพลียทันทีหลังจากที่เริ่มมีอาการป่วย ขณะที่ร้อยละ 10 ระบุว่ายังคงเกิดปัญหาดังกล่าวหลังจากผ่านไป 100 วัน ร้อยละ 6.6 ระบุว่าหลังจากผ่านไป 6 เดือน และร้อยละ 3.1 ระบุว่าหลังจากผ่านไป 1 ปี

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 26 ตุลาคม 2564)

ประโยชน์และความเสี่ยงของวัคซีน

รัฐบาลญี่ปุ่นอาจเริ่มพิจารณาว่าจะรวมเด็ก ๆ โรงเรียนประถมศึกษาเข้าไว้ในโครงการฉีดวัคซีนหรือไม่ วันนี้เราจะนำเสนอเรื่องเกี่ยวกับเด็กและการฉีดวัคซีน โดยจะมุ่งเน้นไปที่เรื่องประโยชน์และความเสี่ยง

ไฟเซอร์ บริษัทยาของสหรัฐและไบออนเทคจากเยอรมนีซึ่งเป็นหุ้นส่วน ได้ยืนยันความปลอดภัยและประสิทธิผลของวัคซีนตนสำหรับเด็กอายุ 5 ถึง 11 ปี และคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐหรือ FDA ได้อนุมัติให้ใช้งานเป็นกรณีฉุกเฉินสำหรับกลุ่มอายุดังกล่าวแล้วในเดือนตุลาคมปี 2564 หลังความเคลื่อนไหวนี้ ญี่ปุ่นอาจพิจารณาว่าจะสามารถเพิ่มเด็กกลุ่มอายุนี้ไว้ในโครงการฉีดวัคซีนของตนได้หรือไม่

ศาสตราจารย์นากายามะ เท็ตสึโอะจากมหาวิทยาลัยคิตาซาโตะกล่าวว่า ควรนำเรื่องแนวโน้มที่แตกต่างกันระหว่างสหรัฐกับญี่ปุ่นมาพิจารณา ในการหารือกันในอนาคตเกี่ยวกับการฉีดวัคซีน

ศาสตราจารย์นากายามะกล่าวว่าในสหรัฐนั้น ทางการอาจจะมุ่งไปยังการฉีดวัคซีนให้แก่เด็กนักเรียนในโรงเรียนประถมศึกษาเนื่องจากการติดเชื้อแบบกลุ่มกำลังเพิ่มขึ้นตามโรงเรียนทั้งหลาย ท่ามกลางอัตราการฉีดวัคซีนโดยรวมที่เพิ่มขึ้นอย่างเชื่องช้า แต่เขาระบุว่าในญี่ปุ่นนั้น อัตราการฉีดวัคซีนในกลุ่มผู้คนช่วงวัย 20 ถึงช่วงวัย 30 ปี และในกลุ่มพ่อแม่ของเด็กนักเรียนประถมอาจเพิ่มสูงขึ้น ด้วยเหตุนี้ทางการควรรอดูไปอีกระยะหนึ่งก็ได้

ในขณะที่การติดเชื้อยังดำเนินต่อไป วัคซีนจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาชีวิตของผู้คน ด้วยเหตุนี้แนวคิดเรื่องการขยายกลุ่มอายุของผู้ที่สามารถเข้ารับวัคซีนได้จึงได้รับความสนใจมากขึ้น ในฐานะแนวทางหนึ่งที่จะป้องกันการติดเชื้อในกลุ่มเด็ก ๆ นี่จึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับทางการที่จะตัดสินใจในช่วงที่กำลังพิจารณาความสมดุลระหว่างประสิทธิผลหรือประโยชน์อื่น ๆ ตลอดจนความเสี่ยง เช่น ผลข้างเคียง นอกจากนี้ ก็ควรพิจารณาด้วยว่าพ่อแม่และลูก ๆ ต้องการเข้ารับวัคซีนหรือไม่

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 25 ตุลาคม 2564)

ผลข้างเคียงของวัคซีนเมื่อฉีดให้แก่เด็ก ๆ

รัฐบาลญี่ปุ่นอาจพิจารณาขยายการฉีดวัคซีนไปยังกลุ่มเด็ก ๆ โรงเรียนประถมศึกษา วันนี้เราจะนำเสนอเรื่องเกี่ยวกับเด็กและการฉีดวัคซีน โดยจะมุ่งเน้นไปยังผลข้างเคียงของวัคซีน

ไฟเซอร์ บริษัทยาของสหรัฐระบุในแถลงการณ์สำหรับสื่อมวลชนที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 20 กันยายนปี 2564 ว่า การทดลองที่ดำเนินการกับเด็กอายุระหว่าง 5 ถึง 11 ปีแสดงให้เห็นว่า ผลข้างเคียงที่พบในกลุ่มอายุนี้คล้ายคลึงกับที่พบในกลุ่มผู้มีอายุ 16-25 ปีซึ่งได้รับวัคซีนในปริมาณตามขนาดยาปกติ

ศาสตราจารย์นากายามะ เท็ตสึโอะ จากมหาวิทยาลัยคิตาซาโตะผู้เป็นกุมารแพทย์ ระบุว่าเขาเชื่อว่าวัคซีนนี้ไม่มีอันตรายต่อเด็กแต่ทำให้เกิดผลข้างเคียงอยู่บ้าง เขากล่าวว่าผลข้างเคียงหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นได้คือมีไข้ โดยชี้ว่าเด็กบางคนเสี่ยงที่จะเกิดอาการชักจากไข้ ศาสตราจารย์นากายามะเน้นย้ำว่าพ่อแม่ต้องเข้าใจเรื่องนี้อย่างรอบด้านก่อนที่ลูก ๆ จะเข้ารับวัคซีน โดยกล่าวเสริมว่าเป็นเรื่องสำคัญที่เด็ก ๆ ควรเข้ารับวัคซีนจากแพทย์ที่ไปพบอยู่เป็นประจำซึ่งทราบเรื่องสภาวะร่างกายของเด็กเป็นอย่างดี

ศาสตราจารย์โอกาดะ เคนจิ จากมหาวิทยาลัยพยาบาลฟูกูโอกะ และเป็นผู้ดำรงตำแหน่งประธานสมาคมวัคซีนวิทยาแห่งญี่ปุ่นระบุว่าควรฉีดวัคซีนให้แก่เด็กที่มีโรคประจำตัว รวมถึงนักเรียนที่กำลังเตรียมตัวสอบเข้าและต้องการเข้ารับวัคซีน อย่างไรก็ตาม เขาระบุว่าการฉีดวัคซีนให้แก่เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีนั้นจะไม่ใช่ลำดับความสำคัญสูงสุด

ศาสตราจารย์โอกาดะกล่าวว่าถ้าเด็ก ๆ มีอาการข้างเคียงอย่างรุนแรง ก็อาจจะก่อให้เกิดปัญหาในอนาคตได้ เขากล่าวว่าเมื่อต้องฉีดวัคซีนให้แก่เด็กที่มีสุขภาพดีนั้น สิ่งสำคัญคือการพิจารณาเรื่องความสมดุลระหว่างความรุนแรงของอาการถ้าเกิดการติดเชื้อ ประสิทธิผลของวัคซีน และความปลอดภัยของเด็ก ๆ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 22 ตุลาคม 2564)

ประโยชน์ที่เด็ก ๆ จะได้รับจากการเข้ารับวัคซีน

รัฐบาลญี่ปุ่นอาจพิจารณาขยายการฉีดวัคซีนไปยังกลุ่มเด็ก ๆ โรงเรียนประถมศึกษา วันนี้เราจะนำเสนอเรื่องเกี่ยวกับเด็กและการฉีดวัคซีน โดยจะมุ่งเน้นไปยังประโยชน์ที่เด็ก ๆ จะได้รับจากการเข้ารับวัคซีน

เนื่องจากวัคซีนโควิด-19 มีผลข้างเคียงในระดับหนึ่ง ประโยชน์ของการฉีดวัคซีนให้แก่เด็ก ๆ นั้นจึงมองกันว่ามีน้อยกว่าเมื่อเทียบกับผู้ใหญ่ เนื่องจากกลุ่มคนอายุน้อยแทบจะไม่ป่วยหนักเมื่อติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

ถ้าเช่นนั้น ประโยชน์ของการฉีดวัคซีนให้แก่เด็กมีอะไรบ้าง
- ป้องกันการติดเชื้อและอาการป่วยหนัก
วัคซีนโควิด-19 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันแสดงให้เห็นว่ามีประสิทธิผลสูงต่อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตาด้วย ในการป้องกันการติดเชื้อและการป่วยหนัก
- ลดการแพร่ระบาดที่โรงเรียนและชั้นเรียนส่วนตัว
ในช่วงที่เกิดการระบาดระลอกที่ 5 การระบาดหลายกรณีเกิดขึ้นในกลุ่มเด็กนักเรียนที่โรงเรียนและเด็กที่เข้าเรียนในชั้นเรียนส่วนตัว เช่น โรงเรียนกวดวิชา กล่าวกันว่าการฉีดวัคซีนมีประสิทธิผลในการลดการติดเชื้อแบบเป็นกลุ่มในลักษณะเช่นว่านี้
- ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อภายในครัวเรือน
การฉีดวัคซีนให้แก่เด็ก ๆ ช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อในครัวเรือน ไปยังผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนหรือไม่สามารถเข้ารับวัคซีนได้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 21 ตุลาคม 2564)

สัดส่วนของผู้ป่วยเด็กที่มีอาการทรุดหนัก

รัฐบาลญี่ปุ่นอาจพิจารณาขยายการฉีดวัคซีนไปยังกลุ่มเด็ก ๆ โรงเรียนประถมศึกษา วันนี้เราจะนำเสนอเรื่องเกี่ยวกับเด็กและการฉีดวัคซีน โดยจะมุ่งเน้นไปยังสัดส่วนของผู้ป่วยเด็กที่มีอาการทรุดหนัก

เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่าเด็กส่วนใหญ่แค่มีอาการเล็กน้อยและแทบจะไม่ป่วยหนักเมื่อติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ข้อมูลที่จัดทำโดยกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นแสดงให้เห็นว่า นับจนถึงวันที่ 15 กันยายนปี 2564 มีรายงานผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในญี่ปุ่นประมาณ 1,625,000 คน ในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิต 14,229 คน คิดเป็นอัตราประมาณร้อยละ 0.9

จากจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด เป็นเด็กอายุไม่ถึง 10 ปีประมาณ 84,000 คน ขณะที่ผู้ติดเชื้อที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นมีจำนวนประมาณ 163,000 คน ในจำนวนดังกล่าวมีผู้ป่วยคนหนึ่งอายุระหว่าง 11 ถึง 19 ปีเสียชีวิต ข้อมูลทางสถิติอีกชุดหนึ่งของทางกระทรวงแสดงให้เห็นว่าผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าติดโควิด-19 ตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงสิงหาคมปี 2563 สัดส่วนของเด็กอายุไม่ถึง 10 ปีซึ่งมีอาการหนักอยู่ที่ร้อยละ 0.09 แต่ไม่มีกรณีเช่นว่านี้ในกลุ่มวัยรุ่น ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าเด็กที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้วอาจเกิดอาการหนักได้ อย่างไรก็ตาม นับจนถึงปัจจุบันมีกรณีป่วยหนักน้อยมากในกลุ่มเด็กที่ติดเชื้อ

คณะผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นระบุว่า โดยมากแล้วการติดเชื้อจะแพร่จากผู้ใหญ่ไปสู่เด็ก ๆ ที่บ้าน และที่ผ่านมาไม่ค่อยมีกรณีที่เด็กแพร่เชื้อไปให้ผู้ใหญ่

คณะผู้เชี่ยวชาญระบุว่าดูเหมือนว่าสถานการณ์นี้ต่างจากไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเด็ก ๆ มักจะแพร่เชื้อไปยังสมาชิกในครอบครัวของตนหลังจากที่ติดเชื้อมาจากโรงเรียน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 20 ตุลาคม 2564)

การพิจารณาฉีดวัคซีนให้แก่เด็กในญี่ปุ่น

รัฐบาลญี่ปุ่นอาจพิจารณาขยายการฉีดวัคซีนไปยังกลุ่มเด็ก ๆ โรงเรียนประถมศึกษา วันนี้เราจะนำเสนอเกี่ยวกับการพิจารณาฉีดวัคซีนให้แก่เด็กในญี่ปุ่น

เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมปี 2564 กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นประกาศว่าจะขยายการฉีดวัคซีนให้แก่เด็กอายุ 12 ถึง 15 ปี หลังจากที่ไฟเซอร์ บริษัทยาของสหรัฐและไบออนเทคของเยอรมนีซึ่งเป็นหุ้นส่วนได้ยื่นขออนุญาตขยายการฉีดวัคซีนให้แก่เด็กกลุ่มอายุนี้ เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม มีการเพิ่มเด็กอายุ 12 ถึง 15 ปีเข้าไว้ในโครงการฉีดวัคซีนของญี่ปุ่น ถือเป็นการเริ่มต้นฉีดวัคซีนให้แก่กลุ่มอายุนี้

หลังจากการประกาศผลการทดลองทางคลินิกของไฟเซอร์และไบออนเทคซึ่งแสดงให้เห็นถึงความปลอดภัยและประสิทธิผลของวัคซีนสำหรับเด็กอายุ 5 ถึง 11 ปี ญี่ปุ่นอาจพิจารณาว่าจะสามารถเพิ่มกลุ่มอายุนี้ไว้ในโครงการฉีดวัคซีนของประเทศได้หรือไม่

เราได้สอบถามศาสตราจารย์นากายามะ เท็ตสึโอะ จากมหาวิทยาลัยคิตาซาโตะผู้เป็นกุมารแพทย์ ว่าเราควรพิจารณาสถานการณ์ของวัคซีนที่ฉีดให้แก่เด็ก ๆ ในระดับประถมศึกษาอย่างไร ศาสตราจารย์นากายามะตอบว่าเนื่องจากนับจนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีวัคซีนสำหรับเด็ก การมีวิธีใดวิธีหนึ่งเพื่อจัดการการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จึงมีความหมาย เนื่องจากมีรายงานการติดเชื้อในโรงเรียน รวมถึงในโครงการรับดูแลเด็กหลังเลิกเรียน และในชั้นเรียนแบบเป็นส่วนตัวด้วย

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 19 ตุลาคม 2564)

การฉีดวัคซีนให้แก่เด็กในสหรัฐ


ก่อนหน้านี้ สหรัฐได้เริ่มพิจารณาการอนุญาตให้ฉีดวัคซีนแก่เด็กนักเรียนประถม เราจะนำเสนอเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนให้แก่เด็ก โดยวันนี้จะมุ่งเน้นไปยัง “การฉีดวัคซีนให้แก่เด็กในสหรัฐ”

เมื่อวันที่ 20 กันยายนปี 2564 ไฟเซอร์ บริษัทยาของสหรัฐและไบออนเทคของเยอรมนีซึ่งเป็นหุ้นส่วน ได้เผยแพร่ผลการทดลองทางคลินิกของวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ดำเนินการกับเด็กอายุระหว่าง 5 ถึง 11 ปี จำนวน 2,268 คนในสหรัฐและประเทศอื่น ๆ เด็กกลุ่มนี้ได้รับวัคซีน 2 ครั้งในปริมาณ 1 ใน 3 ของขนาดยาที่ผู้ใหญ่ได้รับ จากนั้น 1 เดือนต่อมา คณะนักวิจัยจึงสามารถยืนยันการตอบสนองที่เข้มแข็งของภูมิคุ้มกันในตอนที่เด็ก ๆ เข้ารับการตรวจหาสารภูมิต้านทานที่สามารถลบล้างฤทธิ์ของไวรัสซึ่งช่วยยับยั้งการทำงานของไวรัส

รายงานการตอบสนองของภูมิคุ้มกันและผลข้างเคียงนั้นคล้ายคลึงกับที่พบในกลุ่มผู้คนอายุ 16 ถึง 25 ปีที่ได้รับวัคซีนตามขนาดยาปกติ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ไฟเซอร์ได้ประกาศว่าทางบริษัทได้ยื่นเรื่องอย่างเป็นทางการให้คณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐหรือ FDA อนุญาตให้ใช้วัคซีนของตนเป็นกรณีฉุกเฉินสำหรับเด็กอายุ 5 ถึง 11 ปี

เดิมวัคซีนของไฟเซอร์ใช้ฉีดให้แก่ผู้คนอายุ 16 ปีขึ้นไป เมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2564 อายุดังกล่าวลดลงมาให้ครอบคลุมวัย 12 ถึง 15 ปี ทางบริษัทประกาศว่าการทดลองทางคลินิกเมื่อวันที่ 31 มีนาคมได้ยืนยันถึงความปลอดภัยและประสิทธิผลของวัคซีนสำหรับกลุ่มอายุนี้ เมื่อวันที่ 9 เมษายน พวกตนได้ขอให้ FDA รวมการฉีดวัคซีนให้แก่กลุ่มอายุนี้เข้าไว้ด้วย และได้รับอนุญาตให้ใช้งานเป็นกรณีฉุกเฉินเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ในวันที่ 13 พฤษภาคม ได้เริ่มมีการฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไปในสหรัฐ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 18 ตุลาคม 2564)

ทัศนะของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับปัจจัยที่ทำให้ยอดติดโควิด-19 รายวันในญี่ปุ่นลดลงอย่างมาก ตอนที่ 5

ยอดรายวันของผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่รายใหม่ในญี่ปุ่นลดลงอย่างมากนับตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมปี 2564 เราจะไปฟังทัศนะของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับว่าอะไรที่อยู่เบื้องหลังการลดจำนวนลงอย่างมากนี้ โดยครั้งนี้เป็นทัศนะของคุณวากิตะ ทากาจิ ผู้อำนวยการสถาบันโรคติดเชื้อแห่งชาติของญี่ปุ่น

คุณวากิตะเป็นหัวหน้าคณะผู้เชี่ยวชาญด้านการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นด้วย เขากล่าวว่าในขณะที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญอ้างถึงจำนวนที่ลดลงของผู้คนที่ออกไปยังย่านบันเทิงในช่วงค่ำและความคืบหน้าในการฉีดวัคซีน ว่าเป็นเหตุผลเบื้องหลังการลดลงของผู้ติดเชื้อรายใหม่ แต่ปัจจัยที่ว่านี้ยังไม่เพียงพอในการอธิบายอัตราการลดลงอย่างรวดเร็วได้

เขากล่าวว่าการระบาดระลอกล่าสุด กลุ่มคนอายุน้อยที่ติดเชื้อไม่ได้แพร่เชื้อไปยังกลุ่มคนสูงอายุ โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากการฉีดวัคซีน เขากล่าวว่าการแพร่เชื้อในกลุ่มคนอายุน้อยมักมีแนวโน้มแสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากและการลดลงอย่างรวดเร็วมาก เขากล่าวว่ามีความเป็นไปได้ที่แนวโน้มนี้ในกลุ่มวัยรุ่นได้กลายเป็นแนวโน้มทั่วไปในการระบาดระลอกล่าสุด และว่าจำเป็นต้องศึกษาและวิเคราะห์เพิ่มเติมอีก เพราะพวกตนยังไม่พบว่าแต่ละปัจจัยหลายข้อนี้มีผลมากน้อยเพียงใดต่อการลดลงของผู้ติดเชื้อรายใหม่

ต่อคำถามที่ว่าเขาคิดว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้กลายพันธุ์ไปอีกหรือไม่ เขาตอบว่าเขาคิดว่าไม่เป็นเช่นนั้น โดยระบุว่าพวกตนได้วิเคราะห์จีโนมของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แล้ว และแทบไม่เห็นความแตกต่างระหว่างไวรัสที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้กับไวรัสเมื่อตอนที่มีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว เขากล่าวว่า ณ ขณะนี้เขาไม่คิดว่าไวรัสนี้อ่อนแอลงกว่าเมื่อก่อน

สำหรับมาตรการที่ควรดำเนินการตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป คุณวากิตะกล่าวว่าในบางพื้นที่ของญี่ปุ่น กำลังเกิดการระบาดในกลุ่มชาวต่างชาติซึ่งมีแนวโน้มในการเข้ารับวัคซีนในอัตราต่ำกว่า เขากล่าวว่าเป็นสิ่งสำคัญที่รัฐบาลต้องออกมาตรการส่งเสริมการฉีดวัคซีนในกลุ่มผู้คนที่เปราะบางในแง่ของสาธารณสุขและในพื้นที่รวมถึงชุมชนที่ผู้คนเข้าถึงการฉีดวัคซีนได้อย่างยากลำบาก

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 15 ตุลาคม 2564)

ทัศนะของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับปัจจัยที่ทำให้ยอดติดโควิด-19 รายวันในญี่ปุ่นลดลงอย่างมาก ตอนที่ 4

ยอดรายวันของผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่รายใหม่ในญี่ปุ่นลดลงอย่างมากนับตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมปี 2564 เราจะไปฟังทัศนะของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับว่าอะไรที่อยู่เบื้องหลังการลดจำนวนลงอย่างมากนี้ โดยครั้งนี้เป็นทัศนะของศาสตราจารย์นิชิอูระ ฮิโรชิ จากมหาวิทยาลัยเกียวโต

ศาสตราจารย์นิชิอูระเป็นสมาชิกของคณะผู้เชี่ยวชาญด้านการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่น เขากล่าวว่าเขาต้องการอธิบายเหตุผลของการลดลงดังกล่าวอย่างเต็มรูปแบบ เมื่อเขาได้รับผลการวิเคราะห์ที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้

อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์นิชิอูระกล่าวว่ามีสิ่งหนึ่งที่เขาสามารถกล่าวได้อย่างแน่นอน นั่นก็คืออัตราการแพร่เชื้อ ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ว่าผู้ติดเชื้อ 1 คนน่าจะแพร่เชื้อไปให้ผู้คนได้อีกกี่คน โดยอัตรานี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหลังจากวันหยุดราชการหรือวันหยุดยาว เขาได้สังเกตเห็นว่าอัตรานี้เพิ่มสูงขึ้นหลังจากวันหยุดราชการแม้ในช่วงที่หลายพื้นที่ของญี่ปุ่นอยู่ภายใต้ภาวะฉุกเฉินก็ตาม

ศาสตราจารย์นิชิอูระกล่าวว่าเขาสามารถระบุได้อย่างแน่นอนว่าพฤติกรรมของแต่ละบุคคลในช่วงวันหยุดพักผ่อน เช่น การพบปะผู้คนที่นาน ๆ จะได้เจอกันที หรือการไปท่องเที่ยวและการกินดื่มนอกบ้าน มีส่วนทำให้การติดเชื้อทุติยภูมิเพิ่มมากขึ้น

เขากล่าวว่าการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับบุคคลที่เพิ่มมากขึ้นโดยไม่ควบคุมนั้น จะนำไปสู่การระบาดครั้งใหญ่อีกระลอกหนึ่งอย่างแน่นอน แม้ว่าจะเป็นช่วงหลังจากที่ญี่ปุ่นมีความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนแล้วก็ตาม เขากล่าวว่าเราต้องเตรียมพร้อมสำหรับการระบาดที่อาจเกิดขึ้นในฤดูหนาว

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 14 ตุลาคม 2564)

ทัศนะของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับปัจจัยที่ทำให้ยอดติดโควิด-19 รายวันในญี่ปุ่นลดลงอย่างมาก ตอนที่ 3

ยอดรายวันของผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่รายใหม่ในญี่ปุ่นลดลงอย่างมากนับตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมปี 2564 เราจะไปฟังทัศนะของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับว่าอะไรที่อยู่เบื้องหลังการลดจำนวนลงอย่างมากนี้ เราได้สอบถามศาสตราจารย์ยามาโมโตะ ทาโร จากสถาบันเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยนางาซากิ

ศาสตราจารย์ยามาโมโตะกล่าวว่าตนไม่สามารถประเมินได้อย่างแม่นยำเรื่องปัจจัยที่อยู่เบื้องหลังการลดลงนี้ เว้นเสียแต่ว่าจะสามารถตรวจสอบได้ว่ากรณีติดเชื้อที่รายงานรายวันโดยทางการท้องถิ่นนั้นตรงแค่ไหน เมื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง

อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์ยามาโมโตะกล่าวเสริมว่าตนเชื่อว่ามีผู้คนมากขึ้นที่ได้รับภูมิคุ้มกันจากการเข้ารับวัคซีนหรือการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เขากล่าวว่าถ้าไวรัสนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราและถ้าเรามุ่งไปยังสังคมที่ยอมรับโรคนี้ได้ในระดับหนึ่งทั้งในแง่ของความเป็นมนุษย์ และในมิติของสังคมและเศรษฐกิจ ก็ควรหารือกันว่าระดับใดที่เราสามารถยอมรับได้ เขากล่าวว่าเขาเชื่อว่าญี่ปุ่นกำลังเข้าสู่ระยะใหม่ที่เกณฑ์ในการตัดสินสถานการณ์การติดเชื้อเปลี่ยนจากจำนวนผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนผู้ป่วยหนักหรือเสียชีวิต

ส่วนการดำเนินการในอนาคตนั้น ศาสตราจารย์ยามาโมโตะกล่าวว่าถ้าไวรัสกลายพันธุ์และสามารถติดต่อกันได้ง่ายขึ้นในขณะที่การใช้มาตรการอย่างถี่ถ้วนและข้อจำกัดยังคงดำเนินต่อไปเพื่อขจัดไวรัสนี้ให้หมดไป ผู้คนอาจจะอยู่ในจุดที่ลำบากมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

เขากล่าวว่าการคำนึงเกี่ยวกับว่าจะอยู่ร่วมกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้อย่างไรจากมุมมองภาพรวมนั้นเป็นสิ่งจำเป็น แต่จากมุมมองส่วนบุคคล มีความเสี่ยงทั้งกับตัวของพวกเราเองหรือสมาชิกในครอบครัวที่จะป่วยหนักหรือเสียชีวิต ด้วยเหตุนี้ ศาสตราจารย์ยามาโมโตะกล่าวว่าต้องทำให้วิธีรักษาและระบบสาธารณสุขเป็นตาข่ายความปลอดภัยเพื่อที่อย่างน้อยที่สุดจะได้ป้องกันการเสียชีวิตได้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 13 ตุลาคม 2564)

ทัศนะของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับปัจจัยที่ทำให้ยอดติดโควิด-19 รายวันในญี่ปุ่นลดลงอย่างมาก ตอนที่ 2

ยอดรายวันของผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่รายใหม่ในญี่ปุ่นลดลงอย่างมากนับตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2564 วันนี้เราจะไปฟังทัศนะของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับว่าอะไรที่อยู่เบื้องหลังการลดจำนวนลงอย่างมากนี้

ศาสตราจารย์วาดะ โคจิ จากมหาวิทยาลัยนานาชาติด้านสุขภาพและสวัสดิการ ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกของคณะผู้เชี่ยวชาญด้านการรับมือไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นระบุว่า เหตุผลที่เป็นไปได้สำหรับการลดลงดังกล่าวมีหลายกรณีซึ่งรวมถึงความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนและปัจจัยด้านฤดูกาล ซึ่งเขาหมายถึงอุณหภูมิที่ลดลงนำไปสู่กิจกรรมที่น้อยลงในพื้นที่ภายในอาคารที่มีเครื่องปรับอากาศ ส่งผลให้ผู้คนเว้นระยะห่างระหว่างกันได้ง่ายขึ้น

อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่าการที่จะระบุว่าแต่ละปัจจัยเหล่านี้ ปัจจัยใดที่มีผลต่อการลดลงมากน้อยเพียงใดนั้นเป็นเรื่องค่อนข้างยาก

สำหรับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนต่อจากนี้ ศาสตราจารย์วาดะกล่าวว่าการติดเชื้ออาจแพร่ระบาดอีกครั้งเนื่องจากอุณหภูมิลดลงเพราะใกล้ฤดูหนาว เขากล่าวว่าการติดเชื้อมีแนวโน้มที่จะระบาดโดยมากในกลุ่มวัยรุ่นตอนปลายและผู้ที่อยู่ในช่วงวัย 20 ปีก่อนกลุ่มอื่น กลุ่มวัยดังกล่าวมีอัตราในการได้รับภูมิคุ้มกันต่อไวรัสผ่านการติดเชื้อหรือการฉีดวัคซีนค่อนข้างต่ำกว่า

เขากล่าวว่าจากนั้นไวรัสนี้น่าจะแพร่ระบาดต่อไปยังวัยกลางคนและผู้สูงอายุที่ยังไม่ได้รับวัคซีน ซึ่งอาจจะป่วยหนักหากติดเชื้อ เขากล่าวว่ามีความกังวลว่าไวรัสนี้จะแพร่ระบาดในกลุ่มผู้สูงอายุด้วย ซึ่งระดับสารภูมิต้านทานของผู้สูงอายุได้ลดลงไปแล้วเนื่องจากเวลาผ่านไปนานนับตั้งแต่เข้ารับวัคซีน

สำหรับมาตรการเชิงป้องกันนั้น ศาสตราจารย์วาดะกล่าวว่าช่วงต่อไปจะเข้าสู่ฤดูหนาว ยิ่งอัตราการฉีดวัคซีนมากเท่าไหร่ พวกเราก็จะหลีกเลี่ยงไม่ให้ระบบการแพทย์แบกรับภาระท่วมท้นได้มากเท่านั้น เขาได้ขอให้ผู้คนที่ยังไม่ได้รับวัคซีนไปเข้ารับวัคซีนภายในสิ้นเดือนตุลาคมนี้ อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่าความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนอาจช่วยได้ เพราะถึงแม้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นมาระดับหนึ่ง แต่ความตึงเครียดของระบบการแพทย์ก็อาจไม่มากเท่ากับที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้

เขากล่าวด้วยว่าจำเป็นต้องหารือกันว่าจะทำความเข้าใจไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่อย่างไร และเราควรดำเนินมาตรการรับมือจนถึงระดับใด

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 12 ตุลาคม 2564)

ทัศนะของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับปัจจัยที่ทำให้ยอดติดโควิด-19 รายวันในญี่ปุ่นลดลงอย่างมาก ตอนที่ 1

ยอดรายวันของผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่รายใหม่ในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นสู่ระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในช่วงระลอกที่ 5 ของการแพร่ระบาดระหว่างฤดูร้อนปี 2564 โดยกลางเดือนสิงหาคมยอดดังกล่าวมากกว่า 25,000 คน แต่จำนวนนี้ลดลงอย่างมากในช่วงหลังจากสิ้นเดือนสิงหาคม โดยอยู่ที่ต่ำกว่า 1,000 คนติดต่อกัน 3 วันนับจนถึงวันที่ 5 ตุลาคม หรือคิดเป็นประมาณ 1 ใน 25 ของจำนวนจากช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดสูงสุด เราจะไปฟังทัศนะของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับว่าอะไรที่อยู่เบื้องหลังการลดจำนวนลงมากอย่างรวดเร็วนี้

รัฐบาลญี่ปุ่นได้ตัดสินใจยกเลิกภาวะฉุกเฉินเมื่อวันที่ 28 กันยายน นายโอมิ ชิเงรุ หัวหน้าคณะที่ปรึกษาของรัฐบาลญี่ปุ่น ได้ระบุถึงหลายเหตุผลสำหรับการตัดสินใจดังกล่าวที่การแถลงข่าวที่จัดขึ้น ณ วันนั้น

เหตุผลข้อแรกคือ หลังจากนี้จะไม่ค่อยมีวันหยุดยาวหรือวันหยุดราชการ เช่น วันหยุดฤดูร้อนซึ่งเป็นช่วงที่การเดินทางของผู้คนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จึงเท่ากับว่าโอกาสที่ไวรัสนี้จะแพร่ระบาดจากคนสู่คนจะน้อยลงไป

เหตุผลข้อที่ 2 ที่ผ่านมาผู้คนรู้สึกถึงภาวะวิกฤติร่วมกัน หลังจากที่พวกเขาทราบเรื่องเกี่ยวกับโรงพยาบาลเต็มเนื่องจากมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างมาก และผู้ป่วยจำนวนมากจำต้องรักษาตัวอยู่ที่บ้าน

เหตุผลข้อที่ 3 การสัญจรทางเท้าในย่านบันเทิงช่วงกลางคืนได้ลดลงไปแล้ว ซึ่งการติดเชื้อในช่วงดังกล่าวมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นมากกว่า

เหตุผลข้อที่ 4 การฉีดวัคซีนมีความคืบหน้า ทำให้ผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดจำนวนลง ไม่ใช่แค่ผู้สูงอายุเท่านั้นแต่ยังรวมถึงกลุ่มคนที่มีอายุน้อยลงมาด้วย

เหตุผลข้อสุดท้ายคือสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงไป เช่น อุณหภูมิและฝนตก ซึ่งพิจารณากันว่าเป็นปัจจัยเสี่ยง

นายโอมิได้แสดงความคิดเห็นว่าอากาศที่เย็นลงทำให้ผู้คนมีแนวโน้มที่จะใช้เวลาข้างนอกบ้านมากขึ้น ซึ่งเป็นการลดปฏิสัมพันธ์ในพื้นที่เล็ก ๆ ซึ่งการติดเชื้อน่าจะเกิดขึ้นได้มากกว่า อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่าสิ่งนี้ไม่สามารถตรวจสอบได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ นายโอมิกล่าวว่าตนจะพิจารณาต่อไปว่าอะไรเป็นปัจจัยและปัจจัยดังกล่าวมีผลแค่ไหนที่ทำให้การติดเชื้อรายใหม่ลดลงไป

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 11 ตุลาคม 2564)

ตัวชี้วัดแบบกำหนดแต้มเพื่อวัดระดับความรุนแรงของอาการป่วยโควิด-19 ตอนที่ 2

คณะนักวิจัยจากศูนย์การแพทย์และสาธารณสุขนานาชาติแห่งชาติของญี่ปุ่นและสถาบันอื่น ๆ สร้างตัวชี้วัดโดยใช้แต้มเพื่อวัดความเสี่ยงที่ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จะเกิดอาการป่วยหนัก

วันนี้เราจะไปตรวจสอบความเสี่ยงที่จะเกิดอาการหนักโดยแบ่งตามกลุ่มอายุ โดยอิงจากระบบตัวชี้วัดดังกล่าว

ตัวชี้วัดนี้แบ่งผู้คนออกเป็น 3 ช่วงอายุ ได้แก่ อายุระหว่าง 18 ถึง 39 ปี ระหว่าง 40-64 ปี และ 65 ปีขึ้นไป

สำหรับกลุ่มอายุ 18 ถึง 39 ปี ตัวชี้วัดนี้จะให้ 1 แต้มสำหรับผู้ชาย ผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไปทั้งผู้ชายและผู้หญิงจะได้รับ 1 แต้ม ผู้ที่มีดัชนีมวลกาย หรือ BMI อยู่ที่ 23 ถึง 29.9 จะได้ 1 แต้ม และผู้ที่มี BMI อยู่ที่ 30 หรือมากกว่านั้นจะได้ 2 แต้ม BMI คำนวณด้วยการนำน้ำหนักตัวหน่วยเป็นกิโลกรัมหารด้วยส่วนสูงหน่วยเป็นเมตรยกกำลังสอง โดยเป็นดัชนีที่ใช้ตรวจสอบเรื่องน้ำหนักเกิน ส่วนผู้ที่เป็นโรคมะเร็งจะได้ 3 แต้ม

ผู้ป่วยโควิด-19 ในกลุ่มอายุนี้ซึ่งมีไข้ 37.5 องศาเซลเซียสหรือสูงกว่านั้น จะได้ 2 แต้ม นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่มีเสียงหวีดหรือเสียงหายใจผิดปกติ จะได้ 2 แต้มเช่นกัน ส่วนผู้ที่หายใจติดขัดจะได้ 1 คะแนน

ตัวชี้วัดนี้บ่งชี้ว่าผู้คนในกลุ่มอายุดังกล่าวซึ่งได้ 6 แต้มหรือมากกว่านั้นในช่วงที่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ถือเป็นกลุ่มความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอาการหนัก ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงควรได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม

สำหรับผู้คนที่มีอายุระหว่าง 40 ถึง 64 ปี ตัวชี้วัดนี้จะให้ 1 แต้มสำหรับผู้ชาย ผู้ที่มีอายุ 50 ถึง 59 ปี ก็ได้ 1 แต้มเช่นกัน ผู้ที่มีอายุ 60 ถึง 64 ปีจะได้ 3 แต้ม ผู้ที่มี BMI หรือดัชนีมวลกายอยู่ที่ 25 หรือสูงกว่านั้น จะได้ 2 แต้ม ผู้ป่วยโรคเบาหวานได้ 1 แต้ม

ผู้ป่วยโควิด-19 ในกลุ่มอายุนี้ ผู้ที่มีไข้ 37.5 องศาเซลเซียสหรือสูงกว่านั้นจะได้ 2 แต้ม ผู้ที่หายใจติดขัดก็ได้ 2 แต้มเช่นกัน ผู้ที่มีอาการไอจะได้ 1 แต้ม รวมถึงผู้ที่มีอาการอ่อนเพลียก็ได้ 1 แต้มเช่นกัน

ตัวชี้วัดระบุว่าผู้ที่ได้แต้มรวม 5 แต้มหรือมากกว่านั้นในช่วงที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างมาก ถือเป็นกลุ่มความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอาการหนัก ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงควรได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม

สำหรับผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ตัวชี้วัดให้ 2 แต้มสำหรับผู้ที่มีอายุ 75 ปีหรือมากกว่านั้น นอกจากนี้ ผู้ที่มี BMI อยู่ที่ 25 หรือสูงกว่านั้นก็ได้ 2 แต้มเช่นกัน ส่วนผู้ที่เคยมีประวัติทางการแพทย์เรื่องภาวะหัวใจล้มเหลวก็จะได้ 2 แต้ม ผู้ป่วยเบาหวานและผู้ที่มีความดันเลือดสูงก็ได้ 2 แต้ม ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองได้ 1 แต้ม

ผู้ป่วยโควิด-19 ในกลุ่มอายุนี้ ตัวชี้วัดดังกล่าวให้ 4 แต้มสำหรับผู้ที่มีไข้ 37.5 องศาเซลเซียสหรือสูงกว่านั้น ผู้ที่หายใจติดขัดก็ได้ 4 แต้มเช่นกัน ผู้ที่มีอาการไอได้ 1 แต้ม

ตัวชี้วัดพิจารณาว่ากลุ่มคนในช่วงอายุนี้ซึ่งได้คะแนนรวม 3 แต้มหรือมากกว่านั้น ถือเป็นกลุ่มความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอาการหนัก ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงควรได้รับการรักษาที่เหมาะสมอย่างทันท่วงที และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขไม่ควรละเลยคนกลุ่มนี้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 8 ตุลาคม 2564)

ตัวชี้วัดแบบกำหนดแต้มเพื่อวัดระดับความรุนแรงของอาการป่วยโควิด-19 ตอนที่ 1

ศูนย์การแพทย์และสาธารณสุขนานาชาติแห่งชาติของญี่ปุ่นร่วมกับสถาบันอื่น ๆ สร้างตัวชี้วัดโดยใช้แต้มเพื่อวัดความเสี่ยงที่ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จะเกิดอาการป่วยหนัก ผู้ป่วยที่มีแต้มสูงกว่าจะมีแนวโน้มมากกว่าที่จะป่วยหนัก ตัวชี้วัดนี้จะนำมาใช้เพื่อจัดอันดับผู้ป่วยที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลก่อน

คณะนักวิจัยได้ศึกษาผู้ป่วยประมาณ 4,500 คนซึ่งถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลทั่วญี่ปุ่นตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงกันยายนปี 2563 พวกเขาได้วิเคราะห์ลักษณะอาการของผู้ป่วยที่ต้องให้ออกซิเจน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอาการปานกลางหรืออาการหนัก และจัดทำตัวชี้วัดแบบกำหนดแต้มซึ่งจะวัดระดับความรุนแรงของอาการป่วย

ตัวชี้วัดนี้แบ่งผู้ป่วยเป็นกลุ่มอายุต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น กลุ่มอายุ 40 ถึง 64 ปี หากผู้ป่วยเป็นผู้ชายจะได้รับ 1 แต้ม ส่วนผู้หญิงและผู้ชายที่มีดัชนีมวลกายหรือ BMI มากกว่า 25 จะพิจารณาว่าอ้วนและได้รับ 2 แต้ม ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะได้ 1 แต้ม ผู้ที่มีไข้เกิน 37.5 องศาเซลเซียสจะได้ 2 แต้ม ผู้ที่หายใจติดขัดได้ 2 แต้ม มีอาการไอได้ 1 แต้ม และอ่อนเพลีย 1 แต้ม

เมื่อนำตัวชี้วัดนี้มาใช้วิเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วยจากการระบาดระลอกที่ 3 พบว่า ร้อยละ 23 ของผู้ป่วยอายุระหว่าง 40-64 ปีที่ได้แต้มรวม 5 แต้ม ป่วยหนักหลังติดเชื้อไวรัสนี้ จำนวนดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 76 สำหรับกลุ่มผู้ป่วยที่มีแต้มรวม 10 แต้ม

คณะนักวิจัยระบุว่าผู้ป่วยที่มีแต้มรวมมากกว่า 5 แต้มเป็นกลุ่มความเสี่ยงสูงในช่วงที่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่กำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ผู้ป่วยกลุ่มนี้ควรได้รับการสอดส่องดูแลอย่างใกล้ชิดและนำตัวส่งสถานที่ด้านการแพทย์โดยเร็วเท่าที่จะเป็นไปได้

ยามาดะ เก็น นักวิจัยจากศูนย์การแพทย์และสาธารณสุขนานาชาติแห่งชาติของญี่ปุ่นกล่าวว่า หากไวรัสนี้เกิดการแพร่ระบาดครั้งใหญ่อีกครั้งและจำนวนของผู้คนที่กักตัวอยู่ที่บ้านเริ่มพุ่งสูงขึ้น พวกเขาหวังว่าจะมีการนำตัวชี้วัดนี้มาใช้เพื่อหาผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงว่าจะป่วยหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยให้ผู้ป่วยเหล่านี้ได้รับการรักษาที่จำเป็นในโรงพยาบาล เขากล่าวเพิ่มเติมว่าตัวชี้วัดนี้ไม่ครอบคลุมความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ทั้งหมด แต่ก็สามารถนำมาใช้เพื่อกำหนดว่าคุณอยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงหรือไม่

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 7 ตุลาคม 2564)

ผลสำรวจความคิดเห็นว่าผู้คนมีความคิดและพฤติกรรมอย่างไรต่อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ตอนที่ 8

เราจะนำเสนอผลการสำรวจความคิดเห็นที่ NHK ดำเนินการเมื่อช่วงต้นเดือนกันยายนปี 2564 เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าผู้คนมีความคิดและพฤติกรรมอย่างไรต่อการระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ แบบสอบถามครั้งนี้ครอบคลุมผู้คน 1,200 คนที่มีอายุระหว่าง 15 ถึง 69 ปีทั่วญี่ปุ่น

วันนี้เราจะนำเสนอคำถามสุดท้ายของแบบสำรวจดังกล่าวเกี่ยวกับว่าต่อไปผู้คนควรรับมือไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่อย่างไร

ร้อยละ 63.6 ของผู้ตอบซึ่งเป็นสัดส่วนมากที่สุดนั้นระบุว่า ผู้คนควรให้ความสำคัญกับการทำให้การระบาดใหญ่นี้สิ้นสุดลงด้วยการกำหนดข้อจำกัดในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ต่อไป ขณะที่ร้อยละ 7.5 ระบุว่าผู้คนควรให้ความสำคัญกับกิจกรรมทางสังคมและเศรษฐกิจด้วยการผ่อนคลายข้อจำกัดต่าง ๆ จะเห็นได้ว่าผู้ตอบที่ระบุว่าผู้คนควรให้ความสำคัญกับการทำให้การระบาดใหญ่นี้สิ้นสุดลงแม้จะต้องยอมสละกิจกรรมทางสังคมและเศรษฐกิจก็ตามนั้น คิดเป็น 8 เท่าเมื่อเทียบกับผู้ที่บอกว่าควรผ่อนคลายข้อจำกัดต่าง ๆ

การสำรวจนี้ทำให้เห็นถึงความต้องการจากใจจริงของผู้คนที่หวังจะกลับมาดำเนินชีวิตประจำวันอย่างสงบสุข ถึงแม้ว่ามีผู้คนจากหลากหลายอาชีพและช่วงวัยที่มีความคิดเห็นและความกังวลต่างกันไปทั้งเรื่องของการระบาดใหญ่ การฉีดวัคซีน และการบังคับใช้ข้อจำกัดต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันของพวกตนก็ตาม

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 6 ตุลาคม 2564)

ผลสำรวจความคิดเห็นว่าผู้คนมีความคิดและพฤติกรรมอย่างไรต่อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ตอนที่ 7

เราจะนำเสนอผลการสำรวจความคิดเห็นที่ NHK ดำเนินการเมื่อช่วงต้นเดือนกันยายนปี 2564 เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าผู้คนมีความคิดและพฤติกรรมอย่างไรต่อการระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ แบบสอบถามครั้งนี้ครอบคลุมผู้คน 1,200 คนที่มีอายุระหว่าง 15 ถึง 69 ปีทั่วญี่ปุ่น วันนี้เราจะไปดูว่าอะไรที่ผู้คนคิดว่าจำเป็นต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนในช่วงการระบาดใหญ่

การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมรวมถึงการฉีดวัคซีนนั้นได้รับการพิจารณาว่าเป็นกุญแจสำคัญในการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ แบบสำรวจได้สอบถามว่ากรอบงานหรือระบบแบบใดที่จำเป็นต่อการทำให้ผู้คนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม โดยคำถามนี้สามารถตอบได้หลายตัวเลือก

ร้อยละ 69.2 ของผู้ตอบซึ่งเป็นสัดส่วนที่มากที่สุดระบุว่าการชดเชยด้านการเงิน ร้อยละ 45 บอกว่าการทำให้มาตรการต้านไวรัสเป็นข้อบังคับและมีบทลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืน

ร้อยละ 43.7 ระบุว่าการสนับสนุนเรื่องทำงานจากทางไกล ร้อยละ 43.2 บอกว่าคำอธิบายให้เข้าใจและการถ่ายทอดข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญและรัฐบาล ร้อยละ 34.9 ระบุว่าให้โรงเรียนจัดการเรียนการสอนทางออนไลน์

นอกจากนี้ แบบสำรวจยังถามด้วยว่ามาตรการบังคับลงโทษชนิดใดที่พวกเขาสามารถยอมรับได้ ร้อยละ 66.5 ตอบว่าการบังคับให้สวมหน้ากากอนามัย ร้อยละ 54.4 บอกว่าการบังคับใช้ข้อจำกัดเกี่ยวกับการจัดงานและกิจกรรมบันเทิง ร้อยละ 40.3 ระบุว่าการบังคับให้เข้ารับวัคซีน ร้อยละ 34.8 ระบุว่าการบังคับใช้ข้อจำกัดเรื่องเวลาดำเนินการของร้านกินดื่ม ร้อยละ 24.1 ระบุว่าการกำหนดให้ผู้คนต้องได้รับอนุญาตในการไปข้างนอก ร้อยละ 6.8 ระบุว่าพวกตนไม่ต้องการยอมรับมาตรการข้อบังคับใด ๆ ทั้งสิ้น

ครั้งต่อไปเราจะไปดูทัศนะของผู้คนเกี่ยวกับว่าต่อไปจะรับมือกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่อย่างไร

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 5 ตุลาคม 2564)

ผลสำรวจความคิดเห็นว่าผู้คนมีความคิดและพฤติกรรมอย่างไรต่อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ตอนที่ 6

เราจะนำเสนอผลการสำรวจความคิดเห็นที่ NHK ดำเนินการเมื่อช่วงต้นเดือนกันยายนปี 2564 เพื่อดูว่าผู้คนมีความคิดและพฤติกรรมอย่างไรต่อการระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ แบบสอบถามครั้งนี้ครอบคลุมผู้คน 1,200 คนที่มีอายุระหว่าง 15 ถึง 69 ปีทั่วญี่ปุ่น วันนี้เราจะไปดูกันว่าผู้คนคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

วัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้รับการคาดหวังอย่างสูงว่าจะเป็นมาตรการไม้ตายที่จะนำไปสู่การสิ้นสุดการกักตัวและข้อจำกัดอื่น ๆ เพื่อต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

ต่อคำถามที่ว่าคุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับการฉีดวัคซีน ร้อยละ 78.0 ตอบว่าการเข้ารับวัคซีนนั้นดีกว่า ร้อยละ 19.4 ตอบว่าไม่สามารถบอกได้ว่าแบบไหนดีกว่ากัน ขณะที่ร้อยละ 2.6 บอกว่าพวกตนคิดว่าไม่เข้ารับวัคซีนดีกว่า

สำหรับกลุ่มที่ตอบว่าเข้ารับวัคซีนดีกว่านั้น เกือบร้อยละ 70 ของผู้คนในทุกช่วงวัยระบุว่าพวกตนเชื่อว่าการเข้ารับวัคซีนนั้นดีกว่า โดยแนวโน้มนี้เห็นได้ชัดในกลุ่มผู้คนที่มีอายุมากกว่า

สำหรับผู้คนที่ตอบว่าไม่เข้ารับวัคซีนดีกว่านั้น ร้อยละ 7.1 ของกลุ่มวัยรุ่นคิดว่าการไม่เข้ารับวัคซีนนั้นดีกว่า ตามมาด้วยกลุ่มคนในช่วงวัย 20 ปีที่ร้อยละ 4.6 และผู้คนในช่วงวัย 30 ปีที่ร้อยละ 4.0 สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่ากลุ่มคนอายุน้อยที่ไม่ต้องการเข้ารับวัคซีนนั้นมีสัดส่วนมากกว่ากลุ่มคนที่อายุมากขึ้น

ต่อคำถามที่ว่าทำไมพวกเขาจึงมีมุมมองด้านลบเกี่ยวกับวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ บางคนได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยและผลข้างเคียงจากวัคซีนที่อาจเกิดขึ้นได้

พนักงานบริษัทซึ่งเป็นผู้หญิงในช่วงวัย 20 ปีคนหนึ่งกล่าวว่าความปลอดภัยและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีนในช่วงหลายปีต่อจากนี้ยังคงไม่แน่ชัด ขณะที่นักศึกษาชายคนหนึ่งในช่วงวัยรุ่นตอบว่า เขากลัวผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นตลอดจนเรื่องที่วัคซีนอาจมีสารแปลกปลอมปะปนอยู่

ผู้ที่ตอบแบบสอบถามจำนวนมากระบุด้วยว่าพวกตนยังคงกังขาว่าควรเข้ารับวัคซีนหรือไม่ พนักงานบริษัทคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ชายในช่วงวัย 20 ปีระบุว่า ยังไม่มีข้อมูลที่เพียงพอนับตั้งแต่โครงการฉีดวัคซีนได้เริ่มขึ้น ผู้หญิงคนหนึ่งในช่วงวัย 50 ปีกล่าวว่าเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินโดยพูดรวม ๆ ได้ว่าการเข้ารับวัคซีนนั้นดีหรือไม่ดี

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 4 ตุลาคม 2564)

ผลสำรวจความคิดเห็นว่าผู้คนมีความคิดและพฤติกรรมอย่างไรต่อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ตอนที่ 5

เราจะนำเสนอผลการสำรวจความคิดเห็นที่ NHK ดำเนินการเมื่อช่วงต้นเดือนกันยายนปี 2564 เพื่อดูว่าผู้คนมีความคิดและพฤติกรรมอย่างไรต่อการระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ แบบสอบถามครั้งนี้ครอบคลุมผู้คน 1,200 คนที่มีอายุระหว่าง 15 ถึง 69 ปีทั่วญี่ปุ่น วันนี้เราจะไปดูกันว่าผู้คนคิดว่าจะสามารถอยู่ภายใต้มาตรการควบคุมเพื่อต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้นานแค่ไหน

ผู้คนในญี่ปุ่นอยู่ภายใต้มาตรการต่าง ๆ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 เราได้ถามว่าพวกคุณคิดว่าจะดำเนินการเช่นนี้ไปได้นานแค่ไหน

ร้อยละ 42.5 จากผู้ตอบทั้งหมดระบุว่าจะทำไปจนกว่าสามารถควบคุมการติดเชื้อได้ ขณะที่ร้อยละ 18.6 บอกว่าจนกว่าจะถึงสิ้นปีนี้ และร้อยละ 18.1 บอกว่าไม่ทราบ ร้อยละ 10.7 ตอบว่าไม่สามารถทนต่อไปได้อีกแล้ว ขณะที่ร้อยละ 5.9 บอกว่าทำต่อไปได้อีก 6 เดือน และร้อยละ 4.3 บอกว่าทำต่อไปได้อีก 12 เดือน

กล่าวคือเกือบครึ่งหนึ่งของผู้ตอบระบุว่าพวกตนจะปฏิบัติตามข้อจำกัดไปจนกว่าการระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จะอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างสมบูรณ์ กว่า 1 ใน 4 ระบุว่าพวกตนไม่สามารถทำแบบนี้ได้อีกต่อไป หรือไม่ก็ทำต่อไปได้จนถึงสิ้นปีนี้

ในตอนต่อไป เราจะไปดูกันว่าผู้คนคิดอย่างไรเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2564)

ผลสำรวจความคิดเห็นว่าผู้คนมีความคิดและพฤติกรรมอย่างไรต่อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ตอนที่ 4

เราจะนำเสนอผลการสำรวจความคิดเห็นที่ NHK ดำเนินการเมื่อช่วงต้นเดือนกันยายนปี 2564 เพื่อดูว่าผู้คนมีความคิดและพฤติกรรมอย่างไรต่อการระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ แบบสอบถามครั้งนี้ครอบคลุมผู้คน 1,200 คนที่มีอายุระหว่าง 15 ถึง 69 ปีทั่วญี่ปุ่น วันนี้เราจะไปดูกันว่าทำไมบางคนจึงไม่ควบคุมตนเองมากเท่ากับที่เคยทำ

ต่อคำถามที่ว่าคุณได้ควบคุมตนเองมากเท่ากับที่เคยทำเมื่อเดือนเมษายนปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการประกาศภาวะฉุกเฉินครั้งแรกหรือไม่ ราวร้อยละ 20 ตอบว่าพวกตนไม่ได้ควบคุมตนเองมากเท่ากับตอนนั้น เมื่อถามว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น พวกเขาสามารถเลือกตอบได้หลายคำตอบ

ผู้ตอบร้อยละ 42.6 ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดบอกว่าพวกตนเบื่อหน่ายกับการดำเนินมาตรการควบคุมตนเอง ขณะที่ร้อยละ 33.6 ระบุว่าเนื่องจากปัจจุบันมีผู้คนมากขึ้นที่เข้ารับวัคซีน และร้อยละ 32.6 ระบุว่าเนื่องจากพวกตนดำเนินมาตรการต้านการติดเชื้ออย่างเพียงพอแล้ว และร้อยละ 31.1 ตอบว่าเนื่องจากพวกตนไม่สามารถทำมาหากินได้

ในตอนหน้า เราจะไปดูกันว่าผู้คนคิดว่าจะสามารถอยู่ภายใต้มาตรการควบคุมเพื่อต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ไปได้นานแค่ไหน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2564)

ผลสำรวจความคิดเห็นว่าผู้คนมีความคิดและพฤติกรรมอย่างไรต่อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ตอนที่ 3

เราจะนำเสนอผลการสำรวจความคิดเห็นที่ NHK ดำเนินการเมื่อช่วงต้นเดือนกันยายนปี 2564 เพื่อดูว่าผู้คนมีความคิดและพฤติกรรมอย่างไรต่อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ แบบสอบถามครั้งนี้ครอบคลุมผู้คน 1,200 คนที่มีอายุระหว่าง 15 ถึง 69 ปีทั่วญี่ปุ่น วันนี้เราจะมุ่งเน้นไปที่เรื่องการควบคุมตนเองของประชาชนว่าเปลี่ยนไปอย่างไร

ในขณะที่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ยังคงแพร่ระบาดอยู่และผู้คนจำนวนมากมีความกังวลหลายประการเกี่ยวกับชีวิตของพวกตนนั้น ระดับของการควบคุมตนเองของผู้คนเปลี่ยนไปหรือไม่

ต่อคำถามที่ว่าที่ผ่านมาได้ดำเนินการตามมาตรการจำกัดมากแค่ไหนเมื่อเทียบกับตอนที่มีการประกาศภาวะฉุกเฉินครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายนปี 2563 อัตราของผู้ตอบแบบสอบถามที่ระบุว่าพวกตนดำเนินการมากพอกับตอนนั้น กับผู้ที่ตอบว่าพวกตนดำเนินการมากกว่าตอนนั้นเสียอีก เมื่อรวมกันแล้วอยู่ที่ประมาณร้อยละ 80

ผู้คนร้อยละ 54 ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดระบุว่า ระดับการควบคุมตนเองไม่เปลี่ยน ขณะที่ร้อยละ 26.6 บอกว่าพวกตนควบคุมตนเองมากกว่าตอนนั้น และร้อยละ 19.4 ระบุว่าพวกตนไม่ได้ควบคุมตนเองมากเท่ากับตอนนั้น

นอกจากนี้ ก็ยังเห็นได้ชัดว่าผู้ตอบแบบสอบถามที่เป็นกลุ่มอายุน้อยลงมาบอกว่าพวกตนไม่ได้ควบคุมตนเองมากเท่ากับเมื่อปีที่แล้ว โดยร้อยละ 12.5 ของผู้ตอบที่มีอายุอยู่ในช่วงวัย 60 ปี ร้อยละ 15.5 ที่อยู่ในช่วงวัย 50 ปี และร้อยละ 17.4 ที่อยู่ในช่วงวัย 40 ปี บอกว่าพวกตนไม่ได้ควบคุมตนเองมากเท่ากับปีที่แล้ว ขณะที่ร้อยละ 22 ในช่วงวัย 30 ปี ร้อยละ 28.5 ในช่วงวัย 20 ปี และร้อยละ 28.9 ในช่วงวัยรุ่นบอกว่าพวกตนไม่ได้ควบคุมตนเองมากเท่ากับปีที่แล้ว

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 29 กันยายน 2564)

ผลสำรวจความคิดเห็นว่าผู้คนมีความคิดและพฤติกรรมอย่างไรต่อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ตอนที่ 2

เราจะนำเสนอผลการสำรวจความคิดเห็นของผู้คน 1,200 คนทั่วญี่ปุ่นที่มีอายุระหว่าง 15 ถึง 69 ปี ที่ NHK ดำเนินการเมื่อช่วงต้นเดือนกันยายนปี 2564 เพื่อดูว่าผู้คนมีความคิดและพฤติกรรมอย่างไรต่อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

วันนี้เราจะมุ่งเน้นไปที่ผลการสำรวจเกี่ยวกับว่า อะไรที่ผู้คนเป็นกังวลมากที่สุดในขณะนี้

ผู้ตอบการสำรวจสามารถเลือกได้หลายคำตอบสำหรับคำถามดังกล่าว ผู้ตอบการสำรวจร้อยละ 61.4 ซึ่งถือเป็นจำนวนสูงสุดระบุว่า พวกตนกังวลเกี่ยวกับระบบทางการแพทย์ ร้อยละ 49.5 ระบุว่ากังวลว่าจะติดเชื้อที่บ้านหรือกังวลว่าลูก ๆ ของตนจะติดเชื้อ และร้อยละ 33.3 ระบุว่ากังวลเรื่องมาตรการควบคุมตนเอง เช่น การประกาศภาวะฉุกเฉินโดยรัฐบาลและทางการท้องถิ่นที่ยืดเยื้อออกไป

ในส่วนที่เป็นการแสดงความเห็นเพิ่มเติมของคำถามนี้ หลายคนระบุว่าพวกตนกังวลเป็นพิเศษว่าตัวเองจะติดเชื้อ

พนักงานชายคนหนึ่งในช่วงวัย 40 ปีระบุว่าเขากังวลว่าระบบทางการแพทย์จะรับรักษาเขาหรือไม่หากว่าเขาป่วยเป็นโรคนี้ ผู้หญิงคนหนึ่งในช่วงวัย 50 ปีซึ่งทำงานพาร์ทไทม์ระบุว่าเธอกังวลเกี่ยวกับการแพร่โรคนี้ภายในครัวเรือน หรืออาการที่ทรุดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีหลายกรณีที่ผู้คนซึ่งติดเชื้อกำลังกักตัวอยู่ที่บ้าน เพราะพวกเขาไม่สามารถเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลได้

คนอื่น ๆ ระบุว่าพวกตนกังวลเกี่ยวกับงานและรายได้ หรือรู้สึกเครียดกับมาตรการควบคุมตนเองที่ยืดเยื้อ

ชายคนหนึ่งในช่วงวัย 40 ปีซึ่งทำอาชีพอิสระกล่าวว่าเขากำลังต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้อยู่รอดได้เนื่องจากรายได้ต่อเดือนของเขาลดลงอย่างมากเพราะจำนวนงานที่ทำอยู่น้อยลง

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 28 กันยายน 2564)

ผลสำรวจความคิดเห็นว่าผู้คนมีความคิดและพฤติกรรมอย่างไรต่อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ตอนที่ 1

เราจะนำเสนอผลการสำรวจความคิดเห็นของผู้คน 1,200 คนทั่วญี่ปุ่นที่มีอายุระหว่าง 15 ถึง 69 ปี ที่ NHK ดำเนินการเมื่อช่วงต้นเดือนกันยายนปี 2564 เพื่อดูว่าผู้คนมีความคิดและพฤติกรรมอย่างไรต่อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

ผลที่ได้ทำให้เห็นถึงความคิดที่แตกต่างกันและความกังวลของผู้คน ตลอดจนความแตกต่างระหว่างช่วงวัยเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ เช่น ข้อจำกัดอันยืดเยื้อในการทำกิจกรรมทั้งหลายและการฉีดวัคซีน

ต่อคำถามที่ว่าหวาดกลัวไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แค่ไหน ร้อยละ 50.4 บอกว่ากลัวมาก ร้อยละ 42.4 กล่าวว่ากลัวอยู่บ้าง และร้อยละ 6.1 บอกว่าไม่ค่อยกลัว ผลที่ได้แสดงให้เห็นว่าเกือบร้อยละ 93 ของผู้ตอบการสำรวจนั้นกลัวไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 27 กันยายน 2564)

อาการตกค้างหลังการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ตอนที่ 2

เราจะนำเสนอเกี่ยวกับผลกระทบที่คงอยู่เป็นเวลานานหลังการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

เขตเซตากายะของกรุงโตเกียวได้สำรวจข้อมูลประชาชนในเขตที่มีอาการตกค้างจากโรคโควิด-19 และพบว่าประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ตอบการสำรวจนั้นระบุว่าพวกตนมีอาการอ่อนเพลีย

ประมาณร้อยละ 54 ของผู้ตอบการสำรวจซึ่งเป็นสัดส่วนสูงสุดระบุว่ามีความผิดปกติเรื่องการรับกลิ่น ร้อยละ 50 ระบุว่ามีอาการอ่อนเพลีย ร้อยละ 45 บอกว่ามีความผิดปกติเรื่องการรับรส และร้อยละ 34 ระบุว่ามีอาการไอเรื้อรัง

ผลสำรวจพบว่าอาการตกค้างนั้นแตกต่างไปตามช่วงวัยของผู้คน ผู้ที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นถึงช่วงวัย 30 ปีคือกลุ่มจำนวนสูงสุดที่มีรายงานการสูญเสียการรับกลิ่น ขณะที่ผู้ที่อยู่ในช่วงวัยเกิน 40 ปีคือกลุ่มจำนวนสูงสุดที่มีรายงานเรื่องอาการอ่อนเพลีย

บางคนมีรายงานอาการตกค้างที่กินเวลานานกว่า 6 เดือน ซึ่งรวมถึงเรื่องความผิดปกติของความจำและผมร่วง

เขตเซตากายะจะวิเคราะห์ผลกระทบของอาการตกค้างและมาตรการรับมือในอนาคต

โฮซากะ โนบูโตะ นายกเทศมนตรีของเขตเซตากายะระบุว่า เนื่องจากผู้คนจำนวนมากยังคงประสบปัญหาอาการตกค้างจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่โดยพบปัญหาในการทำงานและในชีวิตประจำวัน แต่ระบบช่วยเหลือคนเหล่านี้ยังคงมีไม่เพียงพอ เขาชี้ว่าเขาหวังว่าการเปิดเผยข้อมูลนี้จะช่วยเรียกร้องให้รัฐบาลวางระบบที่รักษาผู้ป่วยที่มีอาการตกค้างจากโรคโควิด-19 ไปอย่างต่อเนื่องควบคู่ไปกับการรักษาผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 24 กันยายน 2564)

อาการตกค้างหลังการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ตอนที่ 1

เราจะนำเสนอเกี่ยวกับผลกระทบที่คงอยู่เป็นเวลานานหลังการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

นับจนถึงเดือนเมษายนปี 2564 เขตเซตากายะของกรุงโตเกียวได้สำรวจข้อมูลประชาชนในเขตซึ่งเคยพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลหรือที่บ้านเนื่องจากป่วยเป็นโรคโควิด-19

ในบรรดาผู้คน 3,710 คนที่ตอบการสำรวจนั้น ราว 1,800 คนซึ่งคิดเป็นเกือบร้อยละ 50 ตอบว่าพวกตนมีอาการที่ยังหลงเหลืออยู่ อัตรานี้สูงเป็นพิเศษในกลุ่มผู้ตอบการสำรวจที่อยู่ในช่วงวัย 30 ถึง 50 ปี โดยกว่าครึ่งหนึ่งระบุว่ามีอาการที่ยังตกค้างอยู่

ครั้งหน้าเราจะนำเสนอว่ากลุ่มคนเหล่านี้ประสบอาการเช่นไร

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 22 กันยายน 2564)

ยาที่มีอยู่แล้วซึ่งอาจใช้ได้ผลกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

เราจะนำเสนอข้อมูลของยาที่ใช้สู้กับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยครั้งนี้เราจะมุ่งเน้นไปยังยาบางชนิดที่ได้รับการรับรองแล้วเพื่อใช้รักษาโรคอื่น ๆ

นับจนถึงปัจจุบัน รัฐบาลญี่ปุ่นได้รับรองให้ใช้ยา 4 ชนิดเพื่อรักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ นอกจากยา 4 ชนิดนี้แล้ว ก็กำลังมีการวิจัยทางคลินิกเกี่ยวกับยาที่มีอยู่แล้วซึ่งใช้สำหรับรักษาโรคอื่น ๆ เพื่อตรวจสอบว่ายาเหล่านี้ใช้ได้ผลกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ด้วยหรือไม่

ยาที่มีอยู่แล้วซึ่งกำลังได้รับการพิจารณาอยู่ในขณะนี้ได้แก่ แอกเทมรา, อาวีแกน, อัลเวสโก, ฟูธาน และไอเวอร์เม็กติน

ยาแอกเทมราใช้สำหรับรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ยาอาวีแกนสำหรับรักษาไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ขณะที่ยาอัลเวสโกใช้รักษาโรคหอบหืด ส่วนยาฟูธานใช้รักษาอาการป่วยที่ทำให้เกิดโรคตับอ่อนอักเสบเฉียบพลันหรือการก่อตัวของลิ่มเลือด และเป็นที่ทราบกันว่ายาไอเวอร์เม็กตินใช้ได้ผลกับโรคติดเชื้อที่เกิดจากพยาธิ

ยาไอเวอร์เม็กตินมีวางจำหน่ายผ่านเว็บไซต์ซื้อสินค้าออนไลน์ ยานี้ได้รับความสนใจในฐานะยาที่คาดว่าจะใช้ได้ผลกับโรคโควิด-19 โดยลูกค้าบางคนซื้อยานี้เอง

อย่างไรก็ตาม หน่วยงานด้านสาธารณสุขในหลายประเทศและองค์การอนามัยโลก ตลอดจนบรรดาบริษัทยาระบุว่าประสิทธิผลของยานี้ที่มีต่อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นั้น ยังไม่ได้รับการตรวจสอบยืนยันผ่านการทดลองทางคลินิก

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าผู้ป่วยแต่ละคนไม่ควรใช้ยาโดยตัดสินใจเอง

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 21 กันยายน 2564)

ยาที่กำลังพัฒนาอยู่ในปัจจุบันเพื่อรักษาโรคโควิด-19 ตอนที่ 2

เราจะนำเสนอข้อมูลของยาใหม่ ๆ สำหรับรักษาโรคโควิด-19 โดยครั้งนี้เป็นเรื่องของยาชนิดต่าง ๆ ที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา

Roche บริษัทยาชั้นนำของสวิตเซอร์แลนด์กำลังพยายามทดสอบว่ายา AT-527 ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสที่บริษัทพัฒนามาอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบซีนั้น จะเป็นยาที่มีประสิทธิผลในการรับมือกับโรคโควิด-19 หรือไม่

ขณะนี้ทางบริษัทกำลังทดลองทางคลินิกขั้นสุดท้ายซึ่งดำเนินการกับผู้ป่วยในญี่ปุ่นและประเทศอื่น ๆ บริษัทชูไงฟาร์มาซูติคัลซึ่งช่วยพัฒนายาชนิดนี้ในญี่ปุ่นระบุว่าทางบริษัทหวังว่าจะยื่นเรื่องให้กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นรับรองในปีหน้า

ชิโอโนงิ ผู้ผลิตยาชั้นนำอีกบริษัทหนึ่งของญี่ปุ่นกำลังพัฒนายาชนิดใหม่ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสเพื่อใช้รับมือกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ บริษัทดังกล่าวประกาศเมื่อเดือนกรกฎาคมว่าได้เริ่มทดลองขั้นที่ 1 เพื่อยืนยันความปลอดภัยของยาดังกล่าว

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 17 กันยายน 2564)

ยาที่กำลังพัฒนาอยู่ในปัจจุบันเพื่อรักษาโรคโควิด-19 ตอนที่ 1

เราจะนำเสนอข้อมูลของยาใหม่ ๆ สำหรับรักษาโรคโควิด-19 โดยครั้งนี้จะมุ่งเน้นไปที่ยาที่กำลังพัฒนาอยู่ในปัจจุบัน

ผู้คนจำนวนมากทั่วโลกกำลังกักตัวอยู่ที่บ้านหลังจากติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ด้วยเหตุนี้ความต้องการยาชนิดรับประทานจึงมีสูงสำหรับผู้ป่วยที่สามารถรับประทานยาเองได้ที่บ้านในช่วงที่พวกเขายังมีอาการปานกลาง เพื่อป้องกันไม่ให้ป่วยหนัก บรรดาบริษัทยาในญี่ปุ่นและต่างประเทศกำลังดำเนินการเพื่อผลิตยาชนิดที่ว่านี้

Merck & Co. ผู้ผลิตยาชั้นนำของสหรัฐกำลังพัฒนายาต้านไวรัสที่เรียกว่าโมลนูพิราเวียร์ ยานี้อยู่ในขั้นสุดท้ายของการทดลองทางคลินิกที่ดำเนินการกับผู้ป่วยในญี่ปุ่นและประเทศอื่น ๆ

บริษัทในเครือของ Merck & Co. ในญี่ปุ่นระบุว่ามีแผนจะขอให้คณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐรับรองให้ใช้ยานี้เป็นกรณีฉุกเฉินภายในสิ้นปีนี้ หากผลการทดลองเป็นไปด้วยดี

ขณะที่ไฟเซอร์ บริษัทยาชั้นนำอีกแห่งหนึ่งของสหรัฐ ก็กำลังดำเนินการทดลองทางคลินิกขั้นสุดท้ายในต่างประเทศ โดยเป็นการรักษาที่ต้องใช้ยาต้านไวรัส 2 ชนิดร่วมกัน ทางบริษัทระบุว่าผลการทดลองเบื้องต้นจะออกมาในช่วงระหว่างเดือนตุลาคมถึงธันวาคม และว่าทางบริษัทมีแผนจะยื่นเรื่องให้คณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐรับรองให้ใช้เป็นกรณีฉุกเฉินภายในสิ้นปีนี้เป็นอย่างเร็วที่สุด

บริษัทไฟเซอร์ยังระบุด้วยว่าขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างเตรียมการ ดังนั้นผู้ป่วยในญี่ปุ่นจึงสามารถเข้าร่วมการทดลองทางคลินิกดังกล่าวได้ด้วย

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 16 กันยายน 2564)

ประเภทของการรักษาโรคโควิด-19 ตอนที่ 3

การรักษาไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลญี่ปุ่นนั้น หลัก ๆ แล้วแบ่งออกเป็น 3 ประเภทตามกลไกของประสิทธิผลที่ได้จากการรักษาเหล่านั้น

ประเภทที่ 1 คือ ยาที่ป้องกันไม่ให้ไวรัสฝ่าเข้าไปในเซลล์ ประเภทที่ 2 คือ ยาที่ป้องกันไม่ให้ไวรัสเพิ่มจำนวนหลังจากผ่านเข้าไปในเซลล์ได้แล้ว ประเภทที่ 3 คือ ยาที่ป้องกันไม่ให้ภูมิคุ้มกันตอบสนองมากเกินไปต่อไวรัสที่ได้เพิ่มจำนวนแล้ว

ยาเดกซาเมทาโซนและยาบาริซิทินิบจัดอยู่ในประเภทที่ 3 ซึ่งเป็นยาที่ใช้สำหรับควบคุมการตอบสนองของภูมิคุ้มกันที่มากจนเกินไป เมื่อติดเชื้อไวรัส เซลล์จะปล่อยสารที่ทำให้เกิดการอักเสบหลายชนิด เพื่อไปกระตุ้นพลังงานให้กับเซลล์ภูมิต้านทาน

อย่างไรก็ตาม ถ้าไวรัสเพิ่มจำนวนมากขึ้น ในบางครั้งร่างกายจะปล่อยสารที่ทำให้เกิดการอักเสบที่มีจำนวนมากเกินไปและไปกระตุ้นการทำงานของภูมิคุ้มกันของร่างกายสู่ระดับที่ไม่สามารถควบคุมได้ สิ่งนี้อาจสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อปอดและส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย และทำให้ผู้ป่วยอยู่ในภาวะวิกฤติ

อาการป่วยในขั้นนี้ โดยมากมีแนวโน้มที่จะใช้ยาสเตียรอยด์เพื่อหยุดยั้งกิจกรรมของระบบภูมิคุ้มกันและลดการอักเสบ เป็นที่ทราบกันว่ายาเดกซาเมทาโซนและยาบาริซิทินิบมีประสิทธิผลในกลุ่มผู้ป่วยอาการหนักเป็นหลัก

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 15 กันยายน 2564)

ประเภทของการรักษาโรคโควิด-19 ตอนที่ 2

เราจะนำเสนอข้อมูลของยาใหม่ ๆ ที่ใช้รักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยครั้งนี้เราจะมุ่งเน้นเรื่องประเภทที่แตกต่างกันออกไปในการรักษาโรคโควิด-19

การรักษาไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลญี่ปุ่นนั้น หลัก ๆ แล้วแบ่งออกเป็น 3 ประเภทตามกลไกของประสิทธิผลที่ได้จากการรักษาเหล่านั้น

ประเภทที่ 1 คือ ยาที่ป้องกันไม่ให้ไวรัสฝ่าเข้าไปในเซลล์ ประเภทที่ 2 คือ ยาที่ป้องกันไม่ให้ไวรัสเพิ่มจำนวนหลังจากผ่านเข้าไปในเซลล์ได้แล้ว ประเภทที่ 3 คือ ยาที่ป้องกันไม่ให้ภูมิคุ้มกันตอบสนองมากเกินไปต่อไวรัสที่ได้เพิ่มจำนวนแล้ว

ยาเรมเดซิเวียร์อยู่ในประเภทที่ 2 ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้ไวรัสเพิ่มจำนวนด้วยการผลิตซ้ำตัวเองภายในเซลล์ เมื่อไวรัสฝ่าเข้ามาในเซลล์ได้แล้ว ไวรัสจะทำสำเนาตัวเองอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มจำนวน โดยใช้พลังจากเซลล์ที่มันเข้ามาอาศัยอยู่ ยาที่ใช้สำหรับการรักษาประเภทที่ 2 นี้รวมถึงยาเรมเดซิเวียร์ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้ไวรัสผลิตซ้ำตัวเอง ด้วยการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการทำสำเนาของไวรัส

มียาอีกชนิดหนึ่งซึ่งเป็นยาสำหรับรับประทานที่ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการเล็กน้อย ยาเหล่านี้ส่วนใหญ่อยู่ในประเภทที่ 2

กลไกการทำสำเนาเป็นสิ่งที่เหมือนกันในไวรัสต่าง ๆ สิ่งนี้ช่วยให้บริษัทยาพัฒนายาไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่โดยอิงจากยาที่พัฒนาขึ้นสำหรับไวรัสอื่น ๆ คาดว่าหน่วยงานด้านสาธารณสุขจะแนะนำให้ใช้ยาเหล่านี้ในช่วงแรก ๆ ของการติดเชื้อ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 14 กันยายน 2564)

ประเภทของการรักษาโรคโควิด-19 ตอนที่ 1

เราจะนำเสนอข้อมูลของยาใหม่ ๆ ที่ใช้รักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยครั้งนี้เราจะมุ่งเน้นเรื่องประเภทที่แตกต่างกันออกไปในการรักษาโรคโควิด-19

การรักษาไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลญี่ปุ่นนั้น หลัก ๆ แล้วแบ่งออกเป็น 3 ประเภทตามกลไกของประสิทธิผลที่ได้จากการรักษาเหล่านั้น

ประเภทที่ 1 คือ ยาที่ป้องกันไม่ให้ไวรัสฝ่าเข้าไปในเซลล์ ประเภทที่ 2 คือ ยาที่ป้องกันไม่ให้ไวรัสเพิ่มจำนวนหลังจากผ่านเข้าไปในเซลล์ได้แล้ว ประเภทที่ 3 คือ ยาที่ป้องกันไม่ให้ภูมิคุ้มกันตอบสนองมากเกินไปต่อไวรัสที่ได้เพิ่มจำนวนแล้ว

“การรักษาด้วยวิธีค็อกเทลแอนติบอดี” ภายใต้ประเภทที่ 1 นั้น ช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ฝ่าเข้ามาในเซลล์ได้ โปรตีนหนามที่ยื่นออกมาจากผิวของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จะยึดกับเซลล์ของมนุษย์ก่อนที่จะฝ่าเข้าไป

การรักษาด้วยวิธีค็อกเทลแอนติบอดีนั้นจะใช้สารภูมิต้านทานปลอมที่สร้างขึ้นมา โดยสารภูมิต้านทานนี้จะไปเกาะอยู่ที่โปรตีนหนามเพื่อป้องกันไม่ให้ไวรัสมายึดเกาะเซลล์ได้ มีการแนะนำให้ใช้การรักษานี้สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ในระยะแรกเริ่ม โดยคาดว่าจะมีประสิทธิผลสูงเนื่องจากสารภูมิต้านทานดังกล่าวถูกตัดแต่งให้พุ่งเป้าไปยังไวรัส และยังแสดงผลข้างเคียงเพียงเล็กน้อย

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 13 กันยายน 2564)

ยาสำหรับรักษาผู้ป่วยโควิด-19: ยาโซโทรวิแมบ

สถานที่ด้านการวิจัยและบริษัทยาทั่วโลกกำลังทำการทดลองทางคลินิกเกี่ยวกับยาใหม่ ๆ ที่คาดว่าจะใช้ได้ผลกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ความสนใจมุ่งไปที่ว่ายาเหล่านี้จะนำไปสู่การรักษาแบบใหม่ได้หรือไม่ เราจะนำเสนอข้อมูลของยาสำหรับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยครั้งนี้เป็นเรื่องของยาชนิดใหม่ที่ชื่อโซโทรวิแมบ

รัฐบาลญี่ปุ่นได้รับรองให้ใช้ยา 4 ชนิดเพื่อรักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ขณะนี้รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณายาชนิดใหม่ที่พัฒนาโดยผู้ผลิตยาหลายแห่งซึ่งรวมถึงบริษัทแกล็กโซสมิธไคลน์ของอังกฤษ

ยาชนิดใหม่นี้คือยาโซโทรวิแมบซึ่งเป็นสารภูมิต้านทานที่สามารถลบล้างฤทธิ์ของไวรัส ผู้ป่วยจะได้รับยานี้ผ่านการให้ยาทางหลอดเลือด และเป็นที่ทราบกันว่ายานี้จะไปหยุดยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัส มีการใช้ยาดังกล่าวกับผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลางซึ่งไม่จำเป็นต้องให้ออกซิเจน แต่เป็นผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงว่าอาการอาจย่ำแย่ลง

ผลการทดลองทางคลินิกที่ดำเนินการในต่างประเทศแสดงให้เห็นว่า การรักษาด้วยยานี้ลดความเสี่ยงของการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรือการเสียชีวิตลงได้สูงสุดถึงร้อยละ 79

เมื่อวันที่ 6 กันยายน บริษัทแกล็กโซสมิธไคลน์ได้ยื่นเรื่องให้กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นรับรองการใช้ยานี้ในญี่ปุ่น

ที่สหรัฐนั้น ยาโซโทรวิแมบได้รับการอนุมัติให้ใช้เป็นกรณีฉุกเฉินเมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2564

คาดว่ายาโซโทรวิแมบจะได้รับการอนุมัติจากกระทรวงสาธารณสุขของญี่ปุ่นในช่วงสิ้นเดือนกันยายนปีนี้ ถือเป็นยาที่ 2 ที่ได้รับการรับรองในญี่ปุ่นสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อย โดยยาอีกชนิดหนึ่งที่ได้รับการรับรองคือยาโรนาพรีฟ ซึ่งเป็นยาที่ใช้ในการรักษาด้วยวิธีค็อกเทลแอนติบอดี

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 10 กันยายน 2564)

ยาสำหรับรักษาผู้ป่วยโควิด-19: การรักษาด้วยวิธีค็อกเทลแอนติบอดี

สถานที่ด้านการวิจัยและบริษัทยาทั่วโลกกำลังทำการทดลองทางคลินิกเกี่ยวกับยาใหม่ ๆ ที่คาดว่าจะใช้ได้ผลกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ความสนใจมุ่งไปที่ว่ายาเหล่านี้จะนำไปสู่การรักษาแบบใหม่ได้หรือไม่ เราจะนำเสนอข้อมูลของยาสำหรับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยครั้งนี้เป็นเรื่องของการรักษาด้วยวิธีค็อกเทลแอนติบอดี

รัฐบาลญี่ปุ่นได้รับรองให้ใช้ยา 4 ชนิดเพื่อรักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยสิ่งที่เรียกว่า “การรักษาด้วยค็อกเทลแอนติบอดี” นั้นได้รับการรับรองเมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2564

ผู้ป่วยจะได้รับยาสร้างสารภูมิต้านทาน 2 ชนิดร่วมกันได้แก่ ยาคาซิริวิแมบและอิมเดวิแมบ โดยจะให้ยาผ่านทางเส้นเลือด นี่ถือเป็นการรักษาแรกที่ได้รับการรับรองในญี่ปุ่นสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไม่หนัก และเป็นที่ทราบกันว่ายาดังกล่าวจะไปหยุดยั้งไวรัส

ผลการทดลองทางคลินิกที่ดำเนินการในต่างประเทศแสดงให้เห็นว่าการรักษาแบบนี้ช่วยลดความเสี่ยงของการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรือการเสียชีวิตลงราวร้อยละ 70 หากมีการใช้ยาดังกล่าวกับผู้ป่วยในระยะแรก ๆ ของอาการป่วย

คณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐ หรือ FDA ได้อนุญาตให้ใช้การรักษาเช่นนี้เป็นกรณีฉุกเฉินเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2563 โดยระบุว่าเป็นวิธีที่มีประสิทธิผลในระดับหนึ่ง ในการป้องกันผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงว่าอาการจะย่ำแย่ลงไม่ให้ป่วยหนัก

การรักษาด้วยวิธีค็อกเทลแอนติบอดีนี้นำมาใช้เมื่อเดือนตุลาคมปี 2563 เพื่อรักษานายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในตอนนั้น หลังจากที่เขาตรวจพบว่าติดเชื้อและเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล

เดิมกระทรวงสาธารณสุขของญี่ปุ่นได้จำกัดการใช้ค็อกเทลแอนติบอดีแก่ผู้ป่วยในโรงพยาบาลเท่านั้น โดยระบุว่าผู้ป่วยเหล่านี้ต้องมีผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ดูแลทั้งระหว่างการรักษาและหลังจากนั้น แต่การติดเชื้อที่เพิ่มมากขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้พบว่า ผู้ป่วยจำนวนมากไม่สามารถเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลได้ ทางกระทรวงจึงแก้ไขแนวทางเมื่อวันที่ 13 สิงหาคมเพื่อให้สามารถใช้ค็อกเทลแอนติบอดีแก่ผู้ป่วยที่กักตัวอยู่ที่โรงแรมและสถานที่ชั่วคราวด้านการแพทย์ โดยมีเงื่อนไขว่าผู้ป่วยเหล่านี้ได้รับการดูแลอย่างเพียงพอ

เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม นายซูงะ โยชิฮิเดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้กล่าวที่การแถลงข่าวว่า ตนจะอนุญาตให้ใช้ค็อกเทลแอนติบอดีแก่ผู้ป่วยนอกด้วยเช่นกัน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 9 กันยายน 2564)

ยาสำหรับรักษาผู้ป่วยโควิด-19: ยาบาริซิทินิบ

สถานที่ด้านการวิจัยและบริษัทยาทั่วโลกกำลังทำการทดลองทางคลินิกเกี่ยวกับยาใหม่ ๆ ที่คาดว่าจะใช้ได้ผลกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ความสนใจมุ่งไปที่ว่ายาเหล่านี้จะนำไปสู่การรักษาแบบใหม่ได้หรือไม่ เราจะนำเสนอข้อมูลของยาสำหรับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยครั้งนี้คือยาบาริซิทินิบ

รัฐบาลญี่ปุ่นได้รับรองให้ใช้ยา 4 ชนิดเพื่อรักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ในบรรดายาดังกล่าวคือยาบาริซิทินิบซึ่งเป็นยาต้านการอักเสบที่รู้จักกันว่าใช้สำหรับรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ยานี้ได้รับการรับรองให้ใช้เมื่อเดือนเมษายนปี 2564 ยาบาริซิทินิบเป็นยาเม็ดและอนุญาตให้ใช้ร่วมกับยาเรมเดซิเวียร์เท่านั้น เพื่อรักษาผู้ป่วยที่มีอาการปานกลางหรืออาการหนัก

การทดลองทางคลินิกในระดับนานาชาติพบว่ายาบาริซิทินิบเมื่อใช้ร่วมกับยาเรมเดซิเวียร์ ผู้ป่วยจะฟื้นตัวเร็วกว่า 1 วันโดยเฉลี่ย เมื่อเทียบกับการใช้ยาเรมเดซิเวียร์เพียงอย่างเดียว

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 8 กันยายน 2564)

ยาสำหรับรักษาผู้ป่วยโควิด-19: ยาเดกซาเมทาโซน

สถานที่ด้านการวิจัยและบริษัทยาทั่วโลกกำลังทำการทดลองทางคลินิกเกี่ยวกับยาใหม่ ๆ ที่คาดว่าจะใช้ได้ผลกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ความสนใจมุ่งไปที่ว่ายาเหล่านี้จะนำไปสู่การรักษาแบบใหม่ได้หรือไม่ เราจะนำเสนอข้อมูลของยาสำหรับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยครั้งนี้จะมุ่งเน้นไปที่ยาเดกซาเมทาโซน

รัฐบาลญี่ปุ่นได้รับรองให้ใช้ยา 4 ชนิดเพื่อรักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2563 กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการได้แนะนำให้ยาเดกซาเมทาโซนเป็นทางเลือกหนึ่งของการรักษาผู้ติดเชื้อไวรัสนี้

ยาเดกซาเมทาโซนซึ่งเป็นยากลุ่มสเตียรอยด์มีประสิทธิผลต่ออาการแพ้และช่วยบรรเทาอาการอักเสบ ที่ผ่านมามีการใช้ยานี้เพื่อรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์และอาการปอดอักเสบรุนแรง

การทดลองทางคลินิกในอังกฤษได้พิสูจน์แล้วว่ายาเดกซาเมทาโซนช่วยลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตในกลุ่มผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการหนัก ในญี่ปุ่นนั้น มีการใช้ยานี้ร่วมกับยาเรมเดซิเวียร์อย่างกว้างขวาง คณะผู้เชี่ยวชาญระบุว่าการรักษาแบบนี้ช่วยให้อัตราการเสียชีวิตลดลงอย่างมาก หลังจากการระบาดระลอกแรกเมื่อช่วงต้นปี 2563

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 7 กันยายน 2564)

ยาสำหรับรักษาผู้ป่วยโควิด-19: ยาเรมเดซิเวียร์

สถานที่ด้านการวิจัยและบริษัทยาทั่วโลกกำลังทำการทดลองทางคลินิกเกี่ยวกับยาใหม่ ๆ ที่คาดว่าจะใช้ได้ผลกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ความสนใจมุ่งไปที่ว่ายาเหล่านี้จะนำไปสู่การรักษาแบบใหม่ได้หรือไม่ เราจะนำเสนอข้อมูลของยาแต่ละชนิดโดยครั้งนี้จะมุ่งเน้นไปที่ยาเรมเดซิเวียร์

รัฐบาลญี่ปุ่นได้รับรองให้ใช้ยา 4 ชนิดเพื่อรักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยยาเรมเดซิเวียร์ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสได้รับการรับรองพิเศษเพื่อใช้เป็นกรณีฉุกเฉินเมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2563 ถือเป็นยาชนิดแรกจาก 4 ชนิดที่ผ่านการรับรองอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลญี่ปุ่น

เดิมยาเรมเดซิเวียร์ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อรักษาผู้ที่ติดเชื้อไวรัสอีโบลา โดยจะใช้วิธีการหยดยาเข้าหลอดเลือด ที่ผ่านมามีการจำกัดการใช้ยานี้กับผู้ป่วยที่มีอาการหนัก ยกตัวอย่างเช่นผู้ที่กำลังใช้เครื่องช่วยหายใจ หรือผู้ที่ใช้เครื่อง ECMO เพื่อพยุงการทำงานของปอดและหัวใจ เป็นต้น แต่เมื่อเดือนมกราคมปี 2564 รัฐบาลญี่ปุ่นได้รับรองให้ใช้ยานี้กับผู้ป่วยที่มีอาการระดับปานกลางซึ่งเกิดอาการปอดอักเสบ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 6 กันยายน 2564)

กฎเกณฑ์เกี่ยวกับว่าจะตัดสินใจอย่างไรในกรณีที่ต้องปิดห้องเรียน

ครั้งนี้เป็นหัวข้อเกี่ยวกับการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในกลุ่มเด็ก ๆ ในญี่ปุ่น เราจะมุ่งเน้นไปที่แนวทางของกระทรวงศึกษาธิการ วัฒนธรรม กีฬา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของญี่ปุ่นในประเด็นเรื่อง “กฎเกณฑ์เกี่ยวกับว่าจะตัดสินใจอย่างไรในกรณีที่ต้องปิดห้องเรียน”

นับจนถึงปัจจุบัน เมื่อเกิดกรณีที่เด็กนักเรียนหรือเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ การตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับคณะกรรมการการศึกษาว่าจะปิดห้องเรียนนั้นหรือไม่ หลังจากได้รับคำแนะนำจากศูนย์สาธารณสุขซึ่งได้ศึกษาสถานการณ์และระบุผู้ที่มีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อได้แล้ว

อย่างไรก็ตาม มีความกังวลเพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับความล่าช้าในการทำงานของศูนย์สาธารณสุขแห่งต่าง ๆ ซึ่งอยู่ภายใต้ภาวะบีบคั้นอย่างมากในพื้นที่ที่มีการประกาศใช้ภาวะฉุกเฉิน กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการของญี่ปุ่นได้หารือกันในประเด็นดังกล่าวและจัดทำเกณฑ์การตัดสินใจที่เฉพาะเจาะจง

เกณฑ์ดังกล่าวกำหนดขั้นตอนเฉพาะเจาะจงว่าโรงเรียนควรรับมืออย่างไรเมื่อมีการยืนยันผู้ติดเชื้อและโรงเรียนต้องจัดทำรายชื่อของผู้ที่มีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ หรือผู้ที่ควรไปตรวจหาเชื้อไวรัส

กฎเกณฑ์นี้ระบุว่าหากการระบุชื่อผู้ที่ต้องไปตรวจหาเชื้อไวรัสนั้นเป็นเรื่องยาก เด็กนักเรียนทุกคนในชั้นเรียนก็ควรไปตรวจหาเชื้อไวรัส

แนวทางดังกล่าวระบุว่าควรปิดห้องเรียนเมื่อเกิดกรณีต่าง ๆ ได้แก่ มีเด็กนักเรียนหลายคนในห้องเรียนเดียวกันได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อ

มีเด็กนักเรียนเพียงคนเดียวที่ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อแต่มีความกังวลอย่างมากว่าเชื้อไวรัสจะแพร่ระบาดไปทั่วห้องเรียน เช่น มีเด็กคนอื่นอีกหลายคนที่แสดงอาการคล้ายกับไข้หวัด หรือมีเด็กนักเรียนหลายคนที่ได้รับการยืนยันว่ามีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ การปิดห้องเรียนดังกล่าวควรปิดนานประมาณ 5 ถึง 7 วัน

นอกจากนี้ แนวทางนี้ระบุว่าหากมีหลายห้องเรียนที่จำต้องปิดและมีความเป็นไปได้สูงที่ไวรัสได้แพร่ระบาดไปทั่วชั้นเรียน ก็ควรปิดห้องเรียนทั้งหมดของชั้นเรียนนั้น ๆ และว่าหากมีหลายชั้นเรียนต้องปิด ก็ควรปิดทั้งโรงเรียนเป็นการชั่วคราว

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 3 กันยายน 2564)

การแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลตาอาจทำให้เด็ก ๆ ติดเชื้อกันมากขึ้นหรือไม่

ครั้งนี้เป็นหัวข้อเกี่ยวกับการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในกลุ่มเด็ก ๆ ในญี่ปุ่น คำถามก็คือเด็ก ๆ น่าจะติดเชื้อกันมากขึ้นหรือไม่ เนื่องจากไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตากลายเป็นสายพันธุ์ที่แพร่ระบาดอยู่ในญี่ปุ่นขณะนี้

คณะนักวิจัยที่สถาบันโรคติดเชื้อแห่งชาติได้วิเคราะห์ข้อมูลของผู้ติดเชื้อทั้งหมดในญี่ปุ่นนับตั้งแต่เดือนเมษายนโดยดูจากกลุ่มอายุ พวกเขาพบว่าสัดส่วนผู้ติดเชื้อที่เป็นวัยรุ่นอายุ 18 ปีหรือต่ำกว่านั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปนับจนถึงเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ไวรัสสายพันธุ์เดลตากลายเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดอยู่ในญี่ปุ่นแล้ว

การวิจัยนี้ไม่ได้รวมผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป เนื่องจากการติดเชื้อในกลุ่มคนอายุนี้ลดลงไปแล้วเพราะการฉีดวัคซีน คณะนักวิจัยระบุว่าผลที่ได้แสดงให้เห็นเป็นนัยว่าเราไม่สามารถกล่าวได้ว่าไวรัสสายพันธุ์เดลตาทำให้เด็ก ๆ ติดเชื้อได้ง่ายขึ้นเป็นพิเศษ

เราได้สอบถามคุณวากิตะ ทากาจิ ผู้อำนวยการสถาบันโรคติดเชื้อแห่งชาติและประธานคณะผู้เชี่ยวชาญด้านการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่น คุณวากิตะกล่าวว่าจำนวนเด็กติดเชื้อที่เพิ่มมากขึ้นนั้นเป็นเพราะกรณีติดเชื้อโดยรวมกำลังเพิ่มขึ้น และกลุ่มผู้ใหญ่ซึ่งติดเชื้อมาจากนอกบ้านกำลังแพร่เชื้อให้แก่เด็กซึ่งอยู่ที่บ้าน

เขากล่าวว่าเขาคาดว่าสถานการณ์การติดเชื้ออาจจะไม่เหมือนกรณีของไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลที่เกิดการติดเชื้อในกลุ่มเด็ก ๆ อย่างต่อเนื่อง

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 2 กันยายน 2564)

ยิ่งเป็นเด็กในกลุ่มอายุที่โตกว่า การติดเชื้อที่โรงเรียนก็มีอัตราสูงขึ้นด้วย

ครั้งนี้เป็นหัวข้อเกี่ยวกับการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในกลุ่มเด็ก ๆ ในญี่ปุ่น รายงานเมื่อไม่นานมานี้ของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการแสดงให้เห็นว่ายิ่งเป็นเด็กในกลุ่มอายุที่โตกว่า การติดเชื้อที่โรงเรียนก็มีอัตราสูงขึ้นด้วย

เจ้าหน้าที่ของทางกระทรวงได้วิเคราะห์ข้อมูลจากเด็กราว 6,600 คนซึ่งมีอายุตั้งแต่ 3 ขวบไปจนถึง 18 ปี ที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ระหว่างเดือนเมษายนถึงปลายเดือนกรกฎาคมปี 2564 และเป็นกลุ่มที่สามารถตรวจติดตามเส้นทางการติดเชื้อได้

เจ้าหน้าที่ได้วิเคราะห์โดยอิงจากตัวเลขที่ได้จากระบบของทางกระทรวงซึ่งเป็นระบบที่รวบรวมข้อมูลของผู้ติดเชื้อเข้าไว้ด้วยกัน มีการรายงานผลดังกล่าวต่อที่ประชุมคณะผู้เชี่ยวชาญของทางกระทรวง เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม

รายงานดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าในกลุ่มเด็กอายุระหว่าง 3 ถึง 5 ขวบ ร้อยละ 59.8 ติดเชื้อที่บ้าน ร้อยละ 19.8 ติดเชื้อที่สถานรับเลี้ยงเด็กหรือสถานที่ด้านสวัสดิการของเด็ก และร้อยละ 15.9 ติดเชื้อที่โรงเรียนหรือโรงเรียนอนุบาล ในกลุ่มเด็กอายุระหว่าง 6-12 ปี ร้อยละ 76.6 ติดเชื้อที่บ้าน ร้อยละ 14.6 ติดเชื้อที่โรงเรียน

รายงานระบุว่าในกลุ่มเด็กอายุระหว่าง 13-15 ปี ร้อยละ 60 ติดเชื้อที่บ้าน ร้อยละ 33 ติดเชื้อที่โรงเรียน และในกลุ่มเด็กที่มีอายุระหว่าง 16-18 ปีซึ่งเป็นกลุ่มอายุมากสุดนั้น ร้อยละ 45.7 ติดเชื้อที่โรงเรียน ขณะที่ร้อยละ 39.4 ติดเชื้อที่บ้าน

อย่างไรก็ตาม รายงานระบุว่าผู้วิเคราะห์ข้อมูลสามารถตรวจสอบว่าเด็ก ๆ ติดเชื้ออย่างไรได้แค่ไม่ถึงร้อยละ 20 จากกรณีติดเชื้อทั้งหมด แต่รายงานระบุว่าดูเหมือนมีแนวโน้มว่ายิ่งเด็กมีอายุมากกว่า การติดเชื้อที่โรงเรียนก็มีสัดส่วนมากกว่าด้วย

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 1 กันยายน 2564)

มุมมองของสมาคมกุมารเวชศาสตร์และสมาคมกุมารแพทย์แห่งญี่ปุ่นเกี่ยวกับกิจกรรมของโรงเรียน

ครั้งนี้เป็นหัวข้อเกี่ยวกับการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในกลุ่มเด็ก ๆ ในขณะที่การติดโควิด-19 ในญี่ปุ่นกำลังเพิ่มสูงขึ้นในกลุ่มเด็ก ๆ นั้น สมาคมกุมารเวชศาสตร์แห่งญี่ปุ่นและสมาคมกุมารแพทย์แห่งญี่ปุ่นได้จัดประชุมทางออนไลน์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม และนำเสนอมุมมองของทางกลุ่มเกี่ยวกับกิจกรรมของโรงเรียน

พวกเขากล่าวว่าไวรัสชนิดกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตาที่ติดต่อได้ง่ายมากนั้นกลายเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดอยู่และมีเด็กจำนวนมากขึ้นที่ติดเชื้อ พวกเขาได้แสดงความกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับผู้ติดเชื้อที่เพิ่มจำนวนขึ้นตามโรงเรียนต่าง ๆ และระบุถึงความจำเป็นในการดำเนินมาตรการต้านการติดเชื้ออย่างถี่ถ้วนตามสถานที่ทั้งหลายซึ่งรวมถึงโรงเรียนกวดวิชาด้วย

พวกเขากล่าวว่าโรงเรียนทั้งหมดทั่วญี่ปุ่นไม่จำเป็นต้องปิดเรียนในช่วงเดียวกัน และควรพิจารณาสถานการณ์ของแต่ละพื้นที่ในการปิดเรียนหรือการให้นักเรียนมาโรงเรียนในช่วงเวลาที่ต่างกัน โดยบรรดากุมารแพทย์ขอให้ทางการนำเสนอระยะเวลาและมาตรฐานที่ชัดเจนในการดำเนินมาตรการ โดยระบุว่าพ่อแม่บางคนจะต้องลางานหากโรงเรียนประถมศึกษาปิดทำการ ดังนั้นการสนับสนุนและความเข้าใจจากที่ทำงานจึงเป็นสิ่งจำเป็น

พวกเขากล่าวว่าเนื่องจากการติดเชื้อในกลุ่มเด็กอายุ 10 ปีขึ้นไปนั้นคล้ายคลึงกับกลุ่มผู้ใหญ่ ดังนั้นควรใช้วิธีการศึกษาทางไกล โดยเฉพาะโรงเรียนมัธยมปลาย

หน้ากากอนามัยแบบใช้แล้วทิ้งที่ไม่ได้ทำจากผ้า มีความสำคัญในการป้องกันการแพร่กระจายของไวรัส แต่เนื่องจากต้องใช้หน้ากากเหล่านี้ในปริมาณมาก กลุ่มกุมารแพทย์ 2 กลุ่มนี้ระบุว่าควรพิจารณาแนวคิดที่จะมอบหน้ากากอนามัยให้แก่เด็ก ๆ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของครัวเรือน

คุณโอกะ อากิระ ประธานสมาคมกุมารเวชศาสตร์แห่งญี่ปุ่นกล่าวว่าเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งในการคงชีวิตในโรงเรียนไว้เพื่อเด็ก ๆ เขากล่าวว่าหากมีการดำเนินมาตรการอย่างเช่นการปิดโรงเรียน ก็ต้องมีการกำหนดมาตรฐานที่แตกต่างกันสำหรับโรงเรียนประถม มัธยมต้น และมัธยมปลาย

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2564)

มาตรการรับมือพื้นฐานสำหรับโรงเรียนในการจัดการกับการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

ครั้งนี้เป็นหัวข้อเกี่ยวกับการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในกลุ่มเด็ก ๆ ในขณะที่การติดโควิด-19 ในญี่ปุ่นกำลังเพิ่มสูงขึ้นในกลุ่มเด็ก ๆ นั้น สถาบันโรคติดเชื้อแห่งชาติของญี่ปุ่นได้เผยแพร่รายงานเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม โดยสรุปมาตรการรับมือพื้นฐานสำหรับโรงเรียนทั้งหลายในการจัดการกับการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

รายงานนี้อิงจากการสำรวจของทางสถาบันที่เก็บข้อมูลจากการติดเชื้อแบบเป็นกลุ่มที่เกิดขึ้นภายในโรงเรียน

ในประเด็นที่เกี่ยวกับการระบาดของไวรัสชนิดกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตานั้น รายงานระบุว่าขณะที่จำนวนของกรณีติดเชื้อดูเหมือนว่าจะเพิ่มขึ้นในกลุ่มเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 19 ปี แต่มีหลายกรณีในโรงเรียนประถมศึกษาที่เป็นการติดเชื้อแบบกลุ่มขนาดใหญ่ที่แพร่เชื้อโดยครู ขณะที่การแพร่ระบาดในกลุ่มเด็กนักเรียนนั้น ไม่มีการติดเชื้อแบบกลุ่มขนาดใหญ่

รายงานแนะนำให้โรงเรียนทั้งหมดซึ่งรวมถึงสถานรับเลี้ยงเด็ก โรงเรียนอนุบาลและมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ตลอดจนโรงเรียนกวดวิชา คอยสอดส่องกิจกรรมของนักเรียนด้วยการตรวจสภาพร่างกายของนักเรียนทุกคน

โรงเรียนต้องดำเนินมาตรการถี่ถ้วนด้วยการตรวจติดตามคนที่รู้สึกไม่สบายและสอบถามเด็กที่ขาดเรียนและติดตามกิจกรรมของเด็กเหล่านี้ขณะอยู่ที่บ้าน นอกจากนี้ ยังแนะนำครูทุกคนที่ไม่มีปัญหาสุขภาพแบบเฉพาะเจาะจงให้เข้ารับการฉีดวัคซีน

รายงานยังแนะนำให้โรงเรียนทั้งหลายพิจารณาว่าจะเลื่อนหรือยกเลิกกิจกรรมของโรงเรียน เช่น เทศกาลโรงเรียนหรืองานกีฬาที่มองว่ามีความเสี่ยงสูงในการสร้างสภาวะแวดล้อมที่มีผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกัน

สำหรับกิจกรรมชมรมของโรงเรียนที่ต้องเดินทางไปยังจังหวัดอื่น รายงานแนะนำให้นักเรียนเข้ารับการตรวจ PCR ภายใน 3 วันก่อนออกเดินทาง นอกจากนี้ ยังแนะนำให้โรงเรียนใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ที่รวมถึงการใช้การเรียนการสอนออนไลน์ การจัดตั้งระบบตรวจก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อให้โรงเรียนมีการระบายอากาศได้ดี ตลอดจนการใช้แอปพลิเคชันเพื่อตรวจสภาพร่างกายของนักเรียน รวมถึงการตรวจแอนติเจน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 30 สิงหาคม 2564)

สิ่งที่ดูเหมือนเป็นปัจจัยร่วมซึ่งพบในการติดเชื้อแบบกลุ่มตามสถานที่ด้านการค้าขนาดใหญ่

สถาบันโรคติดเชื้อแห่งชาติของญี่ปุ่นได้ส่งคณะผู้เชี่ยวชาญไปยังห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้าที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เพื่อช่วยสถานที่เหล่านี้ตรวจสอบว่าทำไมการติดเชื้อจึงระบาดในกลุ่มพนักงานของสถานที่ดังกล่าว

แม้ว่าบรรดาห้างร้านเหล่านี้ระบุว่าพวกตนกำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบสาเหตุของการติดเชื้อแบบเป็นกลุ่ม และสถานที่แต่ละแห่งก็กำลังเพิ่มความเข้มงวดในการดำเนินมาตรการต้านเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ แต่คณะผู้เชี่ยวชาญได้จัดทำรายงานเกี่ยวกับปัจจัยสำคัญซึ่งพบว่าเป็นปัจจัยร่วมในสถานที่ทั้งหมดเหล่านี้ และได้เสนอมาตรการเพื่อป้องกันการติดเชื้อ

รายงานระบุว่าพนักงานส่วนใหญ่สวมหน้ากากป้องกันอย่างเหมาะสม แต่ต้องปรับปรุงเรื่องการล้างมือ และว่ามีช่วงเวลาหลายชั่วโมงที่ลูกค้าหนาแน่นในบางชั้น

รายงานยังระบุด้วยว่ามีหลายกรณีที่การตรวจติดตามการมีปฏิสัมพันธ์กับพนักงานที่ติดเชื้อนั้นไม่ได้ดำเนินการอย่างเต็มที่ และการมีปฏิสัมพันธ์เช่นว่านี้ไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม

นอกจากนี้ รายงานระบุว่าในบางกรณี พนักงานมารวมตัวกันอย่างใกล้ชิดที่ห้องรับประทานอาหารหรือบริเวณพักผ่อน

รายงานขอให้จำกัดการสัญจรของผู้คนหรือจำนวนของลูกค้าในสถานที่ที่มีแนวโน้มว่าคนเหล่านี้จะมารวมตัวกัน และยังแนะนำบรรดาห้างร้านให้หาแนวทางที่จะระบายอากาศให้ดียิ่งขึ้นด้วยการวัดความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ และขอให้พนักงานไม่พูดคุยกันขณะที่รับประทานอาหารในห้องรับประทานอาหารและบริเวณพักผ่อน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 27 สิงหาคม 2564)

อาการต่าง ๆ ที่หญิงตั้งครรภ์ซึ่งติดโควิด-19 ควรติดต่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขหรือเรียกรถพยาบาล

ท่ามกลางกรณีติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในญี่ปุ่น จำนวนของหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ในจังหวัดชิบะซึ่งอยู่ติดกรุงโตเกียว ทารกที่คลอดก่อนกำหนดเสียชีวิตหลังจากที่คุณแม่ซึ่งติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ จำต้องคลอดที่บ้านเนื่องจากไม่มีโรงพยาบาลที่จะรับตัวเธอ

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ สมาคมสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยารวมถึงสมาคมสูติแพทย์และนรีแพทย์แห่งญี่ปุ่น ได้รวบรวมแนวทางเกี่ยวกับอาการต่าง ๆ ที่หญิงตั้งครรภ์ต้องติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข หรือเรียกรถพยาบาล แนวทางดังกล่าวเผยแพร่ไว้ในเว็บไซต์ของสมาคมเหล่านี้

แนวทางนี้แนะนำหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่และพักอยู่ที่บ้าน ให้ติดต่อแพทย์หรือศูนย์สาธารณสุขในท้องถิ่นในกรณีดังต่อไปนี้
- เกิดอาการหายใจลำบากมากกว่า 2 ครั้งใน 1 ชั่วโมง
- เมื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น เดินไปห้องน้ำ แล้วรู้สึกหายใจติดขัด
- อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้นเป็น 110 ครั้งต่อนาที หรือมากกว่านั้น หรืออัตราการหายใจเพิ่มขึ้นเป็น 20 ครั้งต่อนาทีหรือมากกว่านั้น
- ระดับออกซิเจนในเลือดอยู่ที่ระหว่างร้อยละ 93 และ 94 และไม่กลับสู่ระดับปกติภายใน 1 ชั่วโมงของการหยุดพัก

แนวทางดังกล่าวระบุว่าควรเรียกรถพยาบาลโดยทันที หากเกิดกรณีดังต่อไปนี้
- ไม่สามารถพูดคุยได้แม้เป็นประโยคสั้น ๆ ก็ตาม เนื่องจากอาการหายใจติดขัด
- ระดับออกซิเจนในเลือดลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 92 หรือต่ำกว่านั้น

สูติแพทย์และนรีแพทย์ยังขอให้หน่วยงานของทางการช่วยย้ายหญิงตั้งครรภ์มาอยู่ที่โรงพยาบาลซึ่งมีบริการทำคลอด แม้จะเป็นหญิงตั้งครรภ์ที่เข้าข่ายกรณีข้างต้นที่ยังไม่ต้องโทรศัพท์ฉุกเฉินก็ตาม นอกจากนี้ ก็ยังขอให้หน่วยงานของทางการช่วยเหลือหญิงตั้งครรภ์ซึ่งกักตัวอยู่ที่บ้านให้สามารถตรวจวัดระดับออกซิเจนในเลือดได้เองทุกวัน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 26 สิงหาคม 2564)

สิ่งที่ควรระวังสำหรับผู้อยู่ตามลำพังซึ่งติดโควิด-19 และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกักตัวอยู่ที่บ้าน

ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในญี่ปุ่นซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการกักตัวที่บ้านนั้นมีจำนวนมาก ท่ามกลางกรณีติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อไม่นานมานี้ เราจะนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่ควรระวังสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ตามลำพังซึ่งติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกักตัวอยู่ที่บ้าน

เราได้สอบถามศาสตราจารย์มัตสึโมโตะ เท็ตสึยะ จากมหาวิทยาลัยนานาชาติด้านสุขภาพและสวัสดิการ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านมาตรการต้านโรคติดเชื้อ เขากล่าวว่าบุคคลที่ติดเชื้อและพักอาศัยอยู่คนเดียวนั้นควรติดต่ออย่างใกล้ชิดกับเพื่อนหรือสมาชิกในครอบครัว เพื่อที่พวกเขาเหล่านั้นจะได้รับรู้ว่าอาการของผู้ป่วยย่ำแย่ลงเมื่อผู้ป่วยขาดการติดต่อไป

ศาสตราจารย์มัตสึโมโตะกล่าวว่าบางคนที่มีอาการหนักขึ้น อาจจะต้องอดทนและเฝ้ารอตอนโทรศัพท์ติดต่อศูนย์สาธารณสุข เนื่องจากในแต่ละครั้งสายอาจจะไม่ว่าง เขากล่าวว่ามีความเสี่ยงที่บุคคลผู้นั้นอาจจะไม่สามารถโทรศัพท์ฉุกเฉินเองเพื่อเรียกรถพยาบาลได้หากอาการย่ำแย่ลงกว่าเดิมอีก เขากล่าวว่าเพื่อป้องกันกรณีเช่นนี้ ผู้ป่วยควรเลือกบุคคลช่วยเหลือไว้หลาย ๆ คนล่วงหน้า และขอให้พวกเขาเป็นผู้ติดต่อของตนในกรณีฉุกเฉิน

ศาสตราจารย์มัตสึโมโตะยังขอให้ผู้คนสำรองอาหาร น้ำดื่ม และยาลดไข้เอาไว้ เผื่อกรณีที่เกิดติดเชื้อและต้องกักตัวอยู่ที่บ้าน ส่วนผู้ที่ไม่ได้เตรียมการในลักษณะเช่นนี้ไว้ล่วงหน้าก่อนที่จะติดเชื้อ ก็ให้ติดต่อเพื่อนหรือสมาชิกครอบครัวและขอให้พวกเขาเหล่านั้นส่งอาหารและสิ่งของจำเป็นอื่น ๆ ไว้ที่ด้านหน้าตรงทางเข้า

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 25 สิงหาคม 2564)

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่เชื้อระหว่างกักตัวอยู่ที่บ้าน

ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในญี่ปุ่นซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการกักตัวที่บ้านนั้น มีจำนวนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ท่ามกลางกรณีติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อไม่นานมานี้

คณะผู้เชี่ยวชาญได้ระบุผ่านทางทวิตเตอร์เรื่องอาการฉุกเฉินที่ต้องได้รับการดูแลโดยทันทีและสิ่งที่สามารถทำได้เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ไปสู่สมาชิกคนอื่นในครอบครัวระหว่างที่กักตัวอยู่ที่บ้าน โดยวันนี้เราจะมุ่งเน้นไปที่วิธีป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่เชื้อไวรัสนี้ที่บ้าน

คณะอาสาสมัครด้านการแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขซึ่งเกี่ยวข้องกับความพยายามต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ระบุรายละเอียด 8 ข้อเพื่อป้องกันไม่ให้สมาชิกครอบครัวที่บ้านติดเชื้อ

1. ผู้ป่วยและสมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัวควรอยู่คนละห้องกัน
2. ทั้งผู้ป่วยและคนที่ดูแลผู้ป่วยควรสวมหน้ากากอนามัย
3. คนที่ดูแลผู้ป่วยควรจำกัดเอาไว้ที่บุคคล 1 คนเท่าที่จะเป็นไปได้
4. ทั้งผู้ป่วยและผู้ดูแลควรหมั่นล้างมือบ่อย ๆ
5. ระหว่างวันควรระบายอากาศให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
6. ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคบริเวณพื้นผิวที่ใช้งานร่วมกันซึ่งสัมผัสโดนอยู่บ่อย ๆ
7. ซักเสื้อผ้าและผ้าปูที่ปนเปื้อน
8. เมื่อนำขยะไปทิ้ง ควรมัดปากถุงให้แน่น ๆ

ทางคณะระบุว่ามีผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จำนวนมากขึ้นที่ต้องอยู่กับบ้านโดยไม่มีการติดต่อจากศูนย์สาธารณสุขหรือคำแนะนำใด ๆ จากคลินิกเกี่ยวกับสิ่งที่ควรทำ ด้วยเหตุนี้ทางคณะจึงเผยแพร่ข้อมูลเหล่านี้โดยมองว่าต้องถ่ายทอดข้อมูลที่จำเป็นออกไป

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 24 สิงหาคม 2564)

สิ่งที่ควรระวังเมื่อกักตัวอยู่ที่บ้าน

ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในญี่ปุ่นซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการกักตัวที่บ้านนั้น มีจำนวนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ท่ามกลางกรณีติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อไม่นานมานี้

คณะผู้เชี่ยวชาญได้ระบุผ่านทางทวิตเตอร์เรื่องอาการฉุกเฉินที่ต้องได้รับการดูแลโดยทันทีและสิ่งที่สามารถทำได้เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ไปสู่สมาชิกคนอื่นในครอบครัวระหว่างที่กักตัวอยู่ที่บ้าน โดยครั้งนี้เราจะมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่ควรระวังเมื่อกักตัวอยู่ที่บ้าน

เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม คณะอาสาสมัครด้านการแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขซึ่งเกี่ยวข้องกับความพยายามต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ได้โพสต์ข้อความผ่านทางทวิตเตอร์เรื่องสิ่งที่ควรระวังเมื่อกักตัวอยู่ที่บ้าน

คณะดังกล่าวระบุถึง “อาการฉุกเฉิน” 13 รายการที่เป็นเหมือนสัญญาณเตือนให้เรียกรถพยาบาล โดย 9 อาการต่อจากนี้คือสิ่งที่ผู้ป่วยควรตรวจสอบตนเอง

1. ปากเป็นสีม่วงคล้ำ
2. หายใจหอบ
3. อยู่ดี ๆ ก็เกิดหายใจติดขัด
4. หายใจติดขัดในตอนที่เคลื่อนไหวเล็กน้อย
5. เจ็บหน้าอก
6. ไม่สามารถหายใจได้เมื่อนอนลง
7. หายใจแรงจนไหล่โยก
8. อยู่ดี ๆ ก็เกิดเสียงหวีดหรือเสียงหายใจผิดปกติ
9. มีความรู้สึกว่าชีพจรเต้นผิดปกติ

นอกจากนี้ ก็ยังขอให้ครอบครัวหรือคนอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกันคอยสังเกต 4 อาการของผู้ป่วยดังต่อไปนี้

1. หน้าซีดอย่างเห็นได้ชัด
2. ลักษณะภายนอกและพฤติกรรมต่างไปจากปกติ
3. การสนองตอบที่ช้าลงเวลาเรียก
4. ไม่มีการสนองตอบเวลาเรียกและใกล้จะหมดสติ

คณะดังกล่าวระบุว่าเมื่อระบบทางการแพทย์อยู่ภายใต้ภาวะบีบคั้นอย่างหนัก อาจต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงก่อนที่จะเข้าโรงพยาบาลได้ แม้ว่าจะเรียกรถพยาบาลก็ตาม

ทางคณะแนะนำว่าเมื่อผู้ป่วยกังวลว่าอาการอาจย่ำแย่ลง ก็ควรติดต่อแพทย์ประจำตัว หรือแพทย์ผู้วินิจฉัยว่าติดเชื้อ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในท้องถิ่น หรือสายด่วนโควิด-19 ของเทศบาลท้องถิ่น

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 23 สิงหาคม 2564)

ไวรัสสายพันธุ์เดลตาแตกต่างจากสายพันธุ์แลมบ์ดาอย่างไร

ครั้งนี้เราจะมุ่งเน้นไปที่ไวรัสชนิดกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตา ไวรัสนี้ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ทั่วโลกเป็นไวรัสกลายพันธุ์ชนิดหนึ่งของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เราจะมาดูกันว่าไวรัสสายพันธุ์เดลตาแตกต่างจากสายพันธุ์แลมบ์ดา ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่อย่างไร

องค์การอนามัยโลกระบุว่าไวรัสสายพันธุ์แลมบ์ดาได้รับการยืนยันครั้งแรกในประเทศเปรูในอเมริกาใต้ เมื่อเดือนสิงหาคมปี 2563 โดยระบุว่าสายพันธุ์แลมบ์ดากำลังแพร่ระบาดโดยมากในกลุ่มประเทศอเมริกาใต้ เช่น เปรู ชิลี และเอกวาดอร์

ในเว็บไซต์ของ GISAID ซึ่งบันทึกลำดับพันธุกรรมของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ทุกสายพันธุ์ที่ตรวจพบทั่วโลกนั้นระบุว่า นับจนถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2564 มี 34 ประเทศที่รายงานไวรัสสายพันธุ์แลมบ์ดา อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากข้อมูลในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา รายงานส่วนใหญ่เกี่ยวกับไวรัสกลายพันธุ์ชนิดนี้มาจากประเทศชิลี

ไวรัสสายพันธุ์แลมบ์ดามีการกลายพันธุ์บางประการที่อาจจะทำให้ติดต่อได้ง่ายกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิม หรืออาจจะลดประสิทธิผลของสารภูมิต้านทานที่สามารถลบล้างฤทธิ์ของไวรัสได้

ด้วยเหตุนี้ องค์การอนามัยโลกจึงจัดให้สายพันธุ์แลมบ์ดาเป็นสายพันธุ์ที่ต้องจับตา แต่ปัจจุบัน สายพันธุ์แลมบ์ดาไม่ได้แพร่ระบาดเป็นวงกว้างเหมือนกับสายพันธุ์เดลตาและอัลฟา ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่องค์การอนามัยโลกจัดให้อยู่ในกลุ่มสายพันธุ์ที่น่าเป็นกังวล

สถาบันโรคติดเชื้อแห่งชาติของญี่ปุ่นยังไม่ได้จัดให้สายพันธุ์แลมบ์ดาเป็นสายพันธุ์ที่ต้องจับตา หรือเป็นสายพันธุ์ที่น่ากังวล

ทั้งนี้ ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าสายพันธุ์แลมบ์ดามีความสามารถในการติดต่อได้มากเพียงใด หรืออาจก่อให้เกิดอาการป่วยรุนแรงแค่ไหน องค์การอนามัยโลกระบุว่าจำเป็นต้องศึกษาวิจัยเพิ่มเติมว่าสายพันธุ์แลมบ์ดาส่งผลกระทบต่อมาตรการต้านไวรัสและทำให้ประสิทธิผลของวัคซีนต่าง ๆ ลดน้อยลงหรือไม่

จริง ๆ แล้วสายพันธุ์แลมบ์ดาตรวจพบก่อนสายพันธุ์เดลตา แต่สายพันธุ์เดลตาได้แพร่ระบาดไปอย่างรวดเร็วกว่า และกำลังก่อให้เกิดอันตรายในหลายประเทศ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 20 สิงหาคม 2564)

ประสิทธิผลของวัคซีนที่มีต่อไวรัสสายพันธุ์เดลตา

ครั้งนี้เราจะมุ่งเน้นไปที่ไวรัสชนิดกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตา ซึ่งเป็นไวรัสกลายพันธุ์ชนิดหนึ่งของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยจะดูที่ประสิทธิผลของวัคซีนที่มีต่อไวรัสกลายพันธุ์ชนิดนี้

องค์การอนามัยโลกระบุในรายงานที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคมปี 2564 ว่า ในประเด็นที่เกี่ยวกับประสิทธิผลของวัคซีนนั้น ผลวิจัยจากห้องปฏิบัติการพบว่าปริมาณของสารภูมิต้านทานที่เกิดจากวัคซีนนั้นลดลงเมื่อรับมือกับไวรัสสายพันธุ์เดลตา

อย่างไรก็ตาม องค์การอนามัยโลกระบุว่านี่ไม่ได้หมายความว่าสิ่งนี้ทำให้ประสิทธิผลของวัคซีนลดลง เนื่องจากวัคซีนที่พัฒนาขึ้นในปัจจุบันนั้นได้พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิผลสูง

องค์การอนามัยโลกระบุว่ากรณีของวัคซีนแอสตราเซเนกาหรือวัคซีนไฟเซอร์นั้น การประเมินเชิงเปรียบเทียบระหว่างไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตากับสายพันธุ์อัลฟาพบว่า ประสิทธิผลของวัคซีนในการป้องกันไม่ให้เกิดอาการหรือการแพร่เชื้อ หากเป็นสายพันธุ์เดลตาจะอยู่ในระดับต่ำกว่าเมื่อเทียบกับสายพันธุ์อัลฟา แต่ไม่พบความแตกต่างใหญ่โตระหว่าง 2 วัคซีนนี้ในการป้องกันไม่ให้เกิดอาการหนัก

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 19 สิงหาคม 2564)

ไวรัสสายพันธุ์เดลตาทำให้เกิดอาการป่วยหนักมากกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิมหรือไม่

ไวรัสชนิดกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตาเป็นไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์ที่ติดต่อกันได้ง่ายมาก ซึ่งปัจจุบันกำลังแพร่ระบาดอยู่ทั่วโลก ครั้งนี้เราจะนำเสนอเกี่ยวกับไวรัสสายพันธุ์เดลตา โดยจะมุ่งเน้นไปที่ว่าสายพันธุ์เดลตานั้นทำให้เกิดอาการป่วยหนักมากกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิมหรือไม่

ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าสายพันธุ์เดลตาทำให้เกิดอาการป่วยหนักมากกว่าเดิมหรือไม่ อย่างไรก็ตาม องค์การอนามัยโลกระบุว่าผลการวิจัยในแคนาดาซึ่งวิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่กว่า 200,000 คนพบว่า สายพันธุ์เดลตาทำให้ความเสี่ยงที่จะเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเพิ่มมากขึ้น 2.2 เท่า ส่วนความเสี่ยงที่จะเข้าห้องไอซียูเพิ่มขึ้น 3.87 เท่า และความเสี่ยงเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 2.37 เท่าเมื่อเทียบกับสายพันธุ์ดั้งเดิม

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 18 สิงหาคม 2564)

ไวรัสสายพันธุ์เดลตาทำให้การติดเชื้อเป็นไปอย่างไร

ไวรัสชนิดกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตาเป็นไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์ที่ติดต่อกันได้ง่ายมาก ซึ่งปัจจุบันกำลังแพร่ระบาดอยู่ทั่วโลก ครั้งนี้เราจะนำเสนอเกี่ยวกับไวรัสสายพันธุ์เดลตา โดยจะมุ่งเน้นไปที่ว่าสายพันธุ์ดังกล่าวทำให้การติดเชื้อเป็นไปอย่างไร

องค์การอนามัยโลกระบุว่ามีการรายงานสายพันธุ์เดลตาครั้งแรกในอินเดียเมื่อเดือนตุลาคมปี 2563 และนับจากนั้นเป็นต้นมาก็มีการยืนยันสายพันธุ์ดังกล่าวทั่วโลก นับจนถึงต้นเดือนสิงหาคมปีนี้ ไวรัสสายพันธุ์เดลตาแพร่ระบาดในกว่า 130 ประเทศและดินแดน โดยองค์การอนามัยโลกจัดให้สายพันธุ์ดังกล่าวอยู่ในกลุ่มของ VOC หรือ “สายพันธุ์ที่น่าเป็นกังวล” ซึ่งดูเหมือนว่ามีแนวโน้มจะเป็นอันตรายมากที่สุดในบรรดาไวรัสชนิดกลายพันธุ์ซึ่งเป็นที่รู้จักทั้งหมด

เชื่อกันว่าสายพันธุ์เดลตาติดต่อกันได้ง่ายกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิมและสายพันธุ์อัลฟาซึ่งตรวจพบครั้งแรกในอังกฤษ ผลการวิจัยที่นำเสนอในการประชุมของคณะผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม ระบุว่าไวรัสสายพันธุ์เดลตามีความสามารถในการติดต่อได้มากกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิม 1.87 เท่า และมากกว่าสายพันธุ์อัลฟา 1.3 เท่า ส่วนผลวิจัยอื่น ๆ ทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศก็แสดงให้เห็นเช่นกันว่าสายพันธุ์เดลตามีความสามารถในการติดต่อที่มากกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิมราว 2 เท่า และมากกว่าสายพันธุ์อัลฟาราว 1.5 เท่า

องค์การอนามัยโลกยังระบุด้วยว่างานวิจัยของคณะนักวิทยาศาสตร์จีนแสดงให้เห็นว่า ปริมาณของไวรัสที่พบในผู้ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตานั้นมากกว่าผู้ที่ติดเชื้อสายพันธุ์ดั้งเดิม 1,200 เท่า งานวิจัยดังกล่าวอาจเป็นความเกี่ยวข้องบางประการของความสามารถในการติดเชื้อที่สูงของสายพันธุ์เดลตา

สถาบันโรคติดเชื้อแห่งชาติของญี่ปุ่นประมาณการเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคมว่า กรณีติดเชื้อในกรุงโตเกียวและอีก 3 จังหวัดโดยรอบ ได้แก่ ไซตามะ ชิบะ และคานางาวะ นับจนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคมนั้น ราวร้อยละ 80 เป็นการติดเชื้อสายพันธุ์เดลตา ขณะที่ในจังหวัดโอซากา เกียวโต และเฮียวโงะนั้น การติดเชื้อราวร้อยละ 40 เป็นการติดเชื้อสายพันธุ์ดังกล่าว

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 17 สิงหาคม 2564)

วัคซีนเข็มที่ 3 จำเป็นหรือไม่รวมถึงประสิทธิผลของการฉีดเข็มดังกล่าว ตอนที่ 5

มีความเคลื่อนไหวในบางประเทศในการพิจารณาเรื่องฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 วันนี้เราจะตอบคำถามเกี่ยวกับว่าวัคซีนเข็มที่ 3 นั้นจำเป็นหรือไม่รวมถึงประสิทธิผลของการฉีดเข็มดังกล่าว โดยจะมุ่งเน้นไปที่เรื่องการใช้วัคซีนต่างชนิดกันสำหรับฉีดกระตุ้นนั้นสามารถทำได้หรือไม่

ศาสตราจารย์ฮามาดะ อัตสึโอะ จากมหาวิทยาลัยการแพทย์โตเกียวระบุว่าไม่มีกฎตายตัวว่าวัคซีนเข็มที่ 3 ควรเป็นวัคซีนชนิดเดียวกันกับเข็มแรกและเข็มที่ 2 หรือไม่

รัฐบาลอังกฤษระบุว่ากำลังอยู่ระหว่างดำเนินการทดลองทางคลินิกเพื่อตรวจสอบว่าการฉีดวัคซีนเสริม 10 ถึง 12 สัปดาห์หลังจากเข็มที่ 2 นั้นจะช่วยเสริมความเข้มแข็งให้แก่ระบบภูมิคุ้มกันของร่ายกายได้หรือไม่ โดยระบุว่ามีการนำวัคซีน 7 ชนิดมาเปรียบเทียบกันเรื่องประสิทธิผลสำหรับการใช้เป็นวัคซีนที่จะฉีดเสริม

ศาสตราจารย์ฮามาดะระบุว่าการฉีดวัคซีนต่างยี่ห้อกันระหว่างของไฟเซอร์และของโมเดอร์นานั้นไม่น่าจะมีปัญหาเนื่องจากเป็นวัคซีน mRNA ทั้งคู่ แต่เขาขอให้มีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการฉีดเข็มที่ 3 โดยให้เหตุผลว่ายังขาดข้อมูลอยู่ เขายังระบุด้วยว่ามีความจำเป็นที่จะต้องพิจารณาใช้วัคซีนที่มีอยู่หรือวัคซีนใหม่ ๆ เพื่อรับมือกับไวรัสชนิดกลายพันธุ์

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 16 สิงหาคม 2564)

วัคซีนเข็มที่ 3 จำเป็นหรือไม่รวมถึงประสิทธิผลของการฉีดเข็มดังกล่าว ตอนที่ 4

มีความเคลื่อนไหวในบางประเทศในการพิจารณาเรื่องฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 วันนี้เราจะตอบคำถามเกี่ยวกับว่าวัคซีนเข็มที่ 3 นั้นจำเป็นหรือไม่รวมถึงประสิทธิผลของการฉีดเข็มดังกล่าว โดยจะมุ่งเน้นไปที่แถลงการณ์ของโมเดอร์นาซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพของสหรัฐ

เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม โมเดอร์นาได้เผยแพร่ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับประสิทธิผลของวัคซีนและการพัฒนาวัคซีนใหม่สำหรับไวรัสชนิดกลายพันธุ์ทั้งหลาย

โมเดอร์นาระบุว่าวัคซีนเข็มที่ 3 น่าจะจำเป็นต่อผู้ที่ฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของตนไปแล้ว โดยหลัก ๆ ก็เนื่องมาจากไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตาที่ติดต่อกันได้ง่ายมาก

ทางบริษัทระบุว่าวัคซีนของตน “แสดงให้เห็นถึงประสิทธิผลที่คงอยู่ยาวนานร้อยละ 93 ในช่วง 6 เดือนหลังจากฉีดเข็มที่ 2” อย่างไรก็ตามทางบริษัทระบุว่าคาดว่าประสิทธิผลดังกล่าวจะลดลงและ “การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นมีแนวโน้มว่าจำเป็น” ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางการระบาดของไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตา

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 13 สิงหาคม 2564)

วัคซีนเข็มที่ 3 จำเป็นหรือไม่รวมถึงประสิทธิผลของการฉีดเข็มดังกล่าว ตอนที่ 3

มีความเคลื่อนไหวในบางประเทศในการพิจารณาเรื่องฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 วันนี้เราจะตอบคำถามเกี่ยวกับว่าวัคซีนเข็มที่ 3 นั้นจำเป็นหรือไม่รวมถึงประสิทธิผลของการฉีดดังกล่าว โดยจะมุ่งเน้นไปที่การทดลองทางคลินิกสำหรับวัคซีนเข็มที่ 3 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าค่าระดับของสารภูมิต้านทานเพิ่มมากขึ้น

ที่ผ่านมาบรรดาผู้ผลิตวัคซีนได้ดำเนินการทดลองทางคลินิกเพื่อตรวจสอบประสิทธิผลของการฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เข็มที่ 3 บริษัทไฟเซอร์ได้เผยแพร่ผลการทดลองทางคลินิกของตนเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคมปี 2564 โดยระบุว่าการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ทำให้ระดับสารภูมิต้านทานที่ลบล้างฤทธิ์ของไวรัสชนิดกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตาเพิ่มขึ้น 5 เท่าจากระดับที่ได้หลังฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ในกลุ่มผู้คนอายุระหว่าง 18 ถึง 55 ปี ส่วนผู้คนอายุระหว่าง 65 ถึง 85 ปี ระดับของสารภูมิต้านทานดังกล่าวเพิ่มขึ้น 11 เท่า

ศาสตราจารย์ฮามาดะ อัตสึโอะ จากมหาวิทยาลัยการแพทย์โตเกียวระบุว่าข้อมูลดังกล่าวมาจากบริษัทแค่บริษัทเดียวและจำเป็นต้องพิจารณาข้อมูลนี้อย่างรอบคอบ อย่างไรก็ตามเขากล่าวว่ามีความเป็นไปได้ที่การฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 นั้นจำเป็นเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตา

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 12 สิงหาคม 2564)

วัคซีนเข็มที่ 3 จำเป็นหรือไม่รวมถึงประสิทธิผลของการฉีดเข็มดังกล่าว ตอนที่ 2

มีความเคลื่อนไหวในบางประเทศในการพิจารณาเรื่องฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 วันนี้เราจะตอบคำถามเกี่ยวกับว่าวัคซีนเข็มที่ 3 นั้นจำเป็นหรือไม่รวมถึงการฉีดเข็มดังกล่าวมีประสิทธิผลจริงหรือไม่ โดยจะมุ่งเน้นไปที่รายงานจากอิสราเอลที่ยืนยันว่าประสิทธิผลของวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ลดลงเมื่อเวลาผ่านไป

อิสราเอลเป็นประเทศที่มีการฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้อย่างรวดเร็วที่สุดในโลก แต่นักวิจัยในอิสราเอลได้รายงานเมื่อไม่นานมานี้ว่าประสิทธิผลของวัคซีนในการป้องกันไม่ให้เกิดอาการจากการติดเชื้อนั้นลดลงจากร้อยละ 94 ในเดือนพฤษภาคมปี 2564 มาอยู่ที่ร้อยละ 64 ในเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตา

สิ่งนี้ทำให้นักวิจัยจำนวนหนึ่งในอิสราเอลเชื่อว่าประสิทธิผลของวัคซีนดังกล่าวลดลงเมื่อเวลาผ่านไป รัฐบาลอิสราเอลได้เริ่มฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ให้แก่ประชาชนเพื่อกระตุ้นการป้องกัน

ศาสตราจารย์ฮามาดะ อัตสึโอะ จากมหาวิทยาลัยการแพทย์โตเกียวซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสกลายพันธุ์ระบุว่า กล่าวกันว่าความคุ้มกันที่ได้รับจากวัคซีนที่ใช้ต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในปัจจุบันจะลดลงหลังจากช่วงประมาณ 6 เดือน เขากล่าวว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่ซึ่งใช้เทคโนโลยีที่ต่างจากวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ก็เชื่อกันว่าประสิทธิผลจะลดลงเช่นกันในช่วงประมาณ 6 เดือน

ศาสตราจารย์ฮามาดะกล่าวว่าเมื่อพิจารณาจากข้อมูลเหล่านี้แล้ว ก็เป็นเรื่องที่อาจจะเป็นไปได้ที่จะฉีดวัคซีนเข็มเพิ่มเติมตามระยะเวลาดังกล่าว

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 11 สิงหาคม 2564)

วัคซีนเข็มที่ 3 จำเป็นหรือไม่รวมถึงประสิทธิผลของการฉีดเข็มดังกล่าว ตอนที่ 1

มีความเคลื่อนไหวในบางประเทศในการพิจารณาเรื่องฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 วันนี้เราจะตอบคำถามเกี่ยวกับว่าวัคซีนเข็มที่ 3 นั้นจำเป็นหรือไม่รวมถึงประสิทธิผลของการฉีดเข็มดังกล่าว โดยจะมุ่งเน้นไปที่ประสิทธิผลของการเข้ารับวัคซีนสองครั้ง

ในบรรดาวัคซีน 3 ยี่ห้อที่ได้รับการรับรองจากญี่ปุ่นได้แก่ ไฟเซอร์-ไบออนเทค, โมเดอร์นา และแอสตราเซเนกานั้น กำหนดให้เข้ารับวัคซีน 2 เข็ม โดยเว้นระยะห่างไม่กี่สัปดาห์ มีการยืนยันแล้วว่าวัคซีนของไฟเซอร์และของโมเดอร์นามีประสิทธิผลในการป้องกันไม่ให้เกิดอาการหรือไม่ให้อาการทรุดหนักจากไวรัสสายพันธุ์ดั้งเดิมได้กว่าร้อยละ 90 ของการติดเชื้อ ส่วนแอสตราเซเนกานั้นตัวเลขดังกล่าวอยู่ที่ประมาณร้อยละ 70

ในรายงานเมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2564 ที่ตีพิมพ์ใน New England Journal of Medicine ซึ่งเป็นวารสารด้านการแพทย์ระดับนานาชาติระบุว่า วัคซีนของไฟเซอร์มีประสิทธิผลต่อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์อัลฟาที่ร้อยละ 93.7 ขณะที่แอสตราเซเนกามีประสิทธิผลอยู่ที่ร้อยละ 74.5 รายงานนี้ระบุว่าวัคซีนของไฟเซอร์มีประสิทธิผลต่อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตาร้อยละ 88.0 และแอสตราเซเนกาอยู่ที่ร้อยละ 67.0

รายงานระบุเพิ่มเติมว่าแม้ว่าวัคซีนเหล่านี้จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการหนัก แต่ก็ไม่ได้มีประสิทธิผลพอที่จะป้องกันการติดเชื้อ ซึ่งหมายความว่าถึงแม้ผู้คนจำนวนมากจะเข้ารับวัคซีนแล้ว แต่อาจจะไม่เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในบางกรณี

รัฐบาลอังกฤษระบุว่าวัคซีนของไฟเซอร์มีประสิทธิผลร้อยละ 96 ในการป้องกันให้ไม่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลเนื่องจากไวรัสสายพันธุ์เดลตา ขณะที่แอสตราเซเนกามีประสิทธิผลอยู่ที่ร้อยละ 92

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 10 สิงหาคม 2564)

มาตรการที่ผู้ให้บริการด้านอินเทอร์เน็ตนำมาใช้รับมือข่าวลือเท็จเรื่องวัคซีนโควิด-19

ในขณะที่มีผู้คนมากขึ้นเรื่อย ๆ เข้ารับการฉีดวัคซีน แต่ก็ยังมีหลายคนที่ยังคงกังวลหรือกังขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้อมูลที่ขาดมูลความจริงและข่าวลือผิด ๆ เกี่ยวกับการฉีดวัคซีนกำลังแพร่ออกไป โดยเฉพาะทางสื่อสังคมออนไลน์ วันนี้เราจะนำเสนอเกี่ยวกับข่าวลือเท็จเรื่องวัคซีน โดยจะมุ่งเน้นไปยังมาตรการที่บริษัทผู้ให้บริการด้านอินเทอร์เน็ตนำมาใช้

ผู้ให้บริการด้านอินเทอร์เน็ตกำลังดำเนินมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใช้งานถูกชักจูงให้เข้าใจผิดจากข้อมูลหรือข่าวลือเท็จ ยาฮูแจแปนกำลังดำเนินการเพื่อเผยแพร่ข้อมูลที่น่าเชื่อถือในการรับมือกับข่าวลือเท็จโดยตรง โดยหน้าแรกสุดของเว็บไซต์ยาฮูทั้งส่วนที่เป็นข่าว คอลัมน์กระทู้ และเนื้อหาที่มีผู้ใช้งานเข้าชมมากที่สุดนั้น ขณะนี้เป็นการนำเสนอบทความที่ตรวจสอบข้อมูลและข่าวลือเท็จเกี่ยวกับวัคซีน และบทความที่สรุปคำอธิบายทางการแพทย์หรือความเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์

เมื่อเข้าไปในช่องค้นหา ยาฮูจะแสดงผลของข้อมูลที่เผยแพร่โดยองค์กรทางการหรือข้อมูลที่อิงจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ไว้ที่ด้านบนสุด ยกตัวอย่างเช่น เมื่อใช้คำค้นหาอย่าง “เสียชีวิต” หรือ “ผลข้างเคียง” ควบคู่ไปกับคำว่า “วัคซีน” ลิงก์บนสุดที่ปรากฏให้เห็นคือบทความถาม-ตอบบนเว็บไซต์ของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่น รวมถึงบทความและวิดีโอที่ยาฮูจัดทำขึ้นเองโดยร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์หลายคน โดยเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับว่าจะทำอย่างไรเมื่อรู้สึกไม่ค่อยสบายหลังจากฉีดวัคซีน

คุณคาตาโอกะ ฮิโรชิ ผู้รับผิดชอบด้านสื่อของยาฮูระบุว่าโครงการฉีดวัคซีนของญี่ปุ่นในขณะนี้กำลังดำเนินการเต็มกำลัง มีความสนใจเรื่องวัคซีนกันมากขึ้น โดยเห็นได้จากคำที่ใช้ค้นหาและจำนวนของผู้คนที่เข้ามาอ่านบทความทั้งหลาย คุณคาตาโอกะกล่าวว่าการที่ผู้คนจะตัดสินใจว่าข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนข้อมูลไหนที่น่าเชื่อถือเป็นเรื่องยากมาก การสรุปข้อมูลที่ถูกต้องน่าเชื่อถืออย่างละเอียดถี่ถ้วนจึงสำคัญอย่างยิ่ง รวมถึงการเผยแพร่ข้อมูลที่น่าเชื่อถือในแบบที่เข้าใจได้ง่ายด้วย

คุณคาตาโอกะกล่าวว่าทางบริษัทหวังที่จะช่วยคลี่คลายความวิตกกังวลและคำถามต่าง ๆ ของประชาชนต่อไป

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 6 สิงหาคม 2564)

ตัวอย่างของข่าวลือเท็จเรื่องวัคซีนโควิด-19 ตอนที่ 3

ในขณะที่มีผู้คนมากขึ้นเรื่อย ๆ เข้ารับการฉีดวัคซีน แต่ก็ยังมีหลายคนที่ยังคงกังวลหรือกังขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้อมูลที่ขาดมูลความจริงและข่าวลือผิด ๆ เกี่ยวกับการฉีดวัคซีนกำลังแพร่ออกไป โดยเฉพาะทางสื่อสังคมออนไลน์ วันนี้เราจะนำเสนอเกี่ยวกับข่าวลือเท็จเรื่องวัคซีน โดยจะยกบางตัวอย่างของข่าวลือที่พูดถึงกันอยู่ในตอนนี้

ตัวอย่างที่ 5 ของข่าวลือเท็จ “วัคซีนมีไมโครชิปผสมอยู่”
หนึ่งในข้อมูลผิด ๆ ที่แพร่อยู่ในสื่อสังคมออนไลน์และที่อื่น ๆ ก็คือวัคซีนมีไมโครชิปผสมอยู่เพื่อควบคุมผู้คน มีการเปิดเผยส่วนผสมของวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่หน้าเว็บไซต์ของบริษัทผู้ผลิตและหน่วยงานสาธารณสุขของหลายประเทศ เช่น กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นและคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐ โดยปรากฏชัดเจนว่าวัคซีนไม่มีไมโครชิปผสมอยู่

ตัวอย่างที่ 6 ของข่าวลือเท็จ “วัคซีนทำให้แม่เหล็กมาติดที่ตัวคุณ”
ข่าวลือเท็จอีกข้อหนึ่งในสื่อสังคมออนไลน์ก็คือวัคซีนทำให้แม่เหล็กมาติดที่ตัวคุณ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐระบุว่าวัคซีนไม่มีส่วนผสมที่มีคุณสมบัติเป็นแม่เหล็กและปฏิเสธคำกล่าวอ้างนี้อย่างชัดเจน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 5 สิงหาคม 2564)

ตัวอย่างของข่าวลือเท็จเรื่องวัคซีนโควิด-19 ตอนที่ 2

ในขณะที่มีผู้คนมากขึ้นเรื่อย ๆ เข้ารับการฉีดวัคซีน แต่ก็ยังมีหลายคนที่ยังคงกังวลหรือกังขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้อมูลที่ขาดมูลความจริงและข่าวลือผิด ๆ เกี่ยวกับการฉีดวัคซีนกำลังแพร่ออกไป โดยเฉพาะทางสื่อสังคมออนไลน์ วันนี้เราจะนำเสนอเกี่ยวกับข่าวลือเท็จเรื่องวัคซีน โดยจะยกบางตัวอย่างของข่าวลือที่พูดถึงกันอยู่ในตอนนี้

ตัวอย่างที่ 3 ของข่าวลือเท็จ “วัคซีนจะไปเปลี่ยนข้อมูลทางพันธุกรรม”
หนึ่งในข้อมูลผิด ๆ ที่แพร่ออกไปในตอนนี้ก็คือหลังจากที่ฉีดวัคซีนไปแล้ว สารประกอบในวัคซีนจะยังคงอยู่ในร่างกายของเราไปอีกนาน และจะไปเปลี่ยนข้อมูลทางพันธุกรรม กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นระบุไว้ในเว็บไซต์ของกระทรวงว่า mRNA ที่ใช้ในวัคซีนของไฟเซอร์-ไบออนเทคและวัคซีนของโมเดอร์นานั้น จะสลายไปเพียงไม่นานหลังจากเข้าสู่ร่างกาย ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถรวมเข้ากับ DNA ของเราได้ ทางกระทรวงระบุว่าเรื่องที่บอกว่าวัคซีนสามารถเปลี่ยนข้อมูลทางพันธุกรรมของเราได้นั้นไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด

ตัวอย่างที่ 4 ของข่าวลือเท็จ “การฉีดวัคซีนทำให้เกิดการติดเชื้อ”
ที่ผ่านมามีข้อมูลผิด ๆ ว่าผู้สูงอายุทยอยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่หลังจากได้รับวัคซีน และเสียชีวิตที่สถานพยาบาลดูแล ทั้งนี้ วัคซีนไม่มีไวรัสผสมอยู่ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อ กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นระบุว่ายังไม่ได้รับข้อมูลว่าการฉีดวัคซีนนำไปสู่การเสียชีวิตที่เพิ่มมากขึ้นจากโรคบางชนิด

ทางกระทรวงยังเรียกร้องให้ระมัดระวังต่อข่าวลือในสื่อสังคมออนไลน์และที่อื่น ๆ ซึ่งกล่าวโทษว่าการฉีดวัคซีนทำให้เสียชีวิตหลังจากฉีด ทางกระทรวงขอให้ประชาชนอย่าตีความผิด ๆ เรื่องตัวเลขการเสียชีวิตหลังฉีดวัคซีนที่มีรายงานมายังรัฐบาลญี่ปุ่น ซึ่งจำนวนดังกล่าวรวมถึงกรณีที่ไม่เกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีนด้วย

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 4 สิงหาคม 2564)

ตัวอย่างของข่าวลือเท็จเรื่องวัคซีนโควิด-19 ตอนที่ 1

ในขณะที่มีผู้คนมากขึ้นเรื่อย ๆ เข้ารับการฉีดวัคซีน แต่ก็ยังมีหลายคนที่ยังคงกังวลหรือกังขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้อมูลที่ขาดมูลความจริงและข่าวลือเท็จเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนกำลังแพร่ออกไป โดยเฉพาะทางสื่อสังคมออนไลน์ วันนี้เราจะนำเสนอเกี่ยวกับข่าวลือเท็จเรื่องวัคซีน โดยจะยกบางตัวอย่างของข่าวลือที่พูดถึงกันอยู่ในตอนนี้

ตัวอย่างที่ 1 ของข่าวลือเท็จ “วัคซีนทำให้เกิดภาวะมีบุตรยาก”
หนึ่งในข้อมูลผิด ๆ ที่แพร่ไปทั่วก็คือการฉีดวัคซีนนำไปสู่การเกิดภาวะมีบุตรยาก ข่าวลือเท็จนี้อ้างว่าสารภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นจากการฉีดวัคซีนนั้นส่งผลด้านลบต่อรก ผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่คนหนึ่งกล่าวว่าเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่าสารภูมิต้านทานไม่ไปโจมตีโปรตีนที่เกี่ยวกับรก นอกจากนี้ นายโคโนะ ทาโร รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบโครงการฉีดวัคซีนของญี่ปุ่นยังได้เน้นย้ำว่าไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนว่าวัคซีนทำให้เกิดภาวะมีบุตรยาก

ตัวอย่างที่ 2 ของข่าวลือเท็จ “วัคซีนทำให้แท้งบุตร”
อีกหนึ่งข่าวลือเท็จก็คือเมื่อหญิงตั้งครรภ์เข้ารับการฉีดวัคซีน วัคซีนจะทำให้แท้งบุตร ในเว็บไซต์ของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นระบุว่า ไม่มีข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่ามีการแท้งบุตรเพิ่มมากขึ้นในกลุ่มผู้หญิงที่เข้ารับวัคซีนแล้ว

นอกจากนี้ยังมีข้อมูลจากการศึกษาโดยคณะนักวิจัยจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ งานวิจัยที่เก็บข้อมูลจากผู้หญิงกว่า 35,000 คนที่ได้รับวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในช่วงตั้งครรภ์แสดงให้เห็นว่า อัตราการแท้งบุตร, ทารกในครรภ์เสียชีวิต, ทารกคลอดก่อนกำหนด และทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อย ไม่แตกต่างจากอัตราที่ได้จากหญิงตั้งครรภ์ก่อนเกิดการระบาดใหญ่

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 3 สิงหาคม 2564)

วิธีรับมือข่าวลือเท็จเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนโควิด-19

เราจะนำเสนอเกี่ยวกับวิธีรับมือข่าวลือเท็จเรื่องการฉีดวัคซีน ในขณะที่มีผู้คนมากขึ้นเรื่อย ๆ เข้ารับการฉีดวัคซีน แต่ก็ยังมีหลายคนที่ยังคงลังเลเรื่องนี้ สื่อสังคมออนไลน์ได้ช่วยเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องอันขาดมูลความจริงและข่าวลือเท็จเกี่ยวกับการฉีดวัคซีน

มีการจัดเสวนาทางออนไลน์เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม เพื่อหารือเกี่ยวกับการรับมือต่อประเด็นนี้ รองศาสตราจารย์ยามางูจิ ชินอิจิ จากมหาวิทยาลัยนานาชาติแห่งญี่ปุ่นได้อธิบายว่าข่าวลือเท็จและข้อมูลที่ขาดมูลความจริงเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนนั้นแพร่หลายไปอย่างรวดเร็วได้อย่างไร โดยมีจำนวนการโพสต์ข้อความที่เกี่ยวข้องในทวิตเตอร์เพิ่มขึ้น 8 เท่าระหว่างเดือนเมษายนถึงกรกฎาคมปี 2564

รองศาสตราจารย์ยามางูจิยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องจากแหล่งข้อมูลที่รวบรวมข้อมูลไว้ด้วยกัน โดยยกกรณีที่สื่อมวลชนเผยแพร่บทความเรื่องการตรวจสอบความถูกต้องซึ่งได้ประเมินความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูลแล้ว จากนั้นโพสต์ในสื่อสังคมออนไลน์ก็ได้ปฏิเสธข่าวลือเท็จเพิ่มมากขึ้น

ต่อมาคือมาตรการที่ดำเนินการโดยบริษัทอินเทอร์เน็ตทั้งหลาย พนักงานคนหนึ่งของทวิตเตอร์ได้อธิบายวิธีที่ทางบริษัทได้ใช้ระบบที่ติดป้ายข้อความไว้ในโพสต์ซึ่งก่อให้ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ และไม่เปิดทางให้ผู้คนตอบ รีทวีต หรือกดไลค์โพสต์เช่นว่านี้

จากนั้นพนักงานคนหนึ่งของ LINE ได้เล่าถึงวิธีที่ทางบริษัทใช้จัดการให้ผู้ใช้งานได้รับข้อมูลที่ถูกต้องด้วยการส่งข้อมูลให้ผู้ใช้งานโดยตรงจากบัญชีทางการของรัฐบาลและทางการท้องถิ่น

นายโคโนะ ทาโร รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบโครงการฉีดวัคซีนของญี่ปุ่นได้ระบุผ่านทางวิดีโอที่เผยแพร่ในงานเสวนานี้ว่า อินเทอร์เน็ตมีข้อมูลที่ชักนำให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับการฉีดวัคซีน นายโคโนะกล่าวว่ารัฐบาลกังวลอย่างมากเกี่ยวกับว่าสิ่งนี้ได้ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและความกังวลที่มากจนเกินไปต่อการเข้ารับวัคซีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคนอายุน้อย

นายโคโนะกล่าวว่าแหล่งข้อมูลเท็จมีแนวโน้มที่จะใช้ภาษาที่กระตุ้นความกังวลในกลุ่มผู้คนโดยใช้ถ้อยคำอย่างเช่น “เราได้ข้อมูลที่เป็นความลับมาจากบริษัทยา” นายโคโนะขอให้ประชาชนพิจารณาเข้ารับวัคซีนโดยอิงจากข้อมูลที่ถูกต้อง

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 2 สิงหาคม 2564)

มาตรการที่สื่อมวลชนซึ่งมารายงานข่าวโอลิมปิกต้องปฏิบัติตาม ตอนที่ 2

เราจะนำเสนอมาตรการต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่จะใช้สำหรับการแข่งขันโตเกียวโอลิมปิกและพาราลิมปิก โดยมุ่งเน้นไปที่มาตรการซึ่งสื่อมวลชนต้องปฏิบัติตาม

คู่มือโตเกียว 2020 สำหรับสมาชิกสื่อมวลชนระบุว่า บรรดาสื่อมวลชนต้องเข้ารับการตรวจหาโรคโควิด-19 แบบต่างวันกันภายใน 96 ชั่วโมงก่อนออกเดินทางมายังญี่ปุ่น นอกจากนี้ ในช่วง 14 วันแรกที่มาถึงญี่ปุ่น พวกเขาต้องไม่ใช้ขนส่งมวลชนสาธารณะและได้รับอนุญาตให้ไปได้แค่สนามแข่งขันและสถานที่อื่น ๆ ที่ได้แจ้งไว้ในแผนกิจกรรมของตนเองเท่านั้น

คู่มือโตเกียว 2020 ระบุว่าจะมีการใช้ข้อมูล GPS จากสมาร์ตโฟนของบรรดาสื่อมวลชนเพื่อบันทึกข้อมูลตำแหน่งที่อยู่ในช่วงที่พวกเขาอยู่ในญี่ปุ่น

นอกจากนี้ คู่มือโตเกียว 2020 ยังกำหนดเรื่องความถี่ของการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่สำหรับสมาชิกสื่อมวลชนตามหน้าที่ปฏิบัติของพวกเขาด้วย บรรดาผู้สื่อข่าวและช่างภาพซึ่งอยู่ในระยะใกล้ชิดกับนักกีฬาในสนามแข่งขันนั้น ต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อทุกวัน ส่วนผู้ที่อาจมีการติดต่อปฏิสัมพันธ์กับนักกีฬาและเจ้าหน้าที่อยู่บ้าง ต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อทุก ๆ 4 วัน และถึงแม้ว่าผู้นั้นอาจจะไม่มีโอกาสได้ติดต่อปฏิสัมพันธ์กับนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ ก็ต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อทุก ๆ 7 วัน

ผู้ที่ฝ่าฝืนระเบียบในคู่มือโตเกียว 2020 อาจถูกลงโทษ ซึ่งรวมถึงการเพิกถอนบัตรรับรองให้เข้าร่วมงานและลงโทษด้านการเงิน พวกเขาอาจถูกเพิกถอนการอนุญาตให้พำนักในญี่ปุ่นด้วย

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 21 กรกฎาคม 2564)

มาตรการที่สื่อมวลชนซึ่งมารายงานข่าวโอลิมปิกต้องปฏิบัติตาม ตอนที่ 1

เราจะนำเสนอมาตรการต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่จะใช้สำหรับการแข่งขันโตเกียวโอลิมปิกและพาราลิมปิก โดยมุ่งเน้นไปที่มาตรการซึ่งสื่อมวลชนต้องปฏิบัติตาม

กลุ่มสื่อมวลชนจากต่างชาติมาที่ญี่ปุ่นเพื่อรายงานข่าวการแข่งขันโอลิมปิก คณะกรรมการจัดการแข่งขันโตเกียวโอลิมปิกระบุว่า นับจนถึงวันที่ 21 มิถุนายน คาดว่ามีสมาชิกสื่อมวลชนกว่า 16,000 คนจากองค์กรสื่อราว 2,000 แห่งในประมาณ 200 ประเทศและดินแดน จะเดินทางมายังญี่ปุ่น

คณะกรรมการจัดการแข่งขันยังระบุด้วยว่าคาดว่าร้อยละ 70 ถึง 80 ของตัวแทนสื่อต่างชาติและสื่อญี่ปุ่น จะได้รับการฉีดวัคซีนก่อนการแข่งขันโตเกียวโอลิมปิก

คู่มือโตเกียว 2020 สำหรับสมาชิกสื่อมวลชนระบุว่า ในช่วง 14 วันแรกที่มาถึงญี่ปุ่น สมาชิกสื่อมวลชนต้องไม่ใช้ขนส่งมวลชนสาธารณะและจะได้รับอนุญาตให้ไปแค่สนามแข่งขันและสถานที่อื่น ๆ ที่พวกเขาแจ้งไว้ในแผนกิจกรรมของตัวเองเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม มีบางส่วนที่ไม่เห็นด้วยกับข้อจำกัดเช่นว่านี้ สื่อมวลชนราว 10 แห่งในสหรัฐได้ร่วมกันส่งจดหมายประท้วงคณะกรรมการจัดการแข่งขันโดยระบุว่ากิจกรรมของพวกตนจะถูกจำกัด

คณะกรรมการจัดการแข่งขันได้ตอบรับความเห็นดังกล่าวโดยระบุว่า มาตรการที่เข้มงวดนั้นจำเป็นเนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบัน และว่ามาตรการนี้สำคัญสำหรับผู้เข้าร่วมการแข่งขันโตเกียวโอลิมปิกและผู้คนในญี่ปุ่นทั้งหมด

นอกจากนี้ ทางคณะกรรมการจัดการแข่งขันยังระบุด้วยว่าจะเคารพเสรีภาพของสื่อมวลชนและจะช่วยให้ผู้สื่อข่าวรายงานข่าวได้อย่างราบรื่นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

นี่คือความท้าทายสำหรับผู้สื่อข่าวที่จะดำเนินมาตรการต้านการติดเชื้ออย่างละเอียดถี่ถ้วนในช่วงที่ปฏิบัติงาน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 20 กรกฎาคม 2564)

ระเบียบปฏิบัติในหมู่บ้านนักกีฬาโอลิมปิก

เราจะนำเสนอมาตรการต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่จะใช้สำหรับการแข่งขันโตเกียวโอลิมปิกและพาราลิมปิก โดยมุ่งเน้นไปที่ระเบียบปฏิบัติในหมู่บ้านนักกีฬา

หมู่บ้านโอลิมปิกและพาราลิมปิกซึ่งนักกีฬาสามารถพบปะกับนักกีฬาคนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นประเทศหรือภูมิภาค หรือการแข่งขันกีฬาใดก็ตาม คือสัญลักษณ์ของการแข่งขันโอลิมปิกและพาราลิมปิก แต่สำหรับโตเกียวโอลิมปิกนั้น มีการใช้ระเบียบปฏิบัติที่ต่างไปจากเดิมเพื่อป้องกันการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

ในการแข่งขันโอลิมปิกครั้งก่อน ๆ แต่ละประเทศตัดสินใจว่าตัวแทนโอลิมปิกของตนจะพักอยู่ที่หมู่บ้านนักกีฬานานเท่าใด แต่ที่การแข่งขันโตเกียวโอลิมปิก นักกีฬาต้องจำกัดระยะเวลาที่เข้าพักในหมู่บ้านนักกีฬา

นักกีฬาโอลิมปิกจะได้รับอนุญาตให้เข้าพักที่หมู่บ้านนักกีฬา 5 วันก่อนถึงการแข่งขันของตน และต้องออกจากหมู่บ้านนักกีฬาภายใน 2 วันหลังการแข่งขันสิ้นสุดลง ขณะที่นักกีฬาพาราลิมปิกสามารถเข้าพักในหมู่บ้านนักกีฬาได้ 7 วันก่อนการแข่งขัน

มีการกำหนดกฎระเบียบหลายข้อในหมู่บ้านนักกีฬานี้ โดยจะขอให้นักกีฬาหลีกเลี่ยงการสัมผัสทางร่างกาย เช่น กอดหรือจับมือ รวมถึงให้หลีกเลี่ยงพื้นที่ปิดที่การถ่ายเทอากาศไม่ดี พื้นที่ที่มีผู้คนแออัด และการมีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิด

จากคู่มือโตเกียว 2020 นั้นกำหนดไว้ว่าจะต้องสวมหน้ากากอนามัยขณะที่ฝึกซ้อมในศูนย์ออกกำลังกายในหมู่บ้านนักกีฬา นอกจากนี้ นักกีฬาต้องรักษาระยะห่าง 2 เมตรจากผู้อื่นในห้องรับประทานอาหารหลัก และขอให้รับประทานอาหารตามลำพังให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

สำหรับการแข่งขันโอลิมปิกและพาราลิมปิกครั้งก่อน ๆ นั้น มีการอนุญาตให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในห้องพักส่วนตัวได้ สำหรับการแข่งขันโตเกียวโอลิมปิก คณะกรรมการจัดการแข่งขันได้ตัดสินใจที่จะอนุญาตให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในห้องพักได้เช่นกัน แต่จะห้ามดื่มแบบเป็นกลุ่มในพื้นที่สาธารณะและในสวนสาธารณะของหมู่บ้านนักกีฬา

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 19 กรกฎาคม 2564)

บทลงโทษหากไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบของคู่มือโตเกียว 2020

เราจะนำเสนอเกี่ยวกับคู่มือโตเกียว 2020 ที่กำหนดมาตรการต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่สำหรับการแข่งขันโตเกียวโอลิมปิกและพาราลิมปิก เราจะมุ่งเน้นไปที่บทลงโทษที่นักกีฬาและผู้ที่เกี่ยวข้องกับการแข่งขันอื่น ๆ อาจได้รับหากไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบของคู่มือโอลิมปิก

คู่มือโตเกียว 2020 ระบุว่าผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎนี้อาจได้รับบทลงโทษตามระเบียบ โดยตัวอย่างของการละเมิดกฎดังกล่าวได้แก่ การไม่ยอมปฏิบัติตามมาตรการให้สวมหน้ากากอนามัยโดยจงใจ หรือไปยังสถานที่ที่ไม่ได้ระบุไว้ในแผนกิจกรรมที่ได้ยื่นมาและปฏิเสธที่จะเข้ารับการตรวจหาโรคโควิด-19

จะมีการตรวจสอบหากมีข้อมูลเกี่ยวกับการละเมิดกฎตามที่มีการกล่าวหา หากการละเมิดนั้นได้รับการยืนยัน คณะกรรมการจัดการแข่งขันโตเกียวโอลิมปิก คณะกรรมการโอลิมปิกสากล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ จะพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยอาจมีมาตรการตามระเบียบตามมาซึ่งรวมถึงการถอนบัตรรับรอง การตัดสิทธิ และการลงโทษด้านการเงิน

คู่มือระบุว่าผู้ฝ่าฝืนอาจถูกลงโทษตามมาตรการจัดการที่เข้มงวดโดยทางการญี่ปุ่น ซึ่งรวมถึงการกักตัว 14 วันหรือการเพิกถอนการอนุญาตให้พำนักในญี่ปุ่น

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 16 กรกฎาคม 2564)

การตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในคณะโอลิมปิกที่มาญี่ปุ่น ตอนที่ 2

เราจะนำเสนอเกี่ยวกับมาตรการต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่จะนำไปใช้ในการแข่งขันโตเกียวโอลิมปิกและพาราลิมปิก โดยเป็นหัวข้อเกี่ยวกับการตรวจหาเชื้อไวรัสดังกล่าวในนักกีฬา

คู่มือโตเกียว 2020 กำหนดกฎระเบียบเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งรวมถึงโครงการที่กำหนดรายละเอียดเรื่องการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

คู่มือระบุว่าโดยหลักการแล้ว นักกีฬา ผู้ฝึกสอน และบุคคลอื่น ๆ ในทีมต้องเข้ารับการตรวจหาโรคโควิด-19 ทุกวัน แม้ผลการตรวจหาเชื้อเมื่อเดินทางมาถึงสนามบินจะออกมาเป็นลบก็ตาม

พวกเขาจะต้องเข้ารับการตรวจด้วยการทดสอบปริมาณแอนติเจนในน้ำลาย ด้วยการส่งตัวอย่างมาให้ตรวจตอนเวลา 9.00 น. หรือ 18.00 น. หากผลการตรวจไม่แน่ชัดหรือเป็นบวก จะมีการนำตัวอย่างน้ำลายเดียวกันนั้นไปตรวจ PCR

เวลาดำเนินการจนกว่าผลตรวจสุดท้ายจะออกมาคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 12 ชั่วโมง ถ้าผลตรวจ PCR จากน้ำลายยังคงไม่แน่ชัดหรือมีผลเป็นบวก บุคคลผู้นั้นจะต้องไปเข้ารับการตรวจ PCR ซ้ำอีกครั้งที่คลินิกโควิด-19 ในหมู่บ้านโอลิมปิกและพาราลิมปิกโดยใช้ตัวอย่างจากการนำเอาอุปกรณ์แหย่เข้าไปในโพรงจมูก ถ้าผลการตรวจเป็นลบ บุคคลผู้นั้นจะสามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้

เจ้าหน้าที่ของคณะกรรมการจัดการแข่งขันโตเกียวโอลิมปิกระบุว่าพวกตนคิดพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อทำให้การตรวจหาเชื้อนี้ส่งผลกระทบต่อการแข่งขันให้น้อยที่สุด

นักกีฬาและเจ้าหน้าที่จะต้องเก็บตัวอย่างน้ำลายของตนเพื่อนำไปตรวจ โดยดำเนินการในห้องพักของตนเองภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่ประสานงานโควิด-19 ของแต่ละทีม คำถามก็คือคณะผู้จัดการแข่งขันจะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะไม่มีการทำผิดกติกา

คณะกรรมการจัดการแข่งขันโตเกียวโอลิมปิกและคณะกรรมการโอลิมปิกสากลระบุว่าพวกตนจะทำให้มั่นใจว่ากระบวนการเก็บตัวอย่างดังกล่าวได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม และว่าพวกตนก็พิจารณาที่จะเข้าไปตรวจสอบโดยไม่แจ้งล่วงหน้าด้วย

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 15 กรกฎาคม 2564)

การตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในคณะโอลิมปิกที่มาญี่ปุ่น ตอนที่ 1

เราจะนำเสนอเกี่ยวกับมาตรการไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่จะนำไปใช้ในการแข่งขันโตเกียวโอลิมปิกและพาราลิมปิก โดยเป็นหัวข้อเกี่ยวกับการตรวจหาเชื้อไวรัสดังกล่าวในนักกีฬา

คู่มือโตเกียว 2020 กำหนดกฎระเบียบเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งรวมถึงโครงการที่กำหนดรายละเอียดเรื่องการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

คู่มือระบุว่านักกีฬา ผู้ฝึกสอน และบุคคลอื่น ๆ ในทีมที่เดินทางมาญี่ปุ่น ต้องเข้ารับการตรวจโรคโควิด-19 สองครั้งในวันต่างกันภายใน 96 ชั่วโมงก่อนออกเดินทางมายังญี่ปุ่น โดยอย่างน้อยที่สุด หนึ่งในสองของการตรวจดังกล่าวต้องดำเนินการภายใน 72 ชั่วโมงก่อนออกเดินทาง

จะมีการขอผู้เข้าร่วมการแข่งขันเข้ารับการตรวจ PCR หรือการตรวจหาปริมาณแอนติเจน ที่ได้รับการรับรองโดยรัฐบาลญี่ปุ่นโดยใช้ตัวอย่างของน้ำลายหรือตัวอย่างที่ได้จากการใช้อุปกรณ์แหย่เข้าไปในโพรงจมูก

พวกเขาต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อที่สนามบินเมื่อเดินทางมาถึงญี่ปุ่นด้วย โดยต้องรอผลการตรวจอยู่ที่สนามบิน หากผลการตรวจได้รับการยืนยันว่าเป็นบวก จะมีการนำบุคคลผู้นั้นไปยังคลินิกโควิด-19 ที่หมู่บ้านโอลิมปิกและพาราลิมปิกเพื่อเข้ารับการตรวจอีกครั้ง

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 14 กรกฎาคม 2564)

ระเบียบที่เกี่ยวกับกิจกรรมของผู้ร่วมการแข่งขันโตเกียวโอลิมปิกระหว่างที่พวกเขาอยู่ในญี่ปุ่น

เราจะนำเสนอว่าคู่มือโตเกียว 2020 ระบุเกี่ยวกับกิจกรรมของผู้เข้าร่วมการแข่งขันโตเกียวโอลิมปิกและพาราลิมปิกเมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงญี่ปุ่นว่าอย่างไร

คู่มือโตเกียว 2020 กำหนดกฎระเบียบเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งรวมถึงระเบียบที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมของผู้เข้าร่วมการแข่งขันระหว่างที่พวกเขาพักอยู่ในญี่ปุ่น

โดยหลักการแล้วนั้น นักกีฬาและผู้ฝึกสอนจะไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ขนส่งมวลชนสาธารณะเมื่อเดินทางไปไหนมาไหน พวกเขาต้องใช้บริการรถรับส่งที่จัดไว้ หากไม่สามารถใช้บริการเหล่านี้ได้ ก็ต้องเรียกแท็กซี่แบบจ้างเหมา

เมื่อผู้เข้าร่วมการแข่งขันจองที่พักที่อยู่ด้านนอกหมู่บ้านนักกีฬาด้วยตนเอง โดยหลักการแล้ว พวกเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้พักในสถานที่ที่ให้บริการห้องพักโดยบุคคลทั่วไป หากการจองที่พักด้วยตนเองไม่ตรงกับข้อกำหนดของคณะกรรมการจัดการแข่งขัน ทางคณะกรรมการจะขอให้ผู้เข้าร่วมการแข่งขันหาที่พักใหม่

สำหรับมื้ออาหารต่าง ๆ นั้น ผู้เข้าร่วมการแข่งขันที่พักอยู่ที่หมู่บ้านนักกีฬาต้องรับประทานอาหารที่นั่นหรือที่สนามแข่งขัน ส่วนบุคคลอื่น ๆ ต้องรับประทานที่สนามแข่งขันหรือร้านอาหารที่สถานที่พักของตน หรืออาจใช้บริการจัดส่งอาหารที่ห้องพัก

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 13 กรกฎาคม 2564)

คู่มือโตเกียว 2020 ระบุเกี่ยวกับกิจกรรมของผู้ร่วมแข่งขันโตเกียวโอลิมปิกเมื่อพวกเขาเดินทางถึงญี่ปุ่นว่าอย่างไร

คู่มือโตเกียว 2020 กำหนดกฎระเบียบเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งรวมถึงระเบียบที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมของผู้เข้าร่วมการแข่งขันระหว่างที่พวกเขาพักอยู่ในญี่ปุ่น

นักกีฬาและผู้ฝึกสอนต้องระบุรายละเอียดในสิ่งที่เรียกว่า “แผนกิจกรรม” ให้เสร็จสมบูรณ์และยื่นให้แก่คณะกรรมการจัดการแข่งขันโตเกียวโอลิมปิกและพาราลิมปิกก่อนที่จะเดินทางมาถึงญี่ปุ่น ในเอกสารดังกล่าว พวกเขาต้องระบุรายละเอียดกิจกรรมของตนเองในช่วง 14 วันแรกในญี่ปุ่น รายละเอียดดังกล่าวต้องรวมถึงที่อยู่ของที่พัก สถานที่ที่วางแผนไว้และสถานที่ที่อาจจะไป ตลอดจนชื่อและข้อมูลในหนังสือเดินทาง

ผู้เข้าร่วมการแข่งขันต้องดาวน์โหลดและติดตั้งแอปพลิเคชันเพื่อไว้ตรวจติดตามสุขภาพของตนและแอป COCOA ซึ่งยืนยันข้อมูลการติดต่อ นอกจากนี้ จะต้องเปิดบริการข้อมูลตำแหน่งที่อยู่และประวัติของตำแหน่งที่อยู่ในสมาร์ตโฟนของตนด้วย

นักกีฬาและผู้ฝึกสอนต้องปฏิบัติตามแผนกิจกรรมนี้หลังจากเดินทางมาถึงญี่ปุ่น หากพวกเขาไปทำกิจกรรมที่เกี่ยวกับการแข่งขันในช่วง 3 วันแรกที่อยู่ในญี่ปุ่น พวกเขาต้องปฏิบัติเช่นนี้ภายใต้การตรวจดูแลอย่างเคร่งครัด ซึ่งอาจมีผู้ตรวจติดตามหรือมีการใช้ข้อมูล GPS ด้วย การเดินทางของพวกเขาจำกัดแค่สถานที่ต่าง ๆ เช่น ที่พักและที่ฝึกซ้อม โดยไม่อนุญาตให้ไปยังสถานที่อื่น เช่น สถานที่ท่องเที่ยว

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 2 กรกฎาคม 2564)

การแข่งขันโตเกียวโอลิมปิกและพาราลิมปิกนั้นใช้มาตรการชนิดใดเพื่อป้องกันการติดเชื้อ

เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน คณะกรรมการโอลิมปิกสากลและคณะกรรมการจัดการแข่งขันโตเกียวโอลิมปิกและพาราลิมปิกได้เปิดเผย “คู่มือโตเกียว 2020” ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่ 3 และเป็นเวอร์ชันสุดท้าย คู่มือนี้กำหนดกฎระเบียบที่ผู้เข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมดรวมถึงนักกีฬาต้องปฏิบัติตามเพื่อป้องกันไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยเวอร์ชันแรกเผยแพร่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ และเวอร์ชันที่ 2 เผยแพร่เมื่อเดือนเมษายน

เวอร์ชันสุดท้ายของคู่มือดังกล่าวระบุรายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อให้กระบวนการและมาตรการทั้งหลายมีความกระจ่างชัด เช่น การกำหนดให้มีการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็นประจำทุกวันแก่นักกีฬา โดยมุ่งที่จะลดผลกระทบต่อตารางการแข่งขันให้เหลือน้อยที่สุด นอกจากนี้ยังระบุด้วยว่ามาตรการตรวจคนเข้าเมืองที่ใช้เมื่อมีผู้เดินทางเข้าญี่ปุ่นอาจต้องเข้มงวดขึ้นเพื่อรับมือกับความกังวลที่เกี่ยวเนื่องกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์

มีการเพิ่มเรื่องการลงโทษทางการเงินหากละเมิดกฎระเบียบของคู่มือนี้ ส่วนการลงโทษอื่น ๆ นั้นรวมถึงการถูกตัดสิทธิและเพิกถอนการอนุญาตให้พำนักในญี่ปุ่น

กฎของคู่มือนี้เริ่มนำไปใช้แล้วเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม และอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 1 กรกฎาคม 2564)

อาหารหรืออาหารเสริมชนิดใดที่ได้ผลดีต่อโรคโควิด-19

เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน สำนักงานกิจการผู้บริโภคของญี่ปุ่นได้เผยแพร่ผลการสำรวจที่ดำเนินการเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายทางออนไลน์ ซึ่งอ้างว่าใช้ได้ผลในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ทางสำนักงานได้เริ่มเก็บข้อมูลการสำรวจมาตั้งแต่ปีที่แล้ว

เจ้าหน้าที่ของสำนักงานพบว่าการโฆษณาหรือฉลากของ 49 ผลิตภัณฑ์มีปัญหา โดยตัวอย่างหนึ่งของผลิตภัณฑ์ที่เป็นปัญหาระบุว่าสามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้ด้วยการรับประทานอาหารเสริมวิตามินดี ส่วนอีกผลิตภัณฑ์หนึ่งระบุว่ามีการพิสูจน์แล้วว่าลูกอมที่มีส่วนผสมแทนนินที่ได้จากลูกพลับสามารถทำให้ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่หมดฤทธิ์ได้ ขณะที่อีกผลิตภัณฑ์หนึ่งระบุว่าชาชากาซึ่งทำจากเห็ดดำชนิดหนึ่งใช้ได้ผลดีในการต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

เจ้าหน้าที่ระบุว่าโฆษณาเหล่านี้ขาดหลักฐานและอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ โดยได้ขอให้บริษัทที่จำหน่าย 43 ผลิตภัณฑ์นี้ปรับปรุงฉลากและการโฆษณาของตน นอกจากนี้ก็ยังเผยแพร่ตัวอย่างของโฆษณาดังกล่าวที่หน้าเว็บไซต์ของสำนักงานกิจการผู้บริโภคของญี่ปุ่นและเรียกร้องให้ผู้บริโภคระมัดระวังการอวดอ้างที่ชักนำให้เข้าใจผิด

คุณนิชิกาวะ โคอิจิ เจ้าหน้าที่จากฝ่ายแสดงฉลากอาหารของสำนักงานกิจการผู้บริโภคของญี่ปุ่นบอกกับเราว่ามีงานวิจัยมากมายเกี่ยวกับสารต่าง ๆ ที่นักวิจัยอ้างว่าใช้ได้ผลกับโรคโควิด-19 แต่งานวิจัยทั้งหมดดำเนินการในหลอดแก้วเท่านั้น เขากล่าวว่าไม่มีใครที่ได้รับประทานอาหารหรืออาหารเสริมจริง ๆ แล้วพิสูจน์ได้ว่าสิ่งเหล่านี้ใช้ได้ผล

เขากล่าวว่าทางสำนักงานต้องการให้ผู้บริโภคพิจารณาเรื่องนี้อย่างสุขุมรอบคอบ และใช้มาตรการอื่น ๆ ที่มีการแนะนำไว้ในการป้องกันการติดเชื้อ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564)

ใครที่ควรระวังเมื่อรับประทานยาลดไข้หรือยาแก้ปวดหลังเข้ารับวัคซีน

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นได้จัดทำแนวทางเป็นครั้งแรกเกี่ยวกับยาชนิดใดที่อาจใช้ได้หากเกิดอาการต่าง ๆ เช่น มีไข้ หลังจากเข้ารับวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ คำถามวันนี้คือใครที่ควรระวังเมื่อรับประทานยาลดไข้หรือยาแก้ปวด

อาการไข้หลังจากเข้ารับวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นั้น มักเกิดขึ้นภายในหนึ่งหรือสองวัน ผู้ที่มีอาการอาจรับประทานยาลดไข้หรือยาแก้ปวดหากจำเป็น และควรสังเกตอาการ

อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นระบุว่า มีผู้คนบางส่วนที่ต้องระมัดระวังเมื่อรับประทานยาลดไข้หรือยาแก้ปวดแบบที่ซื้อที่ร้านขายยาโดยระบุว่าบุคคลเหล่านี้ได้แก่ หญิงตั้งครรภ์หรือผู้ที่อยู่ระหว่างให้นมบุตร ผู้ที่กำลังใช้ยาประเภทอื่นอยู่ ผู้ที่มีอาการแพ้หรือมีอาการหอบหืดจากยาหรือส่วนผสมอื่น ๆ ผู้สูงอายุและผู้ป่วยที่อยู่ระหว่างรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหารหรืออาการเจ็บป่วยอื่น ๆ โดยขอให้คนเหล่านี้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรของตน

ทางกระทรวงระบุว่าผู้ที่มีอาการร้ายแรง เช่น เจ็บปวดอย่างมากหรือไข้สูง หรือเกิดอาการต่าง ๆ ต่อเนื่องเป็นเวลานาน ก็ควรปรึกษาแพทย์เช่นกัน

ทางกระทรวงระบุว่าไม่แนะนำให้ใช้ยาลดไข้หรือยาแก้ปวดซ้ำหลายครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการเช่นความเจ็บปวดหรือมีไข้ที่เกิดขึ้นหลังเข้ารับวัคซีน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 29 มิถุนายน 2564)

ยาลดไข้และยาแก้ปวดชนิดใดที่สามารถรับประทานได้หลังจากเข้ารับวัคซีน

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นได้จัดทำแนวทางเป็นครั้งแรกเกี่ยวกับยาชนิดใดที่อาจใช้ตอนที่เกิดอาการต่าง ๆ เช่น มีไข้ หลังจากเข้ารับวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ วันนี้เราจะตอบคำถามที่ว่ายาลดไข้และยาแก้ปวดชนิดใดที่สามารถรับประทานได้หลังจากเข้ารับวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

อาการไข้หลังจากเข้ารับวัคซีน โดยมากมักเกิดขึ้นภายในหนึ่งหรือสองวัน ซึ่งถ้าจำเป็นก็สามารถรักษาได้ด้วยการรับประทานยาและสังเกตอาการ เป็นต้น กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นระบุว่ายาอะเซตามิโนเฟน, ไอบิวโพรเฟน และล็อกโซโพรเฟน คือยาที่อาจนำมาใช้หลังการฉีดวัคซีนได้

ก่อนหน้านี้ ทางกระทรวงไม่ได้เผยแพร่ข้อมูลเช่นว่านี้ แต่เมื่อต้นเดือนมิถุนายน ผู้ประกอบการร้านขายยาหลายแห่งรายงานว่า ยาที่มีส่วนผสมหลักเป็นอะเซตามิโนเฟนซึ่งจำหน่ายที่ร้านขายยานั้นเหลืออยู่น้อย ทำให้ทางกระทรวงต้องให้ข้อมูลใหม่ที่หน้าเว็บไซต์ของตนเพื่อแจ้งให้ทราบว่าสามารถใช้ยาอื่นซึ่งไม่ใช่ยาอะเซตามิโนเฟนที่จำหน่ายที่ร้านขายยาได้

อย่างไรก็ตาม ทางกระทรวงระบุว่าหญิงตั้งครรภ์และผู้ที่มีอาการพิเศษอื่น ๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรของตน เนื่องจากอาจมีข้อจำกัดบางประการเกี่ยวกับส่วนผสมของยาที่สามารถดูดซึมได้

นอกจากนี้ ทางกระทรวงยังเสนอข้อมูลว่าจะแยกอาการที่เกิดจากการฉีดวัคซีนกับอาการที่เกิดจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้อย่างไร โดยระบุถ้ามีอาการเช่น ไอ เจ็บคอ สูญเสียการรับรสและกลิ่น รวมถึงหายใจติดขัด ก็น่าจะเป็นเพราะไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ส่วนอาการไข้ที่เกิดจากการฉีดวัคซีนโดยปกติแล้วมักจะไม่มีอาการเหล่านี้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 28 มิถุนายน 2564)

อาการเป็นลมซึ่งอาจเกิดขึ้นหลังจากเข้ารับวัคซีน

ที่ผ่านมาเราได้นำเสนอโครงการฉีดวัคซีนซึ่งบริษัทและมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นดำเนินการฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ให้แก่พนักงานและนักศึกษาของตน โครงการดังกล่าวได้เริ่มดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน วันนี้เราได้สอบถามผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับอาการเป็นลมซึ่งอาจเกิดขึ้นหลังจากเข้ารับวัคซีน

เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าการฉีดวัคซีนอาจทำให้เกิดปฏิกิริยาที่เรียกว่าเป็นลม หรือ vasovagal syncope ซึ่งเกิดจากอาการเจ็บปวดจากการฉีดวัคซีนประกอบกับความเครียด อาการเหล่านี้รวมถึงวิงเวียนศีรษะและหายใจติดขัด

คลินิกแห่งหนึ่งในเขตอินาเงะของเมืองชิบะได้ฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ให้แก่ผู้คนราว 5,000 คนซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ นายแพทย์โคจิ ฟูมิโอะ ซึ่งประจำอยู่ที่คลินิกดังกล่าวระบุว่าผู้หญิงคนหนึ่งในช่วงวัย 60 ปีรู้สึกไม่สบายระหว่างที่นั่งรอหลังการฉีดวัคซีนเมื่อเดือนพฤษภาคม ชีพจรของเธอเต้นช้าและการรับรู้ก็ลดน้อยลง แต่ไม่มีข้อบ่งชี้ว่าเธอมีอาการแพ้

นายแพทย์โคจิวินิจฉัยว่าเธอเป็นลม ซึ่งเป็นอาการจากความเจ็บปวดและความเครียดที่ทำให้ความดันเลือดลดลง นำไปสู่อาการต่าง ๆ เช่น วิงเวียนศีรษะ พวกเขาได้ดำเนินการโดยทันทีซึ่งรวมถึงการนำเธอไปไว้บนเตียง จากนั้นประมาณ 5 นาทีอาการของเธอก็ดีขึ้น และต่อมาเธอก็กลับบ้านได้

นายแพทย์โคจิกล่าวว่ากลุ่มคนอายุน้อยลงมามีแนวโน้มมากกว่าที่จะเป็นลม เขากล่าวว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่อาจทำให้เกิดอาการเหล่านี้ในบางคนได้เช่นกัน แต่เขากล่าวว่าอาการดังกล่าวจะทุเลาลงหากรักษาอย่างเหมาะสม เขาขอให้ผู้เข้ารับวัคซีนอยู่ที่สถานที่ฉีดวัคซีนสักพักหนึ่งหลังจากการฉีดวัคซีนเพื่อสังเกตอาการข้างเคียง เขายังกล่าวด้วยว่าถ้านอนให้เพียงพอในคืนก่อนเข้ารับวัคซีนและรักษาสุขภาพให้ดี ก็จะสามารถช่วยได้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 25 มิถุนายน 2564)

ความหวังเกี่ยวกับว่าการฉีดวัคซีนที่บริษัทและมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นจะช่วยส่งเสริมการฉีดวัคซีนในกลุ่มคนอายุยังน้อย

ที่ผ่านมาเราได้นำเสนอโครงการฉีดวัคซีนซึ่งบริษัทและมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นดำเนินการฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ให้แก่พนักงานและนักศึกษาของตน โครงการดังกล่าวได้เริ่มดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน วันนี้เราจะสอบถามผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับความหวังที่ว่าโครงการนี้จะส่งเสริมการฉีดวัคซีนในกลุ่มคนอายุยังน้อย

คุณคุตสึนะ ซาโตชิ จากศูนย์การแพทย์และสาธารณสุขนานาชาติแห่งชาติของญี่ปุ่น ได้ติดตามผู้ป่วยจำนวนหนึ่งที่มีอาการหนักหลังจากติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เขากล่าวว่าการแพร่ระบาดมักเริ่มต้นจากกลุ่มคนหนุ่มสาว เขาหวังว่าจะมีกลุ่มคนหนุ่มสาวมากขึ้นที่เข้ารับวัคซีนภายใต้โครงการนี้ และว่านี่จะช่วยชะลอการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

เขากล่าวว่าผู้คนอาจคิดว่าการฉีดวัคซีนในกลุ่มคนหนุ่มสาวซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มต่ำที่จะเกิดอาการร้ายแรงหลังติดเชื้อนั้น ไม่ใช่มาตรการที่มีความหมาย แต่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ ทำให้มีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะป่วยหนัก นอกจากนี้ ก็ยังมีความกังวลเกี่ยวกับอาการเรื้อรังที่จะเกิดตามมาด้วย คุณคุตสึนะได้ขอให้กลุ่มคนหนุ่มสาวพิจารณาเข้ารับวัคซีนเพื่อที่จะได้ไม่แพร่กระจายเชื้อไวรัสด้วย

กลุ่มคนหนุ่มสาวมีแนวโน้มที่จะเป็นลมมากกว่า ซึ่งเกิดจากความเจ็บปวดจากการฉีดวัคซีนประกอบกับความเครียด สิ่งนี้ทำให้หัวใจของบุคคลผู้นั้นเต้นเร็วขึ้น หายใจติดขัด วิงเวียนศีรษะ หรือหายใจถี่ อาการเหล่านี้เกิดกับวัคซีนทั้งหมด ไม่ใช่แค่วัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

คุณคุตสึนะกล่าวว่าการวิจัยก่อนหน้านี้ที่ดำเนินการที่ศูนย์การแพทย์และสาธารณสุขนานาชาติแห่งชาติของญี่ปุ่นแสดงให้เห็นว่า มีผู้คน 1 ในประมาณ 200 หรือ 300 คนเป็นลมหลังจากเข้ารับวัคซีน

เขากล่าวว่ามีขั้นตอนที่สามารถดำเนินการเพื่อป้องกันไม่ให้อาการเหล่านี้เกิดขึ้น เช่น การสร้างสภาวะแวดล้อมที่ผ่อนคลาย หรือให้ผู้เข้ารับวัคซีนนอนลงอย่างสบายตอนที่เข้ารับการฉีดวัคซีน คุณคุตสึนะกล่าวว่าสามารถเตรียมการในลักษณะนี้ได้ หากมีผู้แจ้งเจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์ล่วงหน้าว่าเคยมีอาการเหล่านี้

เขากล่าวว่าผู้คนไม่ควรลังเลเกี่ยวกับการเข้ารับวัคซีนด้วยเหตุผลนี้ เนื่องจากการรับมืออย่างเหมาะสมจะช่วยบรรเทาอาการดังกล่าวได้ โดยที่ไม่เสียเวลามากแต่อย่างใด

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 24 มิถุนายน 2564)

แนวทางที่ผู้เชี่ยวชาญได้จัดทำไว้สำหรับการฉีดวัคซีนที่มหาวิทยาลัยและบริษัทในญี่ปุ่น

ที่ผ่านมาเราได้นำเสนอโครงการฉีดวัคซีนซึ่งบริษัทและมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นดำเนินการฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ให้แก่พนักงานและนักศึกษาของตน โครงการดังกล่าวได้เริ่มดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน วันนี้เราจะนำเสนอแนวทางที่ผู้เชี่ยวชาญได้จัดทำไว้สำหรับมหาวิทยาลัยและบริษัทเหล่านี้

เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน คณะผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ร่วมกับองค์กรวิชาการของญี่ปุ่น 2 แห่งได้แก่สมาคมการแพทย์เพื่อการเดินทางแห่งญี่ปุ่นและสมาคมอาชีวะอนามัยแห่งญี่ปุ่น ได้เผยแพร่แนวทางการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่หน้าเว็บไซต์ของตน

แนวทางดังกล่าวแนะนำให้เตรียมพร้อมสำหรับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งรวมถึงแอนาฟิแล็กซิส ซึ่งเป็นอาการที่เฉียบพลันและเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แนวทางระบุว่าปฏิกิริยาแพ้เกิดขึ้นมากกว่าในกลุ่มคนอายุน้อย และว่าผู้ดำเนินการฉีดวัคซีนควรมียาปฐมพยาบาลเตรียมพร้อมไว้ที่สถานที่ฉีดวัคซีน เพื่อรับมือกับอาการเหล่านี้

แนวทางนี้ยังระบุว่าผลข้างเคียงส่วนใหญ่ซึ่งรวมถึงมีไข้นั้น จะหายไปภายในหนึ่งหรือสองวัน แต่ผลข้างเคียงหลังจากเข้ารับวัคซีนเข็มที่ 2 จะรุนแรงกว่าหลังจากเข้ารับวัคซีนเข็มแรก แนวทางแนะนำว่าบริษัทที่จัดฉีดวัคซีนควรเตรียมการรับมือต่อการลาหยุดหลังเข้ารับวัคซีนเข็มที่ 2 ยกตัวอย่างเช่นการให้พนักงานที่อยู่ในกลุ่มงานเดียวกันเข้ารับวัคซีนคนละวันกัน

ส่วนประเด็นอื่น ๆ ในแนวทางนี้รวมถึงการจัดการข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงานที่เข้ารับวัคซีน และรับประกันว่าพนักงานแต่ละคนเข้ารับการฉีดวัคซีนด้วยความเต็มใจ

ศาสตราจารย์ฮามาดะ อัตสึโอะ จากมหาวิทยาลัยการแพทย์โตเกียว คือผู้นำคณะผู้เชี่ยวชาญที่จัดทำแนวทางดังกล่าว ศาสตราจารย์ฮามาดะบอกกับเราว่าเมื่อการฉีดวัคซีนที่ดำเนินการโดยบริษัทและมหาวิทยาลัยนั้นแพร่หลายออกไป นี่จะเป็นกลไกสำคัญที่จะควบคุมการติดเชื้อได้ อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่าผู้ดำเนินการฉีดวัคซีนจะต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษเกี่ยวกับการจัดการผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เขากล่าวว่าเขาต้องการให้องค์กรต่าง ๆ อ่านแนวทางนี้อย่างถี่ถ้วนก่อนจะเริ่มโครงการฉีดวัคซีน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 23 มิถุนายน 2564)

บริษัทและมหาวิทยาลัยที่จัดฉีดวัคซีนสามารถขอให้ผู้เข้ารับวัคซีนชำระค่าใช้จ่ายได้หรือไม่

ที่ผ่านมาเราได้นำเสนอโครงการฉีดวัคซีนซึ่งบริษัทและมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นดำเนินการฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ให้แก่พนักงานและนักศึกษาของตน กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นได้เผยแพร่คำถามที่พบบ่อย หรือ FAQ โดยอิงจากคำถามมากมายที่ได้รับ คำถามวันนี้คือ บริษัทและมหาวิทยาลัยสามารถขอให้ผู้เข้ารับวัคซีนชำระค่าใช้จ่ายได้หรือไม่

ทางกระทรวงระบุว่าการฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ดำเนินการโดยบริษัทและมหาวิทยาลัยนั้นเป็น “การฉีดวัคซีนชั่วคราว” ภายใต้กฎหมายสร้างเสริมภูมิคุ้มกันของญี่ปุ่น ด้วยเหตุนี้บริษัทและมหาวิทยาลัยจึงไม่สามารถจัดเก็บค่าใช้จ่ายจากผู้เข้ารับวัคซีนได้

ทางกระทรวงระบุว่าบริษัทและมหาวิทยาลัยมีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดหาเจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์ที่จำเป็นและสถานที่สำหรับโครงการฉีดวัคซีนของตนเอง และว่าคงเป็นเรื่องไม่เหมาะสมนักหากบริษัทและมหาวิทยาลัยจะให้พนักงานหรือบุคคลอื่น ๆ ที่เข้ารับวัคซีน แบกรับค่าใช้จ่ายบางส่วนของการฉีดวัคซีนดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม บริษัทและมหาวิทยาลัยสามารถแบกรับค่าใช้จ่ายบางส่วนเองได้ ถ้าโครงการฉีดวัคซีนดำเนินการร่วมกันกับบริษัทและมหาวิทยาลัยหลายแห่ง บริษัทและมหาวิทยาลัยเหล่านี้ก็อาจเลือกวิธีตกลงเรื่องต้นทุนด้วยกันได้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 22 มิถุนายน 2564)

ผู้อยู่อาศัยในท้องถิ่นมีสิทธิเข้ารับการฉีดวัคซีนภายใต้โครงการฉีดวัคซีนที่บริษัทและมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นได้หรือไม่

ที่ผ่านมาเราได้นำเสนอโครงการฉีดวัคซีนซึ่งบริษัทและมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นดำเนินการฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ให้แก่พนักงานและนักศึกษาของตน กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นได้เผยแพร่คำถามที่พบบ่อย หรือ FAQ โดยอิงจากคำถามมากมายที่มีการสอบถามเข้ามา

วันนี้เราจะมาดูกันว่าผู้อยู่อาศัยในท้องถิ่นมีสิทธิเข้ารับการฉีดวัคซีนภายใต้โครงการนี้หรือไม่

ทางกระทรวงได้ตอบคำถามไว้ใน FAQ โดยระบุว่าผู้ดำเนินการจัดฉีดวัคซีนจำเป็นต้องจัดการข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เข้ารับวัคซีน และต้องจัดเตรียมเพื่อให้คนเหล่านี้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 ด้วย ด้วยเหตุนี้ ทางกระทรวงจึงแนะนำให้บริษัทและมหาวิทยาลัยพิจารณาอย่างรอบคอบในการตัดสินใจว่าจะฉีดวัคซีนให้ใครบ้าง

ต่อคำถามที่ว่ารัฐบาลจะจัดเตรียมอุปกรณ์ทางการแพทย์และยาไว้สำหรับผู้เข้ารับวัคซีนที่เกิดอาการข้างเคียงหรือไม่ ทางกระทรวงระบุว่าบริษัทและมหาวิทยาลัยควรรับผิดชอบในการเตรียมพร้อมอุปกรณ์เหล่านี้ โดยแนะนำให้ปรึกษากับสถาบันทางการแพทย์ล่วงหน้า และเตรียมพร้อมอุปกรณ์และยาที่มองว่าจำเป็น ตลอดจนจัดการอุปกรณ์ปฐมพยาบาลอย่างเหมาะสมเพื่อให้รับมือกับกรณีฉุกเฉินได้ทุกเมื่อ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 21 มิถุนายน 2564)

ใครที่มีสิทธิในโครงการฉีดวัคซีนที่บริษัทและมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นบ้าง

ที่ผ่านมาเราได้นำเสนอโครงการฉีดวัคซีนที่บริษัทและมหาวิทยาลัยซึ่งดำเนินการให้แก่พนักงานและนักศึกษาของตน วันนี้เราจะมาดูกันว่าใครที่มีสิทธิในโครงการนี้บ้าง

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นได้เผยแพร่คำถามที่พบบ่อย หรือ FAQ เกี่ยวกับการฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่สำหรับบริษัทและมหาวิทยาลัย โดยอิงจากคำถามที่ได้รับมาจากบริษัทและมหาวิทยาลัยเหล่านี้

ในประเด็นที่เกี่ยวกับผู้มีสิทธิจะได้เข้ารับวัคซีนนั้น FAQ ระบุว่าบริษัทต่าง ๆ จะได้รับอนุญาตให้ฉีดวัคซีนแก่พนักงานของตนรวมถึงพนักงานของบริษัทที่เกี่ยวข้องด้วย ส่วนมหาวิทยาลัยจะได้รับอนุญาตให้ฉีดวัคซีนให้แก่นักศึกษาด้วย

ในประเด็นที่เกี่ยวกับพนักงานชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นนั้น FAQ ระบุว่ากลุ่มคนเหล่านี้ที่มีรายชื่ออยู่ในระบบทะเบียนผู้อยู่อาศัยพื้นฐานของญี่ปุ่น จะมีสิทธิได้รับวัคซีนจากโครงการนี้

สำหรับพนักงานที่ยังไม่ได้รับบัตรฉีดวัคซีนนั้น FAQ ระบุว่าพวกเขายังคงมีสิทธิภายใต้โครงการนี้แม้ว่าจะยังไม่มีบัตรฉีดวัคซีนก็ตาม ในกรณีเช่นนี้ พนักงานดังกล่าวควรเขียนที่อยู่ ชื่อ และวันเกิดลงในแบบสอบถามก่อนการฉีดวัคซีน และแสดงเอกสารยืนยันตัวตน

แบบสอบถามดังกล่าวควรเก็บไว้ที่บริษัทหรือสถาบันทางการแพทย์ซึ่งมีการจัดฉีดวัคซีนจนกว่าผู้เข้ารับวัคซีนจะนำบัตรฉีดวัคซีนที่พวกตนได้รับในภายหลังมายื่นให้

บางบริษัทได้สอบถามทางกระทรวงว่าพนักงานทั้งหมดของตนต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนเมื่อบริษัทเริ่มจัดฉีดวัคซีนหรือไม่ FAQ ระบุว่าขอให้บริษัทใส่ใจในการเคารพการตัดสินใจของพนักงานไม่ว่าพวกเขาจะเข้ารับวัคซีนหรือไม่

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 18 มิถุนายน 2564)

คู่มือปฏิบัติของกระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่นเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนที่สถานที่ทำงาน

ที่ผ่านมาเราได้รายงานเกี่ยวกับการที่บริษัทและมหาวิทยาลัยจัดฉีดวัคซีนให้แก่พนักงาน เจ้าหน้าที่ และนักศึกษาของตน วันนี้เราจะนำเสนอเรื่องคู่มือปฏิบัติของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนที่สถานที่ทำงาน

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นได้เผยแพร่แนวทางสำหรับองค์กรต่าง ๆ ก่อนที่การฉีดวัคซีนอย่างเต็มรูปแบบที่บริษัทและมหาวิทยาลัยได้เริ่มขึ้นในวันที่ 21 มิถุนายน

แนวทางดังกล่าวกำหนดว่าควรฉีดวัคซีนให้แก่พนักงานทุกคนไม่ว่าพวกเขาจะได้รับการว่าจ้างแบบใด เช่น พนักงานประจำและไม่ประจำ ทางกระทรวงขอให้บริษัททั้งหลายจัดการอย่างเหมาะสมสำหรับการฉีดวัคซีน เช่น การให้สิทธิผู้ที่มีความเสี่ยงสูงได้เข้ารับการฉีดวัคซีนก่อน โดยเป็นไปตามมาตรการป้องกันเพื่อเลี่ยงการติดเชื้อแบบกลุ่มตามสถานที่ทำงาน

นอกจากนี้ แนวทางดังกล่าวยังขอให้องค์กรต่าง ๆ ยืนยันเรื่องความเต็มใจของผู้เข้ารับวัคซีนก่อน เพื่อที่จะได้ไม่มีการบังคับฉีดวัคซีนโดยไม่เต็มใจ และยังระบุด้วยว่าห้ามมีการนำข้อมูลส่วนตัวของผู้เข้ารับวัคซีนแต่ละคนไปใช้ในวัตถุประสงค์อื่น

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 17 มิถุนายน 2564)

แนวโน้มที่อาจมีการผ่อนคลายข้อกำหนดที่รัฐบาลญี่ปุ่นตั้งไว้สำหรับการฉีดวัคซีนที่บริษัท

ที่ญี่ปุ่นนั้น การยื่นสมัครจากบริษัทและมหาวิทยาลัยเพื่อดำเนินการฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้วเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน วันนี้เราจะนำเสนอเรื่องแนวโน้มที่อาจมีการผ่อนคลายข้อกำหนดที่รัฐบาลตั้งไว้สำหรับการฉีดวัคซีนที่บริษัท

รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศว่าการฉีดวัคซีนเช่นว่านี้ควรเริ่มจากมหาวิทยาลัย และบริษัทที่มีพนักงานมากกว่า 1,000 คนเพื่อให้ดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นายทามูระ โนริฮิซะ รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่น ได้กล่าวที่การประชุมคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 11 มิถุนายนว่า การกำหนดเงื่อนไขเช่นนี้ก็เนื่องจากบริษัทที่มีพนักงาน 1,000 คนขึ้นไป น่าจะสามารถจัดหาเจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์ที่สามารถฉีดวัคซีนได้โดยทันทีรวมถึงการตรวจแบบสอบถามเบื้องต้นก่อนเข้ารับการฉีดวัคซีน โดยการเรียกให้แพทย์ประจำบริษัทมาดำเนินการให้ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม นายทามูระกล่าวว่าเมื่อโครงการฉีดวัคซีนดำเนินการไป รัฐบาลจะไม่ยึดตามข้อกำหนดเดิมในเรื่องจำนวนขั้นต่ำสุดของผู้ที่จะเข้ารับวัคซีน

นายทามูระกล่าวว่าพวกตนจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและหากผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถจัดการกับการฉีดวัคซีนได้ดีพอสมควร พวกตนก็จะพิจารณาลดจำนวนที่กำหนดไว้ที่ 1,000 คน เขากล่าวว่ารัฐบาลกำลังเตรียมการเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ที่อาจเปลี่ยนแปลง

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 16 มิถุนายน 2564)

สถานการณ์ของโครงการฉีดวัคซีนที่บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก

ที่ญี่ปุ่นนั้น การยื่นสมัครจากบริษัทและมหาวิทยาลัยเพื่อดำเนินการฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้วเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน วันนี้เราจะนำเสนอสถานการณ์ของโครงการฉีดวัคซีนที่บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก

รัฐบาลญี่ปุ่นได้จัดทำแผนเพื่อเร่งการฉีดวัคซีนด้วยการอนุญาตให้มหาวิทยาลัยและบริษัทที่มีพนักงานมากกว่า 1,000 คน สามารถเริ่มดำเนินการฉีดวัคซีนได้

องค์กรต่าง ๆ ซึ่งจัดการด้านการสมัครเพื่อดำเนินการฉีดวัคซีนให้แก่บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กนั้น พบปัญหาเรื่องการจัดหาเจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์ที่จะมาดำเนินการฉีดวัคซีน

บริษัทจำนวนมากไม่มีแพทย์ที่ทำงานเต็มเวลาประจำอยู่ที่บริษัท นอกจากนี้องค์กรเหล่านี้ยังประสบปัญหาประสานความร่วมมือเพื่อให้มีผู้เข้ารับการฉีดวัคซีนเกิน 1,000 คน ดังนั้นการสมัครของบริษัทดังกล่าวจึงไม่คืบหน้านักเมื่อเทียบกับบริษัทขนาดใหญ่และมหาวิทยาลัยต่าง ๆ

ท่ามกลางสถานการณ์เช่นว่านี้ สมาคมผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กแห่งโตเกียวซึ่งมีสมาชิกกว่า 2,500 บริษัทระบุว่า ได้รับคำร้องจากบริษัทที่เป็นสมาชิกของตนให้เริ่มโครงการฉีดวัคซีนร่วม ทางสมาคมระบุว่าความท้าทายยิ่งใหญ่ที่สุดที่บริษัทเหล่านี้เผชิญก็คือการจัดหาเจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์ แม้ทางสมาคมจะขอความช่วยเหลือไปยังสมาคมแพทย์แล้ว แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้ามากนัก

ส่วนประเด็นอื่น ๆ ก็อย่างเช่น จะระบุจำนวนที่แท้จริงของการสมัครได้อย่างไรเพื่อป้องกันไม่ให้วัคซีนเสียเปล่า และจะจัดการค่าใช้จ่ายสำหรับสถานที่ฉีดวัคซีนดังกล่าวได้อย่างไร

เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของสมาคมกล่าวว่าช่องว่างในการเข้าถึงวัคซีนระหว่างบริษัทใหญ่กับบริษัทที่เล็กกว่าน่าจะเพิ่มมากขึ้น เขากล่าวว่าแทนที่จะรอจนกว่าเงื่อนไขจะตรงตามกำหนด ทางสมาคมต้องดำเนินการเพื่อจัดทำเงื่อนไขในการจัดฉีดวัคซีน เนื่องจากพนักงานของบริษัทขนาดเล็กต้องเข้ารับวัคซีนเพราะคนกลุ่มนี้จำนวนมากมีแนวโน้มไปนอกสถานที่และไม่ได้ทำงานอยู่ในสำนักงาน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 15 มิถุนายน 2564)

โครงการฉีดวัคซีนซึ่งดำเนินการที่มหาวิทยาลัย

ที่ญี่ปุ่นนั้น การยื่นสมัครจากบริษัทและมหาวิทยาลัยเพื่อดำเนินการฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้วเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน วันนี้เราจะนำเสนอโครงการฉีดวัคซีนซึ่งดำเนินการที่มหาวิทยาลัย

เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน กระทรวงศึกษาธิการ วัฒนธรรม กีฬา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของญี่ปุ่นได้จัดตั้งคณะทำงานที่ประกอบไปด้วยสมาชิกราว 40 คน โดยได้สอบถามมหาวิทยาลัยทั่วญี่ปุ่นราว 800 แห่งว่าต้องการจัดฉีดวัคซีนที่มหาวิทยาลัยหรือไม่ เจ้าหน้าที่ของทางกระทรวงระบุว่าจะให้การสนับสนุนโดยมุ่งหวังว่าจะเริ่มโครงการนี้ที่มหาวิทยาลัยราว 20 แห่ง ก่อนที่จะกระจายไปยังมหาวิทยาลัยอื่น ๆ

คณะทำงานนี้ได้รับคำถามมากมายจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันที่เริ่มเปิดรับสมัครสำหรับโครงการนี้ บางมหาวิทยาลัยสอบถามเกี่ยวกับกระบวนการสมัคร อุปกรณ์ที่ต้องใช้ และใครที่จะเข้าข่ายสำหรับโครงการนี้ บางมหาวิทยาลัยที่ไม่มีคณะแพทยศาสตร์และคณะที่เกี่ยวข้องด้านการแพทย์แต่มีสถานที่สำหรับใช้เป็นที่ฉีดวัคซีนได้ ต้องการทราบว่าพวกตนจะสามารถจัดหาเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขที่สามารถฉีดวัคซีนได้อย่างไร

กระทรวงศึกษาธิการของญี่ปุ่นระบุว่าราวร้อยละ 40 ของมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นมีคณะแพทยศาสตร์ พยาบาลศาสตร์ และทันตแพทยศาสตร์ เจ้าหน้าที่ของทางกระทรวงกำลังหาแนวทางที่จะเปิดทางให้มหาวิทยาลัยเหล่านี้ให้ความช่วยเหลือแก่มหาวิทยาลัยที่อยู่ใกล้กัน ทางกระทรวงหวังที่จะกระตุ้นอัตราการฉีดวัคซีนในกลุ่มคนหนุ่มสาวด้วยการใช้มหาวิทยาลัยเป็นสถานที่ฉีดวัคซีน

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังหวังจะใช้ประโยชน์จากช่วงวันปิดเทอมฤดูร้อน พวกเขาคาดว่าเจ้าหน้าที่โรงเรียนอนุบาล โรงเรียนประถม มัธยมต้นและมัธยมปลาย รวมถึงโรงเรียนสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษสามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนที่มหาวิทยาลัยในท้องถิ่นก่อนที่จะเปิดเทอมในเดือนกันยายน

ทางกระทรวงมีแผนที่จะเปิดทางให้ผู้คนที่มีกำหนดไปศึกษายังสถาบันศึกษาต่างประเทศซึ่งมีข้อกำหนดให้ฉีดวัคซีนโควิด-19 ก่อน สามารถเข้ารับวัคซีนที่มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ได้ก่อนออกเดินทาง ทางกระทรวงมีแผนจะออกใบรับรองการฉีดวัคซีนให้แก่บุคคลเหล่านี้เป็นภาษาอังกฤษในนามของรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการญี่ปุ่น

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 14 มิถุนายน 2564)

การฉีดวัคซีนที่บริษัทและมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นเริ่มดำเนินการเมื่อใด

ที่ญี่ปุ่นนั้น การยื่นสมัครจากบริษัทและมหาวิทยาลัยเพื่อดำเนินการฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้วเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน วันนี้เราจะนำเสนอว่าการฉีดวัคซีนที่สถานที่เหล่านี้จะเริ่มดำเนินการเมื่อใด

รัฐบาลญี่ปุ่นมีแผนที่จะเริ่มฉีดวัคซีนที่สถานที่ทำงานและมหาวิทยาลัยตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นระบุว่า ทางการท้องถิ่นที่การฉีดวัคซีนให้แก่ผู้สูงอายุมีความคืบหน้าด้วยดี สามารถเริ่มฉีดวัคซีนตามสถานที่เหล่านี้ได้ก่อนวันที่ 21 มิถุนายน สถาบันทางการแพทย์ที่ดำเนินการฉีดวัคซีนจะขอให้ทางการท้องถิ่นรับผิดชอบค่าใช้จ่ายดังกล่าวได้

ข้อมูลของผู้คนที่เข้ารับวัคซีน เช่น ผู้เข้ารับวัคซีนเป็นใคร เข้ารับวัคซีนเมื่อไหร่และที่ไหน จะถูกบันทึกไว้ในระบบบันทึกการฉีดวัคซีนของรัฐบาลญี่ปุ่น หรือ VRS

นอกจากการจัดสรรวัคซีนและอุปกรณ์อื่น ๆ แล้ว ก็จะมีการมอบแท็บเล็ตที่ใช้สำหรับการบันทึกข้อมูลดังกล่าวให้แก่สถานที่ฉีดวัคซีนเหล่านี้ด้วย แพทย์หรือเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบจะใช้แท็บเล็ตนี้บันทึกข้อมูลต่าง ๆ เช่น วันที่ฉีดวัคซีนและจำนวนขนาดยาที่ได้ฉีดไป โดยข้อมูลนี้จะนำไปแบ่งปันกับทางการท้องถิ่นที่ผู้เข้ารับวัคซีนพักอาศัยอยู่

คณะผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการระบุว่า เพื่อควบคุมการระบาดของการติดเชื้อจึงจำเป็นต้องเร่งการฉีดวัคซีนทั่วญี่ปุ่นผ่านความพยายามต่าง ๆ ที่รวมถึงการฉีดวัคซีนตามสถานที่ทำงาน เพื่อให้ผู้คนได้เข้ารับวัคซีนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 11 มิถุนายน 2564)

ความแตกต่างระหว่างการฉีดวัคซีนที่ดำเนินการโดยบริษัทและมหาวิทยาลัยกับที่ดำเนินการโดยทางการท้องถิ่น

ที่ญี่ปุ่นนั้น การยื่นสมัครจากบริษัทและมหาวิทยาลัยเพื่อดำเนินการฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้วเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน วันนี้เราจะนำเสนอความแตกต่างระหว่างการฉีดวัคซีนที่ดำเนินการโดยบริษัทและมหาวิทยาลัยกับที่ดำเนินการโดยทางการท้องถิ่น

รัฐบาลญี่ปุ่นหวังที่จะเร่งการฉีดวัคซีนไปพร้อมกับการแบ่งเบาภาระของทางการท้องถิ่น ด้วยการให้บริษัทและมหาวิทยาลัยเป็นสถานที่สำหรับฉีดวัคซีนด้วย

บริษัทและมหาวิทยาลัยต้องจัดเตรียมสถานที่และเจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์ด้วยตนเอง เพื่อที่จะได้ไม่กระทบต่อความพยายามฉีดวัคซีนของทางการท้องถิ่นแห่งต่าง ๆ

ทางการท้องถิ่นใช้วัคซีนที่พัฒนาโดยบริษัทไฟเซอร์กับไบออนเทค ขณะที่การฉีดวัคซีนโดยบริษัทและมหาวิทยาลัยนั้น ใช้วัคซีนที่พัฒนาโดยบริษัทโมเดอร์นา หนึ่งในเงื่อนไขที่กำหนดก็คือสถานที่แต่ละแห่งจะสามารถฉีดวัคซีนให้ผู้คนราว 1,000 คนได้ และต้องจัดฉีดวัคซีนให้แต่ละคนให้ครบ 2 เข็ม

ก่อนจะเริ่มฉีดวัคซีนนั้น บริษัทและมหาวิทยาลัยต้องได้รับรหัสสถานที่และลงนามในสัญญา พวกเขาต้องกรอกข้อมูลในระบบ “V-SYS” ที่พัฒนาโดยกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่น เพื่อให้ดำเนินการได้อย่างราบรื่น ข้อมูลที่ต้องกรอกนั้นรวมถึงชื่อของแพทย์และผู้รับผิดชอบดูแลวัคซีน ตลอดจนจำนวนของวัคซีนที่ต้องการ

วัคซีนจะต้องเก็บไว้ในตู้แช่เย็นที่ควบคุมอุณหภูมิไว้ที่ติดลบ 20 องศาเซลเซียส รัฐบาลญี่ปุ่นระบุว่าจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายบางส่วนหรือให้การสนับสนุนด้านการเตรียมการสำหรับมาตรการที่จำเป็นเหล่านี้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 10 มิถุนายน 2564)

ทำไมค่ายฝึกซ้อมก่อนการแข่งขันโอลิมปิกจึงจำเป็น

ทีมนักกีฬาซอฟต์บอลของออสเตรเลียได้เดินทางมาถึงญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน เพื่อเข้าค่ายฝึกซ้อมก่อนการแข่งขันโอลิมปิก โดยถือเป็นนักกีฬาโอลิมปิกกลุ่มแรกที่มาถึงญี่ปุ่นนับตั้งแต่มหกรรมกีฬาโตเกียวโอลิมปิกถูกเลื่อนออกไปเนื่องจากการระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ วันนี้เราจะนำเสนอเหตุผลที่ว่าทำไมค่ายฝึกซ้อมก่อนการแข่งขันโอลิมปิกจึงจำเป็น

ทีมนักกีฬาโอลิมปิกและพาราลิมปิกจากต่างชาติมักจะพักอยู่ในประเทศเจ้าภาพในช่วงระยะเวลาหนึ่งก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มขึ้น เพื่อปรับร่างกายให้คุ้นเคยกับเวลาที่ต่างออกไป และเพื่อปรับตัวให้ชินกับอาหารและสภาพอากาศของประเทศเจ้าภาพ

เมื่อปี 2559 นักกีฬาชาวญี่ปุ่นออกเดินทางจากญี่ปุ่นราว 2 สัปดาห์ก่อนการแข่งขันโอลิมปิกที่รีอูดีจาเนรูของบราซิล และเข้าค่ายฝึกซ้อมในบราซิลหรือในสหรัฐ ซึ่งเป็นเขตเวลาที่คล้ายคลึงกัน โดยเวลาของญี่ปุ่นกับบราซิลนั้นแตกต่างกัน 12 ชั่วโมง

ส่วนการแข่งขันโตเกียวโอลิมปิก มีเทศบาล 528 แห่งทั่วญี่ปุ่นที่ได้ลงทะเบียนเป็นเมืองเจ้าภาพสำหรับทีมนักกีฬาต่างชาติ หลายเทศบาลได้วางแผนเพื่อต้อนรับนักกีฬาเหล่านี้ที่จะมาเข้าค่ายฝึกซ้อมก่อนการแข่งขัน แต่นักกีฬาบางทีมได้ยกเลิกการเข้าค่ายฝึกซ้อมดังกล่าวเพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในช่วงที่พวกเขาเดินทางมาและเข้าพักในญี่ปุ่น

สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นระบุว่ามีอีกหลายร้อยทีมที่ยังคงมีแผนจะเข้าร่วมค่ายฝึกซ้อมก่อนการแข่งขัน โดยนักกีฬาบางส่วนจะเริ่มมาถึงญี่ปุ่นในเดือนมิถุนายน แต่ส่วนมากน่าจะมาถึงในเดือนกรกฎาคม

นักกีฬาเหล่านี้กลุ่มแรก ซึ่งเป็นสมาชิกของทีมซอฟต์บอลของออสเตรเลียราว 30 คน ได้เดินทางถึงเมืองโอตะในจังหวัดกุมมะเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน เจ้าหน้าที่ของเมืองโอตะกล่าวว่านักกีฬาและเจ้าหน้าที่ของทีมนี้ทั้งหมดได้เข้ารับการฉีดวัคซีนแล้วก่อนที่จะเดินทางมายังญี่ปุ่น พวกเขาเข้ารับการตรวจ PCR ทุกวันในระหว่างพักอยู่ที่นี่

มีการขอให้นักกีฬาพักอยู่ที่โรงแรมยกเว้นว่าจะออกเดินทางไปยังสนามเบสบอลเพื่อฝึกซ้อม เจ้าหน้าที่ของเมืองโอตะระบุว่าจะดำเนินมาตรการต้านการติดเชื้ออย่างถี่ถ้วนและสนับสนุนนักกีฬาเหล่านี้ในช่วงที่พวกเขาพักอยู่ในเมืองโอตะนาน 45 วัน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 9 มิถุนายน 2564)

ประเภทของขั้นตอนที่เทศบาลท้องถิ่นผู้เป็นเจ้าภาพดูแลทีมนักกีฬาโอลิมปิกกำหนดให้ปฏิบัติตาม

ทีมนักกีฬาโอลิมปิกจากต่างชาติชุดแรกได้เดินทางมาถึงญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 1 มิถุนายนเพื่อเข้าค่ายฝึกซ้อมก่อนการแข่งขันโอลิมปิก ถือเป็นตัวแทนกลุ่มแรกที่มาถึงญี่ปุ่นนับตั้งแต่ที่มีการเลื่อนมหกรรมกีฬาโตเกียวโอลิมปิกออกไปเนื่องจากการระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

วันนี้เราจะนำเสนอประเภทของขั้นตอนต่าง ๆ ที่เทศบาลท้องถิ่นผู้เป็นเจ้าภาพดูแลทีมนักกีฬาทั้งหลายกำหนดให้ปฏิบัติตาม

รัฐบาลญี่ปุ่นจัดทำแนวทางต้านการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ให้แก่เทศบาลท้องถิ่นทั้งหลายซึ่งเป็นเจ้าภาพดูแลนักกีฬาโอลิมปิกที่เดินทางมาเข้าร่วมค่ายฝึกซ้อมก่อนการแข่งขันโอลิมปิก แนวทางดังกล่าวระบุชัดเจนว่าเมืองที่เรียกว่าเมืองเจ้าภาพนั้นจะรับผิดชอบเป็นบางส่วนในการรับรองตัวแทนจากต่างชาติ

แนวทางระบุว่าถ้าเมืองเจ้าภาพอยู่ไกลจากสนามบินหรือหมู่บ้านนักกีฬา เมืองเหล่านี้ก็ต้องจัดเตรียมเที่ยวบินหรือรถไฟหัวกระสุนชิงกันเซ็นแบบเช่าเหมา หรือวิธีเดินทางอื่น ๆ ที่ไม่ใช่การขนส่งสาธารณะ จะมีการขอให้ทีมนักกีฬาต่างชาติใช้สถานีรถไฟและสนามบินในเวลาและเส้นทางที่ต่างไปจากประชาชนทั่วไป

เมื่อคณะนักกีฬาฝึกซ้อมที่เมืองเจ้าภาพ จะมีการขอให้พวกเขาจองสถานที่ฝึกซ้อมเป็นการเฉพาะ และหลีกเลี่ยงการฝึกซ้อมกับผู้อยู่อาศัยในท้องถิ่น ส่วนที่พักของนักกีฬานั้น จะมีการขอให้พวกเขาจองที่พักไว้ทั้งชั้นหรือทั้งอาคาร และหลีกเลี่ยงการออกไปมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนด้านนอก

จะมีการขอให้บรรดานักกีฬาและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่อาจต้องติดต่อปฏิสัมพันธ์กับนักกีฬาเข้ารับการตรวจหาเชื้อทุกวัน เพื่อป้องกันการติดเชื้อชนิดกลายพันธุ์

การแลกเปลี่ยนระหว่างนักกีฬาและผู้อยู่อาศัยจะจัดขึ้นทางออนไลน์ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กันโดยตรง

รัฐบาลญี่ปุ่นได้จัดสรรงบประมาณราว 12,700 ล้านเยน หรือประมาณ 3,600 ล้านบาทให้แก่จังหวัดต่าง ๆ เพื่อเป็นงบประมาณสำหรับมาตรการต้านการติดเชื้อ แต่เทศบาลท้องถิ่นบางแห่งระบุว่าเป็นเรื่องยากเนื่องจากมีมาตรการจำกัดด้านการแลกเปลี่ยนปฏิสัมพันธ์อย่างเข้มงวด และการดำเนินมาตรการต่าง ๆ ก็เป็นภาระหนัก

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 8 มิถุนายน 2564)

มาตรการต้านการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่เกี่ยวข้องกับค่ายฝึกซ้อมก่อนการแข่งขันโอลิมปิก

เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ทีมซอฟต์บอลหญิงของออสเตรเลียกลายเป็นนักกีฬาต่างชาติกลุ่มแรกที่เดินทางมาถึงญี่ปุ่นเพื่อเข้าค่ายฝึกซ้อมก่อนการแข่งขันโอลิมปิก นับตั้งแต่ที่มีการเลื่อนมหกรรมกีฬาโตเกียวโอลิมปิกออกไป 1 ปีเนื่องจากการระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

วันนี้เราจะมุ่งเน้นไปที่มาตรการต้านการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่เกี่ยวข้องกับค่ายฝึกซ้อมก่อนการแข่งขันโอลิมปิก

ผู้คนที่เกี่ยวข้องกับการแข่งขันโตเกียวโอลิมปิกและพาราลิมปิก ตลอดจนงานทดสอบต่าง ๆ ต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ก่อนออกเดินทางมาญี่ปุ่น และต้องตรวจหาแอนติเจนเมื่อมาถึงสนามบินของญี่ปุ่น นอกจากนี้ ก็ยังขอให้พวกเขากักตัวเป็นเวลา 14 วันด้วยโดยเริ่มตั้งแต่วันรุ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลญี่ปุ่นอนุญาตให้ผ่อนคลายข้อจำกัดเรื่องการกักตัวภายใต้ “สถานการณ์ยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ” โดยนักกีฬาและผู้ฝึกสอนสามารถเริ่มกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การฝึกซ้อม นับตั้งแต่วันที่ 2 ของการเดินทางมาถึงญี่ปุ่นภายใต้เงื่อนไขบางประการ ซึ่งรวมถึงการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ทุกวันเป็นเวลา 3 วันนับจากวันที่ 2 ของการเดินทางมาถึงญี่ปุ่น

ส่วนคนอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากนักกีฬาและผู้ฝึกสอนจะต้องกักตัวเป็นเวลา 3 วันก่อนที่จะเริ่มทำกิจกรรมต่าง ๆ คณะกรรมการจัดการแข่งขันโตเกียวโอลิมปิกระบุว่า บุคคลเหล่านี้จะต้องตรวจหาเชื้อในวันที่ 3 วันที่ 8 และวันที่ 14 ของการอยู่ในญี่ปุ่น

ข้อมูลจากคณะกรรมการจัดการแข่งขันโตเกียวโอลิมปิกระบุว่า มีผู้คนทั้งหมด 1,649 คน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการแข่งขันโตเกียวโอลิมปิกและงานทดสอบต่าง ๆ ได้เดินทางมาถึงญี่ปุ่นจาก 83 ประเทศและดินแดนระหว่างวันที่ 1 เมษายนถึง 16 พฤษภาคมปี 2564

ประมาณร้อยละ 85 ของคนกลุ่มนี้หรือคิดเป็น 1,432 คน ผ่านการกักตัวในระยะเวลาที่สั้นลง ผู้ฝึกสอนคนหนึ่งซึ่งเข้าร่วมงานทดสอบกีฬากระโดดน้ำ และผู้ฝึกสอนคนหนึ่งของงานทดสอบแข่งขันกีฬาเรือพายนานาชาติ มีผลตรวจว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในช่วงดังกล่าว

ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงกักตัวหรืออยู่ภายใต้สถานการณ์ยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ บุคคลเหล่านี้ทั้งหมดต้องไม่ใช้ระบบขนส่งสาธารณะเป็นเวลา 14 วัน และจะขอให้หลีกเลี่ยงจากการออกไปด้านนอกที่พักของตน เว้นเสียแต่ว่าออกไปฝึกซ้อมหรือไปสถานที่แข่งขัน หรือสถานที่ทำงานอื่น ๆ

คณะกรรมการจัดการแข่งขันโตเกียวโอลิมปิกระบุว่าได้จัดการกรณีเหล่านี้โดยมีเจ้าหน้าที่ของทางคณะกรรมการคอยประจำอยู่ที่สถานที่พักทั้งหลาย และว่าที่ผ่านมายังไม่มีรายงานการฝ่าฝืน เช่น การออกไปข้างนอกโดยไม่ได้รับอนุญาต

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 7 มิถุนายน 2564)

การสอบถามเรื่องสุขภาพก่อนเข้ารับการฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

มีการขอให้ผู้คนกรอกแบบสอบถาม 14 ข้อเพื่อเป็นการตรวจสอบก่อนเข้ารับวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เราได้อธิบายแบบสอบถามนี้แต่ละข้อไปแล้วในตอนก่อนหน้านี้ แพทย์จะตัดสินใจว่าบุคคลผู้นั้นจะสามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนได้หรือไม่ โดยอิงจากแบบสอบถามและการตรวจสุขภาพของบุคคลเหล่านั้น

บุคคลผู้นั้นสามารถตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าจะรับหรือไม่รับวัคซีน หลังจากที่แพทย์ตรวจร่างกายและอธิบายให้ฟัง รวมถึงทำความเข้าใจเรื่องประโยชน์ตลอดจนผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน

แบบสอบถามดังกล่าวจัดทำเป็นภาษาญี่ปุ่น กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นได้แปลเอกสารนี้เป็นภาษาต่าง ๆ รวมถึงภาษาไทย

ทางกระทรวงขอให้ใช้เอกสารแปลเหล่านี้ประกอบตอนที่กรอกแบบสอบถามดังกล่าว นอกจากนี้ ก็ยังมีเอกสารที่อธิบายเกี่ยวกับวัคซีนของไฟเซอร์-ไบออนเทคเป็นภาษาต่าง ๆ รวมถึงภาษาไทยด้วย

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 4 มิถุนายน 2564)

แบบสอบถามเรื่องสุขภาพเบื้องต้นก่อนเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ตอนที่ 3

มีการขอให้ผู้คนที่จะเข้ารับการฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในญี่ปุ่นกรอกแบบสอบถามก่อนเข้ารับวัคซีนซึ่งมี 14 ข้อ โดยจะต้องตอบทุกข้อในรูปแบบของใช่หรือไม่ใช่ วันนี้เราจะมาดูคำถามอีก 7 ข้อที่เหลือกัน

ข้อที่ 8 ถามว่ามีส่วนใดของร่างกายที่คุณรู้สึกไม่สบายในวันนี้หรือไม่ ถ้าใช่ จะต้องเขียนอาการลงไป

ข้อที่ 9 คุณเคยมีอาการชักหรือไม่

ข้อที่ 10 คุณเคยมีอาการแพ้รุนแรง เช่น แอนาฟิแล็กซิสหรืออาการแพ้รุนแรงเฉียบพลัน จากยาหรืออาหารหรือไม่ หากเคย ต้องระบุชื่อยาหรืออาหารที่ทำให้เกิดปัญหา

ข้อที่ 11 คุณเคยป่วยหลังจากเข้ารับการฉีดวัคซีนหรือไม่ ถ้าเคย ต้องกรอกชื่อประเภทของวัคซีนและอาการที่เป็น

ข้อที่ 12 มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่คุณจะกำลังตั้งครรภ์อยู่ เช่น ประจำเดือนมาช้ากว่าปกติ หรือคุณอยู่ในช่วงที่ให้นมบุตรอยู่หรือไม่

ข้อที่ 13 ถามว่าคุณได้รับวัคซีนใด ๆ ก็ตามในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาหรือไม่ ถ้าใช่ จะต้องกรอกประเภทของวัคซีนและวันที่รับวัคซีน

และข้อที่ 14 คุณมีคำถามใดเกี่ยวกับวัคซีนในวันนี้หรือไม่

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 3 มิถุนายน 2564)

แบบสอบถามเรื่องสุขภาพเบื้องต้นก่อนเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ตอนที่ 2

มีการขอให้ผู้คนที่จะเข้ารับการฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในญี่ปุ่นกรอกแบบสอบถามก่อนเข้ารับวัคซีนซึ่งมี 14 ข้อ โดยจะต้องตอบทุกข้อในรูปแบบของใช่หรือไม่ใช่ วันนี้เราจะมาดู 7 ข้อแรกกัน

ข้อแรกก็คือคุณรับวัคซีนโควิด-19 เป็นครั้งแรกหรือไม่ หากคุณเคยรับการฉีดวัคซีนมาก่อน จะมีการขอให้กรอกวันที่ที่คุณได้รับวัคซีนครั้งก่อน

ข้อที่ 2 จะถามว่าเมือง ตำบล หรือหมู่บ้านตามการลงทะเบียนเป็นผู้อยู่อาศัยของคุณเป็นเมือง ตำบล หรือหมู่บ้านที่ระบุไว้บนบัตรฉีดวัคซีนหรือไม่

ข้อที่ 3 คุณเคยอ่าน “คำแนะนำเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19” หรือไม่ และคุณเข้าใจถึงผลลัพธ์และผลข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์หรือไม่

ข้อที่ 4 คุณเข้าข่ายหนึ่งในกลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับวัคซีนนี้ก่อนหรือไม่ ถ้าใช่ จะต้องทำเครื่องหมายลงในช่องสี่เหลี่ยมของกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ

กลุ่มเป้าหมายดังกล่าวได้แก่ บุคลากรด้านการแพทย์, ผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป, ผู้ที่มีอายุ 60-64 ปี, ผู้ทำงานที่สถานดูแลผู้สูงอายุ, ผู้ที่มีโรคประจำตัว ซึ่งจะต้องกรอกชื่อของโรคประจำตัวดังกล่าวลงไป

ข้อที่ 5 จะถามว่าคุณมีอาการป่วยหรือรับการรักษาหรือยาอยู่หรือไม่ ถ้าใช่ จะต้องทำเครื่องหมายลงในช่องสี่เหลี่ยมด้านหน้าชื่อโรคและลักษณะของการรักษา หรือเขียนชื่อโรคและการรักษาลงไปในกรณีที่ไม่มีชื่อตามที่ระบุมาให้

ข้อที่ 6 ถามว่าแพทย์ที่ให้การรักษาโรคที่คุณเป็นอยู่บอกว่าคุณสามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนในวันนี้ได้หรือไม่

และข้อที่ 7 คุณมีไข้หรือป่วยในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมาหรือไม่ ถ้าตอบว่าใช่ จะต้องเขียนชื่อโรคลงไป

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 2 มิถุนายน 2564)

แบบสอบถามเรื่องสุขภาพเบื้องต้นก่อนเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ตอนที่ 1

เราจะนำเสนอแบบสอบถามเรื่องสุขภาพเบื้องต้นก่อนเข้ารับการฉีดวัคซีน ที่ญี่ปุ่นนั้น ผู้ที่ต้องการเข้ารับวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จะต้องผ่านการทำแบบสอบถามเบื้องต้น โดยจะต้องกรอกแบบสอบถามและตอบคำถามเกี่ยวกับสภาพร่างกายในปัจจุบัน รวมถึงอาการเจ็บป่วยที่เคยเป็นมาก่อน แพทย์จะตรวจสอบแบบสอบถามและตัดสินใจว่าบุคคลผู้นั้นสามารถเข้ารับวัคซีนได้หรือไม่

ประการแรก บุคคลผู้นั้นจะต้องกรอกที่อยู่ ชื่อ เบอร์โทรศัพท์ วันเกิด เพศ ตลอดจนอุณหภูมิร่างกายที่วัดก่อนการทำแบบสอบถาม จากนั้นจะต้องตอบคำถาม 14 ข้อว่าใช่หรือไม่ใช่

แบบสอบถามดังกล่าวเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม รูปแบบที่เป็นภาษาต่างประเทศมีจัดทำไว้ที่เว็บไซต์ของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่น ซึ่งสามารถนำมาใช้ประกอบได้ในตอนที่กรอกแบบสอบถามดังกล่าว

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 1 มิถุนายน 2564)

เหตุผลที่ทำให้การฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในญี่ปุ่นล่าช้า ตอนที่ 8

อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นได้เรียกความพยายามของญี่ปุ่นที่จะพัฒนาวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ว่าเริ่มต้นจากติดลบ

เจ้าหน้าที่คนนี้กล่าวว่าที่ผ่านมาประชาชนในญี่ปุ่นมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนโดยทั่วไปในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา เนื่องจากมีผลเสียต่อสุขภาพที่เกิดจากการฉีดวัคซีน และว่าบริษัทยาของญี่ปุ่นบางแห่งได้ถอนตัวออกจากการพัฒนาวัคซีนเนื่องจากความเสี่ยงเรื่องคดีฟ้องร้องและปัญหาเกี่ยวกับความจำเป็นเรื่องการควบคุมอุณหภูมิของวัคซีนและช่วงเวลาของการเก็บรักษาวัคซีนที่เก็บได้ไม่นานนัก

เจ้าหน้าที่คนนี้กล่าวว่าดูเหมือนว่าผู้ผลิตภายในญี่ปุ่นกำลังพ่ายแพ้ต่อคู่แข่งในแง่ของทรัพยากรบุคคลและขีดความสามารถด้านเทคโนโลยี

นับจนถึงปัจจุบัน มีบริษัทในญี่ปุ่น 4 แห่งที่ได้เริ่มทดลองทางคลินิกวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของตน โดยมีบางแห่งที่หวังว่าจะได้รับการรับรองจากรัฐบาลญี่ปุ่นก่อนสิ้นปีนี้

ญี่ปุ่นกำลังเผชิญปัญหามากมายในการจัดหาวัคซีน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลญี่ปุ่นยังคงยืนยันว่าญี่ปุ่นไม่ได้ตามหลังประเทศอื่น ๆ ที่มีสถานการณ์การติดเชื้อใกล้เคียงกับญี่ปุ่น เมื่อเปรียบเทียบในแง่ของจำนวนวัคซีนที่สามารถจัดหามาได้แล้ว

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2564)

เหตุผลที่ทำให้การฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในญี่ปุ่นล่าช้า ตอนที่ 7

ช่องว่างระหว่างญี่ปุ่นกับประเทศอื่น ๆ เรื่องการพัฒนาวัคซีนนั้นกำลังเพิ่มมากขึ้น สิ่งนี้เป็นผลจากการที่รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ ทำระบบสนับสนุนให้แก่บริษัทที่พยายามพัฒนาผลิตภัณฑ์ยา ซึ่งอาจจะไม่ก่อให้เกิดกำไรแต่เชื่อกันว่ามีความสำคัญต่อประเทศชาติ

ศาสตราจารย์คูนิชิมะ ฮิโรยูกิ แห่งมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์เซนต์มาเรียนนา ได้นำเสนอกรณีตัวอย่างของอังกฤษและสวีเดน รัฐบาลของประเทศเหล่านี้ได้เริ่มระบบที่ให้ความช่วยเหลือทางการเงินจำนวนหนึ่งแก่บริษัทที่พัฒนายาปฏิชีวนะซึ่งอาจจะขายได้จำนวนไม่มาก ประเทศดังกล่าวมีกรอบงานที่รัฐบาลจะให้ความช่วยเหลืออย่างกระตือรือร้นแก่การดูแลด้านการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงแห่งชาติ

นอกจากนี้ บรรดาผู้เชี่ยวชาญยังชี้ถึงทัศนคติอันแตกต่างของสาธารณชนที่มีต่อวัคซีนว่าเป็นอีกประเด็นหนึ่ง และยังแสดงความกังวลบางประการเกี่ยวกับแนวทางที่สื่อมวลชนรายงานข่าวนี้ด้วย

คุณซากาโมโตะ ฮารูกะ นักวิจัยโครงการหนึ่งของบัณฑิตวิทยาลัยด้านแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยโตเกียว กล่าวว่าโดยพื้นฐานแล้วชาวญี่ปุ่นจำนวนมากมีความรู้สึกฝังแน่นเรื่อง “การหลีกเลี่ยงวัคซีน” นอกจากนี้ สื่อมวลชนยังกระพือความรู้สึกเหล่านี้ออกไปในรายงานข่าว

คุณซากาโมโตะกล่าวว่าสิ่งนี้ทำให้เกิดภาวะแวดล้อมที่ผู้คนจำนวนมากระมัดระวังพอสมควรเกี่ยวกับการเข้ารับวัคซีน เมื่อเทียบกับต่างประเทศ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 28 พฤษภาคม 2564)

เหตุผลที่ทำให้การฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในญี่ปุ่นล่าช้า ตอนที่ 6

ผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่เราได้พูดคุยด้วยนั้นบอกกับเราว่า เหตุผลหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังความล่าช้าดังกล่าวคือญี่ปุ่นยังไม่ได้พัฒนาวัคซีนภายในประเทศ

ศาสตราจารย์อิชิอิ เคน จากสถาบันวิทยาศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัยโตเกียว กล่าวว่าการพัฒนาวัคซีนอย่างล่าช้านั้นสืบเนื่องมาจากหลายปัจจัยรวมกันซึ่งรวมถึงขาดการสนับสนุนอย่างเพียงพอจากรัฐบาล เขากล่าวว่านี่เป็นปัญหาที่หยั่งรากลึก

ปัจจุบันศาสตราจารย์อิชิอิกำลังพัฒนาวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แบบ mRNA โดยร่วมกับบริษัทยาของญี่ปุ่น

ศาสตราจารย์อิชิอิกล่าวว่ารัฐบาลในยุโรปและสหรัฐได้ใช้งบประมาณหลายล้านล้านเยนเพื่อพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ในช่วงต้นปี 2563 ขณะที่ญี่ปุ่นใช้งบประมาณราว 10,000 ล้านเยนในช่วงเวลาเดียวกันนั้น เขากล่าวว่าสิ่งนี้ทำให้เกิดช่องว่างขนาดใหญ่เรื่องความก้าวหน้าของการพัฒนาวัคซีน

ศาสตราจารย์อิชิอิกล่าวว่าในสหรัฐและยุโรป รัฐบาลให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่แก่โครงการวัคซีนต่าง ๆ โดยช่วยให้ผู้พัฒนามีสถานที่สำหรับการทดลองทางคลินิกรวมถึงโรงงานสำหรับการผลิตจำนวนมาก

นอกจากนี้ เขายังกล่าวด้วยว่าหน่วยงานที่ดูแลด้านกฎระเบียบยังให้ความร่วมมือเพื่อเร่งกระบวนการตรวจสอบโดยเริ่มประเมินผลในขณะที่วัคซีนยังอยู่ในขั้นตอนของการพัฒนา อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่ารัฐบาลญี่ปุ่นไม่ได้ดำเนินมาตรการพิเศษเหล่านี้แต่อย่างใด

ศาสตราจารย์อิชิอิกล่าวว่ารัฐบาลญี่ปุ่นไม่เข้าใจว่าการพัฒนาวัคซีนในกรณีฉุกเฉินสำหรับโรคติดเชื้อนั้นมีความสำคัญในแง่ของความมั่นคงแห่งชาติและการทูต เขากล่าวเสริมว่าญี่ปุ่นตามหลังสหรัฐและยุโรปในด้านการวิจัยพื้นฐานเรื่องการระบาดของโรคติดเชื้อนับตั้งแต่ 20 ปีก่อน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 27 พฤษภาคม 2564)

เหตุผลที่ทำให้การฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในญี่ปุ่นล่าช้า ตอนที่ 5

การฉีดวัคซีนนั้นโดยทั่วไปแล้วจะดำเนินการให้แก่ผู้คนเป็นวงกว้าง ดังนั้นการรับรองวัคซีนจึงต้องทำอย่างรอบคอบ เราไม่อาจพูดง่าย ๆ ได้ว่าวัคซีนควรได้รับการรับรองอย่างรวดเร็วในญี่ปุ่น เพียงเพราะว่าวัคซีนนี้ได้รับอนุญาตให้ใช้งานได้ในประเทศอื่น ๆ

ในอีกแง่หนึ่ง มีการแสดงมุมมองที่ระบุว่าหากการทดลองทางคลินิกในต่างประเทศนั้นได้รวมเอาข้อมูลของชาวเอเชียไว้อย่างเพียงพอแล้ว ก็ควรพิจารณาเรื่องการทดลองทางคลินิกภายในญี่ปุ่นที่จัดทำอย่างง่าย

ประเด็นก็คือจะระมัดระวังแต่ก็ต้องเร่งความเร็วในภาวะวิกฤติเช่นนี้ได้อย่างไร เดิมรัฐบาลญี่ปุ่นระบุว่า ได้เริ่มการฉีดวัคซีนในตอนที่วัคซีนมีจำนวนจำกัด แต่จากนั้นก็ระบุว่าปัญหานี้คลี่คลายแล้วนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม และไม่มีความกังวลสำคัญเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนในอนาคต รัฐบาลระบุว่าเทศบาลท้องถิ่นมีภารกิจในการจัดฉีดวัคซีนให้ได้อย่างราบรื่น และรัฐบาลตั้งใจที่จะให้การสนับสนุนความพยายามเช่นว่านี้

ในแต่ละขั้นตอน ตั้งแต่การรับรอง การกระจายไปจนถึงการฉีดวัคซีนนั้น มาพร้อมกับสถานการณ์และความท้าทาย แต่ภารกิจที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมกำลังปรากฏให้เห็นแม้ในขั้นตอนแรกเริ่มของโครงการฉีดวัคซีน ในตอนต่อไปเกี่ยวกับเรื่องทำไมการฉีดวัคซีนในญี่ปุ่นจึงล่าช้า เราจะนำเสนอเรื่องการพัฒนาวัคซีนในญี่ปุ่น

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 26 พฤษภาคม 2564)

เหตุผลที่ทำให้การฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในญี่ปุ่นล่าช้า ตอนที่ 4

ข้อมูลจากคณะนักวิจัยของมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดในอังกฤษและอื่น ๆ แสดงให้เห็นว่าร้อยละ 63 ของประชาชนในอิสราเอลได้รับวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 เข็ม นับจนถึงวันที่ 11 พฤษภาคม ขณะที่ในอังกฤษนั้นสัดส่วนดังกล่าวอยู่ที่ร้อยละ 52 ในสหรัฐอยู่ที่ร้อยละ 46 และในญี่ปุ่นอยู่ที่ร้อยละ 2.91 ซึ่งญี่ปุ่นอยู่ในอันดับที่ 131 ของกลุ่มประเทศและดินแดนที่มีการสำรวจข้อมูลนี้

อังกฤษได้เริ่มโครงการฉีดวัคซีนโดยใช้วัคซีนของไฟเซอร์-ไบออนเทคเมื่อเดือนธันวาคมปี 2563 ญี่ปุ่นได้เริ่มการฉีดวัคซีนประมาณ 2 เดือนหลังจากนั้น อะไรที่ทำให้เกิดความแตกต่างกันนี้

ไฟเซอร์ได้ยื่นขอให้ญี่ปุ่นรับรองการใช้วัคซีนของตนในญี่ปุ่นเมื่อเดือนธันวาคมปี 2563 ก่อนหน้านั้นไฟเซอร์ได้ดำเนินการทดลองทางคลินิกของวัคซีนตนในต่างประเทศแล้ว แต่มีการทดลองทางคลินิกเพิ่มเติมกับผู้คน 160 คนในญี่ปุ่นเพื่อตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับชาวญี่ปุ่น ด้วยเหตุนี้ ญี่ปุ่นจึงต้องรอจนกว่าผลการทดลองทางคลินิกเพิ่มเติมจะออกมา

เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นซึ่งเกี่ยวข้องในโครงการฉีดวัคซีนกล่าวว่า ถ้าญี่ปุ่นข้ามขั้นตอนการทดลองทางคลินิกในประเทศไป การฉีดวัคซีนก็อาจดำเนินการได้เร็วขึ้น เจ้าหน้าที่คนนี้กล่าวว่าการทดลองทางคลินิกเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้โครงการฉีดวัคซีนของญี่ปุ่นนั้นล่าช้า

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่คนนี้กล่าวว่าในช่วงดังกล่าวยังไม่มีข้อมูลเรื่องผลข้างเคียงของวัคซีนอย่างเพียงพอไม่ว่าจะเป็นประเทศใดในโลก และว่าหากการรับรองวัคซีนนี้อย่างรีบเร่งก่อให้เกิดผลข้างเคียงร้ายแรงในระดับที่คาดไม่ถึง ก็จะทำให้ทุกอย่างพังทลาย

เจ้าหน้าที่คนนี้กล่าวว่าการทดลองทางคลินิกในญี่ปุ่นยังเป็นผลมาจากการหารือของรัฐสภาญี่ปุ่นด้วย และว่าการทดลองทางคลินิกเพิ่มเติมในญี่ปุ่นนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ขณะเดียวกันก็รอดูว่าผลที่ได้จากประเทศอื่น ๆ จะเป็นอย่างไร

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2564)

เหตุผลที่ทำให้การฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในญี่ปุ่นล่าช้า ตอนที่ 3

ผู้เชี่ยวชาญส่วนหนึ่งระบุสาเหตุของปัญหานี้ว่าเป็นเพราะไม่มีระบบที่ใช้ทั่วประเทศเพื่อจัดการการฉีดวัคซีน

ที่ญี่ปุ่นนั้น ทางการท้องถิ่นทั้งหลายแบกรับงานนี้เสียเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากญี่ปุ่นไม่มีกรอบงานที่รวมอำนาจไว้ที่ส่วนกลางเพื่อติดตามบันทึกการฉีดวัคซีนของผู้คนและกระบวนการต่าง ๆ ซึ่งบางประเทศใช้ระบบเช่นนี้

ที่ญี่ปุ่น ทางการท้องถิ่นทำหน้าที่คัดเลือกผู้มีสิทธิเข้ารับการฉีดวัคซีนโดยอิงจากบันทึกการลงทะเบียนเป็นผู้อยู่อาศัยและจัดส่งบัตรฉีดวัคซีนไปให้ผู้อยู่อาศัยเหล่านี้ ผู้ที่ได้รับบัตรฉีดวัคซีนจะต้องดำเนินการจองผ่านทางโทรศัพท์หรืออินเทอร์เน็ต จากนั้นจึงไปที่สถานที่ฉีดวัคซีน ยื่นบัตรฉีดวัคซีนให้เจ้าหน้าที่ และจะได้รับการฉีดวัคซีน

เราได้สอบถามศาสตราจารย์ไซโต อากิฮิโกะ จากมหาวิทยาลัยนีงาตะ ซึ่งเป็นนักวิจัยที่สถาบันหลายแห่งของสหรัฐและมีส่วนร่วมในโครงการฉีดวัคซีนของที่นั่น เขาบอกกับเราว่าปัญหาใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นคือรัฐบาลญี่ปุ่นมอบความรับผิดชอบของงานทั้งหมดให้แก่ทางการท้องถิ่น

เขากล่าวว่าแม้ขณะนี้ญี่ปุ่นจะบังคับใช้ภาวะฉุกเฉิน แต่รัฐบาลดำเนินการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในแนวทางเดียวกันกับที่เคยทำมาก่อน ยกตัวอย่างเช่นการฉีดวัคซีนสำหรับหัดเยอรมัน เขากล่าวว่ารัฐบาลญี่ปุ่นควรทำให้กระบวนการนี้ง่ายขึ้น อย่างเช่นการใช้หมายเลขประจำตัวซึ่งเป็นระบบระบุตัวตนของญี่ปุ่น แต่ก็ไม่ได้มีการเตรียมการในลักษณะนี้

ผู้สังเกตการณ์ระบุว่าการเก็บข้อมูลการฉีดวัคซีนของประชาชนโดยใช้ระบบเทคโนโลยีดิจิทัลได้ช่วยให้บางประเทศสามารถดำเนินการฉีดวัคซีนโควิด-19 ล่วงหน้าไปได้ ก่อนหน้านี้ผู้เชี่ยวชาญได้ขอให้ญี่ปุ่นใช้ระบบที่คล้ายคลึงกัน แต่รัฐบาลยังไม่ได้จัดทำระบบนี้ขึ้นมา

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 24 พฤษภาคม 2564)

การฉีดวัคซีนที่สถานฉีดวัคซีนขนาดใหญ่ของรัฐบาลกับการฉีดวัคซีนที่ดำเนินการโดยทางการท้องถิ่นแตกต่างกันอย่างไร

เมื่อวันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม รัฐบาลญี่ปุ่นได้เริ่มรับจองการฉีดวัคซีนที่สถานฉีดวัคซีนขนาดใหญ่ ซึ่งมีกำหนดจะเปิดดำเนินการในกรุงโตเกียวและจังหวัดโอซากา ในวันที่ 24 พฤษภาคม

สถานฉีดวัคซีนดังกล่าวมีไว้สำหรับผู้สูงอายุที่อาศัยในกรุงโตเกียวและ 3 จังหวัดข้างเคียง ตลอดจนจังหวัดโอซากาและจังหวัดที่อยู่ติดกับโอซากา 2 จังหวัด วันนี้เราจะนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับว่าการฉีดวัคซีนที่สถานฉีดวัคซีนขนาดใหญ่ของรัฐบาลกับการฉีดวัคซีนที่ดำเนินการโดยทางการท้องถิ่นแตกต่างกันอย่างไร ในแง่ของกระบวนการเพื่อให้ได้รับวัคซีน

สถานฉีดวัคซีนขนาดใหญ่เหล่านี้ที่จัดตั้งขึ้นโดยรัฐบาลญี่ปุ่นในกรุงโตเกียวและจังหวัดโอซากาดำเนินการแยกต่างหากจากโครงการฉีดวัคซีนของทางการท้องถิ่น ซึ่งหมายความว่าผู้ที่มีสิทธิเข้ารับวัคซีนสามารถไปเข้ารับวัคซีนได้ทั้งในสถานฉีดวัคซีนขนาดใหญ่ของรัฐบาลหรือไม่ก็เข้ารับผ่านโครงการของทางการท้องถิ่น ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับผู้เข้ารับวัคซีนว่าจะตัดสินใจเลือกรับการฉีดวัคซีนผ่านระบบใด

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มแรกผ่านโครงการฉีดวัคซีนของทางการท้องถิ่นแล้ว จะไม่สามารถสมัครมารับวัคซีนที่สถานฉีดวัคซีนขนาดใหญ่ของรัฐบาลได้

ระบบการจองเพื่อขอรับวัคซีน 2 ระบบนี้ไม่เกี่ยวข้องกัน หากดำเนินการจองเพื่อรับวัคซีนที่สถานที่ของรัฐบาลและของทางการท้องถิ่น ผู้จองต้องยกเลิกอันใดอันหนึ่ง

อาจมีผู้คนที่พบความยากลำบากในการดำเนินการจองด้วยตนเอง ในกรณีเช่นนี้ ขอแนะนำให้ลองสอบถามคนในครอบครัว ญาติ หรือเพื่อน ให้ช่วยดำเนินการให้เสร็จสิ้นโดยใช้หมายเลขจากบัตรฉีดวัคซีนซึ่งทางการท้องถิ่นส่งมาให้

อย่างไรก็ตาม สำนักงานกิจการผู้บริโภคของญี่ปุ่นก็เตือนให้ระวังเหตุหลอกลวงต่าง ๆ เรื่องการฉีดวัคซีน โดยศูนย์กิจการผู้บริโภคทั่วญี่ปุ่นได้รับแจ้งจำนวนมากเกี่ยวกับโทรศัพท์ที่สงสัยว่าติดต่อมาเพื่อเรียกเงินหรือขอข้อมูลส่วนตัวและรายละเอียดอื่น ๆ โดยผู้ที่โทรศัพท์มานั้นอ้างว่าพวกตนให้บริการเพื่อช่วยดำเนินการแทนเรื่องการจองเข้ารับวัคซีน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2564)

กรอบเวลาที่จะดำเนินการจองเพื่อเข้ารับวัคซีนที่สถานฉีดวัคซีนขนาดใหญ่

เมื่อวันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม รัฐบาลญี่ปุ่นได้เริ่มรับจองการฉีดวัคซีนที่สถานฉีดวัคซีนขนาดใหญ่ ซึ่งมีกำหนดจะเปิดดำเนินการในกรุงโตเกียวและจังหวัดโอซากา ในวันที่ 24 พฤษภาคม

สถานฉีดวัคซีนเหล่านี้มีไว้สำหรับผู้อยู่อาศัยในกรุงโตเกียวและ 3 จังหวัดข้างเคียง ตลอดจนจังหวัดโอซากาและจังหวัดที่อยู่ติดกับโอซากา 2 จังหวัด วันนี้เราจะนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับกรอบเวลาที่จะดำเนินการจองสำหรับการฉีดวัคซีน

การฉีดวัคซีนที่ศูนย์ฉีดวัคซีนขนาดใหญ่เหล่านี้ จะดำเนินการในช่วงเวลากว่า 3 เดือนนับตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคมไปจนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม กรอบเวลาสำหรับการจองจนถึงวันที่ 6 มิถุนายนกำหนดไว้ดังต่อไปนี้ โดยผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปมีสิทธิที่จะดำเนินการจองได้

เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงปัญหาขัดข้องที่เกิดจากการที่ผู้คนพยายามเข้าถึงเว็บไซต์เป็นจำนวนมาก การจองในสัปดาห์แรกที่เริ่มจากวันที่ 17 พฤษภาคมนั้น จึงจำกัดไว้ให้เฉพาะผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ใน 23 เขตของกรุงโตเกียวและเมืองโอซากา จะมีการขยายพื้นที่ออกไปอย่างเป็นขั้นเป็นตอนเพื่อให้รวมผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในทุกพื้นที่ของกรุงโตเกียวและจังหวัดโอซากา โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม

ตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคมเป็นต้นไป ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ใน 3 จังหวัดติดกับกรุงโตเกียวอันได้แก่ จังหวัดไซตามะ, คานางาวะ และชิบะ ตลอดจนจังหวัดที่อยู่ติดกับจังหวัดโอซากาอันได้แก่เฮียวโงะและเกียวโต จะสามารถดำเนินการจองได้เช่นกัน

ตารางเวลาตามรอบที่กำหนดทั้งหมดในช่วงวันที่ 24 ถึง 30 พฤษภาคม ถูกจองเต็มหมดแล้วทั้งในกรุงโตเกียวและเมืองโอซากา

หลังจากวันที่ 6 มิถุนายน ผู้สูงอายุที่อาศัยในพื้นที่เหล่านี้แต่เป็นผู้ที่ไม่ได้ลงทะเบียนผู้อยู่อาศัยจะสามารถดำเนินการจองได้

การจองเพื่อเข้ารับวัคซีนเข็มแรกที่สถานฉีดวัคซีนขนาดใหญ่จะเปิดรับจองผ่านอินเทอร์เน็ตเท่านั้น ส่วนวันที่กำหนดให้มารับวัคซีนเข็มที่ 2 จะมีการแจ้งที่สถานที่ฉีดวัคซีน หลังจากเสร็จสิ้นการเข้ารับวัคซีนเข็มแรกแล้ว

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 20 พฤษภาคม 2564)

ผู้ที่จะดำเนินการจองเพื่อเข้ารับวัคซีนที่สถานฉีดวัคซีนขนาดใหญ่จะต้องทำอย่างไรบ้าง

เมื่อวันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม รัฐบาลญี่ปุ่นได้เริ่มรับจองการฉีดวัคซีนที่สถานฉีดวัคซีนขนาดใหญ่ ซึ่งมีกำหนดจะเปิดดำเนินการในกรุงโตเกียวและจังหวัดโอซากา ในวันที่ 24 พฤษภาคม

สถานฉีดวัคซีนเหล่านี้มีไว้สำหรับผู้อยู่อาศัยในกรุงโตเกียวและ 3 จังหวัดข้างเคียง ตลอดจนจังหวัดโอซากาและจังหวัดที่อยู่ติดกับโอซากา 2 จังหวัด วันนี้เราจะนำเสนอข้อมูลว่าผู้ที่จะดำเนินการจองต้องทำอย่างไรบ้างเพื่อให้ได้รับวัคซีนที่สถานที่เหล่านี้

การจองเพื่อไปฉีดวัคซีนที่สถานที่ดังกล่าว ผู้ที่จะจองต้องมีบัตรสำหรับการฉีดวัคซีนอยู่แล้ว บัตรนี้ส่งมาจากทางการท้องถิ่นที่บุคคลผู้นั้นอยู่อาศัย โดยสามารถดำเนินการได้ผ่านทางอินเทอร์เน็ตเท่านั้น ควรไปที่เว็บไซต์รับจองและกรอกวันเดือนปีเกิด รวมถึงหมายเลขบนบัตรฉีดวัคซีนและข้อมูลอื่น ๆ

การฉีดวัคซีนให้แก่ผู้สูงอายุที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปได้เริ่มขึ้นแล้วเมื่อเดือนเมษายนในบางเทศบาล อย่างไรก็ตาม ทางการท้องถิ่นบางแห่งให้ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงด้านสุขภาพสามารถเข้ารับวัคซีนได้ก่อน นับจนถึงปัจจุบัน มีเทศบาลบางแห่งที่ส่งบัตรฉีดวัคซีนไปให้แก่ผู้ที่มีอายุ 75 ปีขึ้นไปเท่านั้น

ขณะนี้ผู้คนอายุระหว่าง 65 ถึง 74 ปีที่อาศัยอยู่ในเทศบาลเหล่านี้ไม่สามารถดำเนินการจองเพื่อไปฉีดวัคซีนยังสถานฉีดวัคซีนขนาดใหญ่ได้ แม้ว่าพวกเขาจะมีสิทธิก็ตาม

เจ้าหน้าที่ของกระทรวงการป้องกันประเทศของญี่ปุ่นซึ่งรับผิดชอบการดำเนินงานสถานฉีดวัคซีนขนาดใหญ่กล่าวว่า พวกเขาขออภัยต่อผู้คนเหล่านี้แต่กลุ่มคนดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการจองได้หากไม่มีหมายเลขบัตรฉีดวัคซีน เนื่องจากรัฐบาลญี่ปุ่นต้องการเฝ้าติดตามบันทึกการฉีดวัคซีนผ่านหมายเลขดังกล่าว

ขณะเดียวกัน รัฐบาลเตือนว่ามีโอกาสที่ผู้คนอาจจะจองซ้ำสองครั้งที่คลินิกในท้องถิ่นของพวกตนและที่สถานฉีดวัคซีนขนาดใหญ่ เจ้าหน้าที่กล่าวว่ายังไม่มีอุปกรณ์ตรวจสอบเพื่อหลีกเลี่ยงให้ไม่เกิดเรื่องดังกล่าว แต่ถ้าเกิดการจองซ้ำ พวกเขาเรียกร้องให้ยกเลิกหนึ่งในการจอง เพราะถ้าไม่ทำเช่นนั้น ก็อาจทำให้วัคซีนอันมีค่าต้องสูญเปล่า

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 19 พฤษภาคม 2564)

เหตุผลที่ทำให้การฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในญี่ปุ่นล่าช้า ตอนที่ 2

วันนี้เราจะนำเสนอเหตุผลที่ทำให้การฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในญี่ปุ่นล่าช้า

ผู้เชี่ยวชาญส่วนหนึ่งมองว่าความล่าช้าเกิดจากวิธีการของรัฐบาลญี่ปุ่นในการกระจายวัคซีนไปให้ทางการท้องถิ่นทั้งหลาย โดยหลักการแล้ว รัฐบาลได้ตัดสินใจที่จะกระจายวัคซีนไปให้ทุกจังหวัดทั่วประเทศอย่างเท่าเทียม ดูเหมือนว่านี่เป็นแนวทางที่เป็นธรรมซึ่งจะทำให้สาธารณชนเข้าใจ แต่ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนระบุว่าแนวคิดนี้ได้ก่อให้เกิดความผิดพลาดบางประการเช่นกัน

ศาสตราจารย์นากายามะ เท็ตสึโอะ จากมหาวิทยาลัยคิตาซาโตะ กล่าวว่าวัคซีนที่จัดส่งไปยังเทศบาลแต่ละแห่งมีจำนวนไม่มากนักเนื่องจากหลักการกระจายที่เท่าเทียม เขากล่าวว่าทางการท้องถิ่นต้องดำเนินโครงการฉีดวัคซีนของตน แต่กลับได้รับวัคซีนมาในปริมาณเพียงเล็กน้อย

ศาสตราจารย์นากายามะกล่าวว่านี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกของทางการท้องถิ่นทั้งหลาย และหากพวกเขาไม่ทราบว่าวัคซีนจะมาถึงเมื่อไหร่และจะได้ในปริมาณเท่าใด ก็จะเป็นเรื่องยากในการเตรียมพร้อม เช่น การจัดหาเจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์

นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ ยังกล่าวด้วยว่า ควรให้ความสำคัญกับพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค พวกเขาเชื่อว่าแม้ว่าแนวทางนี้จะขัดแย้งกับแนวคิดเรื่องความเสมอภาค แต่โครงการฉีดวัคซีนอาจดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 18 พฤษภาคม 2564)

เหตุผลที่ทำให้การฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในญี่ปุ่นล่าช้า ตอนที่ 1

หลายประเทศทั่วโลกกำลังดำเนินโครงการฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ บางประเทศฉีดวัคซีนให้ประชากรของตนไปราวครึ่งหนึ่งแล้ว ขณะที่ในญี่ปุ่น มีประชากรที่ได้รับวัคซีนแล้วคิดเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก

วันนี้เราจะนำเสนอเหตุผลที่ทำให้การฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในญี่ปุ่นล่าช้า

เมืองเกียวโตได้เริ่มฉีดวัคซีนให้แก่ผู้สูงอายุแล้วเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม มีการขอให้ประชาชนดำเนินการจองเพื่อเข้ารับวัคซีนด้วยการโทรศัพท์หาแพทย์ที่ให้การรักษาอยู่เป็นประจำ แต่วิธีดังกล่าวทำให้มีผู้โทรศัพท์ไปยังคลินิกต่าง ๆ อย่างท่วมท้น นอกจากนี้ ยังมีผู้คนจำนวนมากที่ไปยังคลินิกเองเพื่อดำเนินการจอง บางกรณีมีผู้สูงอายุราว 100 คนมาต่อแถวรออยู่ด้านหน้าคลินิกก่อนเปิดทำการ

เมื่อเดือนธันวาคมปี 2563 รัฐบาลญี่ปุ่นได้ตัดสินใจว่าทางการท้องถิ่นควรเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการฉีดวัคซีนให้แก่ผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ของตน ตามกรอบงานที่อิงจากกฎหมาย ด้วยเหตุนี้ กำหนดการฉีดวัคซีนและวิธีการจองจึงแตกต่างกันไปในแต่ละเทศบาล โดยมีขั้นตอนและวิธีการจองที่หลากหลาย เจ้าหน้าที่กำลังประสบปัญหาเรื่องการหาแนวทางที่ดีที่สุด

เทศบาลทั้งหลายยังประสบความยากลำบากในการจัดหาแพทย์และพยาบาลให้มีจำนวนเพียงพอ บางส่วนกำลังวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลโดยกล่าวว่ารัฐบาลปล่อยให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นทำทุกอย่างเอง

นอกจากนี้ บรรดาเทศบาลยังขาดข้อมูลเกี่ยวกับช่วงเวลาที่จะจัดส่งวัคซีนและจำนวนของวัคซีนที่จัดสรรมาให้พวกตน เมื่อไม่มีข้อมูลเหล่านี้ เจ้าหน้าที่จึงไม่สามารถเริ่มกระบวนการกำหนดรอบฉีดวัคซีนได้

เจ้าหน้าที่จากเขตหนึ่งในกรุงโตเกียวได้แสดงความเห็นเรื่องปัญหาที่เทศบาลหลายแห่งประสบพบเจอ โดยกล่าวว่าเมื่อพิจารณาเรื่องความสับสนในการฉีดวัคซีนให้แก่ผู้สูงอายุ ก็ทำให้เห็นว่าเป็นเรื่องยากที่จะนึกภาพวิธีจัดการสถานการณ์ในตอนที่การฉีดวัคซีนขยายไปยังกลุ่มผู้คนทั่วไปจำนวนมาก

เจ้าหน้าที่คนนี้กล่าวว่าเทศบาลทั้งหลายควรดำเนินมาตรการต่าง ๆ เช่น การกำหนดโควตาฉีดวัคซีนจากจำนวนสุดท้ายของบัตรฉีดวัคซีน แทนการเปิดรับจองในลักษณะของใครมาก่อนได้ก่อน อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่คนนี้กล่าวว่ากระบวนการที่มีรายละเอียดมากเช่นนี้ มีแนวโน้มจะทำให้การฉีดวัคซีนช้า ดังนั้น การสร้างสมดุลอย่างยั่งยืนจึงเป็นเรื่องยาก

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 17 พฤษภาคม 2564)

ไวรัสกลายพันธุ์ที่ตรวจพบครั้งแรกในอินเดีย ตอนที่ 2

วันนี้เราจะนำเสนอเกี่ยวกับไวรัสชนิดกลายพันธุ์ที่ตรวจพบครั้งแรกในอินเดีย องค์การอนามัยโลกหรือ WHO ระบุว่า นับจนถึงวันที่ 11 พฤษภาคม มีการตรวจพบไวรัสกลายพันธุ์จากอินเดียใน 49 ประเทศและดินแดน ซึ่งรวมถึงสหรัฐ อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย จีน และญี่ปุ่น

WHO ระบุว่าไวรัสชนิดกลายพันธุ์จากอินเดียมีลักษณะกลายพันธุ์หลัก ๆ 3 แบบ ได้แก่ L452R, P681R และ E484Q หรือมีแค่ L452R, P681R แต่ไม่มี E484Q

บรรดานักวิจัยที่สถาบันโรคติดเชื้อแห่งชาติของญี่ปุ่นและอื่น ๆ ระบุว่า มีรายงานว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์ที่มีการกลายพันธุ์แบบ L452R มีความสามารถในการติดต่อได้มากกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้านี้ราวร้อยละ 20 โดยสายพันธุ์ดังกล่าวแพร่ระบาดโดยมากในรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐ

ทว่า นักวิจัยระบุว่ายังไม่ทราบแน่ชัดว่าไวรัสกลายพันธุ์ชนิดนี้สามารถติดต่อได้ง่ายกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ จริงหรือไม่ โดยเสริมว่าจำเป็นต้องวิจัยต่อไป

เป็นเรื่องธรรมดาของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่จะมีการกลายพันธุ์ 2 ลักษณะหรือมากกว่านั้น คำถามก็คือการกลายพันธุ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อความสามารถในการติดเชื้อหรือไม่

ยกตัวอย่างเช่น ไวรัสชนิดกลายพันธุ์ที่ตรวจพบครั้งแรกในอังกฤษและได้แพร่ระบาดไปยังพื้นที่ต่าง ๆ รวมถึงภูมิภาคคันไซของญี่ปุ่นด้วยนั้น มีลักษณะการกลายพันธุ์อย่างน้อย 5 แบบในโปรตีนหนาม โดยหนึ่งในลักษณะของการกลายพันธุ์ดังกล่าวคือ N501Y ที่ว่ากันว่าทำให้ติดเชื้อไวรัสได้ง่ายขึ้น ก่อให้เกิดความกังวลตามมา

ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์ที่ตรวจพบในแอฟริกาใต้และบราซิล ก็มีลักษณะการกลายพันธุ์หลายแบบเช่นกัน ทั้งแบบ N501Y ตลอดจน E484K ซึ่งอาจทำให้ระดับภูมิคุ้มกันลดลง

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 14 พฤษภาคม 2564)

ไวรัสกลายพันธุ์ที่ตรวจพบครั้งแรกในอินเดีย ตอนที่ 1

องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ระบุที่การแถลงข่าวเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคมว่า มีข้อมูลที่ชี้ว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์ที่ตรวจพบครั้งแรกในอินเดียนั้นสามารถติดต่อกันได้ง่ายขึ้น

WHO ได้เปลี่ยนการจัดประเภทของไวรัสชนิดนี้เป็นไวรัส “ที่น่ากังวล” จากเดิมที่เคยใช้ว่า “ไวรัสที่ต้องจับตา” และจะยกระดับการเฝ้าติดตาม วันนี้เราจะนำเสนอเกี่ยวกับไวรัสกลายพันธุ์ที่ตรวจพบครั้งแรกในอินเดีย

นับตั้งแต่เดือนเมษายน อินเดียมียอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เพิ่มขึ้นแบบพุ่งพรวด การเพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นผลมาจากไวรัสกลายพันธุ์ชนิดนี้ตลอดจนการรวมตัวกันของผู้คนจำนวนมากในงานเทศกาลเกี่ยวกับศาสนารวมถึงการชุมนุมทางการเมือง ตลอดจนขาดการดำเนินมาตรการต้านการติดเชื้ออย่างเพียงพอ เช่น การเว้นระยะห่างทางสังคม

WHO ระบุว่าเชื้อไวรัสกลายพันธุ์จากอินเดียมีลักษณะการกลายพันธุ์หลัก ๆ 3 แบบได้แก่ L452R, P681R และ E484Q หรือมีแค่ L452R, P681R แต่ไม่มี E484Q

การกลายพันธุ์ดังกล่าวมีการเปลี่ยนแปลงเหมือนกันในกรดอะมิโนที่เป็นส่วนประกอบของสิ่งที่เรียกว่าโปรตีนหนาม การกลายพันธุ์เช่นว่านี้อาจทำให้ไวรัสติดต่อได้ง่ายขึ้น และทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ปัจจุบันกำลังมีการวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับไวรัสกลายพันธุ์นี้

หน่วยงานด้านสาธารณสุขของอังกฤษระบุเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคมว่า ดูเหมือนว่าไวรัสกลายพันธุ์จากอินเดียจะมีความสามารถในการติดต่อในระดับเดียวกันกับสายพันธุ์ที่พบในอังกฤษ แต่ก็ยังไม่พบหลักฐานที่ระบุว่าไวรัสกลายพันธุ์จากอินเดียทำให้เกิดอาการป่วยรุนแรงมากขึ้น หรือส่งผลกระทบต่อประสิทธิผลของวัคซีนต่าง ๆ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 13 พฤษภาคม 2564)

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีนของไฟเซอร์และโมเดอร์นา

เราจะนำเสนอเรื่องความแตกต่างและลักษณะที่เหมือนกันของวัคซีนที่พัฒนาโดยบริษัทไฟเซอร์กับไบออนเทคและบริษัทโมเดอร์นา ครั้งนี้เราจะมุ่งเน้นไปที่ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีนดังกล่าว

กลุ่มศึกษาของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นได้รายงานข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนของไฟเซอร์ให้แก่ที่ประชุมคณะทำงานที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญของทางกระทรวงว่าด้วยเรื่องผลข้างเคียงของวัคซีน เมื่อวันที่ 30 เมษายน

กลุ่มศึกษาระบุว่าในบรรดาผู้คนที่ได้รับวัคซีนของไฟเซอร์เข็มแรก ร้อยละ 23.2 มีอาการอ่อนเพลีย ขณะที่ร้อยละ 69.6 ของผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 เกิดอาการดังกล่าว ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าร้อยละ 21.2 ปวดศีรษะหลังจากที่ได้รับวัคซีนเข็มแรก และร้อยละ 53.7 มีอาการดังกล่าวหลังได้รับวัคซีนเข็มที่ 2

ร้อยละ 3.3 ของผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มแรก มีไข้วัดอุณหภูมิร่างกายได้ 37.5 องศาเซลเซียสหรือสูงกว่านั้น และร้อยละ 38.4 มีอาการดังกล่าวหลังได้รับวัคซีนเข็มที่ 2

สำหรับวัคซีนของโมเดอร์นานั้น ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ ได้เปิดเผยผลการทดลองทางคลินิกที่มีผู้เข้าร่วมอายุระหว่าง 18 ถึง 64 ปี โดยระบุว่าร้อยละ 38.5 ของผู้คนกลุ่มนี้มีอาการอ่อนเพลียหลังจากได้รับวัคซีนเข็มแรก ขณะที่ร้อยละ 67.6 มีอาการดังกล่าวหลังได้รับวัคซีนเข็มที่ 2

ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าร้อยละ 35.4 ปวดศีรษะหลังจากได้รับวัคซีนเข็มแรก และร้อยละ 62.8 มีอาการนี้หลังได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 ร้อยละ 0.9 ของผู้คนกลุ่มนี้มีไข้หลังจากได้รับวัคซีนเข็มแรก ขณะที่ร้อยละ 17.4 มีอาการดังกล่าวหลังได้รับวัคซีนเข็มที่ 2

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 12 พฤษภาคม 2564)

ประสิทธิผลของวัคซีนจากไฟเซอร์และโมเดอร์นาที่มีต่อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์

เราจะนำเสนอเรื่องความแตกต่างและลักษณะที่เหมือนกันของวัคซีนที่พัฒนาโดยบริษัทไฟเซอร์กับไบออนเทคและบริษัทโมเดอร์นา ครั้งนี้เราจะมุ่งเน้นไปที่ประสิทธิผลของวัคซีนดังกล่าวที่มีต่อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์

วัคซีนทั้งสองนี้มีประสิทธิผลสูงต่อไวรัสชนิดกลายพันธุ์ที่ตรวจพบครั้งแรกในอังกฤษ และขณะนี้ได้แพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในญี่ปุ่นและอีกหลายประเทศ

เอกสารที่เผยแพร่โดยไฟเซอร์, ไบออนเทค และอื่น ๆ ระบุว่าการทดลองในห้องปฏิบัติการแสดงให้เห็นว่าวัคซีนของไฟเซอร์-ไบออนเทค มีประสิทธิผลในการลบล้างฤทธิ์ของไวรัสชนิดกลายพันธุ์ที่ตรวจพบครั้งแรกในอังกฤษและบราซิล ได้พอ ๆ กับการลบล้างฤทธิ์ของไวรัสสายพันธุ์ก่อนหน้า และว่าวัคซีนดังกล่าวยังสามารถป้องกันไวรัสชนิดกลายพันธุ์ที่ตรวจพบครั้งแรกในแอฟริกาใต้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าจะมีประสิทธิภาพลดลงก็ตาม

ไฟเซอร์ระบุว่าวัคซีนของตนพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพสูงในอิสราเอลซึ่งเกิดการระบาดของไวรัสกลายพันธุ์จากอังกฤษ นอกจากนี้ ยังระบุว่าผลการทดลองทางคลินิกในแอฟริกาใต้ชี้ว่าวัคซีนนี้สามารถป้องกันได้มากพอต่อไวรัสชนิดกลายพันธุ์ที่ตรวจพบครั้งแรกในแอฟริกาใต้

จากรายงานที่เผยแพร่โดยโมเดอร์นาและอื่น ๆ ระบุว่า การทดลองในห้องปฏิบัติการแสดงให้เห็นว่าวัคซีนของโมเดอร์นาใช้งานกับไวรัสกลายพันธุ์จากอังกฤษได้ดีพอ ๆ กับสายพันธุ์ที่มีอยู่ก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม สำหรับไวรัสชนิดกลายพันธุ์จากแอฟริกาใต้นั้น ปริมาณของสารภูมิต้านทานที่สามารถลบล้างฤทธิ์ของไวรัสซึ่งเกิดขึ้นจากการฉีดวัคซีนนี้ ลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 1 ใน 6 ของระดับที่พบจากสายพันธุ์ชนิดก่อนหน้า และอยู่ที่ประมาณ 1 ใน 3 สำหรับไวรัสกลายพันธุ์จากบราซิล ทว่าโมเดอร์นาระบุว่าระดับดังกล่าวยังคงเพียงพอต่อการป้องกันไวรัสชนิดกลายพันธุ์เหล่านี้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 10 พฤษภาคม 2564)

ประสิทธิผลของวัคซีนจากไฟเซอร์และโมเดอร์นา

เราจะนำเสนอเรื่องความแตกต่างและลักษณะที่เหมือนกันของวัคซีนที่พัฒนาโดยบริษัทไฟเซอร์และบริษัทโมเดอร์นา ซึ่งทั้งคู่เป็นบริษัทยาของสหรัฐ ครั้งนี้เกี่ยวกับประสิทธิผลของวัคซีนดังกล่าว

วัคซีนของทั้งไฟเซอร์และโมเดอร์นาได้พิสูจน์ให้เห็นว่ามีประสิทธิผลสูงในการทดลองทางคลินิก โดยนอกจากการทดลองทางคลินิกแล้ว ประสิทธิผลของวัคซีนดังกล่าวยังปรากฏให้เห็นในการนำวัคซีนมาใช้งานจริงกับกลุ่มผู้คนทั่วไป

ข้อมูลจากเอกสารที่จัดทำโดยอิงจากผลการทดลองทางคลินิกแสดงให้เห็นว่า วัคซีนของไฟเซอร์ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้ร้อยละ 95

จากงานวิจัยซึ่งศึกษาเรื่องผลที่ได้จากโครงการฉีดวัคซีนในอิสราเอล ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่ดำเนินการฉีดวัคซีนได้รวดเร็วที่สุดในโลกนั้นระบุว่า วัคซีนของไฟเซอร์ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการต่าง ๆ ได้ร้อยละ 94 นอกจากนี้ ก็ยังช่วยลดการเกิดอาการรุนแรงได้ร้อยละ 92 และช่วยลดโอกาสติดเชื้อซึ่งรวมถึงการติดเชื้อที่ไม่ปรากฏอาการได้ร้อยละ 92

ขณะที่วัคซีนของโมเดอร์นาช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการต่าง ๆ ได้ร้อยละ 94.1 โดยอิงจากวิทยานิพนธ์ซึ่งรวมถึงผลที่ได้จากการทดลองทางคลินิก

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 10 พฤษภาคม 2564)

ความแตกต่างและสิ่งที่เหมือนกันของวัคซีนจากไฟเซอร์และโมเดอร์นา ตอนที่ 2

เราจะนำเสนอเรื่องความแตกต่างและลักษณะที่เหมือนกันของวัคซีนต่าง ๆ ซึ่งครั้งนี้จะเกี่ยวกับการเก็บรักษาวัคซีนจากไฟเซอร์ บริษัทยาของสหรัฐ และวัคซีนของโมเดอร์นา จากสหรัฐเช่นกัน

วัคซีนของไฟเซอร์และโมเดอร์นาใช้สารซึ่งมีส่วนประกอบเป็นข้อมูลทางพันธุกรรมที่เรียกว่า mRNA ทั้งนี้ mRNA ถูกห่อหุ้มอยู่ในชั้นบาง ๆ ของไขมันลิพิดในวัคซีนเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม mRNA นี้ไม่เสถียรและอาจถูกทำลายได้โดยง่าย จึงจำเป็นต้องเก็บรักษาวัคซีนเหล่านี้อย่างระมัดระวัง

เดิมไฟเซอร์ระบุว่าวัคซีนของตนต้องเก็บในตู้แช่แข็งที่อุณหภูมิระหว่างติดลบ 90 ถึงติดลบ 60 องศาเซลเซียส แต่กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นได้ผ่อนคลายข้อกำหนดดังกล่าวโดยอิงจากข้อมูลที่ไฟเซอร์ยื่นให้พิจารณา ทางกระทรวงระบุว่าวัคซีนนี้สามารถเก็บไว้ที่อุณหภูมิระหว่างติดลบ 25 ถึงติดลบ 15 องศาเซลเซียสได้นานสูงสุด 14 วัน เมื่อนำมาละลายก่อนการฉีด จะสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นที่อุณหภูมิระหว่าง 2 ถึง 8 องศาเซลเซียส และต้องนำไปใช้ภายใน 5 วัน

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐระบุว่า วัคซีนของโมเดอร์นาควรเก็บไว้ในตู้แช่แข็งที่อุณหภูมิระหว่างติดลบ 50 ถึงติดลบ 15 องศาเซลเซียส ส่วนสถาบันทางการแพทย์ทั้งหลาย สามารถเก็บวัคซีนนี้ในตู้เย็นที่อุณหภูมิระหว่าง 2 ถึง 8 องศาเซลเซียสได้นาน 30 วัน

ก่อนจะนำมาฉีดควรละลายก่อน ยกตัวอย่างเช่นการละลายที่อุณหภูมิห้อง ขวดที่ยังไม่ได้เปิดใช้อาจเก็บรักษาได้ที่อุณหภูมิห้องตั้งแต่ 8 ถึง 25 องศาเซลเซียสได้นานสูงสุด 24 ชั่วโมงก่อนฉีด

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 7 พฤษภาคม 2564)

ความแตกต่างและสิ่งที่เหมือนกันของวัคซีนจากไฟเซอร์และโมเดอร์นา ตอนที่ 1

รัฐบาลญี่ปุ่นได้ลงนามในสัญญาเพื่อซื้อวัคซีนจากไฟเซอร์และโมเดอร์นา ซึ่งเป็นบริษัทยาของสหรัฐ รวมถึงแอสตราเซเนกา บริษัทยาของอังกฤษ

ในบรรดาวัคซีนเหล่านี้ มีวัคซีนที่พัฒนาโดยไฟเซอร์กับไบออนเทค และวัคซีนของโมเดอร์นา ที่เป็นวัคซีนแบบเมสเซนเจอร์อาร์เอ็นเอซึ่งเป็นสารพันธุกรรมชนิดหนึ่ง วัคซีนเหล่านี้เรียกว่า “วัคซีนเมสเซนเจอร์อาร์เอ็นเอ” หรือเรียกแบบย่อว่า “วัคซีน mRNA”

วันนี้ เราจะมุ่งเน้นไปยังความแตกต่างของวัคซีนดังกล่าวและลักษณะที่เหมือนกันโดยอิงจากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่น ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ และข้อมูลจากบริษัทยาซึ่งเป็นเจ้าของวัคซีนเหล่านั้น

วัคซีนของไฟเซอร์และโมเดอร์นาเป็นวัคซีนที่ฉีดเข้ากล้ามเนื้อทั้งคู่ การฉีดเข้ากล้ามเนื้อเป็นเทคนิคที่จะส่งตัวยาเข้าไปยังกล้ามเนื้อซึ่งอยู่ใต้ไขมันใต้ชั้นผิวหนัง จะมีการแทงเข็มฉีดยาทำมุม 90 องศาไปที่ต้นแขนใกล้กับหัวไหล่

ที่ญี่ปุ่นนั้น การฉีดเข้าใต้ผิวหนังซึ่งหมายถึงระหว่างผิวหนังกับกล้ามเนื้อเป็นวิธีที่ใช้กับการฉีดวัคซีนต่าง ๆ เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ กล่าวกันว่าการฉีดเข้ากล้ามเนื้อจะทำให้ร่างกายรับวัคซีนได้เร็วกว่าการฉีดเข้าใต้ผิวหนัง

วัคซีนของไฟเซอร์ต้องฉีดให้ครบ 2 เข็ม โดยวัคซีนเข็มที่ 2 มักจะได้รับหลังจากฉีดเข็มแรกไปแล้ว 3 สัปดาห์

วัคซีนของโมเดอร์นาก็ต้องฉีดให้ครบ 2 เข็มเช่นกัน โดยมักจะฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 หลังจากฉีดเข็มแรกไปแล้ว 4 สัปดาห์

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 6 พฤษภาคม 2564)

การดูแลสุขภาพกายและใจเมื่อต้องอยู่กับบ้านในช่วงภาวะฉุกเฉิน

มีการประกาศภาวะฉุกเฉินสำหรับกรุงโตเกียวและอีกหลายจังหวัดของญี่ปุ่น เพื่อรับมือไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยรัฐบาลได้ขอให้ผู้คนในพื้นที่เหล่านี้หลีกเลี่ยงจากการออกไปข้างนอกหากไม่มีธุระสำคัญจำเป็น แต่การอยู่กับบ้านทั้งวันไม่ใช่สิ่งที่ดีต่อสุขภาพกายและใจ เราได้สอบถามผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับว่าจะสามารถทำอย่างไรได้บ้าง

ในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 23 เมษายน นายโอมิ ชิเงรุ หัวหน้าคณะทำงานที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญของรัฐบาลญี่ปุ่น ได้เรียกร้องให้ผู้ที่อยู่ในจังหวัดที่มีการประกาศภาวะฉุกเฉิน หลีกเลี่ยงการออกไปข้างนอกยกเว้นว่าเป็นเหตุที่จำเป็นจริง ๆ เพื่อลดการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

อย่างไรก็ตาม เขาได้แนะนำการทำกิจกรรมบางประเภทที่มีความเสี่ยงต่ำที่ข้างนอกได้ เพื่อให้สุขภาพกายและใจคงความแข็งแรง กิจกรรมดังกล่าวรวมถึงกีฬาที่ไม่มีผู้คนจำนวนมาก เช่น การวิ่งออกกำลังกายและเทนนิส ส่วนการเดินเล่นและจับจ่ายสินค้าก็เป็นเรื่องดีเช่นกัน แต่เพื่อความมั่นใจ จึงควรหลีกเลี่ยงสถานที่และช่วงเวลาที่มีผู้คนหนาแน่น

ศาสตราจารย์นากาชิมะ คาซูโตชิ จากมหาวิทยาลัยไดโต บุงกะ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ กล่าวว่ากิจกรรมกลางแจ้งที่มีความเสี่ยงต่ำเป็นสิ่งที่ดีต่อการทำให้ร่างกายและจิตใจของเราสดชื่นมีชีวิตชีวา เขากล่าวว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องล้มเลิกการออกไปข้างนอกเลย เขาเรียกร้องให้ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ที่มีการประกาศภาวะฉุกเฉิน ออกมาเดินเล่นหรือวิ่งออกกำลังกายในละแวกที่อยู่อาศัยของพวกตน นอกจากนี้ ก็ยังแนะนำให้เล่นกีฬา เช่น เทนนิส แต่ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวจะต้องไม่มีผู้คนจำนวนมากเกี่ยวข้องหรือมีฝูงชนมารวมตัวกัน

ศาสตราจารย์นากาชิมะยังกล่าวด้วยว่า เมื่อผู้คนหลีกเลี่ยงการพบปะกันเพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ พวกเขาก็มักจะติดต่อพูดคุยกันน้อยลงมาก ศาสตราจารย์นากาชิมะเตือนว่าสิ่งนี้อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต และเรียกร้องให้ผู้คนติดต่อกับครอบครัวของตนที่อยู่ไกลกันให้บ่อยมากขึ้นกว่าเดิม ยกตัวอย่างเช่นการพูดคุยทางโทรศัพท์ แม้จะไม่มีเรื่องอะไรเป็นพิเศษที่จะบอกเล่าก็ตาม

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 30 เมษายน 2564)

เหตุผลที่ทำให้ผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ในญี่ปุ่นมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมาก

จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ในญี่ปุ่นมีมากกว่า 10,000 คน เมื่อวันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 ราวร้อยละ 80 ของผู้เสียชีวิตเหล่านี้เสียชีวิตตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคม 2563 เราได้สอบถามผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเหตุผลที่จำนวนดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างมาก

คุณทาเกดะ ชินฮิโระ ประธานของ ECMOnet ซึ่งศึกษาเรื่องการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ระบุว่าเป็นเรื่องน่าเศร้าเมื่อจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นด้วย

มีผู้คนจำนวนมากขึ้นอย่างมากที่ติดเชื้อไวรัสนี้ในระลอกที่ 3 ของการแพร่ระบาดเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ และจำนวนผู้เสียชีวิตก็เพิ่มขึ้นตามสัดส่วน เมื่อพิจารณาถึงช่วงระยะห่างที่ผู้ป่วยติดเชื้อจะมีอาการหนักและเสียชีวิตนั้น ก็อาจสันนิษฐานได้ว่าผลกระทบจากการแพร่ระบาดระลอกที่ 4 ซึ่งกำลังเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน จะปรากฏให้เห็นหลังจากนี้ในอีกระยะหนึ่ง

คุณทาเกดะซึ่งตัวเขาเองเป็นแพทย์ด้วยนั้นกล่าวว่า คุณภาพการรักษาของญี่ปุ่นโดยใช้เครื่องช่วยหายใจและเครื่อง ECMO ที่ช่วยพยุงการหายใจและการทำงานของหัวใจนั้นอยู่ในระดับโลก อย่างไรก็ตาม การรักษาดังกล่าวต้องมีเงื่อนไขว่าผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์สามารถจัดการกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้

เขากล่าวว่าข้อมูลจากหลายประเทศแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า อัตราการช่วยชีวิตไว้ได้นั้นลดต่ำลง เมื่อสถานการณ์ทางการแพทย์เกินขีดความสามารถที่จะรับได้ไหว การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์ดูเหมือนว่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้คนอายุค่อนข้างน้อยในช่วงวัย 40 และ 50 ปีมีอาการป่วยหนักกันมากขึ้น

มีความกังวลมากขึ้นว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจะเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในภูมิภาคคันไซ ทางตะวันตกของญี่ปุ่น ซึ่งสถานการณ์ทางการแพทย์ที่นั่นอยู่ในภาวะตึงเครียด จึงเป็นความสำคัญสูงสุดที่ต้องลดจำนวนผู้ติดเชื้อ เพื่อรักษามาตรฐานการรักษาทางการแพทย์ของญี่ปุ่น

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 28 เมษายน 2564)

ผู้คนในญี่ปุ่นกลุ่มอายุใดที่ติดเชื้อและติดเชื้อเมื่อใด

จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ในญี่ปุ่นมีมากกว่า 10,000 คน เมื่อวันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 ราวร้อยละ 80 ของผู้เสียชีวิตเหล่านี้เสียชีวิตตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคม 2563 คำถามในวันนี้คือผู้คนในกลุ่มอายุใดที่ติดเชื้อและติดเชื้อเมื่อใด

ผู้หญิงคนหนึ่งในช่วงวัย 80 ปีจากจังหวัดคานางาวะเสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ปี 2563 โดยถือเป็นผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 รายแรกในญี่ปุ่น

จากนั้นยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นกว่า 100 คนเมื่อวันที่ 8 เมษายนปีเดียวกัน และมากกว่า 500 คนในวันที่ 2 พฤษภาคม โดยในวันที่ 28 กรกฎาคม ยอดดังกล่าวมีมากกว่า 1,000 คน นับจนถึงวันที่ 24 พฤศจิกายนปี 2563 ยอดสะสมของผู้เสียชีวิตมีมากกว่า 2,000 คน

นับจากนั้นเป็นต้นมาก็มีรายงานผู้เสียชีวิตหลายสิบคนต่อวัน ยอดผู้เสียชีวิตรายวันมีมากกว่า 100 คนเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2564 จากนั้นในวันที่ 23 มกราคม ยอดผู้เสียชีวิตทั้งหมดเพิ่มขึ้นเป็น 5,000 คน

นับตั้งแต่มีการยืนยันผู้เสียชีวิตรายแรกจนผ่านมาเกือบ 1 ปี ยอดผู้เสียชีวิตได้เพิ่มขึ้นมาเกิน 5,000 คน แต่ใช้เวลาแค่ 3 เดือนเท่านั้นที่ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่านับตั้งแต่นั้น

เกือบร้อยละ 80 ของผู้เสียชีวิต หรือคิดเป็นจำนวน 7,825 คน เสียชีวิตระหว่างเดือนธันวาคม 2563 ถึงวันที่ 25 เมษายน 2564 ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นในระลอกที่ 3 ของการแพร่ระบาด

สถาบันวิจัยประชากรและประกันสังคมแห่งชาติของญี่ปุ่นได้รวบรวมข้อมูลกลุ่มอายุของผู้เสียชีวิต โดยอ้างอิงจากตัวเลขที่ทางการท้องถิ่นทั้งหลายได้เผยแพร่นับจนถึงวันที่ 19 เมษายน

ไม่มีผู้เสียชีวิตในกลุ่มผู้มีอายุ 19 ปีหรือต่ำกว่านั้น ผู้คนในช่วงวัย 20 ปี คิดเป็นร้อยละ 0.04 ของผู้เสียชีวิตทั้งหมด ขณะที่ผู้คนในช่วงวัย 30 ปีคิดเป็นร้อยละ 0.17 ผู้คนในช่วงวัย 40 ปี คิดเป็นร้อยละ 0.72 ผู้คนในช่วงวัย 50 ปี คิดเป็นร้อยละ 2.30 และผู้คนในช่วงวัย 60 ปี ร้อยละ 7.33

ข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าผู้คนในช่วงวัย 70 ปี คิดเป็นร้อยละ 23.29 ของผู้เสียชีวิตทั้งหมด ผู้คนในช่วงวัย 80 ปี คิดเป็นร้อยละ 43.10 และผู้ที่มีอายุ 90 ปีขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ 23.07 ซึ่งหมายความว่าประมาณ 2 ใน 3 ของผู้เสียชีวิตทั้งหมดจากโรคโควิด-19 ในญี่ปุ่นคือผู้ที่มีอายุ 80 ปีขึ้นไป

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 27 เมษายน 2564)

ข้อจำกัดต่าง ๆ ที่ได้นำมาใช้เมื่อครั้งประกาศภาวะฉุกเฉิน 2 ครั้งก่อนหน้านี้ในกรุงโตเกียว

ภาวะฉุกเฉินประกาศใช้ครั้งแรกในกรุงโตเกียวตั้งแต่เดือนเมษายนถึงพฤษภาคมปี 2563 มีการขอให้สถานที่หลายแห่งที่มีผู้คนจำนวนมาก ปิดทำการในช่วงดังกล่าว สถานที่เหล่านี้รวมถึงร้านคาราโอเกะ, สถานที่แสดงดนตรีสด, สถานที่เล่นกีฬา, สวนสนุก และโรงภาพยนตร์

มีการขอให้สถานที่ด้านการค้าขนาดใหญ่ เช่น ห้างสรรพสินค้าและห้างร้านต่าง ๆ ปิดทำการยกเว้นแผนกที่จำหน่ายสินค้าสำคัญจำเป็น ส่วนโรงเรียนก็ขอให้ปิดทำการเช่นกัน ขณะที่ผู้จัดงานก็ได้รับคำขอให้ยกเลิกหรือเลื่อนงานออกไป

มีการขอให้ร้านอาหารและร้านกินดื่มให้ความร่วมมือด้วยการลดเวลาทำการโดยให้ปิดเวลา 20.00 น. และหยุดเสิร์ฟเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เวลา 19.00 น.

ภาวะฉุกเฉินครั้งที่ 2 ซึ่งประกาศใช้ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมีนาคมปี 2564 ไม่ได้รวมเรื่องคำขอให้ปิดทำการ แต่ได้ขอให้สถานที่เช่นร้านอาหาร, บาร์ และคาราโอเกะ ปิดทำการเวลา 20.00 น. และหยุดเสิร์ฟเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เวลา 19.00 น.

งานกิจกรรมต่าง ๆ สามารถจัดได้แต่ได้ขอให้ผู้จัดงานจำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมงานลงให้เหลือครึ่งหนึ่งของความจุสถานที่ หรือไม่ให้เกิน 5,000 คน โดยผู้จัดงานต้องยึดจำนวนที่ต่ำกว่าเสมอ ส่วนสวนสนุกนั้น มีการขอให้ปิดทำการเวลา 20.00 น.

นอกจากคำขอไปยังภาคธุรกิจทั้งหลายแล้ว ทางการกรุงโตเกียวยังเรียกร้องอย่างหนักแน่นให้ผู้อยู่อาศัยในกรุงโตเกียวอยู่กับบ้านในช่วงการประกาศภาวะฉุกเฉินครั้งแรก

ในการประกาศภาวะฉุกเฉินครั้งที่ 2 นั้น มีการขอให้ผู้คนงดเว้นจากการออกไปข้างนอกหากไม่มีธุระสำคัญจำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังเวลา 20.00 น. ทั้งการประกาศภาวะฉุกเฉินครั้งแรกและครั้งที่ 2 โดยพื้นฐานแล้วนั้น มีการเรียกร้องให้ผู้คนอยู่กับบ้านให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ยกเว้นมีเหตุสำคัญจริง ๆ เช่น ออกไปโรงพยาบาลหรือไปซื้ออาหาร

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 23 เมษายน 2564)

การทดลองทางคลินิกที่ดำเนินการในญี่ปุ่น ตอนที่ 2

นอกจากบริษัทในญี่ปุ่นแล้ว ก็ยังมีบริษัทยาของต่างชาติที่พัฒนาวัคซีนอีกหลายแห่งที่กำลังดำเนินการทดลองทางคลินิกอยู่ในญี่ปุ่น

มีบริษัทยาของสหรัฐและยุโรป 3 แห่งที่รัฐบาลญี่ปุ่นได้ลงนามในข้อตกลงเพื่อจัดซื้อวัคซีน บริษัทไฟเซอร์ของสหรัฐได้ให้ข้อมูลผลการทดลองทางคลินิกที่ตนได้ดำเนินการในต่างประเทศ ตลอดจนการทดลองทางคลินิกที่ดำเนินการในญี่ปุ่นซึ่งเป็นการดำเนินการขนาดเล็ก เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2564 “วัคซีน mRNA” ของไฟเซอร์ได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการ และขณะนี้กำลังใช้งานวัคซีนนี้ในญี่ปุ่น

แอสตราเซเนกา บริษัทยาชั้นนำของอังกฤษได้ยื่น “วัคซีนที่ใช้ไวรัสเป็นพาหะ” ของตนให้ญี่ปุ่นรับรองเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2564 ซึ่งหากผ่านการตรวจสอบข้อมูลและอนุมัติแล้ว ก็จะเริ่มใช้วัคซีนดังกล่าวในญี่ปุ่น

ทาเกดะ ฟาร์มาซูติคัลของญี่ปุ่นได้ทำการทดลองทางคลินิกของ “วัคซีน mRNA” จากบริษัทโมเดอร์นาของสหรัฐ ซึ่งเป็นการทดลองภายในญี่ปุ่น โดยมีการยื่นขออนุมัติอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมีนาคม

นอกจากนี้ ทาเกดะ ฟาร์มาซูติคัลก็กำลังดำเนินการทดลอง “วัคซีนจากการตัดต่อโปรตีน” ของบริษัทโนวาแวกซ์ซึ่งเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีชีวภาพจากสหรัฐ โดยเป็นการทดลองภายในญี่ปุ่น

ขณะที่ “วัคซีนที่ใช้ไวรัสเป็นพาหะ” ของบริษัทจอห์นสันแอนด์จอห์นสันจากสหรัฐ ก็กำลังอยู่ระหว่างการทดลองทางคลินิกในญี่ปุ่นเช่นกัน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 22 เมษายน 2564)

การทดลองทางคลินิกที่ดำเนินการในญี่ปุ่น ตอนที่ 1

“อันเจส” บริษัทด้านเทคโนโลยีชีวภาพในจังหวัดโอซากากำลังดำเนินการทดลองทางคลินิกกับผู้คนราว 500 คน โดยใช้วัคซีน DNA ซึ่งเป็นวัคซีนชนิดที่ใช้ยีน จะมีการใช้ DNA สังเคราะห์ฉีดเข้าไปเพื่อช่วยสร้างสารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดีในร่างกายเพื่อต่อสู้กับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

“ชิโอโนงิ” บริษัทยาในโอซากาก็อยู่ระหว่างการทดลองทางคลินิกของสิ่งที่เรียกว่าวัคซีนจากการตัดต่อโปรตีนกับผู้คน 214 คน

เมื่อปลายเดือนมีนาคมปี 2564 “ไดอิจิ ซันเกียว” ซึ่งเป็นบริษัทยาได้เริ่มการทดลองทางคลินิกของวัคซีนชนิด mRNA ของตนกับผู้คน 152 คน นอกจากนี้ “เคเอ็ม ไบโอโลจิกส์” ผู้ผลิตวัคซีนในจังหวัดคูมาโมโตะก็เริ่มการทดลองทางคลินิกของวัคซีนชนิดเชื้อตายกับผู้คน 210 คน

ทางด้าน “ไอดี ฟาร์มา” บริษัทด้านเทคโนโลยีชีวภาพ ก็กำลังพัฒนาวัคซีนที่ใช้ไวรัสเป็นพาหะและตั้งเป้าทำการทดลองทางคลินิก

อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในญี่ปุ่นมีน้อยเมื่อเทียบกับประเทศตะวันตก ดังนั้น โอกาสที่ผู้เข้าร่วมการทดลองทางคลินิกจะติดเชื้อในเวลาต่อมาจึงค่อนข้างต่ำ ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าเป็นเรื่องยากที่จะยืนยันประสิทธิผลของวัคซีนเหล่านี้

องค์การเครื่องมือแพทย์และเวชภัณฑ์ หรือ PMDA ซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในญี่ปุ่นระบุว่า หนึ่งในทางเลือกสำหรับผู้ผลิตวัคซีนก็คือการดำเนินการทดลองขนาดใหญ่ในต่างประเทศ หลังจากเสร็จสิ้นการทดลองขั้นต้นกับกลุ่มคนจำนวนน้อยในญี่ปุ่นแล้ว

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 21 เมษายน 2564)

มีวัคซีนต้านโรคโควิด-19 ประเภทใดบ้าง และมีจำนวนเท่าใดที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาทั่วโลก

องค์การอนามัยโลกระบุว่า นับจนถึงวันที่ 9 เมษายนปี 2564 มีการทดลองทางคลินิกของวัคซีนโรคโควิด-19 ที่กำลังดำเนินการอยู่ทั่วโลก 87 รายการ และอีก 186 รายการที่พัฒนาอยู่ในขั้นก่อนการทดลองทางคลินิก

จากการทดลองทางคลินิกที่กำลังดำเนินการอยู่ 87 รายการนั้น มี 28 รายการที่เป็นวัคซีนจากการตัดต่อโปรตีน วัคซีนประเภทนี้ นักวิจัยจะสร้างชิ้นส่วนของโปรตีนปลอมของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ขึ้นมาผ่านการตัดต่อยีน และฉีดให้แก่ผู้คนเพื่อกระตุ้นการสร้างสารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี

มีการทดลองทางคลินิก 19 รายการที่เกี่ยวข้องกับวัคซีนที่ใช้ไวรัสเป็นพาหะ ซึ่งผลิตโดยการนำชิ้นส่วนของยีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เข้าไปในไวรัสอีกชนิดหนึ่งที่ไม่เป็นอันตรายโดยใช้เทคโนโลยีพันธุวิศวกรรม ขณะที่การทดลองทางคลินิกอีก 12 รายการนั้น เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตายซึ่งใช้ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ผ่านการขจัดพิษและปรับสภาพแล้ว มาฉีดให้แก่ผู้คน

ส่วนการทดลองทางคลินิกรายการอื่น ๆ เกี่ยวข้องกับวัคซีนที่ใช้การสังเคราะห์ยีนเทียมของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยมีการทดลองทางคลินิก 12 รายการที่เกี่ยวกับวัคซีนชนิด RNA และ 10 รายการที่ใช้วัคซีนชนิด DNA

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 20 เมษายน 2564)

จุดสำคัญที่ต้องใส่ใจเมื่อเข้ารับวัคซีน

คุณคุตสึนะ ซาโตชิ จากศูนย์การแพทย์และสาธารณสุขนานาชาติแห่งชาติของญี่ปุ่นซึ่งเชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคติดเชื้อ ได้ตรวจรักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่มาอย่างต่อเนื่อง เขากล่าวว่าผลข้างเคียงบางประการ เช่น อาการอ่อนเพลียอย่างหนัก อาจเกิดขึ้นหลังจากการเข้ารับวัคซีน

เขาแนะนำว่าเราควรเผื่อวันว่างที่เป็นวันหลังจากฉีดวัคซีนเอาไว้ ถ้าต้องการความปลอดภัยสบายใจ ส่วนวันที่เข้ารับวัคซีนนั้น คุณคุตสึนะกล่าวว่าสามารถอาบน้ำได้ แต่ควรงดเว้นจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือออกกำลังกายอย่างหนักหน่วง

คาดว่าวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงบ่อยกว่าวัคซีนประเภทอื่น ๆ เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ แต่วัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ป้องกันไม่ให้เกิดอาการหรือไม่ให้ป่วยหนัก นอกจากนี้ ผลการศึกษาบางกรณียังระบุด้วยว่า วัคซีนดังกล่าวอาจมีประสิทธิผลในการป้องกันไม่ให้ติดเชื้อไวรัสนี้ได้ด้วย

คุณคุตสึนะเน้นย้ำว่าการเข้ารับวัคซีนนั้นเป็นประโยชน์ โดยกล่าวว่าคาดว่าวัคซีนนี้จะป้องกันไม่ให้ผู้ที่มีโรคประจำตัวติดเชื้อไวรัสนี้จากสมาชิกในครอบครัว เขาระบุว่าประโยชน์จากวัคซีนมีน้ำหนักมากกว่าความเสี่ยงอย่างเห็นได้ชัด และเรียกร้องให้พิจารณาเกี่ยวกับการเข้ารับวัคซีนซึ่งไม่ใช่แค่เพื่อตัวเราเองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้คนรอบตัวเราด้วย

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 19 เมษายน 2564)

จุดสำคัญที่ต้องใส่ใจเมื่อเข้ารับวัคซีนในญี่ปุ่น ตอนที่ 2

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นระบุว่าผู้ที่จะไปเข้ารับการฉีดวัคซีนควรนำบัตรที่ออกโดยสำนักงานเทศบาลไปด้วย นอกจากนี้ก็ควรนำเอกสารที่สามารถระบุตัวตน เช่น ใบขับขี่หรือบัตรประกันสุขภาพไปด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ก็ยังขอให้ผู้คนแต่งกายเพื่อให้ง่ายต่อการเปิดช่วงหัวไหล่ ซึ่งเป็นจุดที่จะฉีดวัคซีน

หลังฉีดวัคซีนแล้ว จะมีการขอให้ผู้คนอยู่ที่จุดฉีดวัคซีนนานกว่า 15 นาที ส่วนผู้ที่เคยมีประวัติอาการแพ้อย่างรุนแรง รวมถึงผู้มีอาการช็อกหรือเป็นลมเพราะปฏิกิริยาแพ้รุนแรงเฉียบพลัน จะมีการขอให้อยู่ที่จุดฉีดวัคซีนนานกว่า 30 นาที กลุ่มคนเหล่านี้ควรติดต่อแพทย์ทันที หากเกิดอาการใดก็ตามที่ผิดปกติ

ทางกระทรวงยังขอให้ผู้คนดำเนินมาตรการป้องกันพื้นฐานต่อไปหลังการฉีดวัคซีน เช่น การสวมหน้ากากอนามัย การล้างมือให้สะอาด และการหลีกเลี่ยง 3 สิ่ง ได้แก่ สถานที่ปิด สถานที่ที่มีผู้คนแออัด และการมีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิด

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 16 เมษายน 2564)

จุดสำคัญที่ต้องใส่ใจเมื่อเข้ารับวัคซีนในญี่ปุ่น ตอนที่ 1

การฉีดวัคซีนโรคโควิด-19 ให้แก่ผู้สูงอายุได้เริ่มขึ้นแล้วในญี่ปุ่น แต่มีผู้คนที่ควรต้องใส่ใจเป็นพิเศษ ตลอดจนผู้คนที่ไม่สามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนได้ นอกจากนี้ ก็มีขั้นตอนประมาณหนึ่งที่ต้องปฏิบัติตามทั้งก่อนและหลังการเข้ารับวัคซีน

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นระบุว่ากลุ่มบุคคลดังต่อไปนี้ที่ควรระมัดระวังเมื่อเข้ารับวัคซีนได้แก่ กลุ่มผู้ที่มีภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ, ผู้ที่รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด, ผู้ที่เข้ารับการรักษาอาการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ, เลือด, ไต หรือตับ หรืออาการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกัน, ผู้ที่เคยเกิดอาการชักกระตุก หรือผู้ที่เคยเกิดอาการแพ้ยาหรืออาหาร ก็ควรระมัดระวังเกี่ยวกับการเข้ารับวัคซีนเช่นกัน

นอกจากนี้ ทางกระทรวงยังระบุว่ากลุ่มบุคคลดังต่อไปนี้ไม่ควรเข้ารับวัคซีน อันได้แก่ ผู้ที่มีอุณหภูมิร่างกาย 37.5 องศาเซลเซียสหรือสูงกว่านั้นซึ่งมีไข้อย่างเห็นได้ชัด ผู้ที่กำลังเข้ารับการรักษาด้วยโรคเฉียบพลัน หรือผู้ที่เคยมีอาการแพ้ต่อสารที่เรียกว่าโพลีเอธิลีนไกลคอล ไม่ควรเข้ารับการฉีดวัคซีนเช่นกัน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 15 เมษายน 2564)

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีดวัคซีนในกลุ่มผู้สูงอายุ

การฉีดวัคซีนโรคโควิด-19 สำหรับผู้สูงอายุได้เริ่มขึ้นแล้วในญี่ปุ่นเมื่อวันจันทร์ที่ 12 เมษายนปี 2564

ผลการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้โดยคณะนักวิจัยของญี่ปุ่นพบว่า กลุ่มผู้สูงอายุมีแนวโน้มจะเกิดอาการไข้และผลข้างเคียงอื่น ๆ น้อยกว่าเมื่อเทียบกับผู้คนในกลุ่มช่วงวัยอื่น

คณะนักวิจัยที่อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นได้สำรวจติดตามเจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์ราว 19,000 คนที่เคยได้รับวัคซีนของบริษัทไฟเซอร์นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์

ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่า หลังจากได้รับวัคซีนเข็มแรก ผู้คนในช่วงวัย 20 ปีร้อยละ 25.2 เกิดอาการอ่อนเพลีย ขณะที่กลุ่มผู้มีอายุ 65 ปีขึ้นไปร้อยละ 12.4 เกิดอาการเช่นว่านี้ ส่วนผลข้างเคียงอื่น ๆ นั้น ผู้คนในช่วงวัย 20 ปีร้อยละ 23.3 มีอาการปวดศีรษะ ส่วนผู้สูงอายุร้อยละ 11.9 มีอาการนี้ กลุ่มคนหนุ่มสาวช่วงวัย 20 ปีร้อยละ 5.7 มีไข้ ขณะที่ผู้สูงอายุร้อยละ 0.2 เท่านั้นที่มีอาการนี้

ในบรรดาผู้คน 16,000 คน ที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 ผู้คนในช่วงวัย 20 ปีร้อยละ 76.8 มีอาการอ่อนเพลีย ส่วนผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปร้อยละ 38 เกิดอาการดังกล่าว ผู้คนในช่วงวัย 20 ปีร้อยละ 51 มีไข้ ขณะที่ผู้สูงอายุร้อยละ 9.4 เกิดอาการดังกล่าว สำหรับอาการปวดศรีษะนั้น ผู้คนในช่วงวัย 20 ปีร้อยละ 62.7 มีอาการข้างเคียงนี้ ขณะที่ผู้สูงอายุร้อยละ 20.5 เกิดอาการดังกล่าว

ผลสำรวจนี้ยังพบด้วยว่า ผู้หญิงมีแนวโน้มที่มักจะเกิดอาการข้างเคียงบ่อยกว่าผู้ชาย

ศาสตราจารย์อิโต ซูมิโนบุ จากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยจุนเทนโด ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะนักวิจัยนี้กล่าวว่า แม้ขณะนี้จะยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าทำไมจึงเกิดอาการข้างเคียงน้อยกว่าในกลุ่มผู้สูงอายุ เขาคาดว่าระดับของภูมิคุ้มกันน่าจะมีส่วนสำคัญในเรื่องนี้ เขากล่าวว่าผู้คนที่ได้รับวัคซีนจะมีผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นประมาณหนึ่งไม่ว่าจะอายุเท่าใด เขาได้แนะนำให้ผู้คนไม่ตื่นตระหนกและดำเนินมาตรการที่จำเป็น

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 14 เมษายน 2564)

ใช้เวลานานเท่าไหร่กว่าวัคซีนจะออกฤทธิ์หลังการฉีด ตอนที่ 3

ศาสตราจารย์นากายามะ เท็ตสึโอะ นักวิทยาไวรัสจากมหาวิทยาลัยคิตาซาโตะระบุว่า วัคซีนประเภท mRNA เช่น วัคซีนที่พัฒนาร่วมกันโดยบริษัทไฟเซอร์และไบออนเทคนั้น จะไปกระตุ้นให้เซลล์สร้างโปรตีน โดยต้องใช้ระยะเวลาประมาณหนึ่งจนกว่าภูมิคุ้มกันจะทำงานภายในร่างกายเพื่อตอบโต้โปรตีนนี้

ศาสตราจารย์นากายามะกล่าวว่าคาดว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10-14 วัน นับจากการฉีดวัคซีนเข็มแรก เพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันเริ่มทำงาน แต่กว่าจะถึงตอนนั้น จะยังไม่มีการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน ดังนั้นจึงไม่เกิดการป้องกันการติดเชื้อ

วัคซีนจะค่อย ๆ ออกฤทธิ์ สารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดีที่สามารถลบล้างฤทธิ์ของไวรัสนั้น จะก่อตัวขึ้นมาประมาณ 1 สัปดาห์นับจากการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 เพื่อสร้างระบบภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็งต่อการติดเชื้อ และไม่ให้เกิดอาการป่วยรุนแรง

อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์นากายามะระบุว่าการเข้ารับวัคซีน 2 เข็ม ไม่ได้ป้องกันการติดเชื้อได้เต็มร้อย เขาเตือนไม่ให้ออกไปข้างนอกบ่อย ๆ และเรียกร้องให้ผู้คนดำเนินขั้นตอนป้องกันการติดเชื้อต่อไป แม้ว่าจะได้รับวัคซีนแล้วก็ตาม

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 13 เมษายน 2564)

ใช้เวลานานเท่าไหร่กว่าวัคซีนจะออกฤทธิ์หลังการฉีด ตอนที่ 2

วัคซีนต่าง ๆ จะมีประสิทธิผลในการสร้างปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันของมนุษย์ ซึ่งไม่ใช่แค่กับวัคซีนโรคโควิด-19 เท่านั้น แต่ทั้งนี้ต้องใช้ระยะเวลาประมาณหนึ่งเพื่อให้วัคซีนออกฤทธิ์หลังจากที่ฉีดไป

ไฟเซอร์ บริษัทยาของสหรัฐกับไบออนเทคจากเยอรมนีซึ่งเป็นหุ้นส่วน ได้เปิดเผยผลการทดลองทางคลินิกวัคซีนโควิด-19 ของตน ที่ดำเนินการทดลองเมื่อปี 2563

ไฟเซอร์และไบออนเทคได้เตรียมผู้คน 2 กลุ่มสำหรับการทดลองดังกล่าว กลุ่มหนึ่งได้รับวัคซีนหลอก ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งได้รับวัคซีนจริง การทดลองนี้วิเคราะห์ความแตกต่างระหว่าง 2 กลุ่มนี้ว่าเกิดการติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างไร

ทางบริษัทพบว่าหลังจากได้รับวัคซีนเข็มแรก ผู้ติดเชื้อรายใหม่ใน 2 กลุ่มนี้ มีจำนวนเท่ากันสักระยะหนึ่ง แต่เมื่อผ่านไปประมาณ 12 วันหลังได้รับวัคซีน จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในกลุ่มที่ได้รับวัคซีนปลอม ขณะที่กลุ่มที่ได้รับวัคซีนจริงนั้น จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นไม่มากนักและหลังจากนั้นก็คงที่

ผลการทดลองนี้ระบุว่าวัคซีนนี้มีประสิทธิผลร้อยละ 52.4 ในช่วงระหว่างการฉีดเข็มแรกไปจนถึงเข็มที่ 2 ประสิทธิผลของวัคซีนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 94.8 หลังจากได้รับเข็มที่ 2 แล้ว 7 วัน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 12 เมษายน 2564)

ใช้เวลานานเท่าไหร่กว่าวัคซีนจะออกฤทธิ์หลังการฉีด ตอนที่ 1

คณะนักวิจัยของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นได้รับรายงานจากสถาบันการแพทย์แห่งหนึ่งที่ระบุว่า เจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขซึ่งเป็นผู้หญิงในช่วงวัย 20 ปีติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หลังจากได้รับวัคซีนของไฟเซอร์เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ปี 2564

มีรายงานดังกล่าวหลังจากเธอได้รับวัคซีนเข็มแรก 6 วัน เจ้าหน้าที่ระบุว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เธอติดเชื้อหลังการฉีดวัคซีน ทั้งนี้ เธอเข้ารับการรักษาและออกจากโรงพยาบาลแล้วหลังจากอาการดีขึ้น

คณะนักวิจัยกล่าวว่าหลังการฉีดวัคซีน สารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดีจะยังไม่เพิ่มขึ้นทันที และว่าคาดว่าต้องใช้เวลาประมาณ 14 วันถึงจะมีภูมิคุ้มกันในระดับหนึ่งจากวัคซีนเข็มแรก คณะนักวิจัยเรียกร้องให้ผู้คนปฏิบัติขั้นตอนป้องกันการติดเชื้อต่อไป แม้ว่าจะเป็นช่วงหลังจากที่ฉีดวัคซีนแล้วก็ตาม

เมื่อเดือนมีนาคม ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐได้แนะนำว่า ผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วยังมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อแม้ในระดับต่ำก็ตาม และผู้คนเหล่านี้ยังต้องสวมหน้ากากอนามัยในสถานที่สาธารณะ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 9 เมษายน 2564)

ผู้ที่แพ้อาหารหรือผู้ที่เป็นไข้ละอองฟางหรือภูมิแพ้ละอองเกสรสามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนได้หรือไม่

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นได้ส่งแนวทางสำหรับการประเมินก่อนการฉีดวัคซีนไปยังทางการท้องถิ่นต่าง ๆ โดยระบุว่าผู้ที่เป็นโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้เช่นไข้ละอองฟาง, โรคผิวหนังอักเสบเหตุภูมิแพ้, โรคหืดหลอดลม หรือแพ้อาหาร อาจเข้ารับการฉีดวัคซีนได้ แต่ได้เตือนให้ระมัดระวังสำหรับผู้คนที่เกิดอาการแพ้เพียงไม่นานหลังจากสัมผัสถูกสารที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ แนวทางดังกล่าวระบุว่าควรเฝ้าระวังบุคคลเหล่านี้ 30 นาทีหลังฉีดวัคซีน

นอกจากนี้ แนวทางดังกล่าวยังเรียกร้องให้แพทย์ยืนยันว่าบุคคลผู้นั้นเคยมีประวัติการแพ้ยาและอาหารอย่างรุนแรงมาก่อนหรือไม่ ผู้ที่เคยเกิดการแพ้อย่างรุนแรงต่อส่วนผสมที่อยู่ในวัคซีนไม่ควรเข้ารับการฉีดวัคซีน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องระวังว่ามีบางคนที่ไม่ทราบว่าตนเองแพ้โพลีเอธิลีนไกลคอล ซึ่งเป็นส่วนผสมในวัคซีนที่พัฒนาโดยบริษัทไฟเซอร์ โพลีเอธิลีนไกลคอลใช้ในผลิตภัณฑ์มากมาย เช่น ยา, ผงซักฟอก และเครื่องสำอาง

มีการเรียกร้องให้แพทย์ตรวจสอบอย่างรอบคอบว่าผู้เข้ารับวัคซีนจะไม่มีอาการแพ้ต่อสารดังกล่าว

ทางกระทรวงได้แจ้งไปยังทางการท้องถิ่นว่าผู้ที่เคยเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงเฉียบพลันหรือแอนาฟิแล็กซิส หลังจากที่ได้รับวัคซีนเข็มแรก ไม่ควรเข้ารับวัคซีนเข็มที่ 2

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 8 เมษายน 2564)

ประสิทธิผลของวัคซีนซิโนฟาร์มเป็นอย่างไร

ซิโนฟาร์มซึ่งเป็นบริษัทยาของรัฐบาลจีนกำลังพัฒนาวัคซีนชนิดเชื้อตาย โดยเป็นการใช้ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ตายแล้วในกระบวนการพัฒนาวัคซีน

ข้อมูลจากเว็บไซต์ของซิโนฟาร์มระบุว่ากำลังมีการฉีดวัคซีนนี้ในจีนและประเทศอื่น ๆ และวัคซีนดังกล่าวอยู่ในขั้นสุดท้ายของการทดลองทางคลินิก ทางบริษัทแสดงข้อมูลอัตราประสิทธิผลของวัคซีนดังกล่าวว่าอยู่ที่ร้อยละ 86 ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และร้อยละ 79.34 ในจีน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 7 เมษายน 2564)

ประสิทธิผลของวัคซีนสปุตนิก วี ของรัสเซียเป็นอย่างไร

ศูนย์ระบาดวิทยาและจุลชีววิทยาแห่งชาติกามาเลยาได้ประกาศผลการทดลองทางคลินิกของวัคซีนสปุตนิก วี ที่ผลิตในรัสเซีย โดยระบุว่าในบรรดาผู้เข้าร่วมการทดลอง 19,866 คน มีการยืนยันอาการของโรคโควิด-19 ในผู้คน 16 คนจากจำนวน 14,964 คนที่ได้รับวัคซีนจริง และมีการยืนยันอาการโรคโควิด-19 ในผู้คน 62 คนจาก 4,902 คนที่ได้รับวัคซีนหลอก ทางศูนย์ระบุว่าวัคซีนนี้มีประสิทธิผลร้อยละ 91.6

ทางศูนย์กล่าวว่ามีผู้คน 20 คนที่เกิดอาการรุนแรงแต่ทั้งหมดนี้เป็นผู้ที่ได้รับวัคซีนหลอก และว่าวัคซีนนี้มีประสิทธิผลร้อยละ 100 ในการป้องกันไม่ให้เกิดอาการรุนแรงหลังจากที่ฉีดวัคซีนไปแล้ว 21 วัน ทั้งนี้ ในรัสเซียและประเทศอื่น ๆ กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการฉีดวัคซีนสปุตนิก วี

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 6 เมษายน 2564)

ประสิทธิผลของวัคซีนจากบริษัทโนวาแวกซ์เป็นอย่างไร

โนวาแวกซ์ซึ่งเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีชีวภาพของสหรัฐได้ประกาศผลการทดลองทางคลินิกที่ดำเนินการในอังกฤษ โดยระบุว่าในบรรดาผู้เข้าร่วมการทดลองกว่า 15,000 คน มีการยืนยันอาการของโรคโควิด-19 ในผู้คน 6 คนซึ่งได้รับการฉีดวัคซีนจริง และ 56 คนที่ได้รับวัคซีนหลอก ทางบริษัทระบุว่าวัคซีนของตนมีประสิทธิผลร้อยละ 89.3

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 2 เมษายน 2564)

มาตรการใหม่เพื่อต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในจังหวัดโอซากา, เฮียวโงะ และมิยางิ

รัฐบาลญี่ปุ่นได้ตัดสินใจที่จะใช้มาตรการต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แบบใหม่สำหรับจังหวัดโอซากา, เฮียวโงะ และมิยางิ โดยเริ่มตั้งแต่วันจันทร์ที่ 5 เมษายน คำถามคือมาตรการลักษณะใดที่จะนำมาใช้ตามแผนนี้และมาตรการดังกล่าวจะต่างจากตอนที่เคยประกาศใช้ภาวะฉุกเฉินอย่างไร

มาตรการใหม่นี้อิงจากกฎหมายฉบับแก้ไขว่าด้วยมาตรการพิเศษเพื่อต้านไวรัส ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2564 กฎหมายดังกล่าวเปิดทางให้ใช้มาตรการต้านไวรัสแบบเข้มข้นได้ แม้ในช่วงที่ไม่มีการประกาศภาวะฉุกเฉิน ทั้งนี้ ภาวะฉุกเฉินนั้นมีเป้าหมายครอบคลุมระดับจังหวัด แต่แผนการใหม่จะเปิดทางให้ผู้ว่าการของจังหวัดที่รัฐบาลกำหนด สามารถระบุเป้าหมายเทศบาลแบบเฉพาะเจาะจง

ภายใต้มาตรการใหม่นี้จะเหมือนกับการใช้ประกาศภาวะฉุกเฉิน ผู้ว่าการจังหวัดสามารถขอให้บรรดาธุรกิจลดเวลาเปิดทำการลงและหากธุรกิจเหล่านั้นไม่ปฏิบัติตาม ก็สามารถออกคำสั่งเพื่อให้ปฏิบัติตามได้ ทางการท้องถิ่นสามารถเปิดเผยชื่อของธุรกิจที่ไม่ปฏิบัติตาม

เจ้าหน้าที่สามารถไปตรวจสอบยังสถานที่ต่าง ๆ ได้หากจำเป็น อย่างไรก็ตาม ภายใต้มาตรการใหม่นี้ ทางการท้องถิ่นไม่สามารถขอให้ธุรกิจต่าง ๆ ปิดทำการชั่วคราวได้ ซึ่งหากอยู่ภายใต้ภาวะฉุกเฉินนั้น สิ่งนี้สามารถทำได้

ภายใต้มาตรการใหม่นี้ ธุรกิจที่ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งหรือปฏิเสธไม่ให้มีการตรวจสอบสถานที่โดยขาดเหตุผลที่เหมาะสม อาจถูกปรับเป็นเงินสูงสุด 200,000 เยน หรือราว 60,000 บาท แต่หากเป็นภาวะฉุกเฉินนั้น ผู้ฝ่าฝืนอาจถูกปรับเป็นเงินสูงสุด 300,000 เยน หรือเกือบ 90,000 บาท

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 2 เมษายน 2564)

ประสิทธิผลของวัคซีนจากบริษัทจอห์นสันแอนด์จอห์นสันเป็นอย่างไร

จอห์นสันแอนด์จอห์นสันซึ่งเป็นบริษัทยาชั้นนำของสหรัฐระบุในรายงานผลระยะกลางของการทดลองทางคลินิกที่มีผู้คน 43,783 คนเข้าร่วม ว่ามี 468 คนจากจำนวนดังกล่าวที่เกิดอาการโรคโควิด-19

วัคซีนของจอห์นสันแอนด์จอห์นสันนั้นฉีดแค่ครั้งเดียว ทางบริษัทระบุว่าวัคซีนดังกล่าวมีประสิทธิผลร้อยละ 66 ในการป้องกันไม่ให้เกิดอาการระดับปานกลางถึงร้ายแรง หลังจากฉีดวัคซีน 28 วัน นอกจากนี้ ยังระบุด้วยว่าวัคซีนนี้มีประสิทธิผลร้อยละ 85 ในการป้องกันไม่ให้เกิดอาการร้ายแรง

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 1 เมษายน 2564)

ประสิทธิผลของวัคซีนจากบริษัทแอสตราเซเนกาเป็นอย่างไร

แอสตราเซเนกา บริษัทยาของอังกฤษประกาศเมื่อวันที่ 25 มีนาคมว่า จากจำนวนผู้เข้าร่วมการทดลองทางคลินิกขั้นสุดท้ายในสหรัฐ, ชิลี และเปรู 32,449 คน มี 190 คนที่เกิดอาการของโรคโควิด-19 และได้เปรียบเทียบข้อมูลของผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนจริงกับผู้ที่ได้รับวัคซีนหลอก ทางบริษัทระบุว่าวัคซีนของตนมีประสิทธิผลร้อยละ 76 ในการป้องกันการเกิดอาการจากโรคโควิด-19

แอสตราเซเนกาได้ลดอัตราประสิทธิผลของวัคซีนลงมาร้อยละ 3 จุด หลังจากที่หน่วยงานด้านสาธารณสุขของสหรัฐได้เรียกร้องให้ทางบริษัทเปิดเผยข้อมูลล่าสุด

สถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติของสหรัฐระบุว่าการวิเคราะห์ผลระยะกลางของแอสตราเซเนกาอาจมีการนำข้อมูลเก่ามารวมด้วย ซึ่ง "อาจทำให้การประเมินผลของวัคซีนขาดมุมมองที่ครบถ้วน"

แอสตราเซเนการะบุว่ามีกรณีของผู้ป่วยอาการหนัก 8 คน แต่ทั้ง 8 คนนี้เป็นผู้ที่ได้รับวัคซีนหลอก ด้วยเหตุนี้จึงระบุว่าวัคซีนของตนมีประสิทธิผลร้อยละ 100 ในการป้องกันไม่ให้เกิดอาการหนัก

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2564)

ประสิทธิผลของวัคซีนจากบริษัทโมเดอร์นาเป็นอย่างไร

ผลการทดลองทางคลินิกที่เปิดเผยโดยโมเดอร์นา บริษัทด้านเทคโนโลยีชีวภาพของสหรัฐแสดงให้เห็นว่า มีผู้คน 30,420 คน ที่เข้าร่วมในขั้นสุดท้ายของการทดลองทางคลินิกสำหรับวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของทางบริษัท และว่าผู้เข้าร่วมการทดลอง 15,210 คนที่ได้รับการฉีดวัคซีนจริงนั้น มี 11 คนที่แสดงอาการของโรคโควิด-19 ขณะที่ผู้คน 15,210 คนที่ได้รับการฉีดวัคซีนหลอก มี 185 คนที่แสดงอาการของโรคโควิด-19 ทางบริษัทจึงระบุว่าอัตราประสิทธิผลของวัคซีนนี้อยู่ที่ร้อยละ 94.1

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 30 มีนาคม 2564)

ประสิทธิผลของวัคซีนที่พัฒนาร่วมกันโดยไฟเซอร์ บริษัทยาของสหรัฐกับไบออนเทค บริษัทของเยอรมนีผู้เป็นหุ้นส่วน

รายงานผลการทดลองทางคลินิกของวัคซีนดังกล่าวระบุว่า มีผู้คน 43,448 คน ที่เข้าร่วมในการทดลองขั้นสุดท้าย

ประสิทธิผลของวัคซีนนี้ประเมินโดยการเปรียบเทียบกลุ่มของผู้คนที่ได้รับวัคซีนจริงกับอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งได้รับวัคซีนหลอก

ในการวิเคราะห์ข้อมูลของผู้คน 18,198 คนจากจำนวน 21,720 คนที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ติดเชื้อโรคโควิด-19 และได้เข้ารับวัคซีน พบว่าหลังการทดลองทางคลินิก มีผู้คน 8 คนที่เกิดอาการจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

ในบรรดาผู้คน 18,325 คนจากจำนวน 21,728 คนที่ได้รับวัคซีนหลอกนั้น มี 162 คนที่เกิดอาการจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

นี่จึงหมายความว่าวัคซีนนี้มีประสิทธิผลร้อยละ 95 ในการป้องกันไม่ให้เกิดอาการของโรคโควิด-19

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 29 มีนาคม 2564)

วัคซีนของบริษัทต่าง ๆ และประสิทธิผลของวัคซีนเหล่านั้น

ผู้พัฒนาวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่หลายรายได้เปิดเผยผลการทดลองทางคลินิก เพื่อแสดงให้เห็นว่าวัคซีนของตนมีประสิทธิผลอย่างไรบ้าง

มีการประเมินประสิทธิผลของวัคซีนด้วยการเปรียบเทียบกลุ่มของผู้คนที่ได้รับการฉีดวัคซีนของบริษัทนั้น ๆ กับอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับวัคซีนหลอก

หากสัดส่วนของผู้ที่เกิดอาการจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในกลุ่มที่ได้รับวัคซีนจริงต่ำกว่ากลุ่มที่ได้รับวัคซีนหลอก ก็เท่ากับว่าวัคซีนนั้นมีประสิทธิผลในการป้องกันการเกิดโรค

วัคซีนที่ได้รับการพัฒนาร่วมกันระหว่างไฟเซอร์ บริษัทยารายใหญ่ของสหรัฐกับไบออนเทค บริษัทของเยอรมนีผู้เป็นหุ้นส่วน และวัคซีนที่พัฒนาโดยโมเดอร์นา บริษัทผู้ผลิตยาอีกรายหนึ่งของสหรัฐนั้น มีประสิทธิผลกว่าร้อยละ 90 ในการทดลองทางคลินิกที่มีผู้เข้าร่วมหลายหมื่นคน

วัคซีนของไฟเซอร์และโมเดอร์นาคือวัคซีนที่กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นได้ลงนามในสัญญาแล้ว

อัตราของประสิทธิผลที่มากกว่าร้อยละ 90 หมายความว่าอย่างไร ลองนึกดูว่าผู้คน 100 คนเกิดอาการต่าง ๆ หลังผ่านไปช่วงเวลาหนึ่งนับจากที่ได้รับวัคซีนหลอก ขณะที่ผู้คนไม่ถึง 10 คนที่ได้รับวัคซีนจริง เกิดอาการต่าง ๆ หลังจากผ่านช่วงเวลาหนึ่งไปเช่นกัน เมื่อเปรียบเทียบตัวเลขทั้งสองนี้แล้ว ก็สามารถลงความเห็นได้ว่าวัคซีนนี้สามารถยับยั้งไม่ให้เกิดอาการของโรคโควิด-19 ได้ในกลุ่มผู้คนกว่าร้อยละ 90

อย่างไรก็ตาม เราพึงทราบไว้ว่าผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วอาจติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้อยู่ ด้วยเหตุนี้จึงมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการป้องกัน เช่น สวมหน้ากากอนามัยและหลีกเลี่ยง 3 สิ่ง ได้แก่ สถานที่ปิด, สถานที่ที่มีผู้คนแออัด และการมีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิด แม้จะกำลังดำเนินการฉีดวัคซีนอย่างเต็มรูปแบบก็ตาม

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 26 มีนาคม 2564)

สถานการณ์ปัจจุบันของการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์ในญี่ปุ่น

ศาสตราจารย์วาดะ โคจิ ผู้เชี่ยวชาญด้านอนามัยชุมชนจากมหาวิทยาลัยนานาชาติด้านสุขภาพและสวัสดิการ อธิบายเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์ในญี่ปุ่น โดยระบุว่ายังมีอีกหลายสิ่งที่เรายังไม่รู้เกี่ยวกับการติดเชื้อในญี่ปุ่น แต่เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ในต่างประเทศนั้น เราควรทราบไว้ว่าการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสชนิดกลายพันธุ์ทั้งหลายเป็นเรื่องยาก และว่าไวรัสกลายพันธุ์เหล่านี้จะกลายเป็นสาเหตุหลักของการติดเชื้อในญี่ปุ่นด้วย

ศาสตราจารย์วาดะระบุว่าถ้าการติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นไวรัสชนิดกลายพันธุ์ ก็อาจทำให้ความเร็วของการระบาดและจำนวนของผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น

ศาสตราจารย์วาดะกล่าวว่าการดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสชนิดกลายพันธุ์ในระดับบุคคลนั้น ยังคงไม่ต่างไปจากการดำเนินมาตรการต้านไวรัสสายพันธุ์ดั้งเดิม แต่เขาระบุว่าผู้ที่รับผิดชอบด้านมาตรการต้านการติดเชื้อประจำหน่วยงานหลายหน่วยงานอาจถูกสับเปลี่ยนในช่วงเริ่มต้นปีงบประมาณใหม่นี้ ทำให้การดำเนินมาตรการที่ต่อเนื่องสม่ำเสมอในบางกรณีนั้นเป็นเรื่องยาก

เขากล่าวว่ากรณีเช่นว่านี้พบเห็นได้ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยเขาเรียกร้องให้ใช้มาตรการที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องจนถึงตอนนี้ในรูปแบบที่ราบรื่นและรวดเร็วมากขึ้น โดยเฉพาะที่สถานพยาบาลดูแลผู้สูงอายุ สถาบันทางการแพทย์ และทางการท้องถิ่น

นอกจากนี้ ศาสตราจารย์วาดะยังกล่าวด้วยว่าการส่งเสริมเรื่องตรวจติดตามการแพร่ระบาดของไวรัสชนิดกลายพันธุ์เป็นสิ่งสำคัญ และว่ารัฐบาลควรจัดทำกฎระเบียบที่สามารถตรวจไวรัสชนิดกลายพันธุ์จากตัวอย่างที่ได้จากการตรวจโดยสถาบันเอกชนได้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 25 มีนาคม 2564)

ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่กลายพันธุ์ชนิดอื่น ๆ

ที่ญี่ปุ่นนั้น มีบุคคลคนหนึ่งซึ่งเดินทางจากฟิลิปปินส์มายังญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อไวรัสชนิดกลายพันธุ์ที่ไม่ใช่ชนิดที่พบในอังกฤษ, แอฟริกาใต้ หรือบราซิล ไวรัสกลายพันธุ์ชนิดนี้มีการกลายพันธุ์ที่เรียกว่า N501Y ตลอดจนการกลายพันธุ์ที่ส่วนหนามที่เรียกว่า E484K ซึ่งช่วยให้ไวรัสนี้หลบเลี่ยงการโจมตีจากสารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดีได้

สถาบันโรคติดเชื้อแห่งชาติของญี่ปุ่นระบุว่าไวรัสกลายพันธุ์ชนิดนี้ที่เคยมีรายงานในฟิลิปปินส์เมื่อก่อนหน้านี้ สามารถติดเชื้อได้ง่ายกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิมและว่าสามารถทำให้เกิดอันตรายได้มากเท่า ๆ กับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์อื่น ๆ ซึ่งกำลังแพร่ระบาดทั่วโลก

นับจนถึงวันที่ 3 มีนาคม ญี่ปุ่นได้ตรวจพบผู้ติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์อีกชนิดหนึ่งเกือบ 400 คน ซึ่งเป็นการกลายพันธุ์แบบ E484K ไวรัสกลายพันธุ์นี้ไม่มีการกลายพันธุ์แบบ N501Y จึงไม่น่าจะแพร่กระจายได้ง่ายกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิม แต่นักวิจัยระบุว่าการกลายพันธุ์ที่พบในบางกรณีดูเหมือนว่าเกิดขึ้นในญี่ปุ่น

สถาบันโรคติดเชื้อแห่งชาติของญี่ปุ่นกำหนดให้ไวรัสกลายพันธุ์ชนิดนี้เป็น “ชนิดกลายพันธุ์ที่ต้องจับตา” โดยบรรดานักวิจัยกำลังศึกษาไวรัสชนิดกลายพันธุ์นี้เพิ่มเติมผ่านการวิเคราะห์ยีนและวิธีการอื่น ๆ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 24 มีนาคม 2564)

ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์ที่ตรวจพบครั้งแรกในบราซิล

มีรายงานไวรัสกลายพันธุ์ชนิดนี้ครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 6 มกราคมปีนี้ จากผู้เดินทางมาจากบราซิลคนหนึ่ง

เชื่อกันว่าไวรัสกลายพันธุ์นี้ปรากฏครั้งแรกในเมืองมาเนาส์ ทางตอนเหนือของบราซิล เมื่อวันที่ 4 ธันวาคมปี 2563 นับจนถึงเดือนมกราคมปีนี้ ว่ากันว่าร้อยละ 91 ของกรณีติดเชื้อที่มีรายงานในมาเนาส์นั้นเป็นการติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ชนิดนี้

องค์การอนามัยโลกระบุว่าไวรัสกลายพันธุ์นี้ “แพร่เชื้อได้ง่ายกว่าชนิดกลายพันธุ์ที่ระบาดอยู่ก่อนหน้านี้” และว่านับจนถึงวันที่ 9 มีนาคม มี 32 ประเทศและดินแดนที่ได้รายงานกรณีติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์นี้

องค์การอนามัยโลกระบุว่าความเสี่ยงของการเกิดอาการรุนแรงจากไวรัสกลายพันธุ์นี้มี “ผลในวงจำกัด” และว่ามีรายงานการติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์นี้ซ้ำ ทั้งนี้เนื่องจากไวรัสกลายพันธุ์ชนิดนี้ตลอดจนชนิดกลายพันธุ์ที่มีรายงานครั้งแรกในแอฟริกาใต้ มีการกลายพันธุ์ส่วนหนามที่เรียกว่า E484K ซึ่งสามารถหลบเลี่ยงการโจมตีจากสารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดีได้

องค์การอนามัยโลกระบุว่าผลกระทบของไวรัสกลายพันธุ์นี้ที่อาจเกิดขึ้นกับวัคซีนนั้นกำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 23 มีนาคม 2564)

เรารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์ที่มีการยืนยันครั้งแรกในแอฟริกาใต้

คาดว่าไวรัสกลายพันธุ์ชนิดแอฟริกาใต้นี้ปรากฏครั้งแรกเมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคมปี 2563 จากการวิเคราะห์ข้อมูลโดยหน่วยงานด้านสาธารณสุขของแอฟริกาใต้เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนพบว่ากรณีติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ส่วนใหญ่เป็นไวรัสกลายพันธุ์ชนิดนี้

องค์การอนามัยโลกระบุว่าไวรัสกลายพันธุ์ชนิดแอฟริกาใต้แพร่กระจายได้ง่ายกว่าไวรัสกลายพันธุ์ที่ระบาดอยู่ก่อนหน้านี้ร้อยละ 50 และว่านับจนถึงวันที่ 9 มีนาคม มีการตรวจพบไวรัสกลายพันธุ์ชนิดแอฟริกาใต้ใน 58 ประเทศและดินแดน อย่างไรก็ตาม องค์การอนามัยโลกระบุว่าไม่มีหลักฐานที่จะชี้ได้ว่าไวรัสกลายพันธุ์นี้ทำให้ผู้ติดเชื้อเกิดอาการป่วยหนักมากกว่า

ไวรัสกลายพันธุ์ชนิดแอฟริกาใต้มีการกลายพันธุ์ที่เรียกว่า E484K ซึ่งทำให้ไวรัสนี้สามารถหลบเลี่ยงการโจมตีของสารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดีที่ผลิตในร่างกายของเรา และอาจทำให้มีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะติดเชื้อซ้ำ

นอกจากนี้ก็ยังมีผลการวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าแอนติบอดีที่สามารถลบล้างฤทธิ์ของไวรัสซึ่งถูกกระตุ้นโดยวัคซีนนั้น มีประสิทธิผลต่ำกว่าในการรับมือไวรัสกลายพันธุ์ชนิดแอฟริกาใต้ ด้านผู้ผลิตวัคซีนระบุว่าวัคซีนของพวกตนมีประสิทธิผลเพียงพอต่อไวรัสกลายพันธุ์ชนิดนี้ แต่จะศึกษาเรื่องประสิทธิผลดังกล่าวต่อไป

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 22 มีนาคม 2564)

เรารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์ที่มีการยืนยันครั้งแรกในอังกฤษ

ไวรัสชนิดกลายพันธุ์นี้มีรายงานครั้งแรกในอังกฤษเมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคมปี 2563 แต่การวิเคราะห์ข้อมูลไวรัสต่อมาแสดงให้เห็นว่ามีผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสชนิดกลายพันธุ์นี้เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2563 เป็นอย่างเร็ว

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหภาพยุโรประบุว่าผลการศึกษาในหลายกรณีพบว่าไวรัสกลายพันธุ์ชนิดนี้แพร่กระจายได้ง่ายกว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ก่อนหน้านี้ ร้อยละ 36 ถึง 75

เมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคม อังกฤษมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อวันประมาณ 10,000 ถึง 20,000 คน แต่จำนวนดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 50,000 คนเมื่อช่วงปลายเดือนธันวาคม และในเดือนมกราคมนั้น มีบางวันที่มากกว่า 60,000 คน นักวิจัยเชื่อว่าการเพิ่มขึ้นดังกล่าวส่วนใหญ่เกิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสชนิดกลายพันธุ์นี้

องค์การอนามัยโลกระบุว่านับจนถึงวันที่ 9 มีนาคม มีการยืนยันไวรัสชนิดกลายพันธุ์นี้ใน 111 ประเทศและดินแดนทั่วโลก

รัฐบาลอังกฤษคาดว่าไวรัสชนิดกลายพันธุ์นี้อาจมีส่วนที่ทำให้การเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและความเสี่ยงเรื่องการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นมากกว่า บรรดานักวิจัยกำลังศึกษาเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีที่ว่านี้ แต่ข่าวดีก็คือคาดว่าไวรัสชนิดกลายพันธุ์ดังกล่าวไม่มีผลกระทบสำคัญต่อประสิทธิผลของวัคซีน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 19 มีนาคม 2564)

ไวรัสกลายพันธุ์ชนิดใดที่เราควรเฝ้าระวังเป็นพิเศษ

มีการยืนยันไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์ในกว่า 100 ประเทศและดินแดนทั่วโลก สำหรับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นั้น เกิดการกลายพันธุ์ในข้อมูลด้านพันธุกรรมประมาณ 2 ตำแหน่งต่อเดือน อย่างไรก็ตาม ตามปกติแล้วการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่ได้มีผลต่อความสามารถในการติดเชื้อและความสามารถในการทำให้เกิดโรคของไวรัสนี้

ทว่า การกลายพันธุ์สามารถทำให้ไวรัสชนิดกลายพันธุ์บางชนิดติดต่อได้ง่ายขึ้นหรือต้านทานการโจมตีของระบบภูมิคุ้มกันได้มากขึ้น องค์การอนามัยโลกและรัฐบาลทั่วโลกระบุไวรัสกลายพันธุ์เหล่านี้ว่าเป็น “ชนิดกลายพันธุ์ที่น่ากังวลมากที่สุด” และยกระดับการเฝ้าติดตาม

มีไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์ 3 ชนิดที่ต้องเฝ้าระวังอย่างสูง ได้แก่ ชนิดที่ปรากฏครั้งแรกในอังกฤษ, ชนิดที่ได้รับการยืนยันครั้งแรกในแอฟริกาใต้ และชนิดที่กำลังแพร่ระบาดในบราซิล โดยไวรัสชนิดกลายพันธุ์เหล่านี้มีลักษณะการกลายพันธุ์ร่วมกันที่เรียกว่า N501Y

นักวิจัยคาดว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตรงส่วนนูนของพื้นผิวของไวรัสช่วยให้มันเข้าสู่เซลล์ของมนุษย์ได้ จึงทำให้เชื้อแพร่ไปยังผู้อื่นได้ง่ายขึ้น

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 18 มีนาคม 2564)

อะไรคือลักษณะที่เรียกว่าภูมิคุ้มกันหมู่

เมื่อประชากรซึ่งมีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสหรือเชื้อโรคมีจำนวนมากพอในระดับหนึ่ง ที่ถึงแม้ว่าจะมีผู้ติดเชื้อแต่การติดเชื้อนั้นไม่แพร่ไปยังผู้อื่น ลักษณะเช่นนี้ถึงจะเรียกว่าได้ “ภูมิคุ้มกันหมู่” แต่ทั้งนี้พึงทราบไว้ว่าสัดส่วนของผู้คนที่ต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนเพื่อให้ได้ภูมิคุ้มกันหมู่นั้นแตกต่างกันไปโดยขึ้นอยู่กับประเภทของโรคติดเชื้อ

นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังระบุว่ามีหลายกรณีที่วัคซีนช่วยป้องกันไม่ให้ผู้คนป่วยหนัก แต่ไม่ได้มีผลเรื่องการควบคุมการแพร่ระบาด ซึ่งหมายความว่าภูมิคุ้มกันหมู่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้แม้จะมีผู้คนจำนวนมากที่ฉีดวัคซีนแล้วก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญระบุว่ายังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าจะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่จากการฉีดวัคซีนในกรณีของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่หรือไม่

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 17 มีนาคม 2564)

เราควรป้องกันตัวเองจากการหาผลประโยชน์ที่ฉ้อโกงและหลอกลวงเรื่องการฉีดวัคซีนได้อย่างไร

สำนักงานกิจการผู้บริโภคในญี่ปุ่นระบุว่ามีผู้คนซึ่งเคยรับสายโทรศัพท์ที่น่าสงสัยหรืออีเมลที่ไม่น่าไว้ใจอันเกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีนโควิด-19 มาขอคำปรึกษาจากทางสำนักงาน มีกรณีหนึ่งที่บุคคลท่านหนึ่งได้รับโทรศัพท์จากใครบางคนที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของทางการท้องถิ่น โดยได้ขอให้โอนเงิน 100,000 เยนไปยังเลขบัญชีธนาคารที่กำหนดโดยทันทีเพื่อที่จะได้รับการฉีดวัคซีนก่อน มีรายงานว่าผู้ที่โทรศัพท์มานั้นกล่าวว่าจะจ่ายเงินคืนให้ในภายหลัง

อีกกรณีหนึ่งซึ่งอ้างอิงมาจากศูนย์กิจการผู้บริโภคแห่งชาติระบุว่า มีผู้ที่ได้รับข้อความในนามของรัฐมนตรีผู้หนึ่ง ข้อความดังกล่าวเชิญชวนให้คลิกเข้าไปยัง URL เพื่อให้ได้รับการฉีดวัคซีนก่อน

เจ้าหน้าที่ของศูนย์กิจการผู้บริโภคแห่งชาติกล่าวว่าในการฉีดวัคซีนโควิด-19 นั้น ทางการท้องถิ่นจะไม่ขอให้มีการชำระเงิน และจะไม่โทรศัพท์รวมถึงส่งอีเมลเพื่อขอข้อมูลส่วนตัว

ผลสำรวจของศูนย์กิจการผู้บริโภคแห่งชาติแสดงให้เห็นว่าผู้คนร้อยละ 80 ที่เคยเป็นเหยื่อหรือเคยพบปัญหาเกี่ยวกับการหลอกลวงสืบเนื่องจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ระบุว่า พวกตนคิดว่าจะไม่ตกเป็นเหยื่อเพราะพวกตนระมัดระวังตัวมากพอต่อการหลอกลวงดังกล่าว

ศูนย์กิจการผู้บริโภคแห่งชาติให้บริการคำปรึกษาทางโทรศัพท์โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแก่ผู้คนที่เคยรับโทรศัพท์หรืออีเมลที่น่าสงสัยว่าอาจจะเป็นการหาผลประโยชน์จากการฉีดวัคซีน โดยบริการคำปรึกษาดังกล่าวดำเนินการเป็นภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น

หมายเลขโทรศัพท์คือ 0120-797-188 โดยให้บริการตั้งแต่เวลา 10.00 น. ถึง 16.00 น. ทั้งวันธรรมดาและวันหยุดสุดสัปดาห์

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 16 มีนาคม 2564)

เราสามารถติดเชื้อจากการเข้ารับวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้หรือไม่

การติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จากวัคซีนประเภทที่ใช้ในญี่ปุ่นซึ่งเป็น “วัคซีนจากยีน” นั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

วัคซีนนี้มีส่วนประกอบสายของสารพันธุกรรมที่เรียกว่า mRNA ซึ่งรวมถึงข้อมูลทางพันธุกรรมจาก “โปรตีนหนาม” ที่อยู่บนผิวของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ mRNA จะทำหน้าที่เป็นพิมพ์เขียวภายในเซลล์ของมนุษย์เพื่อผลิตโปรตีนหนาม

ว่ากันว่า mRNA มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากขาดเสถียรภาพและเมื่อฉีดเข้าไปในรูปแบบของวัคซีนแล้ว ก็จะเจือจางไปในเวลาไม่นานและไม่เหลือค้างอยู่ในร่างกาย นอกจากนี้ วัคซีนดังกล่าวจะไม่เข้าไปในนิวเคลียสของเซลล์ซึ่งมียีนของมนุษย์อยู่ในนั้นด้วย

มีกรณีที่เกิดขึ้นน้อยมากที่การฉีดวัคซีนทำให้เกิดโรคอย่างในกรณีของวัคซีนชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ เช่น การฉีดวัคซีนต้านโรคโปลิโอ วัคซีนชนิดนี้ใช้ไวรัสเป็นที่อ่อนฤทธิ์แล้ว

วัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ทั้งหมดที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีความปลอดภัยจากความเสี่ยง เนื่องจากไม่มีชนิดใดที่เป็นวัคซีนแบบเชื้อเป็น

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 15 มีนาคม 2564)

การฉีดวัคซีนไปยังกล้ามเนื้อซึ่งเป็นวิธีที่ใช้ฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นั้น จะทำให้เกิดความเจ็บปวดอย่างมากใช่หรือไม่

วัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ส่วนใหญ่ใช้วิธีการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ทว่าผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าการฉีดวัคซีนเข้ากล้ามเนื้อ ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เกิดความเจ็บปวดมากเสมอไป ด้วยวิธีการฉีดเข้ากล้ามเนื้อนั้น ตัววัคซีนจะถูกส่งไปยังกล้ามเนื้อที่อยู่ใต้ไขมันใต้ชั้นผิวหนัง จะมีการแทงเข็มฉีดยาทำมุม 90 องศาไปที่ต้นแขน

ที่ญี่ปุ่นนั้น การฉีดยาเข้าใต้ผิวหนังซึ่งเป็นการฉีดเข้าไปยังชั้นที่อยู่ระหว่างผิวหนังกับกล้ามเนื้อนั้น เป็นที่แพร่หลายมากกว่าสำหรับการฉีดวัคซีนต่าง ๆ เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ แต่คาดว่าการฉีดเข้ากล้ามเนื้อจะทำให้ตัววัคซีนถูกดูดซึมได้เร็วกว่า

ศาสตราจารย์โอกาดะ เคนจิ จากวิทยาลัยพยาบาลฟูกูโอกะและเป็นผู้ดำรงตำแหน่งประธานสมาคมวัคซีนวิทยาแห่งญี่ปุ่น กล่าวว่าที่ต่างประเทศนั้น การฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อเป็นวิธีทั่วไปที่ใช้สำหรับการฉีดวัคซีน และว่าไม่ใช่ว่าการฉีดเข้ากล้ามเนื้อทุกกรณีจะเจ็บปวดมากกว่าการฉีดเข้าใต้ผิวหนัง

ศาสตราจารย์โอกาดะกล่าวว่าสิ่งนี้ขึ้นอยู่กับส่วนผสมที่อยู่ในวัคซีน และว่าความรู้สึกเจ็บปวดนั้นแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล

เขากล่าวด้วยว่าที่ผ่านมามีรายงานจากประเทศต่าง ๆ ว่าวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ทำให้เกิดความเจ็บปวดตรงจุดที่ฉีดวัคซีนมากกว่าการฉีดวัคซีนอื่น ๆ และว่าเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขควรอธิบายให้ครบถ้วนเพื่อให้ผู้เข้ารับวัคซีนเตรียมพร้อม ขณะเดียวกันก็แนะนำให้ผู้เข้ารับวัคซีนพยายามเบี่ยงเบนตนเองจากเข็มฉีดยาและพุ่งความสนใจไปที่อื่นแทน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 12 มีนาคม 2564)

ลังเลว่าควรฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่หรือไม่ จะทำอย่างไรดี ตอนที่ 2

คุณโอกาเบะ โนบูฮิโกะ ซึ่งเป็นผู้อำนวยการของสถาบันสาธารณสุขแห่งเมืองคาวาซากิ และยังเป็นสมาชิกคณะที่ปรึกษาด้านการรับมือไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของรัฐบาลญี่ปุ่นกล่าวว่า นับจนถึงปัจจุบัน ดูเหมือนว่าวัคซีนดังกล่าวยังไม่มีผลข้างเคียงที่น่ากังวลอย่างยิ่งยวด เมื่อดูจากข้อมูลที่ได้จากการทดลองทางคลินิกและข้อมูลจากประเทศต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างการดำเนินโครงการฉีดวัคซีน

เขากล่าวว่าเมื่อเทียบกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่และวัคซีนอื่น ๆ วัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่อาจทำให้รู้สึกเจ็บปวดมากกว่าขณะที่ฉีด และมีอาการบวมตรงบริเวณที่ฉีดนานกว่า อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่าจากข้อมูลที่รวบรวมได้แสดงให้เห็นว่าอาการเหล่านี้มักหายไปหลังผ่านไปช่วงเวลาหนึ่ง

คุณโอกาเบะกล่าวว่าควรจัดทำระบบที่เปิดทางให้ผู้คนได้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือขอรับการดูแลทางการแพทย์เมื่อพวกเขารู้สึกกังวล

เขากล่าวว่าหากมีคนมาถามเขาว่าเขาจะเข้ารับการฉีดวัคซีนหรือไม่ เขาจะตอบว่า ใช่ และว่าเมื่อเกิดการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นั้น เราอาจมีอาการเล็กน้อยแต่ก็อาจป่วยหนักได้เช่นเดียวกัน เขากล่าวว่าเมื่อเปรียบเทียบความเสี่ยงที่จะป่วยหนักจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่กับความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงร้ายแรงจากวัคซีนนั้น เขาเชื่อว่าประโยชน์ของวัคซีนที่ช่วยป้องกันอาการต่าง ๆ มีมากกว่าความเสี่ยงเรื่องผลข้างเคียง

อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่าบางคนไม่สามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนได้แม้ว่าพวกเขาอยากทำเช่นนั้น เนื่องจากเงื่อนไขด้านสุขภาพ และบางคนปฏิเสธที่จะเข้ารับการฉีดวัคซีนไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่าควรเคารพการตัดสินใจส่วนบุคคล

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 8 มีนาคม 2564)

ลังเลว่าควรฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่หรือไม่ จะทำอย่างไรดี ตอนที่ 1

ปัจจุบันมีข้อมูลหลากหลายเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ทำให้ผู้คนลังเลว่าควรฉีดวัคซีนดังกล่าวหรือไม่

ศาสตราจารย์อิชิอิ เคน จากสถาบันวิทยาศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัยโตเกียว เป็นนักวิจัยแนวหน้าด้านวัคซีน โดยมีประสบการณ์การทำงานที่สำนักงานอาหารและยาของสหรัฐหรือ FDA ในการตรวจสอบการทดลองทางคลินิกของวัคซีนต่าง ๆ เขาได้แสดงความเห็นเรื่องวัคซีนที่มีแผนนำมาใช้ในญี่ปุ่น

ศาสตราจารย์อิชิอิกล่าวว่าประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีนทั้งหมดได้รับการรองรับจากข้อมูลที่โปร่งใส และว่าดูเหมือนว่าวัคซีนเหล่านี้ไม่มีปัญหาอะไร เขากล่าวว่าก่อนหน้านี้เขากังวลเรื่องการพัฒนาวัคซีนอย่างรวดเร็ว แต่หลังจากได้เห็นจำนวนผู้เข้าร่วมการทดลองทางคลินิกพอสมควร ตลอดจนความถูกต้องแม่นยำแล้ว เขาก็เลยได้ข้อสรุปว่าไม่มีปัญหาอะไร

เขากล่าวว่าเขาไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัดเรื่องความเป็นไปได้ที่จะเกิดผลข้างเคียงระยะยาวจากวัคซีนดังกล่าว และว่ายังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าจะเกิดผลข้างเคียงใด ๆ ก็ตามในช่วงหลายปีของการฉีดวัคซีนหรือไม่ อย่างไรก็ตาม นอกจากความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจทราบได้ในช่วงหลายปีผ่านไปนั้น ข้อมูลทุกอย่างก็ชัดเจนแล้ว

เขากล่าวว่าประโยชน์ของการฉีดวัคซีนมีน้ำหนักมากกว่าความเสี่ยงของการติดเชื้อไวรัสนี้และเกิดอาการร้ายแรงขึ้นมา

ศาสตราจารย์อิชิอิกล่าวว่าขณะนี้วัคซีนก็พร้อมใช้งานแล้ว บุคคลทั่วไปตลอดจนสังคมโดยรวมกำลังเผชิญคำถามว่าควรเข้ารับการฉีดวัคซีนหรือไม่ เขาระบุว่าจากมุมมองด้านวิทยาศาสตร์ ผู้ที่อยู่ในกลุ่มความเสี่ยงสูงโดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ควรเข้ารับการฉีดวัคซีน

นอกจากนี้ เขายังแนะนำว่าสมาชิกของครอบครัวที่มีผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเรื้อรัง ควรฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันตัวเอง และว่าความเสี่ยงของการติดเชื้อยังคงมีอยู่หากผู้คนเลือกจะไม่ฉีดวัคซีน

เขากล่าวว่าการจะฉีดวัคซีนหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับท่านเอง แต่ควรตัดสินใจโดยคำนึงถึงสมาชิกในครอบครัวและผู้คนรอบข้าง

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 5 มีนาคม 2564)

หลังจากที่ฉีดวัคซีนแล้วยังต้องสวมหน้ากากอนามัย, หลีกเลี่ยงสถานที่ปิด, สถานที่ที่มีผู้คนแออัด หรือดำเนินมาตรการอื่น ๆ เพื่อต้านไวรัสหรือไม่

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าผู้คนต้องปฏิบัติมาตรการเหล่านี้ไปอีกระยะหนึ่ง จนกว่าจะมีการยืนยันถึงประสิทธิผลของการฉีดวัคซีนในสังคม

วัคซีนซึ่งได้นำมาฉีดในญี่ปุ่นนั้น ได้รับการยืนยันประสิทธิภาพร้อยละ 95 ในการป้องกันไม่ให้เกิดอาการต่าง ๆ ระหว่างการทดลองทางคลินิก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถป้องกันไม่ให้เกิดอาการทั้งหมดได้

นอกจากนี้ ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าวัคซีนสามารถป้องกันไม่ให้ผู้คนติดเชื้อไวรัสได้หรือไม่ แม้หลังจากการฉีดวัคซีนแล้วก็อาจติดเชื้อได้ แต่การฉีดวัคซีนจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการต่าง ๆ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าหากไม่ดำเนินมาตรการต้านไวรัส เราก็อาจมีความเสี่ยงในการแพร่กระจายไวรัสได้

การฉีดวัคซีนได้เริ่มขึ้นแล้วทั่วโลกเพียงเมื่อไม่นานมานี้ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐหรือ CDC ระบุว่า จะต้องใช้ข้อมูลมากกว่านี้เพื่อยืนยันว่าประสิทธิผลของวัคซีนนั้นคงอยู่ได้นานหรือไม่

CDC และผู้เชี่ยวชาญอื่น ๆ ระบุว่าหลังจากได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว ผู้คนควรสวมหน้ากากอนามัย, ใช้วิธีการฆ่าเชื้อโรค, หลีกเลี่ยงสถานที่ปิดที่มีผู้คนหนาแน่น และดำเนินมาตรการต้านไวรัสอื่น ๆ ต่อไปอีกระยะหนึ่ง

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 4 มีนาคม 2564)

สามารถรับประทานยาบรรเทาปวดหรือยาลดไข้หากมีไข้หรือรู้สึกปวดหลังการฉีดวัคซีนได้หรือไม่

เป็นที่ทราบกันว่าบางคนมีไข้หรือรู้สึกปวดหลังจากเข้ารับวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ในหลายกรณีอาการดังกล่าวจะเกิดขึ้นภายใน 1 หรือ 2 วันหลังฉีดวัคซีน ตามปกติแล้วจะมีอาการแค่ไม่กี่วัน

เว็บไซต์ของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นระบุว่า ผู้ที่มีอาการเหล่านี้ “ควรรับประทานยาบรรเทาปวดหรือยาลดไข้ที่เหมาะสมและดูอาการ 2-3 วัน”

อย่างไรก็ตาม ถ้ามีไข้นานเกิน 2 วัน หรือมีอาการรุนแรงหรือเกิดอาการที่ยังไม่เคยมีรายงานมาก่อน ควรไปพบแพทย์

นากายามะ เท็ตสึโอะ ศาสตราจารย์ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นพิเศษแห่งมหาวิทยาลัยคิตาซาโตะซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องวัคซีน กล่าวว่าอาการต่าง ๆ เช่น มีไข้และปวด เกิดขึ้นเมื่อภูมิคุ้มกันทำงาน และว่าการรับประทานยาลดไข้หรือยาแก้ปวดจะไม่ส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน

เขากล่าวว่าหากมีไข้สูงกว่า 38.5 องศาเซลเซียสหรือเจ็บปวดรุนแรง ก็ควรรับประทานยาลดไข้หรือยาบางประเภทเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดเหล่านี้

อย่างไรก็ตาม ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐตอบคำถามที่ว่าควรรับประทานยาลดไข้หรือยาเพื่อต้านความเจ็บปวดก่อนการฉีดวัคซีนหรือไม่ โดยระบุว่า “ไม่แนะนำ” ให้ทำเช่นว่านี้ เนื่องจากยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่ายาเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อตัววัคซีนอย่างไร

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 3 มีนาคม 2564)

หญิงตั้งครรภ์ควรเข้ารับการฉีดวัคซีนหรือไม่

สมาคมโรคติดเชื้อด้านสูติเวชและนรีเวชแห่งญี่ปุ่น และสมาคมสูติเวชและนรีเวชแห่งญี่ปุ่นได้ออกแถลงการณ์เมื่อเดือนมกราคมปี 2564 เกี่ยวกับว่าการฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่น่าจะส่งผลกระทบต่อหญิงตั้งครรภ์อย่างไร

แถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่าไม่มีรายงานผลข้างเคียงที่ทำให้เสียชีวิตในช่วงการทดลองทางคลินิก แต่นโยบายด้านการฉีดวัคซีนนั้นแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ โดยสหรัฐระบุว่าไม่ควรกันหญิงตั้งครรภ์ออกจากการฉีดวัคซีน ขณะที่อังกฤษไม่แนะนำหญิงตั้งครรภ์ให้เข้ารับการฉีดวัคซีน โดยระบุว่ายังไม่มีข้อมูลเพียงพอ

สมาคมโรคติดเชื้อด้านสูติเวชและนรีเวชแห่งญี่ปุ่น และสมาคมสูติเวชและนรีเวชแห่งญี่ปุ่นสรุปว่า ในประเด็นเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนของหญิงตั้งครรภ์นั้น ไม่ว่าจะเรื่องความปลอดภัยของวัคซีน, ผลข้างเคียงทั้งระยะกลางและระยะยาว และเรื่องที่ว่าจะเกิดผลข้างเคียงต่อทารกในครรภ์และทารกแรกเกิดหรือไม่นั้น ยังไม่มีการยืนยันแน่ชัด

สมาคมดังกล่าวระบุว่าพวกตนไม่ได้กันหญิงตั้งครรภ์ออกจากการฉีดวัคซีน แต่ในกรณีที่ผู้หญิงเหล่านี้จะเข้ารับการฉีดวัคซีน ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ควรให้คำแนะนำอย่างเพียงพอและตรวจทารกในครรภ์ก่อนและหลังการฉีดวัคซีน

ทางสมาคมยังแนะนำให้ผู้หญิงที่ต้องการจะมีลูกเข้ารับการฉีดวัคซีน และหากเป็นไปได้ก็ควรฉีดวัคซีนก่อนจะตั้งครรภ์ โดยขอให้ไปปรึกษาสูติแพทย์และนรีแพทย์ก่อนล่วงหน้า

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 2 มีนาคม 2564)

หากเคยป่วยด้วยโรคโควิด-19 แล้ว จำเป็นต้องฉีดวัคซีนหรือไม่

ก่อนหน้านี้ เราเคยรายงานว่าองค์การอนามัยโลกได้แนะนำให้ฉีดวัคซีนในกรณีเช่นว่านี้ นอกจากนี้ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐหรือ CDC ก็กำลังเรียกร้องให้ผู้ป่วยที่หายจากโรคโควิด-19 แล้วเข้ารับการฉีดวัคซีนเช่นกัน

เว็บไซต์ของ CDC ระบุถึงวัคซีนประเภท mRNA ที่พัฒนาโดยบริษัทไฟเซอร์และวัคซีนของบริษัทโมเดอร์นาซึ่งในสหรัฐนั้นกำลังใช้วัคซีนนี้ฉีดให้แก่ผู้คน โดยอธิบายว่าข้อมูลจากการทดลองทางคลินิกแสดงให้เห็นว่าวัคซีนเหล่านี้ปลอดภัยสำหรับผู้ที่เคยติดเชื้อโรคโควิด-19 มาก่อน

เว็บไซต์ของ CDC ระบุว่า “ท่านควรเข้ารับการฉีดวัคซีนไม่ว่าจะเคยป่วยด้วยโรคโควิด-19 มาก่อนหรือไม่ เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญยังไม่ทราบว่าหลังหายจากโรคโควิด-19 แล้ว ท่านจะได้รับการคุ้มกันไม่ให้ป่วยไปอีกนานแค่ไหน” และว่าระดับของภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติที่ได้มาจากการติดเชื้อนั้น แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล

CDC ระบุว่า “หากท่านเคยเข้ารับการรักษาโรคโควิด-19 ด้วยสารภูมิต้านทานโมโนโคลนหรือโมโนโคลนัล แอนติบอดี หรือพลาสมาจากเลือดของผู้ป่วยที่หายแล้วหรือที่เรียกว่าคอนวาเลสเซนต์ พลาสมา ท่านควรรอ 90 วันก่อนเข้ารับวัคซีนโควิด-19” และว่าท่านควรปรึกษาแพทย์ของท่าน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 1 มีนาคม 2564)

การฉีดวัคซีนสามารถทำให้เกิดปฏิกิริยาการแพ้อย่างรุนแรงหรือแอนาฟิแล็กซิสได้หรือไม่

มีรายงานเกี่ยวกับปฏิกิริยาการแพ้รุนแรงหรือแอนาฟิแล็กซิส ซึ่งเกิดหลังจากฉีดวัคซีนในสหรัฐและประเทศอื่น ๆ ที่ได้เริ่มโครงการฉีดวัคซีนไปแล้วเมื่อช่วงก่อนหน้านี้

รายงานของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐหรือ CDC ระบุว่า เกิดกรณีแอนาฟิแล็กซิส 21 กรณีหลังการฉีดเข็มแรกของวัคซีนที่พัฒนาร่วมกันโดยบริษัทไฟเซอร์กับไบออนเทคเกือบ 1,900,000 ขนาดยา ระหว่างวันที่ 14 ถึง 23 ธันวาคมปี 2563

นอกจากนี้ CDC ยังรายงานว่าตรวจพบกรณีแอนาฟิแล็กซิส 10 กรณีหลังจากการฉีดเข็มแรกของวัคซีนจากบริษัทโมเดอร์นาไปประมาณกว่า 4,000,000 ขนาดยาเศษ ระหว่างวันที่ 21 ธันวาคมปี 2563 ถึง 10 มกราคมปี 2564

CDC ระบุว่ากรณีแอนาฟิแล็กซิสส่วนมากนั้นเกิดขึ้นในกลุ่มคนที่มีประวัติอาการแพ้มาก่อนและว่าคนกลุ่มนี้ที่สามารถตรวจติดตามข้อมูลได้นั้น หายจากอาการแอนาฟิแล็กซิสทุกคน

CDC กล่าวว่าแอนาฟิแล็กซิสเกิดขึ้นน้อยมากหลังการฉีดวัคซีน แต่กรณีเช่นนี้อาจเป็นอันตรายต่อชีวิตและต้องเข้ารับการรักษาทันที

CDC ระบุว่าสถานที่ฉีดวัคซีนควรมีเจ้าหน้าที่และอุปกรณ์ที่เหมาะสม เพื่อรับประกันว่าใครก็ตามที่สงสัยว่าเกิดปฏิกิริยาแอนาฟิแล็กซิส จะสามารถเข้ารับการรักษาโดยทันที ยกตัวอย่างเช่นการฉีดเอพิเนฟริน เป็นต้น และว่าผู้เข้ารับวัคซีนทุกคนควรได้รับคำแนะนำให้เข้ารับการดูแลทางการแพทย์โดยทันที หากว่ามีสัญญาณหรืออาการแพ้หลังออกมาจากสถานที่ฉีดวัคซีน

แอนาฟิแล็กซิสเป็นปฏิกิริยาการแพ้อย่างรุนแรง แต่แพทย์ระบุว่าอาการนี้แทบจะไม่นำไปสู่การเสียชีวิตหากได้รับการรักษาโดยทันที ซึ่งรวมถึงการฉีดเอพิเนฟรินด้วย

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นอธิบายไว้บนเว็บไซต์ของทางกระทรวงว่า สถานที่ฉีดวัคซีนและสถาบันทางการแพทย์มีการติดตั้งอุปกรณ์รักษาทางการแพทย์ที่จำเป็นรวมถึงอุปกรณ์อื่น ๆ เพื่อให้เจ้าหน้าที่รับมือกรณีที่เกิดแอนาฟิแล็กซิสได้โดยทันที หลังจากการฉีดวัคซีน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564)

มีมาตรการช่วยเหลือสำหรับผลข้างเคียงที่เกิดจากวัคซีนหรือไม่

รัฐบาลญี่ปุ่นจัดทำระบบสำหรับให้ความช่วยเหลือผู้คนที่เกิดอาการข้างเคียง โดยกฎหมายการฉีดวัคซีนของญี่ปุ่นครอบคลุมผู้ที่เข้ารับการฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ รัฐบาลญี่ปุ่นจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายด้านการแพทย์หรือมอบเงินช่วยเหลือกรณีที่ทุพพลภาพให้แก่ผู้ที่เกิดผลข้างเคียงหลังจากฉีดวัคซีน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564)

เกิดผลข้างเคียงจากวัคซีนหรือไม่ และมีผู้เสียชีวิตหรือไม่

ผลข้างเคียงสามารถเกิดขึ้นได้ไม่ว่ากับวัคซีนใดก็ตาม และก็มีรายงานว่าเกิดผลข้างเคียงจากวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เช่นกัน ข้อมูลจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐระบุว่า ปฏิกิริยาที่มักจะเกิดขึ้นมากที่สุดจากวัคซีนที่พัฒนาร่วมกันระหว่างไฟเซอร์ซึ่งเป็นบริษัทยาของสหรัฐกับไบออนเทค บริษัทของเยอรมนี และวัคซีนที่พัฒนาโดยบริษัทโมเดอร์นาของสหรัฐนั้น คืออาการเจ็บและบวม, มีรอยแดง, รู้สึกหนาว, อ่อนเพลีย และปวดศีรษะ

ตามปกติแล้วปฏิกิริยาเหล่านี้จะเกิดขึ้นภายใน 1 หรือ 2 วันหลังจากที่ได้รับวัคซีนและมักจะหายไปภายในไม่กี่วัน นอกจากนี้ ก็ยังมีรายงานอาการระดับปานกลางไปจนถึงรุนแรงซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันด้วย แต่กรณีเช่นนี้เกิดขึ้นน้อยมาก

จากรายงานเกี่ยวกับวัคซีนของบริษัทไฟเซอร์กับไบออนเทค ซึ่งอ้างอิงจากแถลงการณ์สำหรับสื่อมวลชนของทางบริษัทและการทดสอบทางคลินิกระบุว่า กลุ่มอาการหนักนั้นรวมถึงอาการอ่อนเพลียร้อยละ 3.8 และอาการปวดศีรษะร้อยละ 2

ในบรรดาผู้ที่เข้าร่วมการทดลองทางคลินิก 40,000 คน มีผู้ที่ได้รับวัคซีน 2 คนเสียชีวิต แต่ก็มีผู้ที่ได้รับวัคซีนหลอกเสียชีวิต 4 คน ด้วยเหตุนี้รายงานจึงระบุว่าการเสียชีวิตดังกล่าวไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับวัคซีน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564)

มีผลข้างเคียงอะไรบ้างจากวัคซีนที่พัฒนาร่วมกันระหว่างบริษัทไฟเซอร์กับไบออนเทค

คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันของสหรัฐได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับรายงานเรื่องผลข้างเคียงของวัคซีนที่พัฒนาโดยบริษัทไฟเซอร์และไบออนเทค

ผลการศึกษาข้อมูลจากผู้คนราว 997,000 คนที่ได้รับการฉีดวัคซีนดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า หลังจากได้รับวัคซีนเข็มแรก มีรายงานว่าร้อยละ 67.7 รู้สึกเจ็บบริเวณที่ฉีดวัคซีน ร้อยละ 28.6 รู้สึกอ่อนเพลีย ร้อยละ 25.6 ปวดศีรษะ ร้อยละ 17.2 ปวดกล้ามเนื้อ ร้อยละ 7.4 มีไข้ ร้อยละ 7.1 ปวดตามข้อต่อ ร้อยละ 7.0 รู้สึกหนาว ร้อยละ 7.0 รู้สึกคลื่นไส้ และร้อยละ 6.8 มีอาการบวม นอกจากนี้ก็มีรายงานว่าเกิดการแพ้อย่างรุนแรงด้วย

ผลการศึกษาวัคซีนของบริษัทไฟเซอร์และไบออนเทคจำนวน 9,943,247 ขนาดยา ที่ฉีดให้แก่ผู้คนนับจนถึงวันที่ 18 มกราคมพบว่า มีรายงานปฏิกิริยาการแพ้รุนแรงหรือแอนาฟิแล็กซิส 50 กรณี คิดเป็นอัตรา 1.0057 ต่อการฉีดวัคซีน 200,000 ขนาดยา

ปฏิกิริยาการแพ้รุนแรงเกิดขึ้นในกลุ่มผู้คนอายุ 26 ถึง 63 ปี โดยค่ากลางของอายุคือ 38.5 ปี ในจำนวนนี้เป็นสัดส่วนผู้หญิงร้อยละ 94 โดยร้อยละ 74 ของการเกิดปฏิกิริยาแพ้รุนแรงจะอยู่ในช่วง 15 นาทีนับจากการฉีดวัคซีน และร้อยละ 90 อยู่ในช่วง 30 นาที

มีรายงานว่าร้อยละ 80 ของปฏิกิริยาแพ้รุนแรงนั้นเกิดขึ้นในกลุ่มผู้คนที่เคยมีประวัติการแพ้มาก่อน เช่น การแพ้ยาหรืออาหาร

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564)

ปัญหาสุขภาพในลักษณะใดบ้างที่ควรระวังทั้งก่อนและหลังการฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

อาจมีหลายกรณีที่ผู้คนรู้สึกไม่สบายซึ่งก็จะมีการแนะนำไม่ให้เข้ารับวัคซีน กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นเรียกร้องให้ผู้ที่มีไข้สูง 37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป หรือรู้สึกไม่สบาย ให้งดเว้นจากการไปเข้ารับวัคซีน สำหรับผู้คนที่มีโรคประจำตัวหรือผู้ที่เข้ารับการรักษาทางการแพทย์อยู่ในปัจจุบัน ทางกระทรวงแนะนำให้ขอรับคำแนะนำจากแพทย์เพื่อตรวจประเมินก่อนการฉีดวัคซีน

นอกจากนี้ ทางกระทรวงยังเรียกร้องให้ผู้เข้ารับวัคซีนยังคงอยู่ที่สถานที่ฉีดวัคซีนอย่างน้อย 15 นาทีหลังจากที่ฉีดวัคซีนแล้ว เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่เกิดอาการแพ้ ทางกระทรวงระบุว่าในกรณีที่เกิดอาการผิดปกติขึ้น ผู้เข้ารับวัคซีนควรติดต่อแพทย์ หลังจากฉีดวัคซีนแล้วสามารถอาบน้ำได้ แต่ให้ระมัดระวังการถูตัวบริเวณที่ฉีดวัคซีน และควรงดเว้นจากการออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงในวันที่ฉีดวัคซีน

ศาสตราจารย์นากายามะ เท็ตสึโอะ จากมหาวิทยาลัยคิตาซาโตะ ซึ่งเชี่ยวชาญด้านวัคซีนกล่าวว่าสามารถอาบน้ำหรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่พอเหมาะได้ (แต่การดื่มหนักเกินไปทำไม่ได้อย่างแน่นอน)

อย่างไรก็ตาม ควรระมัดระวังว่าอาจเกิดอาการเวียนศีรษะหรือหายใจถี่เนื่องจากกลัวการฉีดวัคซีน ซึ่งอาจทำให้ผู้เข้ารับวัคซีนคนอื่น ๆ เป็นกังวลหากเกิดเรื่องนี้ขึ้นที่สถานที่ฉีดวัคซีนให้แก่ผู้คนจำนวนมาก

คุณโอกาเบะ โนบูฮิโกะ ผู้อำนวยการสถาบันสาธารณสุขแห่งเมืองคาวาซากิ ซึ่งเป็นสมาชิกของคณะทำงานรับมือไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของรัฐบาลญี่ปุ่นกล่าวว่า การจัดเตรียมระบบเพื่อให้คำปรึกษาแก่ผู้ที่กังวลเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนนั้นเป็นเรื่องจำเป็น

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564)

วัคซีนมีไว้สำหรับป้องกันตัวเราเองจากไวรัส หรือมีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสมีอาการป่วยรุนแรง

มองกันว่าวัคซีนสำหรับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นั้นช่วยป้องกันผู้ป่วยจากอาการต่าง ๆ หรือป้องกันไม่ให้มีอาการรุนแรง มากกว่าที่จะช่วยป้องกันพวกเราจากไวรัสนี้

คณะผู้เชี่ยวชาญระบุว่าหากกล่าวโดยทั่วไปแล้ว เราคาดหวังให้วัคซีนช่วยป้องกันการติดเชื้อ, ช่วยไม่ให้ผู้ป่วยเกิดอาการต่าง ๆ หรือไม่ให้เกิดอาการรุนแรง และช่วยให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าภูมิคุ้มกันหมู่

ทั้งนี้ เป็นการยากที่จะระบุว่าวัคซีนประเภทใดประเภทหนึ่งใช้ได้ผลในการป้องกันการติดเชื้อหรือไม่ เนื่องจากผู้คนจำนวนมากที่ติดเชื้อไม่แสดงอาการ นอกจากนี้ ก็ยังต้องวิเคราะห์ข้อมูลของเซลล์โดยละเอียด เพื่อตรวจสอบว่าไวรัสได้เข้ามาในร่างกายมนุษย์แล้วหรือไม่

องค์การเครื่องมือแพทย์และเวชภัณฑ์ หรือ PMDA ซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบยาในญี่ปุ่นระบุว่า เมื่อครั้งที่ทางองค์การประเมินวัคซีนต่าง ๆ สำหรับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นั้น การวิจัยทางคลินิกเป็นสิ่งจำเป็นในเชิงหลักการ เพื่อประเมินประสิทธิภาพของวัคซีนในการป้องกันไม่ให้ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสนี้เกิดอาการต่าง ๆ

การทดลองทางคลินิกในสหรัฐและยุโรปได้ชี้ให้เห็นว่า ไม่ใช่แค่เรื่องประสิทธิภาพในการป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยเกิดอาการต่าง ๆ เท่านั้น แต่ยังรวมถึงว่าวัคซีนดังกล่าวมีประสิทธิภาพในการป้องกันไม่ให้เกิดอาการรุนแรงได้อย่างไรด้วย องค์การ PMDA จึงรวมเรื่องประสิทธิภาพในการป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยเกิดอาการรุนแรงไว้ในเกณฑ์ที่ใช้ประเมินวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ด้วย

การทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ให้ได้ก็เป็นอีกหนึ่งผลลัพธ์ที่คาดหวังว่าจะได้จากการฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ประมาณว่าการที่จะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ทั่วโลกได้นั้น ประชากรโลกกว่าร้อยละ 70 จะต้องได้รับการฉีดวัคซีน WHO ระบุว่าดูเหมือนว่าเป็นเรื่องยากที่จะไปถึงเป้าหมายนั้นภายในสิ้นปี 2564

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564)

วัคซีน mRNA คืออะไร

มีการใช้ “วัคซีนจากยีน” ซึ่งมีส่วนประกอบเป็นสารพันธุกรรมจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในเชิงพาณิชย์กันแล้ว เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ญี่ปุ่นได้เริ่มโครงการฉีดวัคซีนโควิด-19 โดยใช้วัคซีนที่พัฒนาร่วมกันระหว่างบริษัทไฟเซอร์ของสหรัฐกับไบออนเทคของเยอรมนี วัคซีนนี้และวัคซีนอีกชนิดหนึ่งซึ่งพัฒนาโดยบริษัทโมเดอร์นาของสหรัฐนั้น ล้วนเป็นวัคซีน mRNA ที่ใช้ส่วนประกอบของสารพันธุกรรมของไวรัส

วัคซีนนี้จะออกฤทธิ์โดยการฉีด mRNA ซึ่งมีข้อมูลทางพันธุกรรมจาก “โปรตีนตรงส่วนหนาม” ที่อยู่บนผิวของไวรัสนี้เข้าไปในร่างกายมนุษย์ mRNA จะทำหน้าที่เป็นพิมพ์เขียวภายในเซลล์ของมนุษย์เพื่อผลิตโปรตีนส่วนหนาม

ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายจะทำงานโดยการสร้างสารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดีจำนวนมากเพื่อต่อสู้กับโปรตีนหนามเหล่านี้ ทั้งนี้ สารภูมิต้านทานดังกล่าวจะทำหน้าที่โจมตีโดยทันทีที่มีไวรัสจริงเข้ามาสู่ร่างกาย

อย่างไรก็ตาม mRNA ยังขาดเสถียรภาพและเมื่อฉีดเข้าไปในรูปแบบของวัคซีนแล้ว ก็จะเจือจางไปในเวลาไม่นานและไม่เหลือค้างอยู่ในร่างกาย

ว่ากันว่าวัคซีน mRNA มีความปลอดภัยสูงเนื่องจากวัคซีนนี้จะไม่เข้าไปในนิวเคลียสของเซลล์ซึ่งมียีนของมนุษย์อยู่ในนั้น

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564)

โรคประจำตัวใดบ้างที่จะได้รับการพิจารณาให้เข้ารับการฉีดวัคซีนโรคโควิด-19 ก่อน

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นได้ร่างรายชื่อของโรคประจำตัวต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงโรคหัวใจและโรคไตเรื้อรัง, ความผิดปกติของทางเดินหายใจ, อาการป่วยที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอเช่น มะเร็ง และการหยุดหายใจขณะหลับ เป็นต้น ผู้ที่อยู่ระหว่างการรักษาพยาบาลหรือไปพบแพทย์เป็นประจำเนื่องด้วยอาการเรื้อรังเหล่านี้ จะได้รับการฉีดวัคซีนก่อน

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ไม่ได้กำหนดให้ผู้ป่วยต้องยื่นใบรับรองเกี่ยวกับโรคประจำตัวแต่อย่างใด โดยผู้ป่วยแค่กรอกข้อมูลลงไปในแบบสอบถาม

ผู้ที่มีดัชนีมวลกาย หรือ BMI อยู่ที่ 30 หรือมากกว่านั้น จะได้รับการฉีดวัคซีนก่อนเช่นกัน โดยกลุ่มผู้ใหญ่ในญี่ปุ่นที่จัดอยู่ในประเภทที่เป็นโรคอ้วนหรือมีโรคประจำตัวนั้น มีจำนวนอยู่ที่ประมาณ 8,200,000 คน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564)

ใครจะเป็นคนกลุ่มแรกที่ได้รับวัคซีน

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นระบุว่าจะมีการให้วัคซีนเรียงตามลำดับของความจำเป็น โดยเจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์จะเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับการฉีดวัคซีน จากนั้นจะตามด้วยกลุ่มผู้คนที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ต่อด้วยกลุ่มผู้คนที่ทำงานที่สถานดูแลผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว

สำหรับเจ้าหน้าที่ที่ทำงานอยู่ที่สถานดูแลผู้สูงอายุนั้น ทางกระทรวงมีแผนที่จะให้พวกเขาได้ฉีดวัคซีนพร้อมกันกับกลุ่มผู้สูงอายุ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อแพทย์ไปฉีดวัคซีนที่สถานที่ดังกล่าวก็จะให้ดำเนินการไปในคราวเดียวกัน โดยทางกระทรวงระบุว่านี่เป็นการป้องกันการติดเชื้อแบบเป็นกลุ่มที่สถานที่แห่งนี้ ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวอยู่ภายใต้เงื่อนไขบางประการ

เงื่อนไขที่ว่านี้รวมถึงการจัดแพทย์มาคอยตรวจติดตามสุขภาพของผู้สูงอายุที่สถานดูแลผู้สูงอายุเป็นประจำทุกวัน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรับประกันว่าจะมีคนที่คอยสังเกตอาการของผู้สูงอายุหลังจากที่ได้รับการฉีดวัคซีน ซึ่งกลุ่มเจ้าหน้าที่ของสถานที่แห่งนี้ก็จะเข้ารับการฉีดวัคซีนเช่นกัน

การฉีดวัคซีนนี้จะดำเนินการให้เฉพาะผู้ที่ต้องการจะได้รับวัคซีนเท่านั้น สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุบางส่วนอาจเป็นการยากที่จะยืนยันว่าต้องการเข้ารับการฉีดวัคซีนหรือไม่ ในกรณีเช่นนี้ ทางกระทรวงจะขอให้ครอบครัวของพวกเขาและแพทย์ช่วยเหลือในกระบวนการยืนยันดังกล่าว

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564)

การฉีดวัคซีนตามสถานที่ต่าง ๆ ดำเนินการอย่างไร

การฉีดวัคซีนให้แก่ผู้คนจำนวนมากนั้น ผู้เข้ารับวัคซีนจะต้องนำบัตรที่เทศบาลส่งไปให้ตามบ้านมายังจุดรับรอง และยืนยันตัวตนด้วยการแสดงใบขับขี่, บัตรประกันสุขภาพ หรืออื่น ๆ

จากนั้นผู้เข้ารับวัคซีนจะต้องกรอกแบบสอบถามเรื่องสุขภาพ, ประวัติทางการแพทย์ และให้แพทย์ตรวจร่างกายเพื่อตัดสินว่าพวกเขาสามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนได้หรือไม่

เมื่อถึงขั้นตอนนี้แล้วไม่พบปัญหาอะไร ก็สามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนได้ คาดว่าการฉีดวัคซีนจะใช้เวลาประมาณ 2 นาทีต่อคน

หลังจากฉีดวัคซีนแล้ว ก็จะได้รับใบรับรองที่มีข้อมูลระบุวันที่ฉีดวัคซีนและรายละเอียดของวัคซีนที่ได้รับ ใบรับรองนี้มีความจำเป็นสำหรับการเข้ารับวัคซีนครั้งที่ 2

สิ่งสำคัญก็คือผู้เข้ารับวัคซีนพึงทราบไว้ว่าหลังจากฉีดวัคซีนแล้ว จะไม่สามารถเดินทางกลับบ้านได้ทันที เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่น ได้ขอให้ผู้เข้ารับวัคซีนอยู่ที่สถานที่รับวัคซีนในบริเวณที่จัดไว้เป็นการเฉพาะประมาณ 15 นาทีขึ้นไป เพื่อสังเกตอาการ

จากข้อมูลการทดลองทางคลินิกในการฉีดวัคซีนในต่างประเทศนั้น บางส่วนของผู้เข้ารับวัคซีนซึ่งเป็นชนิดที่จะนำมาใช้ในญี่ปุ่น มีรายงานอาการปวดศีรษะ หรืออ่อนเพลียหลังจากเข้ารับวัคซีน นอกจากนี้ ที่สหรัฐและประเทศอื่นทั่วโลกได้มีรายงานกรณีอาการแพ้ชนิดรุนแรงเฉียบพลันหลังได้รับวัคซีนนี้ ซึ่งเป็นกรณีที่เกิดขึ้นน้อยมากก็ตาม

ทั้งนี้ จะมีการจัดตั้งจุดช่วยเหลือที่สถานที่ให้วัคซีนเพื่อดูแลผู้เข้ารับวัคซีนที่รู้สึกไม่สบายหลังฉีดวัคซีน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564)

การฉีดวัคซีนโควิด-19 ในญี่ปุ่นดำเนินการที่ไหนและอย่างไร

เทศบาลทั้งหลายจะดำเนินการฉีดวัคซีนตามแนวทางของรัฐบาลญี่ปุ่น ผู้ที่เข้ารับวัคซีนจะสามารถไปยังเทศบาลที่พวกตนได้ลงทะเบียนเป็นผู้อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม มีข้อยกเว้นสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ไกลบ้านเนื่องจากไปทำงานหรือกำลังเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ผู้คนเหล่านี้จะได้รับอนุญาตให้รับวัคซีนที่เทศบาลแห่งอื่นได้

หน่วยงานเทศบาลจะจัดส่งบัตรที่ต้องใช้เพื่อเข้ารับวัคซีนผ่านทางไปรษณีย์ไปตามที่อยู่บ้าน หากท่านนำบัตรนี้ไปยังสถานที่ฉีดวัคซีน ก็จะได้รับการฉีดวัคซีนโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

อย่างไรก็ตาม ท่านจะต้องนัดหมายล่วงหน้าผ่านทางโทรศัพท์และวิธีการอื่น สถานที่ฉีดวัคซีนนั้นจะเป็นสถาบันทางการแพทย์, ศูนย์ชุมชน และโรงยิม เป็นต้น

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2564)

ภูมิคุ้มกันที่ได้จากวัคซีนโควิด-19 มีระยะเวลานานเท่าใด

ที่ผ่านมามีการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 หลายประเภททั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศ แต่เรายังไม่ทราบว่าวัคซีนเหล่านี้จะมีประสิทธิผลนานแค่ไหน เพราะการทดลองทางคลินิกและการฉีดวัคซีนในประเทศต่าง ๆ เพิ่งเริ่มต้นขึ้น

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นระบุว่า วัคซีนเหล่านี้น่าจะได้ผลกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์ด้วยเช่นกัน เจ้าหน้าที่ของทางกระทรวงกล่าวว่า ไวรัสกลายพันธุ์อย่างต่อเนื่องเป็นปกติ และการกลายพันธุ์เล็กน้อยไม่น่าจะทำให้ประสิทธิผลของวัคซีนหมดไป

มีผลจากการทดลองที่แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนของบริษัทไฟเซอร์และวัคซีนอื่น ๆ ที่หาได้ในปัจจุบัน ได้สร้างสารภูมิต้านทานซึ่งสามารถต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์ได้ด้วย เจ้าหน้าที่กล่าวว่าพวกตนจะยืนยันประสิทธิผลและความปลอดภัยของวัคซีนเหล่านี้ซึ่งรวมถึงประสิทธิผลที่มีต่อไวรัสชนิดกลายพันธุ์

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564)

ทำไมการฉีดวัคซีนจึงจำเป็น

การฉีดวัคซีนมีจุดประสงค์เพื่อทำให้ผู้คนมีภูมิคุ้มกันหรือเสริมสร้างความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกันให้มากขึ้น คาดว่าวัคซีนจะช่วยป้องกันไม่ให้ผู้คนเกิดอาการต่าง ๆ หรือป้องกันไม่ให้อาการร้ายแรง นอกจากนี้ คาดว่าวัคซีนจะช่วยควบคุมการแพร่ระบาดของโรคภัยในชุมชนทั้งหลาย

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นระบุว่า ผลของการทดลองทางคลินิกในต่างประเทศได้แสดงให้เห็นว่า วัคซีนสำหรับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่มีประสิทธิผลในการป้องกันไม่ให้อาการร้ายแรงและยังป้องกันอาการต่าง ๆ เช่น เป็นไข้

หากผู้คนจำนวนมากเข้ารับวัคซีนก็จะช่วยลดจำนวนผู้ป่วยอาการรุนแรงและผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ได้ และจะช่วยบรรเทาภาระของระบบทางการแพทย์

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2564)

วัคซีนสำหรับชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่น

ชาวต่างชาติที่อาศัยในญี่ปุ่นสามารถเข้ารับวัคซีนต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่เขตเทศบาลเมืองซึ่งพวกเขาลงทะเบียนเป็นผู้อยู่อาศัย

โครงการฉีดวัคซีนของญี่ปุ่นมีกำหนดเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ การฉีดวัคซีนจะเริ่มฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ก่อน จากนั้นจะค่อย ๆ ขยายขอบเขตไปยังกลุ่มผู้สูงอายุ ตามด้วยกลุ่มผู้มีปัญหาสุขภาพเรื้อรังและอื่น ๆ โดยคาดว่าการฉีดวัคซีนให้ผู้สูงอายุจะเริ่มขึ้นในเดือนเมษายน

ส่วนสถานที่สำหรับการฉีดวัคซีนนั้น ตามหลักการแล้วจะจัดตั้งในเขตเทศบาลเมืองซึ่งเป็นสถานที่ที่ผู้คนไปลงทะเบียนเป็นผู้อยู่อาศัย

รัฐบาลญี่ปุ่นมีแผนจะส่งบัตรและเอกสารสำหรับการเข้ารับวัคซีนไปยังบ้านเรือนของผู้คน โดยการฉีดวัคซีนดังกล่าวไม่เก็บค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564)

จะสมัครโครงการเงินสนับสนุนของรัฐบาลญี่ปุ่นที่มอบให้แก่พนักงานที่จำต้องหยุดงานได้อย่างไรและจะไปยื่นเรื่องที่ใด

เราจะนำเสนอเกี่ยวกับการมอบเงินสนับสนุนของรัฐบาลญี่ปุ่นให้แก่พนักงานที่จำต้องหยุดงานเนื่องจากการระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยหัวข้อคือจะสมัครโครงการนี้ได้อย่างไรและจะไปยื่นเรื่องที่ใด

โครงการนี้มีไว้สำหรับพนักงานของบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อมที่ถูกนายจ้างสั่งให้หยุดงานเนื่องจากการระบาดใหญ่ดังกล่าว และนายจ้างไม่จ่ายเงินชดเชยตามกฎหมายกำหนด ผู้ฝึกอบรมทางเทคนิคชาวต่างชาติที่บริษัทเหล่านี้ก็มีสิทธิสมัครโครงการนี้เช่นกัน

พวกเขาจะได้รับเงินร้อยละ 80 ของค่าจ้างที่เคยได้รับก่อนหยุดงานไปในช่วงที่พวกเขาไม่สามารถทำงานได้นับตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2563 โดยเงินดังกล่าวเป็นจำนวนไม่เกิน 11,000 เยนต่อวัน โครงการนี้จะครอบคลุมช่วงเวลาที่นับจนถึงสิ้นเดือนของอีกเดือนหนึ่ง นับจากเดือนที่มีการยกเลิกประกาศภาวะฉุกเฉิน

ณ วันที่ 21 มกราคม รัฐบาลญี่ปุ่นได้รับการยื่นสมัครเกือบ 810,000 ชุด และได้ตัดสินใจจ่ายเงินช่วยเหลือให้แล้วทั้งสิ้นกว่า 63,600 ล้านเยน ทั้งพนักงานและบริษัทสามารถสมัครขอรับความช่วยเหลือได้ผ่านทางจดหมายหรือทางออนไลน์

เว็บไซต์กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นมีข้อมูลการสมัครเป็นภาษาญี่ปุ่น อังกฤษ โปรตุเกส สเปน และจีน ขณะที่เว็บไซต์ขององค์กรผู้ฝึกงานด้านเทคนิคสำหรับชาวต่างชาติ หรือ OTIT ได้จัดทำข้อมูลเป็นภาษาจีน เวียดนาม ตากาล็อก อินโดนีเซีย อังกฤษ กัมพูชา พม่า และภาษาไทย

กระทรวงแรงงานของญี่ปุ่นมีบริการทางโทรศัพท์เพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับโครงการนี้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย แต่ให้บริการเป็นภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น หมายเลขโทรศัพท์คือ 0120-221-276 ให้บริการตั้งแต่เวลา 8.30 น. ถึง 20.00 น. ในวันจันทร์ถึงวันศุกร์ และเวลา 8.30 น. ถึง 17.15 น. ในวันหยุดสุดสัปดาห์และวันหยุดราชการ

เว็บไซต์กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่น
https://www.mhlw.go.jp/stf/kyugyoshienkin.html#otoiawasesaki
*ท่านจะออกจากเว็บไซต์ของ NHK WORLD-JAPAN
เว็บไซต์ขององค์กรผู้ฝึกงานด้านเทคนิคสำหรับชาวต่างชาติ หรือ OTIT
https://www.otit.go.jp/CoV2_jissyu_seikatsu/
*ท่านจะออกจากเว็บไซต์ของ NHK WORLD-JAPAN
(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 29 มกราคม 2564)

เงินสนับสนุนของรัฐบาลญี่ปุ่นที่มอบให้แก่พนักงานที่จำต้องหยุดงานเนื่องจากการระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นระบุว่า ผู้คนที่ต้องหยุดงานเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ และผู้ที่นายจ้างไม่จ่ายเงินชดเชยตามที่กฎหมายกำหนด มีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือนี้ไปจนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ เจ้าหน้าที่ระบุว่าขณะนี้โครงการสนับสนุนดังกล่าวขยายเวลาไปจนถึงสิ้นเดือนของอีกเดือนหนึ่ง นับจากเดือนที่มีการยกเลิกภาวะฉุกเฉิน

กฎหมายมาตรฐานด้านแรงงานของญี่ปุ่นกำหนดเงื่อนไขไว้ว่า บริษัททั้งหลายควรจ่ายเงินอย่างน้อยร้อยละ 60 ของค่าจ้าง เมื่อมีการแจ้งให้พนักงานของตนหยุดงานเนื่องด้วยเหตุผลของบริษัทเอง อย่างไรก็ตาม บางบริษัทจะไม่จ่ายเงินดังกล่าวโดยอ้างว่ากิจการมีปัญหารวมถึงเหตุผลอื่น ๆ ทางกระทรวงเรียกร้องให้บรรดาพนักงานยื่นเรื่องขอรับความช่วยเหลือจากโครงการนี้ หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น

โครงการดังกล่าวมีไว้สำหรับพนักงานที่ทำงานในบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งจำต้องหยุดงานไปในช่วงที่นับตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2563 พนักงานเหล่านี้จะได้รับเงินร้อยละ 80 ของค่าจ้างที่เคยได้รับก่อนที่จะหยุดงาน ทั้งนี้เงินดังกล่าวเป็นจำนวนไม่เกิน 11,000 เยนต่อวัน

ทั้งพนักงานและบริษัทสามารถสมัครขอรับความช่วยเหลือนี้ได้ เจ้าหน้าที่ของกระทรวงสนับสนุนให้พนักงานยื่นเรื่องสมัคร แม้ว่านายจ้างจะไม่ให้ความร่วมมือก็ตาม

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 28 มกราคม 2564)

วัคซีนของบริษัทไฟเซอร์สามารถใช้กับเด็กอายุไม่ถึง 16 ปีได้หรือไม่

คุณเคท โอไบรเอน ผู้อำนวยการฝ่ายการสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน วัคซีน และชีววัตถุขององค์การอนามัยโลก ได้ให้ความเห็นภายในการแถลงข่าวทางออนไลน์เมื่อวันที่ 7 มกราคม

เธอกล่าวว่าโดยทั่วไปแล้ว คณะกรรมการที่ปรึกษาขององค์การอนามัยโลกไม่แนะนำให้ใช้วัคซีนนี้กับเด็กอายุไม่ถึง 16 ปี เนื่องจากองค์การอนามัยโลกไม่มีข้อมูล

เธอกล่าวว่าการทดสอบทางคลินิกจนถึงขณะนี้ไม่รวมบุคคลอายุต่ำกว่า 16 ปี แต่ขณะนี้กำลังมีการวิจัยเพื่อหาว่าวัคซีนนี้ใช้ได้ผลมากเท่าใดในเด็กอายุ 12-16 ปี ดังนั้นก็จะมีข้อมูลมากขึ้นในอนาคต

เธอกล่าวว่าบุคคลที่มีหน้าที่รับผิดชอบการให้วัคซีนอาจปรึกษากับสมาชิกครอบครัวของเด็ก และตัดสินใจฉีดวัคซีนในเด็กที่มีโรคประจำตัวร้ายแรง หรือมีความเสี่ยงเกิดผลร้ายที่รุนแรงหากติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ อย่างไรก็ตามเธอเน้นย้ำว่าโดยทั่วไปแล้ว องค์การอนามัยโลกไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีนนี้ในเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 27 มกราคม 2564)

วัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จะมีระยะเวลาคุ้มครองนานเท่าใด

คุณเคท โอไบรเอน ผู้อำนวยการฝ่ายการสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน วัคซีน และชีววัตถุขององค์การอนามัยโลก ได้ให้ความเห็นภายในการแถลงข่าวทางออนไลน์เมื่อวันที่ 7 มกราคม

เธอกล่าวว่าการทดสอบทางคลินิกเพิ่งจะเริ่มขึ้นเมื่อครึ่งแรกของปีที่แล้ว และขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างช่วงเวลาเริ่มใช้วัคซีน เธอกล่าวว่าการจะทราบว่าระยะเวลาคุ้มครองยาวนานแค่ไหนนั้นต้องศึกษาจากการติดตามผู้คนในการทดลองทางคลินิก ดังนั้นองค์การอนามัยโลกจึงยังไม่ทราบคำตอบในขณะนี้

อย่างไรก็ตาม คุณโอไบรเอนกล่าวว่าองค์การอนามัยโลกหวังว่าการคุ้มครองจากวัคซีนจะมีผลต่อเนื่องยาวนาน เธอชี้ว่าองค์การอนามัยโลกยังกำลังสังเกตผู้คนที่ติดโรคโควิด-19 ตามธรรมชาติ ซี่งจะบ่งชี้ได้ในบางส่วนว่าการคุ้มครองจากภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติมีระยะเวลานานเท่าใด และความรู้นี้อาจนำมาปรับใช้เกี่ยวกับภูมิคุ้มกันจากวัคซีนได้ แต่เธอเน้นย้ำว่าขณะนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะกล่าวได้ว่าการคุ้มครองจากภูมิคุ้มกันจะมีผลต่อเนื่องนานเท่าใด

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 26 มกราคม 2564)

สามารถรับวัคซีนต่างชนิดกันระหว่างการฉีดวัคซีนครั้งแรกกับครั้งที่ 2 ได้หรือไม่

คุณเคท โอไบรเอน ผู้อำนวยการฝ่ายการสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน วัคซีน และชีววัตถุขององค์การอนามัยโลก ได้ให้ความเห็นภายในการแถลงข่าวทางออนไลน์เมื่อวันที่ 7 มกราคม

เธอกล่าวว่าในบางประเทศกำลังมีการใช้วัคซีนมากกว่า 1 ชนิด เธอยอมรับว่าองค์การอนามัยโลกไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการใช้วัคซีนต่างชนิดผสมกัน แต่เธอยกตัวอย่างว่าหากบุคคลใดรับวัคซีนครั้งแรกโดยใช้วัคซีนของไฟเซอร์ ก็ควรใช้วัคซีนชนิดเดียวกันในการรับวัคซีนครั้งที่ 2 ด้วย เธอกล่าวว่าองค์การอนามัยโลกทราบว่าในบางประเทศกำลังมีการใช้วัคซีนต่างชนิดกันระหว่างการฉีดวัคซีนครั้งแรกและครั้งที่ 2 และประเด็นนี้ถือเป็นประเด็นวิจัยสำคัญ ซึ่งองค์การอนามัยโลกจะให้ความสำคัญเป็นพิเศษต่อการวิจัยในด้านนี้ เพื่อที่จะสามารถให้คำแนะนำได้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 25 มกราคม 2564)

การขยายเวลากำหนดเส้นตายของการสมัครรับเงินสนับสนุนในโครงการของรัฐบาลญี่ปุ่นสำหรับบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม

ครั้งนี้เรานำเสนอเรื่องโครงการของรัฐบาลญี่ปุ่นที่จะมอบเงินสนับสนุนเพื่อช่วยเหลือบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อมให้ดำเนินกิจการต่อไปและจ่ายค่าเช่าได้ ท่ามกลางการระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

เมื่อวันที่ 15 มกราคม กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นระบุว่า จะเปิดทางให้บริษัททั้งหลายยื่นคำร้องขอรับเงินสนับสนุนดังกล่าวไปจนถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ถ้าพวกเขาแจ้งความประสงค์ที่จะสมัครขอรับความช่วยเหลือภายในสิ้นเดือนมกราคม เดิมกำหนดเส้นตายของการยื่นคำร้องนี้คือวันที่ 15 มกราคม

“โครงการเงินสนับสนุนเพื่อให้ดำเนินธุรกิจต่อไปได้” ของรัฐบาลญี่ปุ่น จะมอบเงินช่วยเหลือมากสูงสุดถึง 2,000,000 เยนให้แก่บริษัทขนาดกลางและขนาดย่อมที่รายได้ลดลงอย่างมากเนื่องจากการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ขณะที่ “โครงการเงินสนับสนุนเพื่อช่วยเหลือค่าเช่าให้แก่ธุรกิจ” จะมอบเงินเพื่อช่วยให้บริษัทและร้านต่าง ๆ นำไปจ่ายค่าเช่า

ทางกระทรวงระบุว่านี่ไม่ใช่การต่อเวลาของตัวโครงการเงินอุดหนุน แต่ทางกระทรวงได้ตัดสินใจที่จะขยายเวลาการรับสมัครไปจนถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ โดยคำนึงถึงว่าบริษัททั้งหลายอาจจะเผชิญอุปสรรคในการเตรียมเอกสารที่จำเป็น เนื่องจากการประกาศภาวะฉุกเฉินครั้งที่ 2

ทั้งนี้ ภายในวันที่ 31 มกราคม ทางบริษัทต้องแจ้งความประสงค์ที่จะขอรับเงินสนับสนุนเข้ามาก่อน โดยสรุปเหตุผลชี้แจงสำหรับการยื่นคำร้องในช่วงเวลาที่ขยายดังกล่าว

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 22 มกราคม 2564)

ผู้คนที่หายจากโรคโควิด-19 แล้ว ควรไปรับวัคซีนหรือไม่

ที่การแถลงข่าวทางออนไลน์เมื่อวันที่ 7 มกราคม คุณอะเลฮันโดร คราวิโอโต หัวหน้าคณะทำงานประจำคณะที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์ที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันขององค์การอนามัยโลก ได้ให้คำตอบในเรื่องนี้

เขากล่าวว่าข้อแนะนำสำคัญข้อหนึ่งขององค์การอนามัยโลก คือเรื่องที่ว่าไม่ควรกีดกันผู้คนที่เคยป่วยเป็นโรคโควิด-19 ซึ่งผ่านการวินิจฉัยโรคด้วยการตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัส หรือพีซีอาร์ หรือด้วยการตรวจหาสารก่อภูมิต้านทาน หรือแอนติเจน ไม่ให้รับวัคซีน

คุณคราวิโอโตชี้ว่ายังไม่เป็นที่ทราบว่าภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติสามารถช่วยคุ้มครองไม่ให้ติดเชื้ออีกครั้งได้นานแค่ไหน เขากล่าวว่ารายงานวิจัยฉบับหนึ่งที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 6 มกราคมชี้ว่าการคุ้มครองดังกล่าวมีระยะเวลาสูงสุด 8 เดือน แต่ข้อมูลเช่นนี้ไม่เพียงพอที่จะเป็นเหตุผลกีดกันบุคคลเหล่านี้ไม่ให้รับวัคซีนได้

คุณคราวิโอโตกล่าวเสริมว่า ในทางกลับกัน หากว่าผู้ที่เคยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ต้องการรออีกสักพักเพื่อให้คนอื่น ๆ ที่มีความเสี่ยงได้มีโอกาสได้รับวัคซีนก่อน ก็ถือว่าเป็นการตัดสินใจส่วนบุคคล

ด้านคุณเคท โอไบรเอน ผู้อำนวยการฝ่ายการสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน วัคซีน และชีววัตถุขององค์การอนามัยโลก ได้ให้ความเห็นในการแถลงข่าวนี้เช่นกัน

เธอกล่าวว่าการให้วัคซีนในโลกเพิ่งจะเริ่มขึ้น และทุกประเทศต่างพยายามใช้วัคซีนนี้กับบุคคลที่มีลำดับความสำคัญสูงสุด ทั้งนี้มีความเป็นไปได้ต่ำที่บุคคลที่เคยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จะติดเชื้อนี้ซ้ำอีกในช่วงเวลา 6 เดือน แต่เธอกล่าวว่าองค์การอนามัยโลกไม่ได้เสนอให้กีดกันผู้ที่เคยเป็นโรคโควิด-19 ไม่ให้รับวัคซีนนี้ และไม่ได้เสนอให้เลื่อนเวลาให้วัคซีนแก่บุคคลเหล่านี้ออกไป

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 21 มกราคม 2564)

ผู้ที่มีโรคประจำตัวควรไปรับวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่หรือไม่

ที่การแถลงข่าวทางออนไลน์เมื่อวันที่ 7 มกราคม คุณอะเลฮันโดร คราวิโอโต หัวหน้าคณะทำงานประจำคณะที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์ที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันขององค์การอนามัยโลก ได้ให้คำตอบในเรื่องนี้

คุณคราวิโอโตกล่าวว่าการที่บุคคลควรรับวัคซีนหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่ามีโรคประจำตัวอะไร เขากล่าวว่าเป็นเรื่องชัดเจนว่าหากบุคคลใดมีอาการแพ้วัคซีนอื่นอย่างรุนแรง บุคคลนั้นก็ไม่ควรรับวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม หากว่ามีเพียงอาการแพ้อาหารหรือผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงไม่รับวัคซีน นอกจากนี้เขายังเสริมว่าควรรับวัคซีนในสถานที่ที่สามารถให้การพยาบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพและโดยทันทีหากเกิดอาการแพ้แบบรุนแรง

ด้านคุณเคท โอไบรเอน ผู้อำนวยการฝ่ายการสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน วัคซีน และชีววัตถุขององค์การอนามัยโลก ได้ให้ความเห็นภายในการแถลงข่าวนี้เช่นกัน

เธอกล่าวว่าผู้คนที่มีโรคประจำตัว โรคหัวใจ โรคปอด โรคเบาหวาน หรือโรคอ้วน ถือเป็นบุคคลที่มีความเสี่ยงสูงว่าอาจเกิดอาการรุนแรงหากติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เธอกล่าวว่าที่จริงแล้ว กลุ่มคนที่มีโรคประจำตัว คือกลุ่มคนที่อยากให้ไปรับวัคซีน

คุณโอไบรเอนกล่าวว่ายังไม่มีข้อมูลว่าการรับวัคซีนเป็นที่น่ากังวลสำหรับสตรีที่กำลังตั้งครรภ์หรือไม่ อย่างไรก็ตามเธอเน้นว่าไม่มีเหตุผลใดที่ควรเชื่อว่าวัคซีนนี้จะก่อให้เกิดผลเสียต่อสตรีมีครรภ์ หรือต่อทารกในครรภ์ เธอกล่าวว่าสตรีมีครรภ์ซึ่งอยู่ในกลุ่มคนที่แนะนำอย่างสูงสุดให้ไปรับวัคซีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคลากรทางการแพทย์ ควรปรึกษากับผู้ให้วัคซีนว่าตนมีความเสี่ยงเกี่ยวกับการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่อย่างไร และหากว่าความเสี่ยงนี้มีมาก ก็สามารถเดินหน้ารับวัคซีนได้

เธอกล่าวว่าผู้คนที่ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี รวมถึงคนที่มีโรคประจำตัวซึ่งเสี่ยงที่จะเกิดอาการรุนแรงหากติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ก็ควรไปรับวัคซีนเช่นกัน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 20 มกราคม 2564)

การฉีดวัคซีนใช้ได้ผลกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์หรือไม่

เราจะนำเสนอเกี่ยวกับมุมมองขององค์การอนามัยโลกที่มีต่อการฉีดวัคซีน คำถามคือการฉีดวัคซีนใช้ได้ผลกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์หรือไม่

ปัจจุบันโลกกำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์ ดร. เคท โอไบรเอน ผู้อำนวยการฝ่ายการสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน วัคซีน และชีววัตถุขององค์การอนามัยโลก กล่าวในการแถลงข่าวทางออนไลน์เมื่อวันที่ 7 มกราคมว่า เมื่อตอนที่วัคซีนต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้รับการพัฒนาและทดสอบนั้น มีการประเมินผลของวัคซีนดังกล่าวกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่หลากหลายสายพันธุ์

เธอกล่าวว่าไวรัสเปลี่ยนไปตลอดและนี่เป็นเรื่องธรรมดาของไวรัส เธอระบุว่าสิ่งสำคัญก็คือไวรัสนี้เปลี่ยนไปในแนวทางที่ส่งผลกระทบต่อโรคหรือกระทบต่อการรักษาหรือไม่ และต้องดูว่ามีผลกระทบต่อวัคซีนหรือไม่

ดร.เคท โอไบรเอนกล่าวว่าที่ผ่านมาเราได้รับทราบเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์ 2 ชนิดที่กังวลกันว่าจะติดต่อกันทั่วโลก และว่าการประเมินว่าวัคซีนที่มีอยู่จะได้ผลหรือไม่นั้น กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการ

อย่างไรก็ตาม เธอกล่าวว่าสิ่งที่สามารถกล่าวได้อย่างมั่นใจมากก็คือเราต้องดำเนินการเรื่องการฉีดวัคซีนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และว่าลักษณะของการเปลี่ยนแปลงที่พบเห็นในไวรัสชนิดกลายพันธุ์เหล่านี้ ไม่น่าจะทำให้ผลของวัคซีนเปลี่ยนไป

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 19 มกราคม 2564)

ภาพรวมในระดับโลกเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบันเป็นอย่างไร

เราจะนำเสนอเกี่ยวกับมุมมองขององค์การอนามัยโลกที่มีต่อการฉีดวัคซีน เนื่องจากการฉีดวัคซีนต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้เริ่มขึ้นทั่วโลก คำถามคือภาพรวมในระดับโลกเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบันเป็นอย่างไร

ดร. เคท โอไบรเอน ผู้อำนวยการฝ่ายการสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน วัคซีน และชีววัตถุขององค์การอนามัยโลก กล่าวในการแถลงข่าวทางออนไลน์เมื่อวันที่ 7 มกราคมว่า “สถานการณ์เปลี่ยนไปในแต่ละวัน ตอนนี้เราอยู่ในสถานการณ์ที่มีวัคซีนจำนวนมากที่แสดงให้เห็นแล้วว่าใช้งานได้จริง”

เธอกล่าวว่า “วัคซีนเหล่านี้บางส่วนได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการในหลายประเทศ” และว่า “ขณะนี้กำลังมีการฉีดวัคซีนโดยเฉพาะในประเทศที่มีรายได้สูง” และคาดว่าในกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางหรือรายได้ต่ำจะมีการฉีดวัคซีนในเร็ว ๆ นี้ด้วย

ดร.โอไบรเอนกล่าวว่ามีวัคซีนอย่างน้อย 3 ชนิดที่ได้รับการประเมินจากผู้กำกับดูแลซึ่งมีมาตรฐานสูงที่สุดในด้านการพิจารณาข้อมูลของวัคซีน และว่าบรรดาผู้กำกับดูแลเหล่านี้ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัย ประสิทธิผล และคุณภาพในการผลิต เธอกล่าวว่ามีวัคซีน 3 ชนิดที่ได้รับการพัฒนาโดยบริษัทแอสตราเซเนกา, โมเดอร์นา และไฟเซอร์ ซึ่งได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานอย่างน้อย 1 แห่งที่มีมาตรฐานสูงสุด

ดร. โอไบรเอนกล่าวว่า นอกจากนี้ก็ยังมีวัคซีนที่ได้เปิดเผยผลการทดสอบประสิทธิภาพให้สาธารณชนรับทราบแล้ว และวัคซีนเหล่านี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบข้อมูลอยู่ เธออธิบายว่ามีวัคซีนจากประเทศจีน เช่น ซิโนฟาร์มและซิโนแวค และวัคซีนของรัสเซียที่พัฒนาโดยสถาบันกามาเลยา

ดร.โอไบรเอนกล่าวว่าเธอคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือ “มีวัคซีนจำนวนมากที่ผ่านการทดสอบทางคลินิกกับมนุษย์ออกมาเรื่อย ๆ และเราจะต้องติดตามความเป็นไปในช่วงหลายสัปดาห์และหลายเดือนต่อจากนี้”

เธอกล่าวว่าผู้กำกับดูแลจะ “ตรวจสอบว่าข้อมูลเหล่านั้นเพียงพอสำหรับการอนุญาตให้ใช้งานวัคซีนดังกล่าวอย่างเป็นทางการกับประชาชนทั่วไปหรือไม่”

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 18 มกราคม 2564)

รัฐบาลญี่ปุ่นระบุว่าภาวะฉุกเฉินจะบังคับใช้ไปจนถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ หลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น

โอมิ ชิเงรุ หัวหน้าคณะที่ปรึกษาด้านการรับมือไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของรัฐบาลญี่ปุ่น ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ในการประชุมของคณะกรรมาธิการกิจการคณะรัฐมนตรีประจำวุฒิสภา เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม เขากล่าวว่าถ้าจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงตามที่คาดไว้ในช่วงเวลาที่นับจนถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ การดำเนินมาตรการภายใต้ภาวะฉุกเฉินก็สามารถผ่อนคลายทีละน้อยได้ ทว่า ถ้าจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังคงทรงตัวหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อย หรือลดลงช้ามาก ก็จะหมายความว่ามาตรการภาวะฉุกเฉินในปัจจุบันยังไม่เพียงพอและควรดำเนินมาตรการต่อต้านการติดเชื้อที่เข้มงวดมากขึ้น

เขากล่าวว่าคณะผู้เชี่ยวชาญจะเฝ้าติดตามสถานการณ์การติดเชื้อเพื่อประเมินประสิทธิภาพของมาตรการที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน และว่าอาจใช้การประเมินดังกล่าวเพื่อตัดสินใจว่าต้องใช้มาตรการชนิดใดที่เข้มงวดมากขึ้น เขากล่าวว่าการขอให้ธุรกิจทั้งหลายระงับการดำเนินงานชั่วคราวอาจเป็นทางเลือกหนึ่งที่เป็นไปได้ และว่าขณะที่มีการวิเคราะห์สถานการณ์การติดเชื้อ คณะที่ปรึกษาก็จะจำลองสถานการณ์ที่ว่าภาวะฉุกเฉินในปัจจุบันไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ตามที่คาดไว้ และจะหารือมาตรการเพิ่มเติมที่อาจจำเป็นต้องใช้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 15 มกราคม 2564)

เราควรทำอย่างไรเกี่ยวกับการเข้ารับวัคซีนตามกำหนดและการไปตรวจสุขภาพในช่วงที่มีการประกาศภาวะฉุกเฉิน

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่น เตือนที่เว็บไซต์ของกระทรวงและช่องทางอื่น ๆ ว่า ถ้าผู้คนงดเว้นไม่ยอมไปสถาบันทางการแพทย์มากเกินเหตุ ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงด้านสุขภาพ โดยเฉพาะกรณีที่ไม่สามารถฉีดวัคซีนให้แก่ทารกหรือเด็กเล็กตามอายุที่กฎหมายกำหนดไว้ ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเป็นโรคติดเชื้อรุนแรง

นอกจากนี้ ทางกระทรวงยังเรียกร้องให้พ่อแม่พาลูกไปตรวจสุขภาพตามกำหนด เนื่องจากเป็นโอกาสอันดีที่จะได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการเติบโตและพัฒนาการของลูก และยังแนะนำว่าผู้คนควรไปตรวจหามะเร็งตามกำหนดเหมาะสม เนื่องจากมะเร็งอาจไม่แสดงอาการในระยะแรกเริ่ม

ทางกระทรวงระบุว่าสถาบันทางการแพทย์และสถานที่ตรวจสุขภาพดำเนินมาตรการต่อต้านการติดเชื้ออย่างเต็มที่ ทั้งการฆ่าเชื้อโรคและการระบายอากาศ ดังนั้น จึงแนะนำให้ผู้คนเข้ารับความช่วยเหลือด้านการแพทย์ตามความเหมาะสมในการขอคำปรึกษากับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญอื่น ๆ แม้ว่าการระบาดใหญ่ยังคงดำเนินอยู่ก็ตาม แทนที่จะงดเว้นจากการใช้บริการนี้ตามการตัดสินใจของตนเอง

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 14 มกราคม 2564)

มีรายงานข่าวว่าจำนวนของผู้คนที่ออกไปข้างนอกไม่ได้ลดลงมากเท่ากับตอนที่มีการประกาศภาวะฉุกเฉินครั้งแรก สาเหตุของเรื่องนี้คืออะไร

วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคมคือวันอาทิตย์แรกนับตั้งแต่ที่มีการประกาศภาวะฉุกเฉินครั้งที่ 2 ข้อมูลมหัตหรือ Big data แสดงให้เห็นว่าจำนวนของผู้คนที่ไปยังย่านการค้าหลัก ๆ ของกรุงโตเกียวในตอนกลางคืนนั้นลดลงเมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม แต่ถือเป็นจำนวนที่สูงกว่าช่วงที่มีการประกาศภาวะฉุกเฉินเมื่อปีที่แล้วเป็นอย่างมาก

ศาสตราจารย์วาดะ โคจิ ผู้เชี่ยวชาญด้านอนามัยชุมชนจากมหาวิทยาลัยนานาชาติด้านสุขภาพและสวัสดิการ กล่าวว่าโอกาสในการมีปฏิสัมพันธ์ของผู้คนต้องลดลงเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสนี้ แต่ดูเหมือนว่าประชาชนตีความเนื้อหาจากการประกาศภาวะฉุกเฉินในปัจจุบันว่าเป็นการขอให้ผู้คนงดเว้นจากการออกไปข้างนอกหลัง 20.00 น.

ศาสตราจารย์วาดะกล่าวว่ามีความเป็นไปได้ที่จะขยายเวลาภาวะฉุกเฉินออกไป หากการเดินทางของผู้คนหรือโอกาสในการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันยังคงไม่ลดลงไป และว่าการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนนั้นเป็นเรื่องสำคัญ เช่น การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คนควรลดลงมากเท่าไหร่

ศาสตราจารย์วาดะกล่าวว่ารัฐบาลญี่ปุ่นและทางการท้องถิ่นควรเฝ้าติดตามสถานการณ์นี้ประมาณ 2-3 สัปดาห์และจากนั้นก็ประเมินสถานการณ์ดังกล่าว ถ้าไม่อาจควบคุมการติดเชื้อได้ ก็ควรอธิบายว่าจะโน้มน้าวให้ประชาชนเข้าใจถึงความจำเป็นที่จะต้องทำเพื่อลดการมีปฏิสัมพันธ์ เขาเชื่อว่าผู้คนจำนวนมากได้ปฏิบัติขั้นตอนทั้งหลายเพื่อป้องกันการติดเชื้อแล้ว แต่การที่จะทำให้ประกาศภาวะฉุกเฉินครั้งล่าสุดดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ทุก ๆ คนต้องนึกถึงช่วงที่มีการประกาศภาวะฉุกเฉินเมื่อปีที่แล้วและทบทวนการกระทำของตน

การที่มีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่รายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างมากในญี่ปุ่นเมื่อไม่นานมานี้มีสาเหตุจากอะไร

ศาสตราจารย์โอชิตานิ ฮิโตชิจากมหาวิทยาลัยโทโฮกุ ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกของคณะผู้เชี่ยวชาญซึ่งเป็นที่ปรึกษาของรัฐบาลญี่ปุ่น ได้กล่าวในการแถลงข่าวเมื่อวันศุกร์ที่ 8 มกราคมว่า การที่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเร็ว ๆ นี้ เป็นสิ่งที่ผิดปกติมากและว่าคณะผู้เชี่ยวชาญต้องวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียดเพื่อตรวจสอบว่าอะไรที่ทำให้จำนวนดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ยกตัวอย่างเช่น เมื่อวันที่ 7 และวันที่ 8 มกราคม จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในกรุงโตเกียวมีมากกว่า 2,000 คน

ศาสตราจารย์โอชิตานิกล่าวว่าจำนวนผู้ติดเชื้อเมื่อไม่นานมานี้ เช่น จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในกรุงโตเกียวที่จู่ ๆ ก็เพิ่มจำนวนขึ้นมากเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ถือเป็นเรื่องที่ผิดปกติไปจากหลักการด้านระบาดวิทยา เขากล่าวว่าการที่ผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อวันในกรุงโตเกียวที่เคยมีไม่ถึง 1,000 คนเมื่อช่วงปลายเดือนธันวาคม ได้พุ่งพรวดมาอยู่ที่กว่า 2,000 คนในช่วงประมาณ 10 วันนั้น ถือเป็นเรื่องที่ผิดปกติมาก

กรณีของผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เป็นกลุ่มคนวัยหนุ่มสาวอายุระหว่าง 18 ถึง 39 ปีกำลังเพิ่มมากขึ้นไม่เพียงแค่กรุงโตเกียวเท่านั้นแต่ยังรวมถึงในจังหวัดโอซากาด้วย

ศาสตราจารย์โอชิตานิกล่าวว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้คนจำนวนมากออกมาข้างนอกในช่วงวันหยุดยาวสิ้นปีและวันปีใหม่ และว่าผลการตรวจหาเชื้อซึ่งได้ดำเนินการไปในช่วงวันหยุดยาวนั้น พอพ้นช่วงวันหยุดไปจึงมีรายงานออกมาเป็นจำนวนมาก เขายังได้กล่าวถึงอีกเหตุผลหนึ่งโดยระบุว่า กลุ่มคนหนุ่มสาวซึ่งก่อนหน้านี้ไม่ค่อยเต็มใจที่จะเข้ารับการตรวจหาเชื้อ ได้มาเข้ารับการตรวจหาเชื้อหลังจากมีรายงานว่าสมาชิกรัฐสภาคนหนึ่งเสียชีวิตในช่วงสิ้นปี รวมถึงเรื่องที่ผู้ติดเชื้อซึ่งรักษาตัวอยู่ที่บ้านเสียชีวิตหลายคน

ศาสตราจารย์โอชิตานิสรุปว่าคณะผู้เชี่ยวชาญต้องตรวจสอบเบื้องหลังกรณีที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นและวิเคราะห์สาเหตุดังกล่าว

มาตรการในการประกาศภาวะฉุกเฉินครั้งใหม่นี้ ที่เน้นการเรียกร้องให้ร้านอาหารและบาร์ร่นเวลาปิดร้านให้เร็วขึ้น จะมีประสิทธิภาพมากแค่ไหน

หนึ่งในจุดที่เป็นข้อถกเถียงคือจะทำเช่นไรเพื่อให้ข้อเรียกร้องของบรรดาผู้ว่าการจังหวัดที่มีต่อร้านอาหารหรือบาร์มีผลในทางปฏิบัติได้จริง

รัฐบาลญี่ปุ่นมีแผนจะเปิดทางให้สามารถเปิดเผยรายชื่อธุรกิจที่ไม่ปฏิบัติตามคำเรียกร้อง รวมทั้งเพิ่มการสนับสนุนทางการเงินต่อบรรดาธุรกิจที่ปฏิบัติตาม

ทั้งนี้ญี่ปุ่นมีแผนแก้ไขกฎหมายว่าด้วยมาตรการพิเศษ ซึ่งรวมถึงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินต่อธุรกิจต่าง ๆ ที่ทำตามคำเรียกร้อง ตลอดจนการกำหนดบทลงโทษสำหรับธุรกิจที่ปฏิเสธไม่ทำตามคำเรียกร้อง เจ้าหน้าที่หวังจะให้การทบทวนแก้ไขกฎหมายนี้ผ่านการพิจารณาได้โดยเร็วในการประชุมรัฐสภาสมัยสามัญที่จะเรียกประชุมในเดือนมกราคม

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 8 มกราคม 2564)

การลดความเสี่ยงของการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ตามร้านอาหารและบาร์

คณะผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของรัฐบาลญี่ปุ่นได้รวบรวมข้อเสนอกรณีฉุกเฉินเมื่อช่วงต้นเดือนมกราคม โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องลดความเสี่ยงของการติดเชื้อตามร้านอาหารและบาร์

คณะผู้เชี่ยวชาญดังกล่าวจัดทำข้อเสนอโดยอิงจากรายงานที่เผยแพร่โดยคณะนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดและอื่น ๆ ในวารสารวิทยาศาสตร์ชื่อ Nature เมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2563

คณะนักวิทยาศาสตร์ได้ใช้ตัวแบบทางคณิตศาสตร์ โดยได้ประเมินข้อมูลโทรศัพท์มือถือที่รวบรวมมาจากผู้คนราว 98 ล้านคนในเมืองใหญ่แห่งต่าง ๆ ของสหรัฐ ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงพฤษภาคมปี 2563 โดยมีจุดประสงค์เพื่อตรวจสอบว่าไวรัสนี้มีแนวโน้มอย่างมากในการแพร่ระบาดตามสถานที่แห่งใด

คณะนักวิทยาศาสตร์ตรวจสอบว่าร้านใดที่มีความเสี่ยงสูงกว่าเมื่อกลับมาเปิดทำการอีกครั้งหลังจากปิดไปชั่วคราว โดยพบว่าสถานที่ที่มีความเสี่ยงสูงสุดคือร้านอาหารที่เปิดให้บริการเต็มที่ ตามมาด้วยสถานที่ออกกำลังกาย ร้านกาแฟ และโรงแรม

พวกเขาระบุว่าเมื่อเปรียบเทียบกับสถานที่อื่น ๆ แล้วนั้น ร้านอาหารมีความเสี่ยงสูงกว่าเนื่องจากเป็นสถานที่รองรับลูกค้าจำนวนมากซึ่งมีแนวโน้มที่จะอยู่ในร้านเป็นเวลานาน

พวกเขายังได้แนะนำในรายงาน เกี่ยวกับวิธีที่ร้านอาหารสามารถปรับปรุงภาวะแวดล้อมเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสเมื่อกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง โดยระบุว่าร้านอาหารและร้านอื่น ๆ สามารถลดกรณีการติดเชื้อลงได้ร้อยละ 80 ด้วยการจำกัดจำนวนลูกค้าที่จะเข้ามาใช้บริการให้อยู่ที่ร้อยละ 20 ของความสามารถที่รองรับได้ และว่าการจำกัดจำนวนของผู้คนในร้านได้ผลมากกว่า

คณะผู้เชี่ยวชาญของรัฐบาลญี่ปุ่นระบุว่า เมื่ออิงจากรายงานดังกล่าวตลอดจนการประเมินเรื่องการติดเชื้อแบบเป็นกลุ่มที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นแล้วนั้น จึงสามารถสรุปได้ว่าบาร์และร้านอาหารคือพื้นที่สำคัญที่รัฐบาลควรมุ่งเน้นเรื่องการดำเนินมาตรการป้องกันไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

ภาวะฉุกเฉินจะส่งผลกระทบต่อโรงเรียนและการสอบอย่างไรบ้าง

รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศภาวะฉุกเฉินสำหรับกรุงโตเกียวและจังหวัดอื่น ๆ ในช่วงเวลาที่นักเรียนนักศึกษาเปิดเรียนหลังจากวันหยุดยาวฤดูหนาว และเป็นช่วงเริ่มต้นฤดูกาลสอบเข้าโรงเรียนและมหาวิทยาลัย

นายฮางิอูดะ โคอิจิ รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ วัฒนธรรม กีฬา วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีของญี่ปุ่น ได้แถลงข่าวเมื่อวันอังคารที่ 5 มกราคม ก่อนการประกาศภาวะฉุกเฉิน เพื่ออธิบายเกี่ยวกับการดำเนินมาตรการต่าง ๆ

นายฮางิอูดะกล่าวว่าทางกระทรวงไม่ได้พิจารณาที่จะขอให้มีการปิดโรงเรียนประถม มัธยมต้น และมัธยมปลายอย่างครอบคลุมทั้งหมด เพราะว่าอัตราการติดเชื้อและกรณีผู้ป่วยอาการรุนแรงในกลุ่มเด็กนักเรียนนั้นยังคงต่ำอยู่นับจนถึงปัจจุบัน รวมถึงยังไม่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดจากโรงเรียนไปสู่ชุมชนแห่งต่าง ๆ เขากล่าวว่าควรหลีกเลี่ยงการปิดโรงเรียนโดยพิจารณาจากผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อการศึกษา ตลอดจนสุขภาพกายและใจของเด็กนักเรียน

สำหรับมหาวิทยาลัยนั้น นายฮางิอูดะได้ขอให้มีการจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสานระหว่างการสอนตามปกติกับแบบออนไลน์

ทว่าเขาได้ขอให้ยกระดับมาตรการต่าง ๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อในกิจกรรมชมรมของโรงเรียน โดยขอให้บรรดาโรงเรียนโดยเฉพาะโรงเรียนมัธยมปลาย พิจารณาการจำกัดกิจกรรมชมรมเป็นการชั่วคราว เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการแพร่ระบาด

นายฮางิอูดะกล่าวว่าการสอบรวมทั่วประเทศสำหรับเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยจะเริ่มขึ้นในวันที่ 16 มกราคมตามกำหนดการที่วางไว้ โดยจะดำเนินมาตรการอย่างถี่ถ้วนเพื่อป้องกันการติดเชื้อ มีผู้คนกว่า 530,000 คนทั่วญี่ปุ่นที่คาดว่าจะเข้าร่วมการสอบครั้งนี้

นายฮางิอูดะยังได้เรียกร้องให้คณะกรรมการการศึกษาในท้องถิ่นเดินหน้าจัดการสอบสำหรับโรงเรียนประถม มัธยมต้น และมัธยมปลายตามแผนที่วางไว้ด้วย

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 6 มกราคม 2564)

การประกาศภาวะฉุกเฉินครั้งแรกได้ผลเพียงใด

เมื่อวันที่ 7 มกราคม รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศภาวะฉุกเฉินสำหรับกรุงโตเกียวและ 3 จังหวัดข้างเคียงได้แก่ จังหวัดไซตามะ จังหวัดชิบะ และจังหวัดคานางาวะ โดยถือเป็นการประกาศภาวะฉุกเฉินครั้งที่ 2 หลังจากที่เคยประกาศไปเมื่อปี 2563

รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศภาวะฉุกเฉินครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2563 สำหรับกรุงโตเกียวและอีก 6 จังหวัด โดยอิงจากกฎหมายพิเศษเพื่อรับมือกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ จากนั้นเมื่อวันที่ 16 เมษายน มีการขยายพื้นที่ของภาวะฉุกเฉินให้ครอบคลุมทั่วประเทศ

ในช่วงระหว่างนั้น รัฐบาลญี่ปุ่นได้ขอให้ประชาชนลดการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลลงให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 70 และร้อยละ 80 ในกรณีที่สามารถทำได้ โดยยึดจากคำแนะนำของคณะผู้เชี่ยวชาญของรัฐบาลญี่ปุ่น

ผู้ว่าการของจังหวัดที่มีการประกาศภาวะฉุกเฉินสามารถขอให้ประชาชนงดเว้นจากการออกไปข้างนอก ยกเว้นกรณีที่จำเป็นเด็ดขาด และขอให้ประชาชนร่วมมือในการป้องกันการแพร่ระบาด นอกจากนี้ ก็ยังสามารถขอให้จำกัดการใช้สถานที่ต่าง ๆ ที่มีผู้คนไปรวมตัวกันจำนวนมากด้วย

สำหรับพื้นที่ที่เกิดการติดเชื้อแพร่กระจายเป็นวงกว้าง ได้มีการขอให้ผู้คนทำงานจากทางไกลให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และมีการเรียกร้องอย่างหนักแน่นให้งดเว้นจากการออกจากบ้าน ยกเว้นกรณีที่ไปซื้อสิ่งของอุปโภคบริโภคหรือไปพบแพทย์

มาตรการนี้ได้ทำให้บาร์ ร้านอาหาร โรงละคร โรงภาพยนตร์ ห้างสรรพสินค้า โรงแรม พิพิธภัณฑ์ และห้องสมุด ต้องปิดทำการชั่วคราว ตลอดจนมีการยกเลิกหรือเลื่อนการจัดงานจำนวนมาก โรงเรียนทั่วญี่ปุ่นปิดภาคเรียนตั้งแต่เดือนมีนาคม และโรงเรียนส่วนมากได้ปิดเรียนต่อเนื่องหลังมีการประกาศภาวะฉุกเฉิน

ผลจากมาตรการดังกล่าว ทำให้จำนวนของผู้ที่มาเยือนใจกลางกรุงโตเกียวในวันธรรมดาลดลงอย่างมากกว่าร้อยละ 60 และสำหรับวันหยุดสุดสัปดาห์นั้นลดลงไปราวร้อยละ 80 เมื่อเทียบกับเดือนมกราคมของปีเดียวกัน

จำนวนของผู้ติดเชื้อรายใหม่ในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นสูงสุดไปอยู่ที่ประมาณ 700 คนเมื่อช่วงกลางเดือนเมษายนและจากนั้นก็เริ่มลดลงไป พื้นที่ที่อยู่ภายใต้ภาวะฉุกเฉินก็ค่อย ๆ ลดลง และในที่สุดเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ได้มีการยกเลิกประกาศภาวะฉุกเฉินในฮอกไกโด กรุงโตเกียว และจังหวัดข้างเคียงกรุงโตเกียว 3 จังหวัด โดยในวันนั้นมีการยืนยันผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั่วประเทศจำนวน 21 คน

การประกาศภาวะฉุกเฉินมีผลอย่างไรในญี่ปุ่น

เมื่อวันที่ 7 มกราคม รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศภาวะฉุกเฉินครอบคลุมกรุงโตเกียว จังหวัดคานางาวะ จังหวัดไซตามะ และจังหวัดชิบะ โดยเป็นความพยายามที่จะควบคุมกรณีการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่เพิ่มมากขึ้น การประกาศภาวะฉุกเฉินนี้มีผลตั้งแต่วันที่ 8 มกราคมจนถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์

การประกาศภาวะฉุกเฉินคือมาตรการที่อิงจากกฎหมายพิเศษเพื่อรับมือกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นสามารถประกาศภาวะฉุกเฉินได้ในกรณีที่ไวรัสนี้แพร่ระบาดอย่างรวดเร็วทั่วประเทศและอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อชีวิตของประชาชนหรือเศรษฐกิจ โดยสามารถกำหนดระยะเวลาและพื้นที่ที่จะใช้มาตรการฉุกเฉินได้

ผู้ว่าการจังหวัดที่อยู่ในพื้นที่ประกาศภาวะฉุกเฉิน สามารถเรียกร้องให้ประชาชนร่วมมือเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด โดยให้ประชาชนงดออกไปข้างนอก แต่จะยกเว้นสถานการณ์ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชาชน

ผู้ว่าการจังหวัดจะสามารถขอร้องหรือสั่งการให้ปิดโรงเรียนหรือจำกัดการใช้งานสถานที่อย่างเช่น ห้างสรรพสินค้าซึ่งมีผู้คนไปรวมตัวกันจำนวนมาก นอกจากนี้ ผู้ว่าการจังหวัดก็ยังมีอำนาจที่จะใช้ที่ดินและอาคารต่าง ๆ เป็นสถานที่ทางการแพทย์ชั่วคราวได้โดยไม่ต้องขอความยินยอมจากเจ้าของ หากมีความจำเป็นต้องใช้งานจริง ๆ

เมื่อเกิดสถานการณ์เร่งด่วน ผู้ว่าการจังหวัดสามารถขอให้บริษัทขนส่งจัดส่งผลิตภัณฑ์หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ และสามารถขอร้องหรือบังคับให้ขายผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ได้หากจำเป็น

ควรเลื่อนกำหนดให้เด็กเข้าโรงพยาบาลเพื่อตรวจโรคหรือรับการผ่าตัดหรือไม่

ในวันนี้ ผู้เชี่ยวชาญที่สมาคมกุมารเวชศาสตร์ญี่ปุ่น และศูนย์สุขภาพและพัฒนาการเด็กแห่งชาติของญี่ปุ่น ได้ตอบคำถามที่ว่า ควรเลื่อนกำหนดการให้เด็กเข้าโรงพยาบาลเพื่อตรวจโรคหรือรับการผ่าตัดรักษาโรคอื่นที่ไม่ใช่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่หรือไม่

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าควรให้ความสำคัญกับการตรวจและรักษาโรคของเด็กมากกว่า และระมัดระวังเกี่ยวกับอาการของเด็กก่อนที่จะให้เข้าโรงพยาบาล

โรงพยาบาลในญี่ปุ่นให้บริการผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่กับผู้ป่วยอื่นแยกกัน ดังนั้นถึงแม้ว่าจะต้องยืนยันกับโรงพยาบาลที่จะให้เด็กเข้าพัก แต่โดยเบื้องต้นแล้วสามารถมั่นใจได้ว่าเด็กจะปลอดภัยเมื่ออยู่ในโรงพยาบาล

คาดว่าการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จะยังคงมีต่อเนื่อง ดังนั้นจึงควรให้ความสำคัญกับการรักษาโรคและการตรวจโรคของเด็กมากกว่า และหากมีการกำหนดวันที่จะให้เด็กเข้าโรงพยาบาลแล้ว ก็ควรระมัดระวังเป็นพิเศษเกี่ยวกับสภาพร่างกายของเด็กในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนเข้าโรงพยาบาล และควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่อาจเพิ่มความเสี่ยงติดเชื้อ

ทั้งนี้อาจมีการตั้งข้อจำกัดเกี่ยวกับการให้เด็กเข้าโรงพยาบาลหากว่าเด็กรู้สึกไม่สบาย หรือเคยใกล้ชิดกับผู้คนที่มีอาการของโรคหวัด

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 21 ธันวาคม 2563)

ควรให้เด็กที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลหรือไม่

ในวันนี้ ผู้เชี่ยวชาญที่สมาคมกุมารเวชศาสตร์ญี่ปุ่น และศูนย์สุขภาพและพัฒนาการเด็กแห่งชาติของญี่ปุ่น ได้ตอบคำถามที่ว่า ควรให้เด็กที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลหรือไม่ รวมทั้งว่าผู้ปกครองสามารถไปเยี่ยม หรืออยู่กับเด็กที่โรงพยาบาลหรือไม่

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าสำหรับสถานการณ์ในญี่ปุ่นนั้น เมื่อเด็กติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยมากมักมีอาการไม่รุนแรง และหากมองจากแนวคิดด้านการแพทย์ ก็ไม่จำเป็นต้องให้เด็กมาพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล อย่างไรก็ตาม มีบางกรณีที่กฎหมายบังคับให้เด็กเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล

ทั้งนี้ หากเด็กติดเชื้อไวรัสจากพ่อแม่ผู้ปกครองที่บ้าน ทั้งผู้ปกครองและเด็กก็อาจต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลพร้อมกัน แต่หากพ่อแม่ผู้ปกครองไม่ได้ติดเชื้อ เด็กก็อาจต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเพียงคนเดียว โดยวัตถุประสงค์ด้านการกักกันโรค

ส่วนคำถามที่ว่าพ่อแม่ผู้ปกครองสามารถไปเฝ้าดูแลเด็กที่โรงพยาบาลได้หรือไม่นั้น ผลของการพิจารณาจะแตกต่างกันไปตามแต่กรณี โดยจะอิงจากตัวแปรต่าง ๆ เช่นอายุเด็ก หรือสถานการณ์ที่โรงพยาบาล

ในญี่ปุ่น หากมีการแนะนำให้เด็กอยู่ที่บ้าน หรืออยู่ในสถานที่ที่กำหนดไว้ระหว่างรักษาตัวจากโรคโควิด-19 ผู้ปกครองต้องปรึกษากับศูนย์สาธารณสุขในท้องถิ่น และรับการสอบถามสภาพร่างกายผ่านทางโทรศัพท์อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะพ้นช่วงเวลาที่ให้พักรักษาตัวที่บ้านแล้วก็ตาม

การระบุว่าผู้ติดเชื้อมีอาการหนักหรือไม่นั้นเป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ อาการที่ไม่หนักอาจรวมถึงกรณีที่ผู้ป่วยมีกำลังกาย สามารถดื่มของเหลวได้เอง หรือไม่มีปัญหาการหายใจลำบาก

หากเด็กรู้สึกไม่สบายและจำเป็นต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล ก็เป็นไปได้มากที่พ่อแม่ผู้ปกครองอาจติดเชื้อด้วยเช่นกัน หรืออาจถูกกำหนดให้เป็นผู้ที่มีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิด ในกรณีเหล่านี้พ่อแม่ผู้ปกครองอาจไม่สามารถไปโรงพยาบาลหรือเยี่ยมไข้เด็กได้

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ผู้ปกครองปรึกษาแพทย์ว่าควรปฏิบัติตนอย่างไรเพื่อรับมือ เนื่องจากวิธีการรับมืออาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับตัวแปรหลายอย่าง ซึ่งรวมถึงเหตุผลเฉพาะตัวของผู้ปกครอง เช่นว่าผู้ปกครองได้หายจากโรคโควิด-19 แล้ว ตลอดจนสถานการณ์ที่โรงพยาบาล และสถานการณ์การติดเชื้อในท้องถิ่น เป็นต้น

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 18 ธันวาคม 2563)

ควรเลื่อนเวลาให้เด็กรับการตรวจสุขภาพหรือรับวัคซีนตามกำหนดหรือไม่

ผู้เชี่ยวชาญที่สมาคมกุมารเวชศาสตร์ญี่ปุ่น และศูนย์สุขภาพและพัฒนาการเด็กแห่งชาติของญี่ปุ่น ได้ให้คำตอบว่า การตรวจสุขภาพตามกำหนดในญี่ปุ่นมีจุดประสงค์เพื่อตรวจหาอาการป่วยหรือปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นกับเด็กในช่วงอายุนั้น เพื่อทำให้มั่นใจว่าเด็กจะได้รับการรักษาที่จำเป็นให้ได้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

นอกจากนี้ยังเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องให้เด็กได้มีภูมิคุ้มกันก่อนที่จะติดโรค การใช้มาตรการรับมือไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็นสิ่งสำคัญ แต่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าหากหลีกเลี่ยงไม่พาเด็กไปโรงพยาบาล ก็อาจทำให้เด็กเสี่ยงที่จะติดโรคอื่นที่สามารถป้องกันได้ ดังนั้นจึงไม่ควรให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่น่าจะแพร่ระบาดต่อไปอีกหลายเดือน ดังนั้นหากการระบาดทำให้ผู้ปกครองไม่ยอมพาเด็กไปรับการตรวจสุขภาพและรับวัคซีน ก็ถือเป็นปัญหาร้ายแรงมาก

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นกล่าวว่า เขตเทศบาลบางแห่งได้ปรับเปลี่ยนวิธีการตรวจสุขภาพเด็กเล็ก เพื่อให้เหมาะสมกับภาวะการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในแต่ละพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีบางกรณีที่เด็กสามารถรับวัคซีนได้แม้ว่าจะเลยช่วงเวลาที่กำหนดไว้เดิม เพื่อที่ให้เด็กที่พ้นเวลาแล้วมีโอกาสได้รับวัคซีนในภายหลัง ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญได้ขอให้พ่อแม่ผู้ปกครองติดต่อสอบถามข้อมูลจากสำนักงานสาธารณสุขในพื้นที่ของตน

ทั้งเด็กและผู้ปกครองควรใช้มาตรการป้องกันไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เมื่อไปรับการตรวจสุขภาพหรือรับวัคซีน โดยก่อนออกจากบ้าน ควรยืนยันว่าพวกตนไม่มีไข้หรืออาการอื่น เช่นอาการไอ นอกจากนี้ผู้ใหญ่ที่เดินทางไปพร้อมกับเด็กยังจำเป็นต้องล้างมือและใช้หน้ากากป้องกัน นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงการให้ปู่ย่าตายายหรือพี่น้องของเด็กติดตามไปด้วย

นักวิจัยกล่าวว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่สามารถพบได้ในอุจจาระเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ควรเปลี่ยนผ้าอ้อมในสถานที่ตรวจสุขภาพหรือให้วัคซีน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 17 ธันวาคม 2563)

ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้เด็กเดินทางไปเยี่ยมผู้ป่วยในโรงพยาบาลหรือไม่

ผู้เชี่ยวชาญที่สมาคมกุมารเวชศาสตร์ญี่ปุ่น และศูนย์สุขภาพและพัฒนาการเด็กแห่งชาติของญี่ปุ่น ได้ให้คำตอบเรื่องแนวทางป้องกันไม่ให้เด็กติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าโรงพยาบาลแต่ละแห่งมีแนวทางในการให้เข้าเยี่ยมผู้ป่วยแตกต่างกัน ดังนั้นจึงต้องตรวจสอบข้อมูลในเรื่องนี้ก่อน และหากว่าเด็กสามารถไปเยี่ยมผู้ป่วยได้ ก็ควรให้เด็กวัดอุณหภูมิร่างกายที่บ้าน และยืนยันว่าเด็กไม่มีอาการต่าง ๆ เช่นอาการไอ น้ำมูกไหล ท้องเสีย หรืออาเจียน

นอกจากนี้ควรระมัดระวังในการปฏิบัติตามมาตรการเบื้องต้นเพื่อป้องกันการติดเชื้อ เช่นการล้างมือ และสวมหน้ากากป้องกันเวลาเดินทางไปเยี่ยมผู้ป่วยด้วย

ในกรณีใดที่ควรให้เด็กไปพบแพทย์โดยเร็ว

ในวันนี้ ผู้เชี่ยวชาญที่สมาคมกุมารเวชศาสตร์ญี่ปุ่น และศูนย์สุขภาพและพัฒนาการเด็กแห่งชาติของญี่ปุ่น ได้ตอบคำถามที่ว่า ควรพาเด็กไปพบแพทย์โดยเร็วหรือไม่หากสงสัยว่าเด็กติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ณ วันที่ 1 สิงหาคม จำนวนเด็กในญี่ปุ่นที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่กำลังมีมากขึ้น และว่าในกรณีส่วนมาก เด็ก ๆ ติดเชื้อจากพ่อแม่ผู้ปกครองที่บ้าน หรือติดเชื้อจากการทำกิจกรรมเป็นกลุ่มนอกบ้าน

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นกล่าวว่า ในญี่ปุ่น ผู้ที่อยู่ในระยะประชิดกับบุคคลที่มีผลตรวจเป็นบวกในภายหลัง หรือผู้ที่อยู่ใกล้บุคคลเช่นนี้เป็นเวลานาน มีความเป็นไปได้สูงที่จะติดเชื้อเช่นกัน คนเหล่านี้เรียกกันว่า ผู้ที่มีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิด เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในท้องถิ่นจะพิจารณากรณีของแต่ละราย เพื่อที่จะระบุว่าบุคคลดังกล่าวเข้าข่ายเป็นผู้ที่มีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดหรือไม่

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ผู้ปกครองติดต่อศูนย์สาธารณสุขในท้องถิ่นก่อน หากว่าเด็กมีอาการบางอย่าง หรืออาจมีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ โดยว่าไม่ควรนำเด็กที่สงสัยว่าติดเชื้อไปพบแพทย์ที่สถาบันการแพทย์ทั่วไป หรือที่คลินิกฉุกเฉินในวันหยุดหรือในยามกลางคืน เนื่องจากในญี่ปุ่น สถานที่ต่าง ๆ ข้างต้นอาจไม่สามารถให้บริการตรวจยืนยันการติดเชื้อได้

สถานที่ที่ให้บริการตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัส หรือพีซีอาร์ แตกต่างกันไปตามพื้นที่อยู่อาศัย ดังนั้นจึงควรติดตามข้อมูลจากศูนย์สาธารณสุขในท้องถิ่น

นอกจากนี้โรงพยาบาลบางแห่งยังกำหนดช่วงเวลาและช่องทางเข้าออกแยกต่างหากสำหรับผู้คนที่มีอาการน่าสงสัยว่าอาจติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยอื่นติดเชื้อไวรัสนี้ด้วย ผู้ที่ต้องการจะเดินทางไปโรงพยาบาลจึงควรตรวจสอบยืนยันกับทางโรงพยาบาลก่อนที่จะเดินทาง

ในกรณีที่เด็กมีไข้ต่อเนื่องในช่วงเวลาหนึ่งโดยไม่ปรากฏสาเหตุแน่ชัด หรือมีอาการหายใจลำบาก ไม่สามารถรับประทานอาหารหรือดื่มเครื่องดื่ม หรือมีอาการเซื่องซึม ก็เป็นไปได้มากที่เด็กอาจป่วยเป็นโรค โดยไม่จำเป็นว่าต้องเป็นโรคโควิด-19 ในกรณีนี้ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ผู้ปกครองพาเด็กไปพบแพทย์โดยเร็ว

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 15 ธันวาคม 2563)

มีเด็กที่แสดงอาการรุนแรงหรือไม่หลังจากติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

ผู้เชี่ยวชาญที่สมาคมกุมารเวชศาสตร์ญี่ปุ่น และศูนย์สุขภาพและพัฒนาการเด็กแห่งชาติของญี่ปุ่น จะให้คำตอบในเรื่องนี้

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่ากรณีที่ผู้ป่วยเด็กมีอาการรุนแรงนั้นเกิดขึ้นน้อยกว่าในผู้ป่วยที่เป็นผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยเด็กอาจมีปัญหาในระบบทางเดินหายใจเช่นกัน ทั้งนี้เด็กที่อายุต่ำกว่า 2 ปีมักมีอาการหนัก และจำเป็นต้องดูแลสังเกตอย่างใกล้ชิด

ในยุโรปและสหรัฐ มีรายงานผู้ป่วยเด็กอายุราว 10 ปีที่มีอาการป่วยที่หัวใจ หลังจากมีไข้หลายวัน ปวดท้อง ท้องเสีย และผื่นขึ้นตามตัว ทว่าจนถึงขณะนี้มีรายงานผู้ป่วยลักษณะดังกล่าวในญี่ปุ่นเพียงไม่กี่ราย

เด็ก ๆ จะแสดงอาการอย่างไรเมื่อติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

ผู้เชี่ยวชาญที่สมาคมกุมารเวชศาสตร์ญี่ปุ่น และศูนย์สุขภาพและพัฒนาการเด็กแห่งชาติของญี่ปุ่น ได้ให้คำตอบเรื่องอาการที่เด็ก ๆ อาจแสดงเมื่อติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

ผู้เชี่ยวชาญได้พบว่าเด็ก ๆ เสี่ยงติดเชื้อไวรัสไม่ต่างจากผู้ใหญ่ ถึงแม้ว่าข้อมูลเมื่อวันที่ 1 สิงหาคมปี 2563 จะชี้ว่าจำนวนเด็กที่ติดเชื้อมีน้อยกว่าจำนวนผู้ติดเชื้อที่เป็นผู้ใหญ่ก็ตาม

การติดเชื้อในเด็กที่ญี่ปุ่นส่วนมากเกิดขึ้นที่บ้าน เด็กที่ติดเชื้อจะมีไข้และไอแห้ง ๆ แต่มีเด็กจำนวนค่อนข้างน้อยที่แสดงอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจส่วนบน เช่นอาการคัดจมูกและน้ำมูกไหล

ผู้ป่วยที่เป็นเด็กมีไข้ต่อเนื่องเป็นเวลานานไม่ต่างจากผู้ใหญ่ และยังมีรายงานว่าผู้ป่วยเด็กบางคนแสดงอาการปอดอักเสบด้วย นอกจากนี้บางคนยังมีอาการปวดท้อง อาเจียน ท้องเสีย และอาการอื่นที่เกี่ยวข้องกับระบบย่อยอาหาร

มีผู้ป่วยเด็กเพียงไม่มากที่สูญเสียสัมผัสรับรู้กลิ่นและรส ซึ่งเป็นอาการที่มักพบบ่อยในผู้ติดเชื้อที่เป็นผู้ใหญ่

อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ผู้ปกครองควรเฝ้าระวังอาการผิดปกติเหล่านี้ในเด็ก ทั้งนี้มีรายงานเกี่ยวกับอาการเหล่านี้ในผู้ป่วยวัยรุ่นที่สามารถพูดถึงอาการป่วยของตนเองได้

ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าเด็กที่ติดเชื้อบางคนอาจไม่แสดงอาการ แต่ได้แนะนำให้พ่อแม่ผู้ปกครองเฝ้าดูเด็กอย่างระมัดระวังถี่ถ้วน เพราะว่าเด็ก ๆ อาจไม่สามารถอธิบายอาการของตนได้

จริงหรือไม่ที่ว่าหน้ากากอนามัยส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็ก ๆ ตอนที่ 3

ดังที่เราได้รายงานไป 2 ตอนแล้วว่า การใส่หน้ากากอนามัยไม่เพียงแต่ทำให้เกิดความไม่สะดวกเพราะมองไม่เห็นหน้าเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทางสมองของเด็กได้ด้วย

ศาสตราจารย์เมียววะ มาซาโกะ ประจำบัณฑิตวิทยาลัยศึกษาศาสตร์และคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกียวโต ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการทางสมองและจิตวิทยามนุษย์ กล่าวว่าการใช้ภาษากายเป็นเครื่องมือสื่อสารอาจเป็นหนทางหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการเอาชนะปัญหานี้ไปให้ได้ อาจารย์แนะให้แสดงออกทางกายมากกว่าปกติตอนที่ดีใจหรือเศร้า เพื่อชดเชยให้แก่สภาพที่ไม่สามารถมองเห็นการแสดงออกทางสีหน้าได้

การเจริญเติบโตของเด็ก ๆ นั้นไม่คอยท่า คนในครอบครัวควรแสดงความรู้สึกออกมาอย่างกระตือรือร้น และทำให้มั่นใจว่าจะเชื่อมโยงระยะห่างทางใจกับเด็กได้

จริงหรือไม่ที่ว่าหน้ากากอนามัยส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็ก ๆ ตอนที่ 2

โรงเรียนประถมในญี่ปุ่นกำลังประสบผลในทางลบจากการที่เด็กนักเรียนใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา

ที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง มีเด็ก ป. 1 สองคนทะเลาะกันระหว่างช่วงพัก เด็กคนหนึ่งขอโทษเด็กอีกคนหนึ่งหลังจากที่มือบังเอิญไปตีถูกเด็กอีกคนเข้า แต่เสียงขอโทษนั้นได้ยินไปไม่ถึงอีกฝ่ายเพราะถูกหน้ากากอนามัยปิดปากเป็นเสียงอู้อี้อยู่ จากนั้นเด็กก็เริ่มทะเลาะกัน ครูหลายคนบอกว่า ในระยะนี้เห็นปัญหาที่เกี่ยวกับการสื่อสารเกิดมากขึ้นระหว่างเด็ก ๆ

ศาสตราจารย์เมียววะ มาซาโกะ ประจำบัณฑิตวิทยาลัยศึกษาศาสตร์และคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกียวโต ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการทางสมองและจิตวิทยามนุษย์ กล่าวว่าเด็กอายุระหว่าง 4-10 ปี กำลังพัฒนาขีดความสามารถของสมองในการรับรู้ใจเขาใจเรา อาจารย์บอกว่าเด็ก ๆ บ่มเพาะความสามารถในการนึกคิดว่าคนอื่นคิดอะไร และตัวเองควรทำตัวอย่างไรผ่านการสื่อสารระหว่างกัน

อาจารย์กล่าวว่า โดยปกติเด็ก ๆ จะมีประสบการณ์มากมายที่โรงเรียนในการนึกถึงใจเขาใจเรา และอาจารย์อยากจะหารือกับครูในโรงเรียนว่าครูจะทำอย่างไรเพื่อหาทางให้เด็ก ๆ ได้มีประสบการณ์เหล่านั้นในห้องเรียนขณะที่ตกอยู่ในสภาพการณ์อย่างเช่นขณะนี้

จริงหรือไม่ที่ว่าหน้ากากอนามัยส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็ก ๆ ตอนที่ 1

ตอนนี้หน้ากากอนามัยกลายเป็นสิ่งคุ้นเคยในการดำเนินชีวิตแบบใหม่ แต่เราอาจพบว่าการอ่านสีหน้าของอีกฝ่ายนั้นทำได้ยาก และเป็นที่ทราบกันว่าการปิดหน้าอาจส่งผลต่อพัฒนาการทางสมองของเด็ก ๆ

ครูที่สถานรับดูแลเด็กใส่หน้ากากอนามัยขณะปฏิบัติงาน ครูกล่าวว่าการสร้างความสัมพันธ์ให้เด็กไว้วางใจนั้นทำได้ยากเพราะเด็กไม่เห็นปากของครู เช่น ตอนเอ่ยชมเด็กว่า “ทำได้ดีนะ” หรือ “เก่งมาก” ก็จะสื่อความตั้งใจนั้นไปไม่ถึงเด็ก

ศาสตราจารย์เมียววะ มาซาโกะ ประจำบัณฑิตวิทยาลัยศึกษาศาสตร์และคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกียวโต ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการทางสมองและจิตวิทยามนุษย์ กล่าวว่าผู้ใหญ่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเรื่องการมีปฏิสัมพันธ์กับทารกตั้งแต่เกิด ไปจนกระทั่งอายุได้ประมาณ 1 ขวบ

ในช่วงอายุนั้น ทารกจะมองหน้าและความเคลื่อนไหวของผู้คนหลากหลาย และเรียนรู้การแสดงออกทางสีหน้า ดังนั้น ตา จมูก และปากของอีกฝ่ายจึงเป็นส่วนสำคัญ

ทารกจะสามารถรับรู้ได้ว่านี่คือใบหน้าเมื่อองค์ประกอบ 3 ส่วนนี้บนใบหน้าปรากฏชัด เมื่อเวลาผ่านไป ทารกก็เรียนรู้ที่จะแยกแยะสีหน้าที่แสดงอารมณ์แตกต่างกัน เช่น อารมณ์ดี หรือโกรธ

ศาสตราจารย์เมียววะกล่าวว่า มีแต่ผู้ใหญ่เท่านั้นที่สามารถสื่อสารได้ด้วยการใช้สายตา อาจารย์บอกว่าเด็กใช้ข้อมูลที่หลากหลายในการแสดงออกของบุคคลและค่อย ๆ อ่านการแสดงออกและอารมณ์ของคนอื่นได้ อาจารย์บอกด้วยว่า เป็นไปได้สูงมากว่าประสบการณ์เช่นนั้นอาจจะสูญหายไปหมดเลย เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

แม้ว่าเรายังใส่หน้ากากอนามัยอยู่ แต่ศาสตราจารย์เมียววะก็แนะนำให้คนในครอบครัวเผยใบหน้าให้เด็กได้เห็นถี่ยิ่งขึ้นที่บ้าน

จะสามารถป้องกันการแพร่เชื้อไวรัสนี้ภายในบ้านได้อย่างไร

เราได้สอบถามนายแพทย์เทราชิมะ ทาเกชิ จากสมาคมโรคติดเชื้อแห่งญี่ปุ่น ว่าเราจะสามารถป้องกันไม่ให้เกิดการนำเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เข้ามาในบ้านของเราได้อย่างไร

คุณเทราชิมะได้บอกกับเราว่ากุญแจสำคัญคือการแบ่งบ้านออกเป็นหลายส่วนตามระดับความอันตราย เขาได้เสนอให้แบ่งออกเป็น 3 ส่วนได้แก่ “พื้นที่ระมัดระวัง” เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่สุดซึ่งพื้นที่นี้รวมถึงประตูทางเข้าบ้าน ซึ่งผู้คนต้องเดินผ่านเมื่อเข้ามาในบ้าน ส่วนที่ 2 คือ “พื้นที่ใช้ร่วมกัน” ซึ่งเป็นพื้นที่ที่สมาชิกครอบครัวแบ่งปันและใช้เฟอร์นิเจอร์หรือสิ่งของด้วยกัน และส่วนที่ 3 คือ “พื้นที่ส่วนตัว” ซึ่งได้แก่ห้องนอนและห้องส่วนตัว

ครั้งนี้เราจะมุ้งเน้นยัง “พื้นที่ส่วนตัว” ซึ่งมักจะเป็นที่ที่ใช้เวลาเพื่อการผ่อนคลาย คุณเทราชิมะกล่าวว่าเราต้องดูแลเอาใจใส่อย่างสุดความสามารถเพื่อเลี่ยงการนำไวรัสดังกล่าวเข้ามาในพื้นที่แห่งนี้

สิ่งหนึ่งที่มักจะมองข้ามกันไปก็คือสมาร์ตโฟนของเรา เมื่อเราหยิบจับสมาร์ตโฟนตอนอยู่นอกบ้าน เราอาจสัมผัสโดนไวรัสตอนที่แตะหน้าจอสมาร์ตโฟน และจากนั้นก็นำไวรัสกลับมาที่ห้องนอน ด้วยเหตุนี้ การหมั่นทำความสะอาดอุปกรณ์ระบบหน้าจอสัมผัสจึงเป็นสิ่งสำคัญ

จะสามารถป้องกันการแพร่เชื้อไวรัสนี้ภายในบ้านได้อย่างไร

เราได้สอบถามนายแพทย์เทราชิมะ ทาเกชิ จากสมาคมโรคติดเชื้อแห่งญี่ปุ่น ว่าเราจะสามารถป้องกันไม่ให้เกิดการนำเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เข้ามาในบ้านของเราได้อย่างไร

ครั้งนี้เราจะมุ่งเน้นไปที่ “พื้นที่ใช้ร่วมกัน” ในบ้านซึ่งเป็นพื้นที่ที่สมาชิกครอบครัวแบ่งปันและใช้เฟอร์นิเจอร์หรือสิ่งของด้วยกัน พื้นที่เหล่านี้รวมถึงห้องน้ำและห้องนั่งเล่น

คุณเทราชิมะแนะนำว่าไม่ควรใช้สิ่งของต่าง ๆ ร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดตัว ส่วนสิ่งของที่แต่ละคนมักจะหยิบจับ เช่น สวิตช์ไฟและรีโมตโทรทัศน์ ควรฆ่าเชื้อโรคบ่อย ๆ

เขาได้เน้นย้ำด้วยว่าเราสามารถป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสนี้ได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงวิธีนั่งและเสิร์ฟอาหาร เขากล่าวว่าเราควรเลี่ยงการนั่งแบบหันหน้าเข้าหากันที่โต๊ะรับประทานอาหาร หากเป็นไปได้ก็ควรนั่งเป็นแนวทแยงมุมเพื่อป้องกันไม่ให้เข้าใกล้กันมากเกินไป

คุณเทราชิมะยังเตือนให้ระวังเกี่ยวกับการรับประทานอาหารจากจานรวมที่ไว้สำหรับรับประทานอาหารร่วมกัน เขากล่าวว่าสิ่งนี้ไม่ควรทำเพราะการใช้สิ่งของต่าง ๆ เช่น ตะเกียบของจานรวมดังกล่าว จะเพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อ เขาแนะนำว่าเราควรแบ่งอาหารให้เป็นสัดส่วนสำหรับรับประทานแยกกัน เพื่อที่ทุกคนจะได้รับประทานจากจานของตนเอง

จะสามารถป้องกันการแพร่เชื้อไวรัสนี้ภายในบ้านได้อย่างไร

เราได้สอบถามนายแพทย์เทราชิมะ ทาเกชิ จากสมาคมโรคติดเชื้อแห่งญี่ปุ่น ว่าเราจะสามารถป้องกันไม่ให้เกิดการนำเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เข้ามาในบ้านของเราได้อย่างไร

คุณเทราชิมะบอกกับเราว่ากุญแจสำคัญคือการแบ่งพื้นที่ในบ้านให้เป็นหลายส่วนโดยพิจารณาจากระดับความอันตราย

เขาได้เสนอให้แบ่งพื้นที่ในบ้านออกเป็น 3 ส่วนอันประกอบไปด้วย “พื้นที่ระมัดระวัง” เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่สุดซึ่งพื้นที่นี้รวมถึงประตูทางเข้าบ้าน ซึ่งผู้คนต้องเดินผ่านเมื่อเข้ามาในบ้าน ส่วนที่ 2 คือ “พื้นที่ใช้ร่วมกัน” ซึ่งเป็นพื้นที่ที่สมาชิกครอบครัวแบ่งปันและใช้เฟอร์นิเจอร์หรือสิ่งของด้วยกัน และส่วนที่ 3 คือ “พื้นที่ส่วนตัว” ซึ่งได้แก่ห้องนอนและห้องส่วนตัว

เมื่อมีคนในครอบครัวกลับมาที่บ้าน ควรหยุดที่ทางเข้าซึ่งเป็น “พื้นที่ระมัดระวัง” และแขวนเสื้อคลุมไว้ที่ผนังรวมถึงทิ้งหน้ากากอนามัยแบบใช้แล้วลงในถังขยะ

คุณเทราชิมะกล่าวว่าไม่ควรนำเสื้อคลุมและหน้ากากอนามัยใช้แล้วมาไว้ข้างในบ้านเพราะอาจติดเชื้อไวรัสมา แต่ให้นำสิ่งเหล่านี้ไว้ที่ทางเข้าบ้านแทน

จะสามารถป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสนี้ในบ้านเมื่อมีสมาชิกในครอบครัวติดเชื้อได้อย่างไร

ก่อนหน้านี้เราได้นำเสนอ 5 ข้อที่ควรระวังเมื่อมีสมาชิกในครอบครัวติดเชื้อ ซึ่งข้อควรระวังดังกล่าวรวมถึงการให้ผู้ติดเชื้อพักอยู่ในห้องที่แยกต่างหาก แต่บางครั้งการจัดสรรห้องทั้งห้องให้ผู้ติดเชื้อ 1 คนเป็นเรื่องยาก เนื่องจากที่อยู่อาศัยมีขนาดเล็ก

เราได้สอบถามคุณนิชิซูกะ อิตารุ หัวหน้าของศูนย์สาธารณสุขในเขตซูมิดะของกรุงโตเกียว คุณนิชิซูกะกล่าวว่าสมาชิกในครอบครัวคนอื่นควรพยายามอยู่ห่างจากผู้ติดเชื้อประมาณ 1 เมตร และลดการพูดคุยแบบซึ่งหน้าในระยะใกล้ชิด เพื่อจะได้เลี่ยงการพ่นละอองฝอยเข้าใส่กัน เขายังแนะนำให้ระบายอากาศภายในห้องบ่อย ๆ และใช้เครื่องทำความชื้นเมื่อจำเป็นเพื่อสร้างสภาวะแวดล้อมในบ้านที่ช่วยขัดขวางการแพร่กระจายของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

คุณนิชิซูกะกล่าวเสริมว่าเป็นเรื่องดีที่ควรมีการหารือกันล่วงหน้าภายในครอบครัวว่าควรจัดการอย่างไรในกรณีที่มีสมาชิกในครอบครัวติดเชื้อ โดยเรื่องที่จะหารือนั้น เช่น ใครจะดูแลลูก ๆ ในกรณีที่พ่อแม่ติดเชื้อ และใครจะดูแลผู้สูงอายุในครอบครัวเมื่อผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลอยู่แล้วเกิดติดเชื้อขึ้นมา

จะสามารถป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสนี้ในบ้านเมื่อมีสมาชิกในครอบครัวติดเชื้อได้อย่างไร

เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2563 ซึ่งเป็นวันที่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่รายวันในกรุงโตเกียวเพิ่มขึ้นเกิน 500 คนเป็นครั้งแรก นางโคอิเกะ ยูริโกะ ผู้ว่าการกรุงโตเกียวเรียกร้องให้ผู้คนดำเนินมาตรการอย่างถี่ถ้วนที่บ้าน เธอกล่าวว่านับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2563 แหล่งติดเชื้อหลัก ๆ คือในบ้าน และเมื่อไวรัสเข้ามาในบ้านได้แล้ว ก็เป็นเรื่องยากมากที่จะป้องกันการแพร่กระจายของไวรัส

หัวหน้าศูนย์สาธารณสุขในกรุงโตเกียวระบุว่า ในหลายกรณี ผู้ใหญ่ที่ออกไปนอกบ้านบ่อย ๆ มักจะนำไวรัสกลับมาที่บ้านและนำมาติดเด็ก ๆ หรือผู้สูงอายุ

บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านมาตรการป้องกันการติดเชื้อได้แนะนำเกี่ยวกับสิ่งที่ควรทำหากสมาชิกในครอบครัวปรากฏอาการต่าง ๆ ขึ้นมา

ข้อที่ 1 ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าหากเป็นไปได้ผู้ป่วยควรพักอยู่ในห้องแยกต่างหาก ข้อที่ 2 ผู้ป่วยตลอดจนผู้ดูแลควรสวมหน้ากากอนามัย ข้อที่ 3 พวกเขาแนะนำให้ทุกคนล้างมือบ่อย ๆ ข้อที่ 4 ควรรับประทานอาหารในจานที่แยกต่างหากจากกัน และข้อที่ 5 พวกเขาระบุว่าการฆ่าเชื้อตามสถานที่ที่มีการสัมผัสอยู่เป็นประจำรวมถึงการระบายอากาศภายในห้องนั้นเป็นเรื่องสำคัญ

เราจำเป็นต้องระบายอากาศในห้องทุก ๆ ครึ่งชั่วโมงแม้อยู่ในช่วงฤดูหนาวหรือไม่

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นแนะนำว่า เราควรเปิดหน้าต่างกว้าง ๆ เพื่อให้อากาศถ่ายเทชั่วโมงละ 2 ครั้ง แต่การทำเช่นนั้นในวันที่อากาศหนาวเย็น มีหิมะตกในช่วงฤดูหนาว อาจไม่ใช่เรื่องที่น่าทำนัก ศาสตราจารย์ฮายาชิ โมโตยะ จากมหาวิทยาลัยฮอกไกโดให้คำแนะนำเกี่ยวกับการระบายอากาศในห้องไปพร้อมกับการคงความอบอุ่นเอาไว้

ศาสตราจารย์ฮายาชิกล่าวว่า “ให้เปิดหน้าต่างแบบแง้มไว้เล็กน้อยในขณะที่เครื่องปรับอากาศกำลังทำงานอยู่ วิธีนี้จะช่วยให้เกิดการถ่ายเทอากาศในห้องโดยไม่ทำให้อุณหภูมิในห้องลดลง นอกจากนี้ อาคารบางแห่งยังติดตั้งระบบระบายอากาศตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งช่วยทำให้เกิดการถ่ายเทอากาศทั้งหมดภายในอาคารโดยไม่ต้องเปิดหน้าต่าง”

“แต่ต้องระวังไว้ว่าความชื้นในห้องจะลดลงหากเปิดหน้าต่างเอาไว้ เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องคงระดับความชื้นไว้ที่ระดับหนึ่ง เนื่องจากไวรัสต่าง ๆ จะลอยกระจายได้ง่ายขึ้นในความชื้นต่ำ เรายังไม่ทราบแน่ชัดว่าความชื้นส่งผลต่อกิจกรรมของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่อย่างไร แต่โดยรวมแล้ว ความชื้นต่ำทำให้การทำงานของเยื่อบุในคอลดประสิทธิภาพลง ดังนั้นจึงขอแนะนำให้ใช้เครื่องทำความชื้นเพื่อคงระดับความชื้นที่เหมาะสมเอาไว้”

เราจะระบายอากาศภายในห้องโดยไม่ทำให้รู้สึกหนาวได้อย่างไร

เราได้ถามคำถามนี้ไปยังศาสตราจารย์ฮายาชิ โมโตยะ จากมหาวิทยาลัยฮอกไกโด ซึ่งเป็นผู้จัดทำข้อเสนอเกี่ยวกับวิธีระบายอากาศที่องค์กรแห่งหนึ่งของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่น โดยเขาระบุว่า

“ถ้าปล่อยให้อากาศเย็นจากด้านนอกเข้ามาในพื้นที่อยู่อาศัยโดยตรง เช่น ห้องเรียนที่โรงเรียนหรือห้องนอนในบ้านพัก ก็อาจทำให้รู้สึกหนาวเย็นขึ้นมาได้ แต่มีวิธีง่าย ๆ 2 ขั้นตอนในการระบายอากาศที่จะช่วยให้คุณไม่รู้สึกหนาวมากนัก ขั้นแรกคือการปล่อยให้อากาศเย็นสดชื่นจากด้านนอกเข้ามาในห้องที่ไม่ได้ใช้ หรือโถงทางเดิน ซึ่งความร้อนจากอาคารทั้งหลังจะช่วยทำให้อากาศเย็นนี้อุ่นขึ้น จากนั้นให้เปิดหน้าต่างและประตูที่เชื่อมกับห้องที่เราใช้งานอยู่ การทำเช่นนี้จะช่วยให้อากาศที่อุ่นขึ้นแล้วไหลเวียนไปสู่ห้องเหล่านี้ และช่วยให้อากาศถ่ายเทได้โดยที่ไม่รู้สึกหนาว”

ที่ญี่ปุ่นมีมาตรการอะไรบ้างเพื่อป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แพร่กระจาย ขณะที่ผู้คนจำนวนมากไปยังวัดและศาลเจ้าในช่วงปีใหม่

เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน คณะที่ปรึกษาของรัฐบาลญี่ปุ่นเรื่องการระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้หารือเกี่ยวกับมาตรการสำหรับใช้ขณะที่ผู้คนเดินทางไปยังวัดและศาลเจ้าในช่วงปีใหม่ ภายในการประชุม สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้เสนอมาตรการที่รวบรวมขึ้นโดยอิงจากคำแนะนำของบรรดาผู้เชี่ยวชาญ

มาตรการนี้เรียกร้องให้ผู้คนที่เดินทางไปยังวัดและศาลเจ้าใช้มาตรการพื้นฐานเพื่อป้องกันการติดเชื้อ เช่นการสวมหน้ากากป้องกันและการฆ่าเชื้อที่มือ

มาตรการนี้กล่าวด้วยว่าควรมีการดำเนินการเพื่อให้ผู้คนได้ทราบว่าวัดและศาลเจ้าแห่งต่าง ๆ มีผู้คนมารวมตัวกันหนาแน่นมากเท่าใด รวมทั้งเพื่อเรียกร้องให้ผู้คนเลื่อนเวลาเดินทาง และยังระบุว่าควรให้มีเจ้าหน้าที่อยู่ตามศาลเจ้าและวัดเพื่อดูแลให้บรรดาผู้มาเยือนเว้นระยะห่างระหว่างกัน นอกจากนี้ยังระบุว่าควรเรียกร้องให้ผู้มาเยือนงดเว้นการรับประทานอาหารและเครื่องดื่มในบริเวณวัดหรือศาลเจ้า และให้งดเว้นการพูดคุยเสียงดัง

มาตรการนี้ยังเรียกร้องให้ดำเนินการเพื่อไม่ให้ผู้คนมารวมตัวกันแออัดในที่ต่าง ๆ รวมทั้งไม่ให้ผู้คนอยู่ใกล้ชิดกัน และไม่ให้มีพื้นที่ที่การระบายอากาศไม่ดีในบริเวณใกล้กับวัดหรือศาลเจ้า แนวทางนี้รวมถึงการเรียกร้องให้ผู้มาเยือนกระจายตัวไปใช้สถานีรถไฟหลายแห่ง แทนที่จะกระจุกอยู่เฉพาะที่สถานีรถไฟเพียงแห่งเดียว

ภายในการแถลงข่าว นายแพทย์โอมิ ชิเงรุ หัวหน้าคณะที่ปรึกษา กล่าวว่าการไปสักการะศาลเจ้าหรือวัดอย่างเงียบ ๆ ที่บริเวณภายนอกอาคารนั้น ไม่ได้ทำให้มีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อ แต่เขากล่าวว่าผู้คนควรรับรู้ว่าการพบปะรวมตัวกันในหมู่ญาติและเพื่อนฝูงเพื่อพูดคุย ร่วมรับประทานอาหาร หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ช่วงก่อนหรือหลังการเดินทางไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะทำให้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น นอกจากนี้เขายังขอความร่วมมือให้ผู้คนเดินทางไปยังวัดหรือศาลเจ้าในช่วงปีใหม่ตั้งแต่วันที่ 4 มกราคมเป็นต้นไปหากสามารถทำได้ ทั้งนี้ก็เพื่อลดความแออัดในช่วง 3 วันแรกของปีใหม่

อะไรคือสถานการณ์ความเสี่ยงสูง 5 ประเภทที่มักพูดถึงในรายงานข่าวที่ญี่ปุ่น

คณะที่ปรึกษาของรัฐบาลญี่ปุ่นเรื่องการระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้เตือนเกี่ยวกับสถานการณ์ความเสี่ยงสูง 5 ประเภท ซึ่งมักทำให้เกิดการติดเชื้อแบบเป็นกลุ่ม สถานการณ์เหล่านี้ได้แก่

1 การพบปะสังสรรค์ที่มีการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
2 การรับประทานอาหารร่วมกันโดยมีผู้คนจำนวนมาก หรือใช้เวลานาน
3 การพูดคุยกันโดยไม่สวมหน้ากากป้องกัน
4 การที่ผู้คนจำนวนมากอาศัยหรืออยู่ร่วมกันในพื้นที่แคบ
และ 5 การพูดคุยหรือสูบบุหรี่ระหว่างเวลาพักในที่ทำงาน

เมื่อคราวที่แล้ว เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ 3 ประเภทแรก และในวันนี้เราจะมาเรียนรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ 2 ประเภทหลัง

สถานการณ์อย่างที่ 4 คือการที่ผู้คนจำนวนมากอาศัยหรืออยู่ร่วมกันในพื้นที่แคบ จนถึงขณะนี้มีหลายกรณีที่สงสัยกันว่าเป็นการติดเชื้อตามหอพัก ซึ่งเกิดขึ้นในห้องพัก หรือในพื้นที่ที่ใช้รวมกันเช่นห้องน้ำ เรื่องนี้ชี้ว่าการที่ผู้คนอยู่ในพื้นที่แคบร่วมกันเป็นเวลานานเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ความเสี่ยงติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น

สถานการณ์อย่างที่ 5 ซึ่งเป็นอย่างสุดท้าย คือการพูดคุยหรือสูบบุหรี่ระหว่างเวลาพักในที่ทำงาน ที่ผ่านมามีหลายกรณีที่สงสัยว่าเป็นการติดเชื้อในพื้นที่พักผ่อน พื้นที่สูบบุหรี่ หรือห้องเปลี่ยนชุด โดยเมื่อผู้คนพักผ่อนระหว่างเวลาทำงาน ก็มักจะรู้สึกผ่อนคลาย ไม่ระมัดระวังเหมือนเดิม นอกจากนี้สภาพแวดล้อมก็ยังเปลี่ยนแปลงไปอีกด้วย สิ่งเหล่านี้มองกันว่าทำให้ความเสี่ยงติดเชื้อสูงขึ้น

คณะที่ปรึกษาของรัฐบาลญี่ปุ่นเรียกร้องให้ผู้คนระมัดระวังเวลาพบปะสังสรรค์ หากการพบปะสังสรรค์มีการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คณะที่ปรึกษาก็ได้เรียกร้องให้พยายามจำกัดจำนวนผู้คนให้น้อย ตลอดจนให้เป็นการพบปะกับผู้คนที่มักเจอหน้ากันเป็นปกติ และให้ใช้เวลาสั้น ๆ นอกจากนี้ยังร้องขอให้หลีกเลี่ยงการดื่มในช่วงดึก และให้ดื่มในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากเกินไป

นอกจากนี้ เกี่ยวกับการจัดที่นั่งในการพบปะสังสรรค์ คณะที่ปรึกษาก็ได้เรียกร้องให้ผู้คนหลีกเลี่ยงไม่นั่งหันหน้าเข้าหากันตรง ๆ และไม่นั่งติด ๆ กัน แต่ให้นั่งเยื้องจากกันเป็นแนวเฉียง และยังแนะนำให้ผู้คนสวมหน้ากากป้องกันเวลาพูดคุย และให้ตระหนักว่าการสวมเฟซชิลด์หรือเมาธ์ชิลด์มีความสามารถป้องกันการติดเชื้อไม่ดีเท่ากับการสวมหน้ากากป้องกัน

นายแพทย์โอมิ ชิเงรุ ประธานคณะที่ปรึกษาของรัฐบาลญี่ปุ่น กล่าวว่าข้อมูลจนถึงขณะนี้ชี้ว่าการที่ผู้คนเปลี่ยนแปลงแนวคิดเกี่ยวกับพฤติกรรมของตน ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส

อะไรคือสถานการณ์ความเสี่ยงสูง 5 ประเภทที่มักพูดถึงในรายงานข่าวที่ญี่ปุ่น

คณะที่ปรึกษาของรัฐบาลญี่ปุ่นเรื่องการระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้เตือนเกี่ยวกับสถานการณ์ความเสี่ยงสูง 5 ประเภท ซึ่งมักทำให้เกิดการติดเชื้อแบบเป็นกลุ่ม สถานการณ์เหล่านี้ได้แก่

1 การพบปะสังสรรค์ที่มีการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
2 การรับประทานอาหารร่วมกันโดยมีผู้คนจำนวนมาก หรือใช้เวลานาน
3 การพูดคุยกันโดยไม่สวมหน้ากากป้องกัน
4 การที่ผู้คนจำนวนมากอาศัยหรืออยู่ร่วมกันในพื้นที่แคบ
และ 5 การพูดคุยหรือสูบบุหรี่ระหว่างเวลาพักในที่ทำงาน

อย่างแรกสุดนั้นคือการที่ผู้คนพบปะสังสรรค์กันโดยมีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในสถานการณ์เช่นนี้ พอผู้คนดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็มักจะรู้สึกคึกคักและพูดคุยกันเสียงดัง และยังเป็นสถานการณ์ที่ผู้คนจำนวนมากอยู่ด้วยกันในพื้นที่ปิดและแคบเป็นเวลานาน ไม่เพียงเท่านั้น ผู้ที่ร่วมในการพบปะสังสรรค์เช่นนี้มักจะใช้ภาชนะเครื่องดื่มและตะเกียบร่วมกันอีกด้วย สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้ความเสี่ยงติดเชื้อสูงขึ้น

สถานการณ์อย่างที่ 2 คือการรับประทานอาหารร่วมกันโดยมีผู้คนจำนวนมาก หรือใช้เวลานาน โดยทั่วไปแล้วการไปรับประทานอาหารหรือดื่มสุราในบาร์หรือไนต์คลับ หรือการตระเวนดื่มตามร้านต่าง ๆ ช่วงกลางคืน มักจะทำให้เกิดความเสี่ยงติดเชื้อสูงกว่าการพบปะรับประทานอาหารเป็นเวลาสั้น ๆ ทั้งนี้เป็นที่ทราบกันว่าเมื่อมีผู้คนตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปรับประทานอาหารร่วมกัน ก็มักจะพูดคุยกันเสียงดังและทำให้มีละอองฝอยมากขึ้น

นอกจากนี้สถานการณ์อย่างที่ 3 ซึ่งก็คือการพูดคุยกันในระยะใกล้โดยไม่สวมหน้ากากป้องกัน ก็เป็นตัวเพิ่มความเสี่ยงติดเชื้อเช่นกัน เนื่องจากเป็นการปล่อยละอองฝอยมุ่งไปยังคนอื่น ดังนั้นจึงจำเป็นต้องระมัดระวังการพูดคุยกันภายในรถยนต์หรือรถโดยสารระหว่างเดินทางด้วย

ทำไมออสเตรเลียจึงไม่มีการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่และไข้หวัดใหญ่พร้อมกันในฤดูหนาวที่ผ่านมา

ฤดูหนาวในออสเตรเลียซึ่งอยู่ซีกโลกใต้นั้นจะเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม นับจนถึงปลายเดือนพฤษภาคม รัฐบาลออสเตรเลียได้จัดหาวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 18 ล้านขนาดยา มากกว่าของปีที่แล้ว 5 ล้านขนาดยา เจ้าหน้าที่ได้ขอให้ประชาชนเข้ารับวัคซีนเพื่อป้องกันไม่ให้บริการด้านสาธารณสุขเกินขีดความสามารถในการรับมือ จากการระบาดใหญ่ที่เกิดขึ้นพร้อมกัน

รัฐนิวเซาท์เวลส์ซึ่งเป็นที่ตั้งของซิดนีย์ เมืองใหญ่ที่สุดของออสเตรเลีย ได้เฝ้าระวังขั้นสูงสุดต่อการระบาดของไข้หวัดใหญ่ซึ่งอาจเกิดขึ้นที่สถานพยาบาลดูแลแห่งต่าง ๆ จึงกำหนดให้พนักงานและผู้ที่มาเยี่ยม เช่น สมาชิกครอบครัว เข้ารับวัคซีนนี้

ความพยายามเช่นว่านี้ทำให้ออสเตรเลียไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงวันที่ 20 กันยายน โดยนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่จำนวน 36 คน คิดเป็นร้อยละ 5.1 ของจำนวนในช่วงเดียวกันของปี 2562

นายแพทย์เจเรมี แม็คคานัลตี จากฝ่ายสาธารณสุขของรัฐนิวเซาท์เวลส์ระบุว่า อัตราการฉีดวัคซีนต้านไข้หวัดใหญ่นั้นสูงมากในฤดูหนาวครั้งนี้ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการระบาดพร้อมกัน และเขาเชื่อว่าสิ่งนี้มีบทบาทสำคัญมาก

นายแพทย์แม็คคานัลตีชี้ว่ามาตรการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เช่น การเว้นระยะห่างทางสังคม การจำกัดการจัดงานขนาดใหญ่ รวมถึงความตระหนักรู้ที่มากขึ้นเกี่ยวกับการล้างมือและฆ่าเชื้อโรค มีผลอย่างยิ่งในการควบคุมการระบาดของไข้หวัดใหญ่

สถาบันด้านการแพทย์ของญี่ปุ่นจะรับมือกับการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่กับไข้หวัดใหญ่ที่เกิดขึ้นพร้อมกันได้อย่างไร

โรคโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลมีอาการเหมือนกัน เช่น มีไข้และไอ ดังนั้นจึงมีความกังวลว่าคลินิกในพื้นที่ต่าง ๆ จะประสบความยากลำบากในการรับมือกับผู้ป่วยหากมีการแพร่ระบาดพร้อมกันเช่นนี้ สมาคมโรคติดเชื้อแห่งญี่ปุ่นได้จัดทำแนวทางเกี่ยวกับการวินิจฉัยโรคเหล่านี้

แนวทางดังกล่าวแนะนำว่าในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ตามหลักการแล้วผู้ป่วยควรตรวจหาทั้งเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่และโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เพื่อไม่ให้พลาดกรณีของโรคโควิด-19

แนวทางนี้ได้เสนอคำแนะนำโดยอิงจากระดับ 4 ระดับเพื่อประเมินสถานการณ์การติดเชื้อในพื้นที่นั้น ๆ โดยระบุว่าระดับที่ 1 เมื่อไม่มีรายงานการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในจังหวัด โดยพื้นฐานแล้วการตรวจหาเชื้อไวรัสนี้ไม่จำเป็น ยกเว้นผู้คนที่เคยไปเยือนพื้นที่ที่มีกรณีติดเชื้อในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา และว่าในระดับที่ 4 เมื่อมีรายงานกรณีติดเชื้อที่ไม่สามารถตามรอยเส้นทางการติดเชื้อได้ในพื้นที่ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ผู้ป่วยทุกคนที่มีไข้ควรไปตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

ส่วนกรณีของเด็ก ๆ แนวทางนี้ได้แนะนำอย่างหนักแน่นว่าให้เด็ก ๆ เข้ารับวัคซีนต้านไข้หวัดใหญ่ในช่วงฤดูหนาว เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะติดเชื้อและแพร่กระจายไวรัสออกไป แนวทางดังกล่าวยังระบุด้วยว่า การที่เด็ก ๆ ต้องตรวจหาทั้งไข้หวัดใหญ่และไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในคราวเดียวกันนั้นเป็นเรื่องสำคัญ

สมาคมโรคติดเชื้อแห่งญี่ปุ่นระบุว่าต้องการให้แพทย์ทั่วญี่ปุ่นใช้ประโยชน์จากแนวทางนี้เพื่อรับมือกับช่วงฤดูหนาวได้ และว่าจะปรับแนวทางให้ทันสมัยเมื่อได้รับข้อมูลใหม่มา

ความเสี่ยงที่ผู้หญิงตั้งครรภ์ต้องเผชิญจากการติดเชื้อคืออะไร

การศึกษาที่จัดทำขึ้นจนถึงสิ้นเดือนมิถุนายนโดยสมาคมสูตินรีแพทย์และนรีแพทย์แห่งญี่ปุ่น แสดงให้เห็นว่าอัตราของผู้หญิงที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ซึ่งมีอาการรุนแรงนั้นจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นในช่วงท้าย ๆ ของการตั้งครรภ์

ทางสมาคมได้ติดตามผู้หญิง 58 คนที่มีอาการ เช่น มีไข้ อย่างใกล้ชิด ผลซีทีสแกนแสดงให้เห็นว่าบางคนมีอาการปอดอักเสบ ในจำนวนผู้หญิง 39 คนที่มีอายุครรภ์ไม่ถึง 29 สัปดาห์ มี 4 คนที่มีอาการปอดอักเสบ หรือคิดเป็นร้อยละ 10 ของทั้งหมด

เมื่อเทียบกับผู้หญิง 19 คนที่มีอายุครรภ์ 29 สัปดาห์ขึ้นไป พบว่ามี 10 คนในจำนวนนี้ที่มีอาการปอดอักเสบ หรือคิดเป็นร้อยละ 53 ของทั้งหมด

นอกจากนี้ ผู้หญิง 3 คนที่มีอายุครรภ์ไม่ถึง 29 สัปดาห์ต้องรับการบำบัดด้วยออกซิเจน หรือคิดเป็นร้อยละ 8 ของทั้งหมด ขณะที่ผู้หญิงซึ่งอยู่ในช่วงท้าย ๆ ของการตั้งครรภ์ที่ต้องเข้ารับการบำบัดด้วยออกซิเจนนั้นมี 7 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 37 ของทั้งหมด

ศาสตราจารย์เซกิซาวะ อากิฮิโกะ จากมหาวิทยาลัยโชวะ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบการสำรวจครั้งนี้ระบุว่า มีหญิงตั้งครรภ์จำนวนไม่มากนักที่ติดเชื้อไวรัสนี้ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการดำเนินมาตรการป้องกัน เขากล่าวว่าผลที่ได้แสดงให้เห็นว่าหญิงตั้งครรภ์ไม่ได้มีความเสี่ยงสูงเป็นพิเศษที่จะมีอาการรุนแรง แต่เขากล่าวเสริมว่าหญิงตั้งครรภ์ที่ใกล้คลอดควรระมัดระวัง เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะมีอาการรุนแรง

จากข้อมูลเว็บไซต์ของสมาคมโรคติดเชื้อด้านสูติเวชและนรีเวชแห่งญี่ปุ่นระบุว่า สภาพอาการหลังติดเชื้อไม่ได้แตกต่างกันระหว่างหญิงตั้งครรภ์กับไม่ได้ตั้งครรภ์ในญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม มีหลายกรณีของหญิงตั้งครรภ์ที่แสดงอาการรุนแรงในกลุ่มผู้ที่มีอาการปอดอักเสบ

ศาสตราจารย์ฮายากาวะ ซาโตชิ จากคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยนิฮง ผู้สรุปจุดที่ควรระวังระบุว่า ปอดของหญิงตั้งครรภ์ที่ใกล้คลอดมีแนวโน้มจะถูกเบียดเนื่องจากตัวอ่อนเติบโตขึ้น และหากพวกเธอมีอาการปอดอักเสบ อาการก็อาจรุนแรงขึ้น

ศาสตราจารย์ฮายากาวะระบุว่ากรณีของหญิงตั้งครรภ์ที่อาการรุนแรงมีไม่มากนักในญี่ปุ่น และว่าไม่ควรกลัวมากเกินไป เขากล่าวเสริมว่าแต่ถึงอย่างนั้น ก็ควรใส่ใจในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสนี้

อาการต่อเนื่องหลังการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นั้นเกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน

มีรายงานกรณีของผลกระทบระยะยาวที่เกิดขึ้นต่อเนื่องหลายเดือนทั้งในญี่ปุ่นและทั่วโลก หลังจากผู้ป่วยปลอดเชื้อและได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ว่ากันว่าหลายคนมีอาการไข้ รู้สึกอ่อนเพลีย หรือหายใจติดขัด ตลอดจนประสิทธิภาพในการเคลื่อนไหวของร่างกายลดลงจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน

NHK ได้สำรวจสถาบันทางการแพทย์ที่กำหนดไว้สำหรับรักษาผู้ป่วยโรคติดเชื้อ รวมถึงโรงพยาบาลแห่งมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในกรุงโตเกียว เกี่ยวกับอาการของผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่หลังเข้ารับการรักษาเสร็จสมบูรณ์แล้ว มีสถาบัน 18 แห่งจากทั้งหมด 46 แห่งตอบรับการสำรวจนี้ ซึ่งโรงพยาบาลที่ไม่รับรักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสดังกล่าว ไม่ได้รวมอยู่ในจำนวนนี้

พวกเขาระบุว่า นับจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม มีผู้คน 1,370 คนที่ปลอดเชื้อและได้ออกจากโรงพยาบาลไป หรือย้ายไปยังโรงพยาบาลแห่งอื่นหลังจากอาการดีขึ้น มีผู้คนอย่างน้อย 98 คนที่ประสบปัญหาต่าง ๆ ที่ทำให้การใช้ชีวิตประจำวันยากลำบาก โดยคิดเป็นประมาณร้อยละ 7 ของผู้ที่ออกจากโรงพยาบาลไป

มีผู้คน 47 คนที่การทำงานของระบบทางเดินหายใจมีประสิทธิภาพลดลงเนื่องจากผลกระทบต่อเนื่องของอาการปอดอักเสบและอาการอื่น ๆ ที่เกิดจากไวรัสนี้ มี 6 คนที่ต้องใช้อุปกรณ์เพื่อสูดออกซิเจนที่บ้าน

ผู้คน 46 คนสูญเสียความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อหรือการเคลื่อนไหวของร่างกายย่ำแย่ลง เนื่องจากอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลานาน มี 27 คนที่ความสามารถในการรู้คิดย่ำแย่ลง เนื่องจากอายุมากและปัจจัยอื่น ๆ

มีรายงานด้วยว่าบางคนมีการรับกลิ่นผิดปกติไปจากเดิม และเกิดความผิดปกติของการทำงานของสมอง

ผู้คนจำนวนมากที่มีอาการต่อเนื่องหลังการติดเชื้อนั้นเคยได้รับการรักษาด้วยเครื่องช่วยหายใจ หรือเครื่อง ECMO ที่ช่วยพยุงการหายใจและการทำงานของหัวใจ

งานวิจัยในญี่ปุ่นเกี่ยวกับอาการต่อเนื่องหลังหายป่วยจากโรคโควิด-19 แล้ว

มีรายงานจำนวนหนึ่งทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศเกี่ยวกับกรณีที่ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ มีอาการไข้และอ่อนเพลียนานหลายเดือน ตลอดจนหายใจติดขัด รวมถึงประสิทธิภาพในการทำงานของร่างกายลดลงซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน หลังจากที่พวกเขาปลอดเชื้อและออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว

สมาคมทางเดินหายใจแห่งญี่ปุ่นได้เริ่มศึกษาและดำเนินการวิจัยตั้งแต่เดือนกันยายน โดยเน้นไปที่การทำงานของปอดที่ย่ำแย่ลงของผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ งานวิจัยนี้ได้สอบถามบรรดาแพทย์ที่เป็นสมาชิกของสมาคมซึ่งทำงานอยู่ตามสถานที่ด้านการแพทย์ต่าง ๆ ทั่วญี่ปุ่น เพื่อให้รายงานเกี่ยวกับกรณีที่ว่านี้

โยโกยามะ อากิฮิโตะ ประธานของสมาคมดังกล่าวระบุว่า มีรายงานจำนวนมากในต่างประเทศเกี่ยวกับผู้ป่วยที่การทำงานของปอดไม่ได้ฟื้นตัวกลับมาสมบูรณ์เต็มที่หลังจากที่พวกเขาปลอดเชื้อไวรัสนี้

เขากล่าวว่ามีรายงานกรณีที่คล้ายคลึงกันนี้ในญี่ปุ่นด้วย ปัจจุบันยังไม่มีใครทราบแน่ชัดเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ เช่น อัตราของผู้ที่ติดเชื้อไวรัสนี้ซึ่งต้องเผชิญกับผลที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น อย่างไรก็ตาม กำลังมีการเก็บข้อมูลเพื่อศึกษาผู้คนเหล่านี้และนำข้อมูลที่ได้ไปใช้กับกรณีในอนาคต

เป็นเรื่องจริงหรือไม่ที่บางคนยังคงมีอาการต่อเนื่อง แม้ว่าจะหายจากโรคโควิด-19 แล้วก็ตาม

คณะนักวิจัยจากศูนย์การแพทย์และสาธารณสุขนานาชาติแห่งชาติของญี่ปุ่น ได้จัดทำการสำรวจติดตามอาการของผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งหายจากการติดเชื้อและออกจากโรงพยาบาลแล้ว โดยพบว่าบางคนผมร่วง บางคนระบุว่าหายใจติดขัดและสูญเสียการรับรสชาติรวมถึงกลิ่น แม้ว่าจะผ่านไป 4 เดือนแล้วก็ตาม คณะนักวิจัยระบุว่าจะดำเนินการวิจัยต่อไปโดยจะพยายามทำให้ปัจจัยเสี่ยงของอาการต่อเนื่องเหล่านี้มีความชัดเจนมากขึ้น

ผมร่วงนั้นเป็นอาการหนึ่งที่มีรายงานในกลุ่มผู้ที่หายจากโรคอีโบลาและไข้เลือดออกเช่นกัน นายแพทย์โมริโอกะ ชินอิจิโร หนึ่งในสมาชิกของคณะนักวิจัยนี้กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ด้วยว่าอาการผมร่วงนั้นเกิดจากความเครียดด้านจิตใจจากการรักษาที่กินเวลานาน

มาตรการป้องกันการติดเชื้อซ้ำ

มีการรายงานกรณีการติดเชื้อซ้ำซึ่งพบว่ามีผู้คนติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็นครั้งที่ 2 ทั่วโลก บรรดาผู้เชี่ยวชาญบอกกับเราว่าการป้องกันการติดเชื้อซ้ำได้อย่างสมบูรณ์แบบนั้นเป็นเรื่องยาก และแม้ว่าเราจะได้รับวัคซีนแล้วก็ตาม เราก็ยังคงสามารถติดเชื้อไวรัสนี้ได้ ครั้งนี้เราจะนำเสนอโดยมุ่งเน้นไปที่มาตรการป้องกันการติดเชื้อซ้ำ

ปัจจุบันกำลังมีความพยายามในทุกระดับเพื่อทำให้วัคซีนสามารถใช้การได้ในอนาคตอันใกล้ แต่คณะผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าเราไม่ควรลดระดับการป้องกันลง พวกเขาขอให้ยังคงดำเนินมาตรการพื้นฐานต่อไป เช่น การล้างมือให้สะอาดทั่วถึง การปฏิบัติตาม 3 หลีกเลี่ยง ได้แก่ สถานที่ที่มีผู้คนแออัด การสัมผัสใกล้ชิดและการอยู่ในสถานที่ที่มีพื้นที่จำกัดและเป็นพื้นที่ปิด ตลอดจนการรักษาระยะห่างทางสังคม

กลุ่มผู้สื่อข่าวของ NHK ซึ่งรายงานเรื่องไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่กล่าวว่า ยังคงมีหลายสิ่งที่เราไม่รู้เกี่ยวกับไวรัสนี้ และว่าเราควรติดตามอย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับความคืบหน้าต่าง ๆ ในงานวิจัยอันหลากหลาย แต่พวกเขาได้เน้นย้ำตรงกันว่า การดำเนินมาตรการพื้นฐานอย่างถี่ถ้วนนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

เราจะรับมืออย่างไรต่อไวรัสนี้ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะหายไป

มีรายงานทั่วโลกนับตั้งแต่ฤดูร้อนที่ผ่านมาว่าเกิดกรณีที่ผู้คนซึ่งติดเชื้อและหายป่วยแล้ว จากนั้นกลับมาติดเชื้ออีกครั้ง ทำให้เกิดคำถามว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงหรือไม่ หรือวัคซีนใช้ได้ผลหรือไม่ เราจะตอบคำถามในประเด็นเหล่านี้ โดยครั้งนี้จะไปดูกันว่า เราจะรับมืออย่างไรต่อไวรัสเจ้าปัญหานี้ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะหายไป

ศาสตราจารย์มัตสึอูระ โยชิฮารุ จากมหาวิทยาลัยโอซากา ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานของสมาคมไวรัสวิทยาแห่งญี่ปุ่น ระบุว่าเราควรดำเนินการบนสมมติฐานที่ว่าการติดเชื้อซ้ำนั้นอาจเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกันกับไวรัสโคโรนาทั่วไปที่ทำให้เกิดไข้หวัด ซึ่งมีการติดเชื้อซ้ำเช่นกัน

ศาสตราจารย์มัตสึอูระชี้ว่าไวรัสที่ไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อซ้ำนั้นมีอยู่น้อยมาก และว่าไวรัสจะไม่สามารถอยู่รอดได้หากมันทำลายแหล่งพักพิง ประวัติศาสตร์อันยาวนานระหว่างมนุษย์กับไวรัสแสดงให้เห็นรูปแบบที่ว่า เมื่อเกิดการติดเชื้อซ้ำ อาการต่าง ๆ ก็จะรุนแรงน้อยลง ศาสตราจารย์มัตสึอูระกล่าวว่าเราไม่ควรหวาดกลัวไวรัสมากจนเกินไป

วัคซีนอีกรูปแบบหนึ่งที่น่าจับตา

มีรายงานทั่วโลกในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาว่าเกิดกรณีที่ผู้คนซึ่งติดเชื้อและหายป่วยแล้ว จากนั้นกลับมาติดเชื้ออีกครั้ง ทำให้เกิดคำถามว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงหรือไม่ หรือวัคซีนใช้ได้ผลหรือไม่ ในตอนที่แล้วเราได้รายงานเกี่ยวกับวัคซีนฉีดพ่นในจมูกที่ขณะนี้อยู่ในระหว่างการพัฒนา ครั้งนี้เราจะนำเสนอเกี่ยวกับวัคซีนอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งน่าจับตา

เราได้สอบถามศาสตราจารย์ซาซากิ ฮิโตชิ จากมหาวิทยาลัยนางาซากิ ผู้ที่กำลังพัฒนาวัคซีนซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างสารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดีที่บริเวณเยื่อบุของปอด ทั้งนี้ ไวรัสสามารถทำให้เกิดอาการปอดอักเสบได้เมื่อมาเกาะอยู่ที่เยื่อบุปอด วัคซีนนี้จึงมุ่งที่จะป้องกันการติดเชื้อที่เยื่อบุปอด

วัคซีนดังกล่าวทำมาจากอนุภาคที่เล็กมากของสารพันธุกรรม RNA ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่สังเคราะห์ขึ้นมา วัคซีนนี้จะให้ผ่านการสูดหายใจเข้าไปทางปาก เพื่อที่จะได้ไปถึงเยื่อบุของปอดโดยตรง บรรดานักวิจัยเชื่อว่าวัคซีนนี้จะได้ผลค่อนข้างดี เนื่องจากทำให้เกิดการสร้างสารภูมิต้านทานตรงจุดที่ไวรัสกำลังทำงาน

มีวัคซีนใดบ้างที่ใช้ได้ผล

มีการรายงานกรณีที่ผู้คนซึ่งติดเชื้อและหายป่วยแล้ว จากนั้นกลับมาติดเชื้ออีกครั้ง รายงานดังกล่าวเกิดขึ้นทั่วโลกในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา หลายคนอาจจะสงสัยว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงหรือไม่ หรือวัคซีนใช้ได้ผลหรือไม่ เราได้รายงานไปแล้วว่าการติดเชื้อซ้ำอาจเกิดขึ้นได้แม้ว่าจะมีการพัฒนาและใช้วัคซีนก็ตาม คำถามคือมีวัคซีนใดบ้างที่ใช้ได้ผล

วัคซีนจำนวนมากมีหน้าที่สร้างสารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดีในกระแสเลือด แต่วัคซีนที่ช่วยให้ร่างกายป้องกันการติดเชื้อได้นั้นกำลังอยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนา

ศาสตราจารย์คาตายามะ คาซูฮิโกะ จากมหาวิทยาลัยคิตาซาโตะ กำลังพัฒนาวัคซีนฉีดพ่นจมูกประเภทใหม่ เขาเชื่อว่าสารภูมิต้านทานสามารถสร้างขึ้นได้ในทางเดินหายใจส่วนบน และไวรัสจะถูกสกัดไว้ที่ด่านแรกบริเวณทางเข้าสู่ร่างกายด้วยวิธีการฉีดพ่นวัคซีนในจมูก เขากล่าวว่าเขาตั้งใจที่จะดำเนินการวิจัยต่อไปในอีกหลายปีต่อจากนี้

ศาสตราจารย์คาตายามะระบุว่าหากสารภูมิต้านทานอิมมูโนโกลบูลินเอ สามารถผลิตได้ในเยื่อบุของจมูก ก็อาจสามารถระงับการติดเชื้อได้ก่อนที่ไวรัสจะเพิ่มจำนวนเป็นปริมาณมาก ดังนั้น จึงอาจสามารถป้องกันไม่ให้ไวรัสไปถึงปอดได้

การติดเชื้อซ้ำกับประสิทธิผลของวัคซีนที่อยู่ระหว่างการพัฒนานั้นสัมพันธ์กันอย่างไร

มีการรายงานกรณีที่ผู้คนซึ่งติดเชื้อและหายป่วยแล้ว จากนั้นกลับมาติดเชื้ออีกครั้ง รายงานดังกล่าวเกิดขึ้นทั่วโลกในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา หลายคนอาจจะสงสัยว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงหรือไม่ หรือวัคซีนใช้ได้ผลหรือไม่ ในตอนนี้เราจะไปดูกันว่าเราควรทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างการติดเชื้อซ้ำกับประสิทธิผลของวัคซีนที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาอย่างไร

การพิจารณาเรื่องการติดเชื้อซ้ำนั้นเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากสิ่งนี้ส่งผลต่อการพัฒนาวัคซีน วัคซีนมุ่งเป้าไปที่การสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคติดเชื้อโดยการให้ไวรัสที่อ่อนแอเข้าไปในร่างกายและกระตุ้นให้ร่างกายสร้างสารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี

อย่างไรก็ตาม มีคำถามมากมายเกี่ยวกับประสิทธิผลของวัคซีน ถ้าเกิดการติดเชื้อและร่างกายได้สร้างสารภูมิต้านทานแล้ว แต่จากนั้นกลับมาติดเชื้อซ้ำอีกครั้ง

ศาสตราจารย์นากายามะ เท็ตสึโอะ นักวิทยาไวรัสจากมหาวิทยาลัยคิตาซาโตะเตือนผู้คนไม่ให้ด่วนสรุปว่าวัคซีนไม่ได้ผล เพียงแค่เพราะว่าเกิดการติดเชื้อซ้ำ ศาสตราจารย์นากายามะกล่าวว่าในขณะที่การติดเชื้อซ้ำอาจเกิดขึ้นได้ แม้ว่าจะมีการพัฒนาวัคซีนและฉีดวัคซีนแล้วนั้น แต่การเข้ารับวัคซีนก็เป็นสิ่งที่ควรค่า

ศาสตราจารย์นากายามะเน้นย้ำว่าการให้วัคซีนไม่ได้มุ่งหวังแค่การป้องกันการติดเชื้อเท่านั้น แต่ยังมุ่งให้เกิดผลลัพธ์อื่น ๆ ที่รวมถึงการป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยมีอาการร้ายแรงด้วย

จะสามารถป้องกันการติดเชื้อซ้ำได้หรือไม่

มีการรายงานกรณีที่ผู้คนซึ่งติดเชื้อและหายป่วยแล้ว จากนั้นกลับมาติดเชื้ออีกครั้ง รายงานดังกล่าวเกิดขึ้นทั่วโลกในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา หลายคนอาจจะสงสัยว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงหรือไม่ หรือวัคซีนใช้ได้ผลหรือไม่ ในตอนนี้เราจะนำเสนอว่าจะสามารถป้องกันการติดเชื้อซ้ำได้หรือไม่

เราได้สอบถามศาสตราจารย์คาตายามะ คาซูฮิโกะ จากมหาวิทยาลัยคิตาซาโตะ โดยเขาระบุว่าการป้องกันการติดเชื้อซ้ำนั้นเป็นเรื่องยาก

เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เข้าสู่ร่างกายผ่านเยื่อบุของทางเดินหายใจส่วนบน ซึ่งนั่นก็คือจมูกและคอ จากนั้นสารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดีที่เรียกว่าอิมมูโนโกลบูลินเอ หรือ IgA จะก่อตัวขึ้นบนเยื่อบุเพื่อสู้กับไวรัสที่กำลังเข้ามาในร่างกาย

อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์คาตายามะกล่าวว่า ระดับของ IgA มีแนวโน้มจะลดลงในช่วงเวลาเพียงไม่นานหลังจากที่บุคคลผู้นั้นติดเชื้อและได้สร้างแอนติบอดีขึ้นมาแล้วก็ตาม นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ศาสตราจารย์คาตายามะกล่าวว่า เรามีโอกาสไม่มากนักที่จะหยุดยั้งไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ไม่ให้เข้ามาในร่างกายซ้ำอีก

ศาสตราจารย์คาตายามะมีแผนที่จะเริ่มโครงการวิจัยเพื่อศึกษาว่าผู้ป่วยที่ติดเชื้อนั้นผลิต IgA ได้มากเท่าไหร่ในทางเดินหายใจส่วนบน และ IgA นี้อยู่ได้นานแค่ไหน โครงการดังกล่าวจะช่วยตอบคำถามของเราที่ว่า การติดเชื้อซ้ำนั้นเกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน

อาการต่าง ๆ ที่ปรากฏในกรณีที่ติดเชื้อซ้ำนั้นไม่รุนแรงใช่หรือไม่

ครั้งนี้เราจะนำเสนอเกี่ยวกับผู้คนที่ติดเชื้อและหายป่วยแล้ว จากนั้นกลับมาติดเชื้ออีกครั้ง ที่ผ่านมามีการรายงานกรณีติดเชื้อซ้ำเช่นว่านี้ทั่วโลกนับตั้งแต่หลายเดือนก่อน หลายคนอาจจะสงสัยว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงหรือไม่ หรือวัคซีนใช้ได้ผลหรือไม่ เราจะไปติดตามกันว่าอาการต่าง ๆ ที่ปรากฏในกรณีที่ติดเชื้อซ้ำนั้นไม่รุนแรงใช่หรือไม่

ว่ากันว่าการติดเชื้อไวรัสต่าง ๆ ซ้ำซึ่งไม่ใช่เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นั้น อาการต่าง ๆ ที่ปรากฏจะไม่รุนแรง หรือไม่มีอาการเลย

อย่างเช่นกรณีของไวรัสอาร์เอสวี ซึ่งทำให้เกิดการติดเชื้อทางเดินหายใจนั้น จะทำให้มีอาการต่าง ๆ คล้ายไข้หวัด แต่หากเด็กเล็กติดเชื้อนี้ ก็จะก่อให้เกิดอันตรายมากกว่า โดยจะนำไปสู่กรณีของโรคปอดอักเสบและอาการป่วยรุนแรง

ศาสตราจารย์นากายามะ เท็ตสึโอะ นักวิทยาไวรัสจากมหาวิทยาลัยคิตาซาโตะ ได้ศึกษาสารภูมิต้านทาน หรือแอนติบอดีของเด็ก 91 คนซึ่งติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวี ทั้งนี้ ร่างกายจะผลิตแอนติบอดีเมื่อเกิดการติดเชื้อไวรัส เพื่อพยายามขับไล่สิ่งแปลกปลอมออกไป เชื่อกันว่าเมื่อมีการผลิตแอนติบอดีในจำนวนที่มากพอ ก็จะสามารถป้องกันการติดเชื้อได้

ผลการศึกษาพบว่าเมื่อเด็กวัย 1 ขวบคนหนึ่งติดเชื้อ มีการผลิตแอนติบอดีออกมาแค่จำนวนเล็กน้อย มีการตรวจสอบพบว่าจำนวนแอนติบอดีได้เพิ่มมากขึ้น หลังจากเกิดการติดเชื้อซ้ำ

ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าเมื่อจำนวนของแอนติบอดีในร่างกายเพิ่มมากขึ้นนั้น อาการต่าง ๆ ก็เบาลง ในหลายกรณีพบว่า ผู้ติดเชื้อมีแค่อาการน้ำมูกไหลเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ในกรณีของโรคไข้เลือดออกนั้น การติดเชื้อครั้งที่ 2 อาจทำให้เกิดอาการที่รุนแรงมากกว่าเดิม ไข้เลือดออกเป็นโรคที่มียุงลายเป็นพาหะ ซึ่งจะทำให้มีไข้สูงและปวดศีรษะอย่างรุนแรง

หากเป็นการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ซ้ำนั้น อาการจะเป็นอย่างไร ศาสตราจารย์นากายามะกล่าวว่ามีความเป็นไปได้ที่บางคนอาจจะไม่มีอาการ และไม่รู้ตัวว่าได้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่อีกครั้งหนึ่ง เขากล่าวว่าต้องจับตาสถานการณ์นี้อย่างระมัดระวัง เนื่องจากยังไม่ทราบแน่ชัดว่าอาการต่าง ๆ ของการติดไวรัสนี้ซ้ำเป็นอย่างไร

ข้อมูลเกี่ยวกับผู้คนที่ติดเชื้อและหายป่วยแล้ว จากนั้นกลับมาติดเชื้ออีกครั้ง

ครั้งนี้เราจะนำเสนอเกี่ยวกับผู้คนที่ติดเชื้อและหายป่วยแล้ว จากนั้นกลับมาติดเชื้ออีกครั้ง ที่ผ่านมามีการรายงานกรณีติดเชื้อซ้ำเช่นว่านี้ทั่วโลก หลายคนอาจจะสงสัยว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงหรือไม่ หรือวัคซีนใช้ได้ผลหรือไม่ ไปติดตามข้อมูลที่มีรายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้กัน

คณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮ่องกงเป็นคณะแรกที่รายงานการติดเชื้อซ้ำเมื่อเดือนสิงหาคม โดยระบุว่าพวกตนยืนยันว่าชายวัย 33 ปีคนหนึ่งได้ติดเชื้อครั้งแรกเมื่อปลายเดือนมีนาคม และจากนั้นก็หายป่วย แต่ต่อมากว่า 4 เดือนหลังจากนั้นก็ติดไวรัสนี้เป็นครั้งที่ 2

คณะนักวิจัยกล่าวว่าลำดับพันธุกรรมของไวรัสที่ตรวจพบในการติดเชื้อ 2 ครั้งนั้นแตกต่างกันบางส่วน ด้วยเหตุนี้นี่จึงเป็นการติดเชื้อซ้ำที่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์เป็นครั้งแรกของโลก

หลังจากรายงานของคณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮ่องกง คณะนักวิจัยอื่น ๆ ในสหรัฐ อินเดีย และสถานที่ต่าง ๆ ก็ได้ประกาศข้อมูลที่คล้ายคลึงกัน

วารสารวิทยาศาสตร์ “Nature” ได้ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับการติดเชื้อซ้ำ และความสนใจในกรณีเช่นว่านี้ก็กำลังเพิ่มมากขึ้น

เราได้สอบถามศาสตราจารย์นากายามะ เท็ตสึโอะ นักวิทยาไวรัสจากมหาวิทยาลัยคิตาซาโตะ ว่าผู้คนสามารถติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ซ้ำได้จริงหรือไม่

ศาสตราจารย์นากายามะกล่าวว่าการติดเชื้อซ้ำเกิดขึ้นกับไวรัสอื่น ๆ ได้หลายชนิด ดังนั้น จึงสามารถคิดได้ว่าผู้คนจะติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ซ้ำได้เช่นกัน

จะฆ่าเชื้อที่สมาร์ตโฟนได้อย่างไร

เราได้สอบถามคุณซากาโมโตะ ฟูมิเอะ ผู้เชี่ยวชาญด้านมาตรการป้องกันการติดเชื้อจากโรงพยาบาลนานาชาติเซนต์ลุกส์ คุณซากาโมโตะกล่าวว่าสามารถเช็ดสมาร์ตโฟนด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ได้

ถ้าไม่มีน้ำยาฆ่าเชื้อที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ คุณซากาโมโตะกล่าวว่าสามารถใช้น้ำยาทำความสะอาดที่มีค่าเป็นกลางซึ่งใช้กันในครัวเรือนได้ นำน้ำยาดังกล่าวมาเจือจางโดยใช้น้ำยาประมาณ 5-10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 1 ลิตร จุ่มผ้าผืนเล็กลงไปและบิดให้หมาด จากนั้นก็นำไปเช็ดสมาร์ตโฟน

การไปทำฟันสามารถทำให้ติดเชื้อได้หรือไม่

สมาคมทันตแพทย์แห่งญี่ปุ่นระบุว่าคลินิกทันตกรรมทั้งหลายดำเนินมาตรการป้องกันมากมาย ด้วยเหตุนี้ ผู้คนที่ไม่มีไข้ ไอ หรืออาการอื่น ๆ สามารถเข้ารับการตรวจรักษาได้ตามปกติ

ส่วนผู้ที่มีอาการต่าง ๆ ก็อาจมีการขอให้งดเว้นจากการเข้ารับการตรวจรักษา

อย่างไรก็ตาม ทางสมาคมระบุว่าบางกรณีอาจเป็นกรณีเร่งด่วนหรืออาจเสี่ยงต่อชีวิตหากปล่อยไว้ไม่รักษา ดังนั้น จึงควรปรึกษาทันตแพทย์ก่อนเป็นอันดับแรก

การเดินทางด้วยเครื่องบินหรือรถไฟหัวกระสุนชิงกันเซ็นนั้นปลอดภัยหรือไม่

เป็นเรื่องจริงที่ว่าภายในตู้โดยสารของรถไฟและห้องโดยสารของเครื่องบินนั้นอากาศถ่ายเทไม่ดีเหมือนกับพื้นที่ด้านนอก แต่ผู้โดยสารส่วนมากที่อยู่ในนั้นก็ไม่ได้ตะโกนหรือส่งเสียงดังโวยวาย

เราได้สอบถามคุณซากาโมโตะ ฟูมิเอะ ผู้เชี่ยวชาญด้านมาตรการป้องกันการติดเชื้อจากโรงพยาบาลนานาชาติเซนต์ลุกส์ คุณซากาโมโตะกล่าวว่าไม่จำเป็นต้องกังวลมากนักเกี่ยวกับการติดเชื้อระหว่างที่โดยสารเครื่องบินหรือรถไฟ ตราบใดที่ผู้โดยสารอยู่เงียบ ๆ และรักษาระยะห่างจากผู้คนโดยรอบ

อย่างไรก็ตาม คุณซากาโมโตะกล่าวเสริมว่าในขณะที่การเดินทางนั้นมีความเสี่ยงไม่มากที่จะติดเชื้อ แต่ความเสี่ยงดังกล่าวอาจเพิ่มสูง หากมีการสังสรรค์และรวมตัวกันในพื้นที่จำกัดตามที่พักหรือโรงแรม เธอกล่าวว่าพฤติกรรมดังกล่าวสามารถนำไปสู่การติดเชื้อแบบกลุ่มได้ ดังนั้นจึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษที่จะหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเช่นนี้

มีโอกาสที่จะติดเชื้อที่สระว่ายน้ำและโรงอาบน้ำสาธารณะหรือไม่

เราได้สอบถามคุณซากาโมโตะ ฟูมิเอะ ผู้เชี่ยวชาญด้านมาตรการป้องกันการติดเชื้อจากโรงพยาบาลนานาชาติเซนต์ลุกส์ คุณซากาโมโตะกล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับการติดเชื้อจากสระว่ายน้ำหรือโรงอาบน้ำ แม้ว่าน้ำในนั้นจะมีเชื้อไวรัสปะปนอยู่ แต่ก็จะอยู่ในระดับที่เจือจางมาก คุณซากาโมโตะกล่าวว่า การว่ายน้ำในสระว่ายน้ำหรืออาบน้ำที่โรงอาบน้ำนั้นแทบจะไม่มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อ

อย่างไรก็ตาม คุณซากาโมโตะระบุว่าหากมีการสัมผัสสิ่งของในห้องล็อกเกอร์หรือห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าของสถานที่เหล่านี้ซึ่งมีผู้คนจำนวนมากมาสัมผัสไว้ก่อนหน้าและไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นใคร ก็มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้ เธอแนะนำว่าไม่ควรจับใบหน้า ปาก จมูก และตา ด้วยมือที่ยังไม่ได้ล้างให้สะอาด

การรับประทานผักสดที่จำหน่ายในซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งต่าง ๆ โดยไม่ผ่านการปรุงสุกนั้น ปลอดภัยหรือไม่

เราได้สอบถามคุณซากาโมโตะ ฟูมิเอะ ผู้เชี่ยวชาญด้านมาตรการป้องกันการติดเชื้อจากโรงพยาบาลนานาชาติเซนต์ลุกส์ คุณซากาโมโตะกล่าวว่านับจนถึงขณะนี้ การติดเชื้อจากสิ่งที่รับประทานเข้าไปนั้น มีโอกาสเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

คณะนักวิจัยมีสมมติฐานที่ว่าผู้คนติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จากสัตว์ที่ยังมีชีวิตซึ่งจำหน่ายกันในตลาดแห่งหนึ่งของประเทศจีน อย่างไรก็ตาม คุณซากาโมโตะกล่าวว่า แม้จะมีสมมติฐานนี้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้คนจะติดเชื้อจากการรับประทานอาหารที่ซื้อมาจากตลาด

เธอกล่าวว่าเราไม่ต้องกังวลมากนัก หากรับประทานอาหารที่จำหน่ายในซูเปอร์มาร์เก็ตที่ปฏิบัติอย่างถูกสุขลักษณะ เธอกล่าวว่าเราแค่ล้างผักเหล่านั้นให้สะอาดเหมือนที่ทำกันตามปกติและก็รับประทานได้

เราจำเป็นต้องจำกัดการใช้งานพื้นที่เปิดโล่งหรือไม่

เราได้สอบถามคุณซากาโมโตะ ฟูมิเอะ ผู้เชี่ยวชาญด้านมาตรการป้องกันการติดเชื้อจากโรงพยาบาลนานาชาติเซนต์ลุกส์ คุณซากาโมโตะกล่าวว่าความเสี่ยงของการติดเชื้อเมื่ออยู่ภายนอกอาคารนั้นอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากมีอากาศถ่ายเทอยู่ตลอด ไม่เหมือนอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ปิดภายในอาคาร

อย่างไรก็ตาม คุณซากาโมโตะกล่าวเสริมว่าแม้จะอยู่ภายนอกอาคาร แต่ความเสี่ยงของการติดเชื้ออาจเพิ่มขึ้นถ้ามีการพูดคุยกันในระยะใกล้ เธอกล่าวว่าหากไม่ได้ทำเช่นนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลมากนัก

เธอยังได้แนะนำให้รักษาระยะห่างจากผู้อื่นเมื่อมีการมารวมตัวกันหรือรับประทานอาหารร่วมกันที่พื้นที่ด้านนอก อย่างเช่นกรณีของการสังสรรค์ชมดอกซากุระ เธอกล่าวว่าถ้าบุคคลใดก็ตามรู้สึกไม่สบาย ก็ควรงดเว้นจากการเข้าร่วมงานสังสรรค์เช่นว่านี้ เพื่อที่จะได้ช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อได้มากยิ่งขึ้น

ถ้าสมาชิกในครอบครัวติดเชื้อไวรัสนี้ เราควรทำอย่างไร

คณะผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อซึ่งรวมถึงศาสตราจารย์คากุ มิตซูโอะ จากมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์และเภสัชศาสตร์โทโฮกุ ได้เผยแพร่คู่มือที่ระบุมาตรการเฉพาะเพื่อช่วยป้องกันการติดเชื้อ

คู่มือดังกล่าวระบุว่าควรมีแค่บุคคลเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ดูแลสมาชิกครอบครัวที่ติดเชื้อ ผู้ดูแลควรสวมถุงมือ สวมหน้ากากอนามัย และล้างมือบ่อย ๆ และควรวัดอุณหภูมิร่างกายตนเองวันละ 2 ครั้ง ตลอดจนคอยสังเกตตนเองด้วยว่ามีอาการใด ๆ หรือไม่

คู่มือระบุด้วยว่าเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ไวรัสแพร่กระจาย ไม่ควรรับประทานอาหารจากภาชนะใส่อาหารที่ใช้ร่วมกัน และอุปกรณ์ตักอาหารก็ควรใช้แยกกัน ควรแช่จานในน้ำยาฆ่าเชื้ออย่างน้อย 5 นาทีแล้วจึงค่อยล้าง ส่วนเสื้อผ้าหรือผ้าปูเตียงที่อาจจะมีของเหลวจากร่างกายติดอยู่ ควรแช่ในน้ำร้อนอุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียสอย่างน้อย 10 นาที ก่อนที่จะซัก

คู่มือนี้ยังบอกด้วยว่า การทำให้อากาศภายในห้องถ่ายเทด้วยการเปิดหน้าต่างนาน 5-10 นาที ทุก ๆ 1 หรือ 2 ชั่วโมงนั้นเป็นเรื่องสำคัญ

จะทำอย่างไรเมื่อผู้อยู่อาศัยในอาคารเดียวกันกับคุณตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

เรื่องนี้เกิดขึ้นที่อาคารชุดในเมืองอาซาฮีกาวะของฮอกไกโด กรรมการสมาคมของอาคารชุดดังกล่าวได้สอบถามคุณมิซูชิมะ โยชิฮิโระ รองประธานสมาพันธ์แห่งสมาคมด้านการบริหารจัดการอาคารชุด เกี่ยวกับวิธีการฆ่าเชื้อที่อาคารแห่งนี้

คุณมิซูชิมะได้ไปเยือนศูนย์สาธารณสุขแห่งหนึ่งของเมืองนี้และสอบถามว่าศูนย์แห่งนี้สามารถส่งเจ้าหน้าที่ไปฆ่าเชื้อที่อาคารดังกล่าวได้หรือไม่ แต่ทางศูนย์ระบุว่าอาคารชุดดังกล่าวเป็นสินทรัพย์ที่ครอบครองโดยเอกชน และพวกตนไม่สามารถไปฆ่าเชื้อให้ได้

ด้วยเหตุนี้ ผู้อยู่อาศัยในอาคารดังกล่าวจึงต้องดำเนินการเอง เราได้ถามเจ้าหน้าที่ของศูนย์สาธารณสุขในเมืองอาซาฮีกาวะว่าต้องคำนึงถึงอะไรบ้างในตอนที่ดำเนินการฆ่าเชื้อด้วยตนเอง

ประการแรก ต้องฆ่าเชื้อสิ่งของต่าง ๆ ที่อยู่ในพื้นที่ที่ใช้ร่วมกันซึ่งผู้คนมักจะสัมผัสด้วยมือโดยตรง เช่น ปุ่มกดบนแป้นพิมพ์ของอุปกรณ์เปิด-ปิดประตูเข้าอาคาร, ปุ่มกดในลิฟต์, ราวจับ, สิ่งของที่อยู่ภายในห้องน้ำที่ใช้ร่วมกัน รวมถึงลูกบิดประตูและบันไดฉุกเฉิน

เจ้าหน้าที่กล่าวว่าไม่จำเป็นต้องฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อในอากาศเพราะไวรัสนี้จะลอยอยู่ในอากาศได้ไม่นานมากนัก

เจ้าหน้าที่แนะนำให้ผู้ทำความสะอาดใช้กระดาษทิชชูแผ่นใหญ่สำหรับงานครัวจุ่มลงไปในโซเดียมไฮโปคลอไรท์ที่มีความเข้มข้นร้อยละ 0.05 และเช็ดที่พื้นผิวทั้งหมดอย่างถี่ถ้วน

ไม่ควรฉีดพ่นสารดังกล่าวลงไปบนกระดาษทิชชูสำหรับงานครัวเพราะถ้าทำเช่นนั้น ผู้ทำความสะอาดจะสูดเอาละอองที่เป็นอันตรายเข้าไปได้ นอกจากนี้ การฉีดพ่นที่ไม่ทั่วถึงทำให้เหลือพื้นที่บนกระดาษที่ไม่โดนน้ำยาฆ่าเชื้อ ซึ่งจะทำให้การฆ่าเชื้อไม่สะอาดสมบูรณ์

ทั้งนี้ ข้อมูลที่เรานำเสนอใช้กับกรณีที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่น ศูนย์สาธารณสุขในประเทศอื่น ๆ อาจดำเนินการแตกต่างกันออกไปก็ว่าได้

เด็ก ๆ ควรสวมหน้ากากอนามัยหรือไม่

นายแพทย์ทากายามะ โยชิฮิโระ จากแผนกโรคติดเชื้อของโรงพยาบาลโอกินาวาชูบุ ได้ช่วยรัฐบาลญี่ปุ่นจัดทำมาตรการต่อต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เขาเตือนเรื่องการใช้หน้ากากอนามัยของเด็ก ๆ โดยกล่าวว่าเด็ก ๆ อาจจะจับใบหน้าบ่อยขึ้นกว่าเดิมเมื่อสวมหน้ากากอนามัย และนั่นอาจเพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อได้

เขากล่าวว่าเมื่อเป็นเรื่องของเด็ก ๆ แล้วนั้น มาตรการพื้นฐาน เช่น การล้างมือเป็นประจำและการวัดอุณหภูมิก่อนออกจากบ้านและตอนกลับมาถึงบ้าน ควรเป็นสิ่งที่ให้ความสำคัญก่อน

สมาคมกุมารแพทย์แห่งญี่ปุ่นแนะนำว่าเด็ก ๆ ที่อายุไม่ถึง 2 ขวบไม่ต้องสวมหน้ากากอนามัย โดยระบุว่าการสวมหน้ากากอนามัยอาจทำให้หายใจลำบาก ด้านกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นก็กล่าวว่า ทางกระทรวงไม่ได้ขอให้ประชาชนทุกคนสวมหน้ากากอนามัย เนื่องจากเด็กบางคนมีปัญหาเรื่องการสวมหน้ากากอนามัยอย่างเหมาะสม

นายแพทย์ทากายามะเตือนพ่อแม่เกี่ยวกับการบังคับให้ลูก ๆ สวมหน้ากากอนามัยเพราะเด็ก ๆ คนอื่นก็สวม เขาขอให้พ่อแม่ใช้วิธีปฏิบัติพื้นฐานและพิจารณาพัฒนาการของลูก เมื่อต้องตัดสินใจว่าลูกควรสวมหน้ากากอนามัยหรือไม่

วัคซีนสำหรับป้องกันไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่พัฒนาไปได้แค่ไหนแล้ว

การพัฒนาวัคซีนสำหรับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่กำลังเดินหน้ารวดเร็วกว่าที่เคยเป็นมา นับตั้งแต่ที่องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ประกาศว่าเกิดการระบาดใหญ่ของเชื้อไวรัสนี้

ณ วันที่ 9 กันยายน องค์การอนามัยโลกระบุถึงรายงานที่ว่ากำลังมีการพัฒนาวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ทั่วโลกถึง 180 รายการ และการแข่งขันกันพัฒนาวัคซีนนี้กำลังเพิ่มความเร็วยิ่งขึ้น

ในจำนวนนี้ 35 รายการได้เริ่มทำการทดสอบทางคลินิกกับมนุษย์เพื่อยืนยันประสิทธิภาพและความปลอดภัย และบางส่วนในจำนวนนี้ได้ไปถึงขั้นตอนสุดท้ายของการพัฒนาแล้ว

ขณะนี้กำลังมีการจับตามองวัคซีนประเภทใหม่ โดยบรรดานักวิทยาศาสตร์กำลังพยายามเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายมนุษย์ ด้วยการฉีดหน่วยพันธุกรรมหรือยีนของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เข้าไปในร่างกายเพื่อให้ร่างกายผลิตโปรตีนของไวรัส ซึ่งโปรตีนนี้จะทำหน้าที่เป็นสารก่อภูมิต้านทาน หรือแอนติเจน

รัสเซียได้รับรองอย่างเป็นทางการให้ใช้วัคซีนชื่อว่า สปุตนิก 5 เมื่อเดือนสิงหาคม วัคซีนนี้ใช้ไวรัสชนิดหนึ่งที่ยืนยันว่าปลอดภัย เป็นตัวนำหน่วยพันธุกรรมของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เข้าสู่ร่างกาย ทั้งนี้ทางการรัสเซียได้รับรองวัคซีนดังกล่าวแม้ว่าขั้นตอนสุดท้ายในการทดสอบทางคลินิกกับมนุษย์ยังไม่เสร็จสิ้นลง

ขณะที่บริษัทไฟเซอร์ ผู้ผลิตยายักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ก็กำลังพัฒนาวัคซีนที่ใช้หน่วยพันธุกรรมซึ่งรู้จักในชื่อ mRNA (เอ็มอาร์เอ็นเอ) ส่วนบริษัทแอสตราเซเนกาของอังกฤษก็กำลังร่วมกับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดในการพัฒนาวัคซีนที่ใช้หน่วยพันธุกรรมของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

วัคซีนประเภทที่ใช้หน่วยพันธุกรรมเหล่านี้คาดว่าจะสามารถพัฒนาได้โดยใช้เวลาสั้นกว่าวัคซีนทั่วไป ทว่าการพัฒนาวัคซีนเช่นนี้ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากไม่เคยมีการนำวัคซีนเหล่านี้มาใช้งานจริงกับมนุษย์ และจำเป็นต้องพิจารณาอย่างระมัดระวังเรื่องความเสี่ยงเกิดผลข้างเคียงที่ไม่คาดคิด

ศาสตราจารย์อิชิอิ เค็น แห่งสถาบันวิทยาศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัยโตเกียว ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาวัคซีน กล่าวว่าผลสำเร็จด้านวิทยาศาสตร์จนถึงปัจจุบัน ได้ทำให้เกิดความพยายามทั่วโลกในการพัฒนาวัคซีนสำหรับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมานี้

ศาสตราจารย์อิชิอิกล่าวว่าไม่ต้องสงสัยเลยว่าขณะนี้เป็นช่วงเวลาแห่งนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่ช่วยให้เทคโนโลยีในระดับการค้นคว้าวิจัยในห้องทดลองสามารถนำมาใช้ในระดับอุตสาหกรรมได้อย่างรวดเร็ว

ทว่าศาสตราจารย์อิชิอิกล่าวเตือนว่าการพัฒนาอย่างเร่งรีบไม่ระมัดระวังอาจก่อปัญหาที่ไม่คาดคิดได้ ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงไม่ควรลืมว่าการยืนยันความปลอดภัยของวัคซีนใหม่นั้นเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา

ยาสำหรับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่พัฒนาไปได้แค่ไหนแล้ว

ขณะนี้ยังไม่มียาที่เรียกได้ว่าเป็นยาวิเศษสำหรับใช้กับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่โดยตรง อย่างไรก็ตามมีความคืบหน้าในการค้นหายาที่พัฒนาสำหรับใช้กับโรคอื่น ซึ่งยืนยันว่าใช้ได้ผลในการรักษาไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เช่นกัน

ในช่วงแรกนั้นมียาหลายชนิดที่ดูเหมือนจะมีความหวัง แต่ไม่สามารถยืนยันประสิทธิภาพได้ หนึ่งในนั้นคือยาสำหรับใช้ระงับอาการของโรคเอดส์ โดยเป็นที่คาดหวังว่ากลไกที่ป้องกันไม่ให้ไวรัสโรคเอดส์เพิ่มจำนวนอาจใช้ได้ผลกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ผลการทดสอบทางคลินิกในจีนและอังกฤษชี้ว่ายาดังกล่าวไม่ได้ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่มีอาการหนัก

ยาอีกชนิดหนึ่งที่ดูเหมือนจะมีความหวังคือยาไฮดร็อกซีคลอโรควินซึ่งใช้สำหรับโรคไข้มาลาเรีย อย่างไรก็ตามเมื่อเดือนมิถุนายน สำนักงานอาหารและยาสหรัฐ หรือ FDA ได้ถอนการอนุญาตให้ใช้ยานี้เป็นการฉุกเฉินกับผู้ป่วยไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยกล่าวว่าผลการทดสอบไม่ได้ชี้ว่ายานี้มีผลในการรักษาโรคโควิด-19

ขณะเดียวกัน มียาหลายชนิดที่ยืนยันว่าใช้ได้ผลกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หนึ่งในนั้นคือยาเรมเดซิเวียร์ซึ่งพัฒนาขึ้นเพื่อใช้กับโรคอีโบลา ผลการทดสอบในสหรัฐยืนยันว่ายานี้ใช้ได้ผลกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ และเมื่อเดือนพฤษภาคม ยานี้ได้เป็นยาชนิดแรกที่ผ่านการรับรองให้ใช้สำหรับรักษาโรคจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในญี่ปุ่น

นอกจากนี้ ผลวิจัยในอังกฤษได้ยืนยันว่ายาเดกซาเมธาโซน ซึ่งเป็นยากลุ่มสเตียรอยด์ มีผลในการลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ และได้เริ่มใช้ยานี้ในการรักษาที่ญี่ปุ่นแล้วเช่นกัน

ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่น แนะนำให้ใช้ยาสองชนิดข้างต้นภายในแนวทางปฏิบัติสำหรับรักษาโรคจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

นอกจากนี้ บริษัทผู้ผลิตยาของญี่ปุ่นที่ได้พัฒนายาอะวีแกน ซึ่งเป็นยาสำหรับใช้กับโรคไข้หวัดใหญ่ กำลังทำการทดสอบเพื่อมุ่งให้ทางการรับรองยานี้สำหรับใช้รักษาโรคจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ขณะที่ยาแอกเทมรา ซึ่งเป็นยารักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ กำลังอยู่ในขั้นทดสอบทางคลินิก

ยาอื่น ๆ ที่หวังกันว่าอาจใช้ได้ผลนั้น เช่นยาอัลเวสโก ยากลุ่มสเตียรอยด์ที่ใช้กับโรคหอบหืด และยาฟูธัน ซึ่งปกติใช้กับโรคตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน โดยหากมีการยืนยันประสิทธิภาพและความปลอดภัย ก็มีความหวังว่าจะสามารถนำยาเหล่านี้มาใช้รักษาโรคจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้เช่นกัน

ญี่ปุ่นมีแผนจะรับมือไวรัสโคโรนาอย่างไรในฤดูไข้หวัดใหญ่ระบาด

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่น กำลังวางระบบใหม่ที่ให้คลินิกต่าง ๆ เป็นศูนย์กลางการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เพื่อเตรียมสำหรับฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวที่โรคไข้หวัดใหญ่ระบาด

ในขณะนี้ ผู้คนที่มีไข้หรืออาการอื่น ๆ ที่อาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ตามปกติแล้วจะได้รับการตรวจหลังจากติดต่อยังโต๊ะให้คำปรึกษาที่ศูนย์สาธารณสุขและไปรับการตรวจยังสถาบันการแพทย์ที่กำหนด หรือหลังจากไปยังคลินิกในท้องถิ่นและรับการตรวจที่ศูนย์ตรวจประจำท้องถิ่นซึ่งจัดตั้งโดยสมาคมแพทย์

อย่างไรก็ตาม มีความกังวลว่าผู้คนที่มีไข้หรืออาการอื่นที่คล้ายกับโรคจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ต้องการตรวจหาเชื้ออาจมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมากในฤดูใบไม้ร่วงหรือฤดูหนาวซึ่งเป็นช่วงไข้หวัดใหญ่ระบาด

เพราะเหตุนี้ กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นจึงได้ตัดสินใจเสริมระบบการตรวจหาไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งจะเปิดทางให้คลินิกในท้องถิ่นสามารถตรวจหาไวรัสพร้อมกับการตรวจอาการอื่น ๆ ได้

คลินิกที่ทำการตรวจจะเป็นคลินิกที่ขึ้นทะเบียนกับทางการท้องถิ่น โดยการตรวจส่วนมากจะใช้ชุดตรวจสารก่อภูมิต้านทาน หรือแอนติเจน ซึ่งใช้งานง่ายและได้ผลตรวจเร็วกว่า และหากผลตรวจออกมาเป็นบวก ศูนย์สาธารณสุขก็จะแนะนำโรงพยาบาลหรือสถานที่ที่กำหนดเป็นที่พักรักษาตัว

ในกรณีที่คลินิกไม่สามารถทำการตรวจได้ หรือปิดทำการช่วงสุดสัปดาห์ ผู้ที่ต้องการรับการตรวจก็สามารถติดต่อยังโต๊ะให้คำปรึกษาที่ศูนย์สาธารณสุข หรือติดต่อยังศูนย์ตรวจประจำท้องถิ่น

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ มีแผนจะให้คลินิกในท้องถิ่นเป็นศูนย์กลางการตรวจหาไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในฤดูไข้หวัดใหญ่ โดยมีแผนจะเพิ่มจำนวนคลินิกที่สามารถตรวจหาไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้ และจะจัดหาชุดตรวจสารก่อภูมิต้านทาน หรือแอนติเจน ให้ได้ 200,000 ชุดต่อวัน

จะสามารถป้องกันการติดเชื้อในรถไฟที่มีผู้คนแออัดได้อย่างไร

อย่างที่เราเคยรายงานไปก่อนหน้านี้ว่า ผู้คนสามารถติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ผ่านละอองฝอยจากระบบทางเดินหายใจและการสัมผัสทางอ้อม

ถ้าเรื่องนี้เป็นความจริง บางคนอาจจะคิดว่าเราจะไม่ติดเชื้อแม้ว่าผู้ติดเชื้อจะยืนอยู่ข้างเราในรถไฟที่มีผู้คนแออัด หากผู้ติดเชื้อคนนั้นไม่พูดคุยหรือสัมผัสเรา

ละอองฝอยจะเกิดขึ้นในขณะที่เราพูดคุย แต่ละอองฝอยสามารถเกิดจากการหายใจได้เช่นกัน การที่ไม่พูดคุยไม่ได้เป็นการยืนยันว่าจะไม่มีละอองฝอย

อย่างไรก็ตาม เราสามารถลดปริมาณการเกิดละอองฝอยลงได้ด้วยการไม่พูดคุย นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่เรางดเว้นจากการพูดคุยหรือสัมผัสกัน รวมถึงสวมหน้ากากอนามัย และล้างมือหรือฆ่าเชื้อโรคที่มือบ่อย ๆ

เดิมเราติดเชื้อกันได้อย่างไร

นอกจากการติดเชื้อผ่านละอองฝอยที่มาจากระบบทางเดินหายใจแล้ว ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ยังสามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสทางอ้อม

การแพร่กระจายผ่านการสัมผัสทางอ้อมสามารถเกิดขึ้นได้ถ้าบุคคลใดบุคคลหนึ่งไปจับสัมผัสบางอย่างหลังจากผู้ติดเชื้อมาสัมผัสเอาไว้ คนเรามักจะจับใบหน้าของตนเองรวมถึงจมูกและปากในการใช้ชีวิตประจำวัน และหากทำเช่นนั้นโดยใช้มือที่ปนเปื้อนไวรัส ก็อาจติดเชื้อไวรัสนี้ได้ นอกจากนี้ ดวงตายังเป็นส่วนที่ไวต่อการรับเชื้ออย่างยิ่ง ดังนั้น จึงอาจติดเชื้อจากการขยี้ตาได้

เชื่อกันว่าละอองฝอยขนาดเล็กมากก็เป็นตัวที่แพร่กระจายเชื้อไวรัสนี้ด้วย ละอองฝอยขนาดเล็กมากนั้นมีขนาดเล็กกว่าละอองฝอย และลอยอยู่ในอากาศในบริเวณที่อากาศถ่ายเทไม่ดีนัก จึงมีการแนะนำให้ผู้คนปฏิบัติตาม 3 หลีกเลี่ยง ได้แก่ บริเวณพื้นที่ปิดที่อากาศถ่ายเทไม่ดี, บริเวณที่มีผู้คนแออัด และการสนทนาในระยะใกล้ชิด เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากละอองฝอยขนาดเล็กมาก ตามปกติแล้ว ว่ากันว่าละอองฝอยจะไม่ลอยไปถึงระยะประมาณ 2 เมตร ดังนั้น การอยู่ห่างจากผู้อื่นอย่างน้อย 2 เมตรก็น่าจะปลอดภัย

เรายังไม่ทราบแน่ชัดทั้งหมดเกี่ยวกับว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แพร่กระจายได้อย่างไร แต่ ณ ปัจจุบัน ได้มีการดำเนินมาตรการต่าง ๆ บนสมมติฐานที่ว่าไวรัสนี้สามารถควบคุมได้ ถ้าปฏิบัติอย่างเข้มงวดในการหลีกเลี่ยงละอองฝอยและการสัมผัส และเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงของการติดเชื้อทั่วญี่ปุ่น ทางการได้ขอให้ทุกคนสวมหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันไม่ให้ละอองฝอยแพร่กระจาย และอยู่ห่างจากผู้อื่นอย่างน้อย 2 เมตรเผื่อกรณีที่ว่ามีละอองฝอยแพร่กระจายอยู่

นอกจากนี้ ยังมีการแนะนำให้ผู้คนล้างมือให้สะอาดเพื่อที่จะได้ไม่ติดเชื้อในกรณีที่มือมีไวรัสปนเปื้อนอยู่ และนำมือมาจับปาก จมูก หรือตา โดยไม่ได้ตั้งใจ

วิธีปฏิบัติเวลาไอคืออะไรและสิ่งที่ควรคำนึงถึงตอนล้างมือคืออะไร

ไวรัสโคโรนาก็คล้ายกับไวรัสของไข้หวัดใหญ่และไข้หวัด ที่จะแพร่กระจายผ่านละอองฝอยซึ่งเกิดขึ้นเมื่อผู้ที่ติดเชื้อไอหรือจาม

องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ขอให้ประชาชนล้างมือบ่อย ๆ และปฏิบัติอย่างถูกวิธีเวลาไอเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของไวรัส โดยวิธีดังกล่าวเหมือนกันกับที่ใช้เพื่อรับมือกับโรคติดเชื้ออื่น ๆ

เวลาล้างมือนั้นให้ใช้สบู่และล้างกับน้ำที่เปิดไหล ใช้เวลาอย่างน้อย 20 วินาทีเพื่อทำความสะอาดบริเวณผิวหนังของมือทั้งหมด ซึ่งรวมถึงง่ามนิ้วและซอกเล็บ หากไม่มีสบู่และน้ำสำหรับล้างมือ ให้ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์

หากนำมือที่มีเชื้อโรคติดอยู่มาโดนที่ตา ปาก และจมูก ก็อาจทำให้ติดเชื้อได้ ทางที่ดีคือไม่ควรนำมือที่ยังไม่ได้ล้างมาจับที่ใบหน้า

เมื่อมีอาการต่าง ๆ เช่น ไอและจาม ควรปฏิบัติตามการไออย่างถูกวิธี เพื่อที่จะได้ไม่แพร่เชื้อไปยังผู้ที่อยู่รอบตัว แม้ว่าเราจะติดเชื้อก็ตาม

เมื่อไอหรือจาม ให้ปิดปากด้วยทิชชูหรือวงแขนด้านใน เมื่อใช้ทิชชูแล้วให้ทิ้งทันทีและล้างมือให้สะอาด อย่าใช้มือปิดปากตอนไอหรือจามเพราะไวรัสจะติดอยู่บนมือ

ได้ยินมาว่าการเข้ารับการตรวจ PCR ในญี่ปุ่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

การตรวจ PCR คือการตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อโรคต่าง ๆ และระบุว่าบุคคลนั้น ๆ ติดเชื้อ ณ เวลานั้นหรือไม่ การตรวจเช่นนี้ค่อนข้างแม่นยำแต่ผลตรวจต้องใช้เวลา ว่ากันว่าญี่ปุ่นไม่ได้ดำเนินการตรวจ PCR มากเท่ากับประเทศอื่น ๆ ทั้งนี้เนื่องจากก่อนหน้านี้ ญี่ปุ่นมีโอกาสไม่มากนักที่จะดำเนินการตรวจ PCR ก่อนที่จะเกิดการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

เหตุผลหนึ่งก็คือโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันร้ายแรง หรือโรคซาร์ส และโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือโรคเมอร์ส ซึ่งต้องใช้การตรวจ PCR นั้น ไม่ได้แพร่ระบาดในญี่ปุ่น และสำหรับไข้หวัดใหญ่ก็ใช้ชุดตรวจแบบธรรมดากันอย่างแพร่หลาย ด้วยเหตุนี้ การตรวจ PCR จึงแทบจะไม่ได้ใช้เลยในญี่ปุ่น

ปัจจุบัน การตรวจ PCR กำลังค่อย ๆ แพร่หลายมากขึ้น ทว่ายังไม่ถึงจุดที่จะสามารถแพร่หลายได้อย่างรวดเร็ว และว่ากันว่านี่เป็นเรื่องที่ท้าทาย

จะระบายอากาศอย่างเหมาะสมภายในห้องได้อย่างไร

YKK AP บริษัทผู้ผลิตประตูและหน้าต่างได้แนะนำที่หน้าเว็บไซต์ของบริษัทเกี่ยวกับวิธีการเปิดหน้าต่างระบายอากาศอย่างเหมาะสมภายในห้องในช่วงที่เกิดการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

ทางบริษัทแนะนำให้ “เปิดหน้าต่าง 2 บานแทนที่จะเปิดแค่บานเดียว” และควรเปิดหน้าต่าง “ที่อยู่ตรงข้ามกันในแนวทแยงมุม”

สำหรับห้องพักที่มีหน้าต่างแค่ 1 บาน ทางบริษัทแนะนำให้เปิดประตูภายในห้องเพื่อให้เกิดทางเดินอากาศ และใช้พัดลมเพื่อให้อากาศหมุนเวียน

นอกจากนี้ ก็ยังแนะนำเกี่ยวกับหน้าต่างแบบบานเลื่อนโดยระบุว่าให้เลื่อนหน้าต่างมาไว้ตรงกลาง เพื่อที่ด้านข้างของหน้าต่างทั้งสองด้านจะได้เปิดโล่ง

จะสามารถระบายอากาศภายในห้องได้อย่างไรขณะที่ใช้เครื่องปรับอากาศ

ไดกิ้น อินดัสทรีส์ ผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศรายใหญ่ระบุว่าเครื่องปรับอากาศส่วนมากแค่ทำให้อากาศภายในห้องหมุนเวียน แต่ไม่ได้ระบายอากาศ จึงขอให้ผู้คนเปิดหน้าต่างบ้างในบางครั้งและทำให้อากาศสดชื่นขณะที่เปิดใช้งานเครื่องปรับอากาศ

บางคนอาจรู้สึกว่าการทำเช่นนั้นอาจทำให้สิ้นเปลืองค่าไฟฟ้า เจ้าหน้าที่คนหนึ่งอธิบายวิธีที่จะควบคุมการใช้ไฟฟ้าในขณะที่มีการระบายอากาศไปด้วย เนื่องจากเครื่องปรับอากาศกินไฟฟ้ามากเมื่อกดเปิดใช้งาน ดังนั้นจึงควรเปิดทิ้งไว้ในขณะที่เปิดหน้าต่างระบายอากาศ

ในพื้นที่ที่สภาพภูมิอากาศร้อนกว่านี้ การใช้ไฟฟ้าจะเพิ่มสูงขึ้นเมื่ออากาศจากภายนอกไหลเข้ามาปะทะกับอุณหภูมิภายในห้อง ดังนั้น การปรับอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศให้สูงขึ้นเล็กน้อยก่อนที่จะระบายอากาศนั้นเป็นสิ่งสำคัญ

เป็นเรื่องจริงหรือไม่ที่ความเสี่ยงของอาการโรคลมเหตุร้อนจะเพิ่มขึ้นเมื่อสวมหน้ากากอนามัย

เราได้ทำการทดลองโดยใช้เครื่องวัดอุณหภูมิเพื่อดูว่าอุณหภูมิบนใบหน้าเปลี่ยนไปอย่างไรเมื่อสวมหน้ากากอนามัย การทดลองดังกล่าวพบว่าผู้ที่ไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย อุณหภูมิของผิวบริเวณรอบปากอยู่ที่ประมาณ 36 องศาเซลเซียส โดยวัดอุณหภูมิในช่วงต้นฤดูร้อนที่ย่านชิบูยะของกรุงโตเกียว ซึ่ง NHK ตั้งอยู่

อย่างไรก็ตาม อุณหภูมิรอบปากเพิ่มขึ้น 3 องศามาอยู่ที่ 39 ถึง 40 องศา เพียงไม่นานหลังจากที่ผู้นั้นสวมหน้ากากอนามัย จากนั้น 5 นาทีต่อมา ผิวโดยรอบปากเริ่มมีเหงื่อออกเนื่องจากความร้อนที่ถูกกักไว้ด้านในหน้ากากอนามัย ผู้ทดลองรู้สึกร้อนขึ้นมากเมื่อเทียบกับตอนก่อนสวมหน้ากากอนามัย และรู้สึกหายใจลำบากเมื่อเวลาผ่านไป

ศาสตราจารย์โยโกโบริ โชจิ แห่งบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์นิปปงระบุว่า การสวมหน้ากากอนามัยไม่ได้ทำให้ผู้สวมใส่เสี่ยงที่จะมีอาการโรคลมเหตุร้อนมากขึ้นเสมอไป แต่มีข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าการสวมหน้ากากอนามัยทำให้การหายใจลำบาก รวมถึงสามารถทำให้อัตราการหายใจและอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10 เมื่อรวมปัจจัยอื่น ๆ อย่างเช่น การออกกำลังกายและอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก การสวมหน้ากากอนามัยก็สามารถเพิ่มความเสี่ยงของโรคลมเหตุร้อนได้

ศาสตราจารย์โยโกโบริกล่าวว่าการหยุดยั้งละอองฝอยไม่ให้แพร่กระจายด้วยการสวมหน้ากากอนามัยนั้นเป็นสิ่งสำคัญ อย่างไรก็ตาม การที่ผู้สูงอายุและผู้ที่อยู่อาศัยตามลำพังดำเนินการป้องกันโรคลมเหตุร้อนอย่างเพียงพอก็สำคัญไม่แพ้กัน

ศาสตราจารย์โยโกโบริแนะนำให้ผู้ที่เสี่ยงเกิดอาการลมเหตุร้อน ถอดหน้ากากอนามัยออกและพักในที่ที่ฝูงชนไม่แออัดมากนัก เช่น ใต้ร่มเงาของต้นไม้ ขณะที่อยู่ด้านนอก นอกจากนี้ ก็ยังแนะนำให้เปลี่ยนหน้ากากอนามัยเป็นระยะ ๆ เนื่องจากอากาศไม่สามารถหมุนเวียนได้เมื่อหน้ากากอนามัยมีความชื้นจากเหงื่อ

สิ่งที่ควรระมัดระวังขณะที่เด็ก ๆ เสิร์ฟอาหารมื้อกลางวันที่โรงเรียนคืออะไร

เราได้สอบถามเรื่องนี้กับศาสตราจารย์คูนิชิมะ ฮิโรยูกิ จากมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์เซนต์มาเรียนนา ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ

ศาสตราจารย์คูนิชิมะกล่าวว่าเป็นเรื่องสำคัญมากที่เด็กทุกคนซึ่งรวมถึงคนที่ทำหน้าที่เสิร์ฟอาหารมื้อกลางวัน จะล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาดก่อนรับประทานอาหารกลางวัน เขากล่าวว่าต้องให้ความสนใจตอนที่ใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ทัพพีหรือที่คีบอาหารด้วย

NHK และศาสตราจารย์คูนิชิมะได้ทดลองร่วมกันเพื่อดูว่าไวรัสอาจแพร่กระจายออกไปอย่างไรในการรับประทานอาหารแบบบุฟเฟต์

ผู้ที่รับบทเป็นผู้ติดเชื้อได้ทาสีสะท้อนแสงไว้ที่มือทั้งสองข้างของเขาและไปรับประทานอาหาร ในช่วงเวลา 30 นาที สีดังกล่าวได้แพร่กระจายจากที่คีบอาหาร, ฝาปิดภาชนะ และอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ทุกคนใช้  ไปติดตามมือของผู้คนทั้งหมด 10 คนที่เข้าร่วมการทดลอง

ความเสี่ยงของการติดเชื้อที่มื้อกลางวันในโรงเรียนนั้นสามารถลดลงได้ ถ้าทุกคนล้างมืออย่างทั่วถึง สวมหน้ากากอนามัย และให้แค่เด็กที่รับผิดชอบในการเสิร์ฟอาหารเท่านั้นที่สามารถใช้ที่คีบอาหารหรือทัพพีได้

ระหว่างรับประทานอาหาร ควรเปิดหน้าต่างภายในห้องเรียน และเด็ก ๆ ก็ไม่ควรอยู่ใกล้กัน โดยหลีกเลี่ยงสถานที่ปิด สถานที่ที่มีผู้คนแออัด และการมีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดกันด้วย

ศาสตราจารย์คูนิชิมะกล่าวว่าเด็ก ๆ ไม่สามารถสวมหน้ากากอนามัยขณะที่รับประทานอาหารได้ และพวกเขาอาจจะอยู่ใกล้กันมากกว่าตอนที่นั่งเรียนในชั้นเรียน ศาสตราจารย์คูนิชิมะหวังว่าเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนจะระมัดระวังเป็นพิเศษในการดำเนินการต่าง ๆ เช่น การทำให้อากาศถ่ายเทและการล้างมือ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 21 กรกฎาคม 2563)

ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่สามารถแพร่กระจายก่อนที่ผู้ติดเชื้อจะปรากฏอาการต่าง ๆ เช่น มีไข้หรือไอ หรือไม่

คณะนักวิจัยในสิงคโปร์ระบุว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้ในบางกรณี คณะนักวิจัยซึ่งตามรอยเส้นทางการติดเชื้อในหลายกรณีที่สิงคโปร์ ได้เปิดเผยข้อมูลในรายงานที่นำออกเผยแพร่โดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ

หลังจากการวิเคราะห์อย่างละเอียด คณะนักวิจัยพบกรณีต่าง ๆ ในการติดเชื้อแบบเป็นกลุ่ม 7 กลุ่ม ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าการแพร่กระจายจากคนสู่คนเกิดขึ้นจากผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการ

ผู้ที่ไม่แสดงอาการจะเริ่มมีไข้ ไอ หรือน้ำมูกไหล หลายวันหลังจากสัมผัสติดต่อกับผู้อื่น ซึ่งต่อมาพบว่าติดเชื้อไวรัสนี้ คณะนักวิจัยเชื่อว่าผู้ที่ไม่แสดงอาการได้แพร่กระจายไวรัสในช่วงที่ไวรัสฟักตัวผ่านทางละอองฝอยและทางอื่น ๆ

การติดเชื้อแบบกลุ่มบางกรณีเกิดขึ้นในชั้นเรียนร้องเพลง คณะนักวิจัยระบุว่าแม้ว่าผู้ติดเชื้อไม่ได้ไอ แต่ไวรัสก็สามารถแพร่กระจายได้ผ่านละอองฝอยขณะที่ร้องเพลงเสียงดังหรือวิธีอื่น ๆ

คณะนักวิจัยเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ สามารถแพร่กระจายในระยะฟักตัวได้ และว่าแค่การกักตัวผู้คนที่แสดงอาการแล้วนั้นไม่เพียงพอ ดังนั้นการหลีกเลี่ยงการรวมตัวกันและเลี่ยงฝูงชนแออัดก็มีความสำคัญ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 20 กรกฎาคม 2563)

จริงหรือไม่ที่ละอองฝอยจากการไอและจามมักลอยค้างในอากาศใกล้กับพื้น

ศาสตราจารย์เซกิเนะ โยชิกะ จากมหาวิทยาลัยโทไก เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพแวดล้อมภายในอาคาร NHK ได้ดำเนินการทดลองเกี่ยวกับละอองฝอยภายใต้การควบคุมของอาจารย์ โดยจำลองสถานที่ปิดที่อากาศไม่ถ่ายเทซึ่งคล้ายกับศูนย์อพยพหลบภัยฉุกเฉิน และประเมินผลกระทบจากละอองฝอยจากการไอหรือจามในสภาพแวดล้อมปิดลักษณะนี้ โดยใช้อุปกรณ์พิเศษสร้างละอองฝอยปริมาณใกล้เคียงกับปริมาณจากการจามหนึ่งครั้ง พร้อมบันทึกภาพไว้ด้วยกล้องที่มีความคมชัดสูง

ภาพวิดีโอแสดงให้เห็นว่าละอองฝอยส่วนใหญ่ตกลงไปรวมกันใกล้พื้นห่างออกไปประมาณ 1.5 เมตร ภาพวิดีโอยังแสดงให้เห็นว่าเวลามีคนเดินบนพื้นบริเวณนั้น ฝุ่นที่ปนเปื้อนละอองฝอยจะกระจายขึ้นมาและลอยอยู่ในอากาศ ยิ่งไปกว่านั้น เวลาที่อากาศเคลื่อนไหวแม้เพียงเล็กน้อยจากการไอหรือจาม ฝุ่นปนเปื้อนที่อยู่บนพื้นจะลอยขึ้นมาได้ถึงประมาณ 20 เซนติเมตร

ศาสตราจารย์เซกิเนะกล่าวว่า นักวิทยาศาสตร์บางส่วนได้รายงานว่าไวรัสโคโรนาสามารถมีชีวิตรอดได้เป็นเวลานานโดยเฉพาะบนพื้นผิวสัมผัสที่แข็งและมีแรงเสียดทานต่ำ อย่างเช่นพื้นโรงยิม ซึ่งมักใช้เป็นศูนย์อพยพหลบภัยชั่วคราว

อาจารย์กล่าวว่าสิ่งสำคัญคือ การจัดการปัญหาเกี่ยวกับละอองฝอยที่ว่านี้เวลาที่มีการอพยพหลบภัยที่ต้องใช้สถานที่ลักษณะนี้

เรายังได้พูดคุยกับศาสตราจารย์คันบาระ ซากิโกะ จากมหาวิทยาลัยโคจิ ผู้เชี่ยวชาญด้านมาตรการป้องกันโรคติดเชื้อในศูนย์อพยพหลบภัยฉุกเฉิน

อาจารย์เตือนว่าการนอนรวมกันหลายคนบนพื้นในศูนย์หลบภัยเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดการติดเชื้อได้ อาจารย์ชี้ถึงวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพ นั่นคือให้นอนบนเตียงชั่วคราวที่ทำจากกระดาษลูกฟูกเพื่อให้มีระยะห่างจากพื้นเล็กน้อย

สิ่งที่ควรใส่ใจเมื่อเข้าไปอยู่ที่ศูนย์หลบภัยมีอะไรบ้าง

ระหว่างอยู่ที่ศูนย์หลบภัย ต้องให้ความสำคัญสูงสุดในเรื่อง 3 หลีกเลี่ยง ได้แก่ เลี่ยงสถานที่ปิด เลี่ยงสถานที่ที่มีผู้คนแออัด และเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิด ดังนั้นสิ่งที่สามารถทำได้คือ ใส่ใจเรื่องการระบายอากาศ รักษาระยะห่างทางกายภาพโดยเว้นระยะห่างจากผู้อื่นประมาณ 2 เมตร และหลีกเลี่ยงการสนทนาใกล้ชิดกัน

นอกจากนี้ยังสามารถนั่งหันหลังให้กันแทนที่จะหันหน้าเข้าหากัน และใช้แผ่นกระดาษลูกฟูกทำเป็นฉากกั้น มาตรการเหล่านี้จะช่วยให้ละอองฝอยจากการไอและจามไม่แพร่กระจายไปยังผู้อื่นได้

อีกสิ่งที่สามารถทำได้คือ การล้างและฆ่าเชื้อที่มือ ควรล้างมือหรือเช็ดถูมือด้วยของเหลวฆ่าเชื้อที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ทุกครั้งก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ รวมถึงหลังสัมผัสจับต้องสิ่งที่ใครต่อใครจับ เช่น ลูกบิดประตูและราวจับ

ระหว่างอยู่ที่ศูนย์หลบภัย ควรหมั่นวัดอุณหภูมิร่างกายและสังเกตสภาพร่างกายของตนเองอยู่เสมอ แจ้งให้เจ้าหน้าที่ที่ดูแลรับผิดชอบศูนย์ทราบทันทีเมื่อสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ เพื่อที่ว่าท่านและเจ้าหน้าที่จะสามารถพูดคุยหารือกันเกี่ยวกับสิ่งที่จะต้องทำได้

การติดเชื้อมักแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วภายในศูนย์หลบภัยในช่วงที่เกิดภัยพิบัติ หลังเหตุแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อปี 2554 พบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่หลายสิบคนที่ศูนย์หลบภัยแห่งหนึ่งในจังหวัดอิวาเตะ และหลังเหตุแผ่นดินไหวที่จังหวัดคูมาโมโตะเมื่อปี 2559 ก็พบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่และโนโรไวรัสทั้งที่ศูนย์หลบภัยและพื้นที่รอบศูนย์หลบภัยในมินามิอาโซะ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 15 กรกฎาคม 2563)

สิ่งที่ต้องจัดเตรียมก่อนไปที่ศูนย์หลบภัยมีอะไรบ้าง

ศูนย์หลบภัยมักแออัดไปด้วยผู้คนมากมายเมื่ออันตรายจากภัยพิบัติกำลังใกล้เข้ามา ซึ่งก็หมายความว่ามีความเสี่ยงสูงที่การติดเชื้ออาจแพร่กระจายออกไป ดังนั้น เวลาไปที่ศูนย์หลบภัย ต้องไม่ลืมนำหน้ากากอนามัย ของเหลวฆ่าเชื้อที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ และเทอร์มอมิเตอร์วัดไข้ติดตัวไปด้วย

ถ้าไม่มีหน้ากากอนามัย สามารถใช้ผ้าขนหนูหรือผ้าที่มีขนาดใหญ่พอปิดปากและจมูกแทนได้ ถ้าไม่มีของเหลวฆ่าเชื้อที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ สามารถใช้ทิชชูเปียกแทนได้

สิ่งสำคัญคือ การเฝ้าสังเกตสภาพร่างกายของตนเองเพื่อป้องกันไม่ให้การติดเชื้อแพร่กระจายออกไป หมั่นวัดอุณหภูมิร่างกาย อาการตัวร้อนมีไข้ ไอ และรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมากเป็นสิ่งบ่งชี้ว่าอาจติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 14 กรกฎาคม 2563)

มีอะไรบ้างที่ต้องระวังเมื่อจะอพยพหลบภัยยามเกิดภัยพิบัติ

ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่อาจแพร่กระจายได้หากคนจำนวนมากไปที่ศูนย์หลบภัยเวลาเกิดภัยพิบัติ

ดังนั้นจากนี้ไป สิ่งสำคัญสำหรับคนในชุมชนคือ การไปหลบภัยไม่ใช่แค่ที่ศูนย์หลบภัยที่กำหนด แต่รวมถึงที่ต่าง ๆ เช่น บ้านญาติ บ้านคนรู้จัก โรงแรม บ้านตัวเอง หรือพักค้างในรถ

หากมีญาติหรือเพื่อนอาศัยอยู่ในที่ที่ปลอดภัยที่สามารถพักพิงได้ ก็ควรพิจารณาไปพักกับคนเหล่านั้นเพื่อไม่ให้ศูนย์หลบภัยแออัดเกินไป

นอกจากนี้ยังอาจพิจารณาหลบภัยที่บ้านตัวเอง หากอยู่บนชั้นที่สูงของอาคารอะพาร์ตเมนต์หรือมีโครงสร้างที่มั่นคงแข็งแรง ไม่ได้ปลูกสร้างในที่ที่เสี่ยงอันตราย เช่น ใกล้แม่น้ำ พื้นดินต่ำ หรือไหล่เขา

การพักค้างในรถก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือก หากบริเวณนั้นไม่มีความเสี่ยงที่จะเกิดน้ำท่วม ไม่ได้อยู่บนไหล่เขาหรือใกล้อาคารที่พังถล่ม ในกรณีที่พักค้างในรถ ควรหมั่นออกกำลังและใส่ใจเรื่องการระบายอากาศในรถ

แต่ถ้ามีความกังวลเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมโดยรอบ ก็ควรไปที่ศูนย์หลบภัยโดยไม่ต้องลังเล

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 13 กรกฎาคม 2563)

เราสามารถสวมเฟซชิลด์หรือกะบังใสป้องกันใบหน้าแบบที่แพทย์และพยาบาลสวม แทนหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการติดเชื้อได้หรือไม่

เฟซชิลด์คลุมใบหน้าได้ทั้งช่วงบนและช่วงล่าง วัตถุประสงค์หลักในการใช้งานคือ เพื่อป้องกันไม่ให้ไวรัสเข้าสู่ร่างกายผ่านเยื่อตา บุคลากรประจำสถาบันการแพทย์จึงมักสวมทั้งหน้ากากอนามัยและเฟซชิลด์

ศาสตราจารย์ซูงาวาระ เอริซะ จากบัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยสาธารณสุขแห่งโตเกียวกล่าวว่า การใช้เฟซชิลด์มีประโยชน์เวลาพูดคุยโดยไม่เว้นระยะห่างเพราะช่วยป้องกันไม่ให้คนที่สวมเฟซชิลด์สัมผัสถูกละอองฝอยที่แพร่กระจายจากอีกฝ่ายได้ ไม่ต่างจากหน้ากากอนามัยผ้า

แต่ศาสตราจารย์ซูงาวาระกล่าวว่า การสวมเฟซชิลด์เพียงอย่างเดียวไม่สามารถป้องกันผู้สวมจากการติดเชื้อได้ โดยว่าเฟซชิลด์มีประสิทธิภาพตรงที่ช่วยไม่ให้ผู้สวมใช้มือสัมผัสปากหรือจมูก แต่ไม่สามารถป้องกันไม่ให้ไวรัสเข้าสู่ร่างกายผ่านทางปากหรือจมูกได้

อาจารย์กล่าวว่าเวลาใช้เฟซชิลด์ ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสด้านนอกของกะบังเพราะอาจมีไวรัสติดอยู่ และควรเช็ดด้วยแอลกอฮอล์หรือล้างด้วยสบู่หลังใช้งานด้วย

ศาสตราจารย์ซูงาวาระเสริมว่า วิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการป้องกันการติดเชื้อคือ หลีกเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นให้มากที่สุดและหมั่นล้างมือ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 9 กรกฎาคม 2563)

บางคนสวมหน้ากากอนามัยโดยไม่ครอบปิดจมูก ผู้เชี่ยวชาญมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้

วัตถุประสงค์หลักของการสวมหน้ากากอนามัยคือ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของละอองฝอยน้ำมูกน้ำลาย และเพื่อสกัดกั้นละอองฝอยขนาดใหญ่จากผู้ติดเชื้อ หากไม่ครอบปิดจมูก ละอองฝอยก็จะกระจายออกไปได้เวลาจาม นอกจากนี้เวลาหายใจเข้า ร้อยละ 90 ของอากาศเข้าสู่ร่างกายผ่านทางจมูก ดังนั้นการไม่ครอบปิดจมูกจึงเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อได้

เวลาถอดหน้ากากอนามัย จะต้องแน่ใจว่ามีระยะห่างทางกายภาพอย่างเพียงพอ ว่ากันว่าละอองฝอยน้ำมูกน้ำลายสามารถแพร่กระจายได้ไกลถึงประมาณ 2 เมตร กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นแนะนำให้ถอดหน้ากากอนามัยเวลาอยู่ห่างจากคนอื่นอย่างน้อย 2 เมตรเพื่อป้องกันอาการลมเหตุร้อน

คุณซากาโมโตะ ฟูมิเอะ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อประจำโรงพยาบาลนานาชาติเซนต์ลุกส์ในญี่ปุ่นกล่าวว่า เราไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา สวมเฉพาะเวลาที่จำเป็นเท่านั้น คุณซากาโมโตะกล่าวว่า การสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาทำให้เสี่ยงเกิดอาการลมเหตุร้อนได้

การเลือกวัสดุสำหรับหน้ากากอนามัยก็สำคัญเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนที่อากาศร้อน หลายคนทำหน้ากากอนามัยใช้เองโดยใช้วัสดุต่าง ๆ องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัสดุชนิดต่าง ๆ สำหรับหน้ากากอนามัยทั้งในแง่ความสะดวกในการหายใจ และประสิทธิภาพในการกรองหรือก็คือความสามารถของวัสดุในการกรองละอองฝอย

องค์การอนามัยโลกระบุว่า ไนลอนมีประสิทธิภาพในการกรองสูงแต่ความสะดวกในการหายใจต่ำ ฝ้ายที่ใช้ทำผ้ากอซ หายใจง่ายก็จริงแต่มีประสิทธิภาพในการกรองต่ำ องค์การอนามัยโลกระบุว่า ควรใช้แบบที่เป็นฝ้ายผสมกับวัสดุอื่นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการกรอง

คุณซากาโมโตะ จากโรงพยาบาลนานาชาติเซนต์ลุกส์ในญี่ปุ่นกล่าวว่า
สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่แค่สวมหน้ากากอนามัยเพียงอย่างเดียว แต่ต้องปฏิบัติตามวิธีป้องกันเบื้องต้นด้วย เช่น ฆ่าเชื้อโรคที่มือและ 3 หลีกเลี่ยง ได้แก่ เลี่ยงสถานที่ปิด เลี่ยงสถานที่ที่มีผู้คนแออัด และเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิด

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 8 กรกฎาคม 2563)

เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขสวมหน้ากากอนามัยกัน แต่ก็ทราบข่าวว่ามีแพทย์และพยาบาลที่ติดเชื้อ หน้ากากอนามัยมีประสิทธิผลในการป้องกันเชื้อได้จริงหรือ

ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าการสวมหน้ากากอนามัยสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ อย่างไรก็ตาม หน้ากากอนามัยแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งซึ่งใช้กันอย่างกว้างขวางนั้น ไม่ได้ป้องกันไวรัสต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่ ด้วยเหตุนี้จึงเชื่อกันว่าความสามารถในการป้องกันการติดเชื้อของหน้ากากอนามัยดังกล่าว ถึงแม้จะได้ผลแต่ก็เป็นไปอย่างจำกัด

ในการทำงานด้านสาธารณสุขนั้น บรรดาเจ้าหน้าที่สวมหน้ากากอนามัย และใช้มาตรการป้องกันอื่น ๆ ควบคู่กันไปขึ้นอยู่กับความรู้ความเชี่ยวชาญ ทว่า กล่าวกันว่าการสวมหน้ากากอนามัยเพียงอย่างเดียวนั้น ไม่ได้ช่วยป้องกันได้มากนัก

หน้ากากอนามัยแบบ N95 เป็นหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจำนวนมากสวมใส่ในหอผู้ป่วยวิกฤติหรือไอซียู หน้ากากเหล่านี้สามารถกรองเอาไวรัสออกไปได้แต่ผู้สวมใส่จะหายใจลำบาก

การใช้งานหน้ากากอนามัย N95 อย่างเหมาะสมนั้น จำเป็นต้องศึกษาวิธีการที่ถูกต้องก่อนสวมใส่และใช้งาน ทั้งนี้ ไม่ว่าหน้ากากอนามัยที่สวมใส่กันจะเป็นประเภทใดก็ตาม แต่การเอามือที่ยังไม่ได้ฆ่าเชื้อโรคมาจับที่ใบหน้าจะเพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อ

ในทางตรงกันข้าม เมื่อผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่สวมหน้ากากอนามัย ว่ากันว่าหน้ากากอนามัยจะช่วยลดความเสี่ยงที่บุคคลนั้นจะแพร่กระจายเชื้อไวรัสไปยังผู้อื่นได้อย่างมาก

จนถึงขณะนี้ เป็นที่ทราบกันว่าเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่โดยมากจะแพร่กระจายได้ผ่านทางละอองฝอยของระบบทางเดินหายใจ นอกจากนี้ ยังทราบด้วยว่าผู้ติดเชื้อสามารถแพร่ไวรัสในปริมาณมากได้ตั้งแต่ช่วงประมาณ 2 วันก่อนปรากฏอาการ และสามารถแพร่ได้โดยทันทีหลังจากที่มีอาการแล้ว

ว่ากันว่าการสวมหน้ากากอนามัยช่วยลดการแพร่กระจายของละอองฝอยที่เกิดจากการไอและจามได้อย่างมาก ตลอดจนละอองฝอยซึ่งมีอนุภาคเล็กมากที่แพร่กระจายออกมาขณะพูดคุยกันด้วย

เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โอมิ ชิเงรุ ซึ่งขณะนั้นเป็นรองประธานคณะทำงานอันประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญของรัฐบาลญี่ปุ่น ได้กล่าวต่อผู้สื่อข่าวว่าตนต้องการให้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีอาการหรือไม่ก็ตาม สวมหน้ากากอนามัยเพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่กระจายไวรัสนี้ เขากล่าวว่าประเทศต่าง ๆ และองค์การอนามัยโลกได้เห็นพ้องต้องกันแล้ว แม้จะมีความเห็นหลากหลายเกี่ยวกับการใช้หน้ากากอนามัยก็ตาม

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 3 กรกฎาคม 2563)

การเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัสกับเชื้อแบคทีเรียเหมือนหรือต่างกันอย่างไร

ศาสตราจารย์คูนิชิมะ ฮิโรยูกิ แห่งมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์เซนต์มาเรียนนา ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ กล่าวว่าเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรียต่างเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ทำให้เกิดโรคได้

เชื้อแบคทีเรียเป็นสิ่งมีชีวิตแบบดั้งเดิมที่ประกอบด้วยเซลล์เพียงเซลล์เดียว และสามารถขยายพันธุ์ได้เอง

ส่วนเชื้อไวรัสมีขนาดเล็กกว่าแบคทีเรียมาก โดยเชื้อไวรัสประกอบด้วยหน่วยพันธุกรรม หรือกรดนิวคลีอิก และชั้นห่อหุ้มป้องกัน แต่ว่าไวรัสไม่มีเซลล์ นอกจากนี้เชื้อไวรัสยังไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้เอง แต่จะเพิ่มจำนวนได้เฉพาะเวลาที่อยู่ภายในเซลล์ที่มีชีวิตของมนุษย์หรือสัตว์ที่ติดเชื้อไวรัสนี้เท่านั้น

ด้วยเหตุผลนี้เอง เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จึงไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้บนผนังหรือพื้นผิวอื่น ๆ แต่เป็นที่ทราบกันว่าเชื้อไวรัสจะยังคงความสามารถในการติดเชื้ออยู่เป็นระยะเวลาหนึ่งขณะที่ติดอยู่บนพื้นผิวเช่นว่านี้

ศาสตราจารย์คูนิชิมะกล่าวว่าเวลาที่ออกไปข้างนอก พวกเรามักสัมผัสกับพื้นผิวเช่นนี้บ่อยครั้ง เช่นลูกบิดประตูหรือราวจับ ดังนั้นเวลาที่เดินทางกลับถึงบ้านหรือมาถึงที่ทำงาน หรือก่อนจะรับประทานอาหาร เราจึงควรล้างมือหรือทำความสะอาดมือด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 24 มิถุนายน)

มีโอกาสติดเชื้อไวรัสจากการหยิบจับเงินสดหรือไม่

ศาสตราจารย์มิกาโมะ ฮิโรชิเงะ แห่งมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ไอจิ ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมการติดเชื้อ กล่าวว่าขึ้นอยู่กับว่าปริมาณของเชื้อไวรัสมีมากเท่าใด โดยว่าหากคนที่มีเชื้อติดอยู่ที่มือใช้มือสัมผัสธนบัตรหรือเหรียญ ก็ควรตั้งข้อสังเกตไว้ดีกว่าว่าเชื้อไวรัสจะติดอยู่ที่เงินสดนั้นไปอีกระยะหนึ่ง

ดังนั้นเพื่อป้องกันการติดเชื้อ เราจึงควรล้างมือด้วยสบู่หรือฆ่าเชื้อที่มือด้วยแอลกอฮอล์หรือน้ำยาฆ่าเชื้ออื่นก่อนจะใช้มือสัมผัสปากหรือจมูก ซึ่งนี่ถือเป็นสิ่งสำคัญ

ศาสตราจารย์มิกาโมะยังแนะนำด้วยว่าควรจะล้างมือหรือฆ่าเชื้อในแบบเดียวกันนี้ด้วยหลังจากสัมผัสสิ่งของใด ๆ ที่ซื้อมา

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 23 มิถุนายน)

เชื้อไวรัสติดบนพื้นผิวสิ่งของต่าง ๆ จะเหลืออยู่ได้นานเท่าใด

รายงานฉบับหนึ่งที่จัดทำโดยนักวิจัยของสถาบันสาธารณสุขแห่งชาติสหรัฐ และองค์กรอื่น ๆ กล่าวว่าเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ลดจำนวนลงมากอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเวลาผ่านไป โดยว่าไม่พบเชื้อไวรัสเหลืออยู่บนพื้นผิวทองแดงหลังเวลาผ่านไป 4 ชั่วโมง และไม่พบไวรัสเหลืออยู่บนกระดาษแข็งหลังเวลาผ่านไป 72 ชั่วโมง

อย่างไรก็ตาม สำหรับพื้นผิวที่เป็นพลาสติก ยังคงมีไวรัสหลงเหลืออยู่แม้ว่าจะผ่านไป 72 ชั่วโมงก็ตาม ขณะที่พบว่าไวรัสยังคงเหลืออยู่บนพื้นผิวที่เป็นสแตนเลส หลังเวลาผ่านไป 48 ชั่วโมง

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 22 มิถุนายน)

จะเกิดอะไรขึ้นกับเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เวลาที่นำอาหารแช่ในช่องแข็ง

ศาสตราจารย์ซูงาวาระ เอริซะ แห่งบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยการแพทย์และวิทยาศาสตร์สุขภาพโตเกียว ผู้เชี่ยวชาญด้านการป้องกันโรคติดเชื้อกล่าวว่า ถึงแม้จะมีหลายสิ่งที่ยังไม่เป็นที่รับรู้เกี่ยวกับลักษณะเฉพาะของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ แต่มีการศึกษาระดับนานาชาติเกี่ยวกับเชื้อไวรัสซาร์ส ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสโคโรนาที่คล้ายกันอยู่แล้ว

การศึกษาหนึ่งระบุว่า เชื้อไวรัสซาร์สถูกกำจัดเมื่อทดสอบในภาวะแวดล้อมที่มีอุณหภูมิค่อนข้างสูง คือราว 56 องศาเซลเซียส แต่ในภาวะที่อุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง 80 องศาเซลเซียส เชื้อไวรัสกลับสามารถคงอยู่ได้ถึงราว 3 สัปดาห์

ผลการศึกษาดังกล่าวชี้เป็นนัยว่าเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่อาจไม่ทนกับความร้อน แต่สามารถทนกับอุณหภูมิต่ำได้ดี

ศาสตราจารย์ซูงาวาระกล่าวว่า หากยกตัวอย่างสมมุติว่ามีเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่บนหีบห่อของอาหารแช่แข็ง เชื้อไวรัสนี้ก็อาจทนอยู่ในตู้เย็นหรือในช่องแข็งได้เป็นเวลานาน ดังนั้นก่อนที่จะนำอาหารแช่ในตู้เย็นหรือช่องแข็งก็ควรฆ่าเชื้อบนหีบห่อเสียก่อน ทั้งยังควรล้างมืออย่างพิถีพิถันทั้งก่อนและหลังประกอบอาหารด้วย

ศาสตราจารย์ซูงาวาระชี้ว่าผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ โดยมากสามารถรับประทานได้อย่างปลอดภัยเมื่ออุ่นให้ร้อนแล้ว

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 19 มิถุนายน)

การอุ่นอาหารด้วยเตาไมโครเวฟสามารถฆ่าเชื้อไวรัสโคโรนาได้หรือไม่

เตาอบไมโครเวฟเป็นอุปกรณ์ที่อุ่นอาหารด้วยการใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทำให้โมเลกุลน้ำภายในอาหารหมุนกลับไปมา

ศาสตราจารย์ซูงาวาระ เอริซะ แห่งบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยการแพทย์และวิทยาศาสตร์สุขภาพโตเกียว ผู้เชี่ยวชาญด้านการป้องกันโรคติดเชื้อ กล่าวว่าหากอุ่นด้วยเตาไมโครเวฟให้ร้อนเพียงพอ ก็สามารถรับประทานอาหารได้อย่างปลอดภัย

อย่างไรก็ตามเธอชี้ว่าไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่าเตาไมโครเวฟทำให้พื้นผิวของหีบห่อบรรจุอาหารร้อนเพียงพอที่จะให้เชื้อไวรัสที่ติดอยู่บนหีบห่อหมดความสามารถในการติดเชื้อได้

ศาสตราจารย์ซูงาวาระกล่าวว่าการล้างมือบ่อย ๆ ก่อนและหลังประกอบอาหาร รวมทั้งก่อนและหลังรับประทานอาหาร ถือเป็นสิ่งสำคัญ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 18 มิถุนายน)

ถ้าเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ติดบนผิวหนัง เชื้อไวรัสจะคงอยู่ได้นานเท่าใด และเชื้อไวรัสจะหลงเหลืออยู่ในตัวคนที่ไม่แสดงอาการแล้วหรือไม่

ศาสตราจารย์คูนิชิมะ ฮิโรยูกิ แห่งมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์เซนต์มาเรียนนา ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ กล่าวว่าเชื้อไวรัสไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้หากไม่เข้าไปในร่างกายและติดเชื้อในเซลล์ของสัตว์ที่มีชีวิต

เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็นที่ทราบกันว่าโดยมากแล้วจะเข้าสู่ร่างกายผ่านทางเนื้อเยื่อในจมูกหรือในปาก และเพิ่มจำนวนที่เซลล์ในลำคอ ปอด และที่อื่น ๆ ดังนั้นหากว่าเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ติดอยู่บนพื้นผิวของมือหรือเท้าเท่านั้น ก็จะไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้

อย่างไรก็ตาม หากคนที่มีเชื้อไวรัสติดอยู่บนมือ ใช้มือสัมผัสที่ตา จมูก หรือปาก ก็อาจทำให้ตนเองติดเชื้อได้ ทั้งนี้เชื้อที่ติดอยู่บนผิวหนังสามารถล้างออกได้ด้วยสบู่ ดังนั้นผู้คนจึงควรรักษาความสะอาดด้วยการล้างมืออย่างพิถีพิถัน หรือใช้ของเหลวฆ่าเชื้อ เช่นแอลกอฮอล์ ก่อนที่จะใช้มือสัมผัสใบหน้า

ไวรัสของโรคบางชนิด เช่น โรคอีสุกอีใส จะยังคงหลงเหลืออยู่ในร่างกายคนไปตลอดแม้ว่าคนผู้นั้นจะฟื้นตัวจากอาการป่วยแล้วก็ตาม แต่ปกติแล้วเชื้อไวรัสโคโรนาไม่เป็นเช่นนั้น โดยหากว่าผู้ใดติดเชื้อและแสดงอาการออกมา ในท้ายที่สุดแล้ว ระบบภูมิคุ้มกันก็จะทำงาน และทำให้เชื้อไวรัสหมดไปจากร่างกาย

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 15 มิถุนายน)

รังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงอาทิตย์ หรือก๊าซโอโซนสำหรับฆ่าเชื้อสามารถทำลายเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้หรือไม่

ศาสตราจารย์โอเงะ ฮิโรกิ แห่งมหาวิทยาลัยฮิโรชิมา ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ กล่าวว่ามีความเป็นไปได้ที่การอาบรังสีอัลตราไวโอเลตความเข้มข้นสูงที่มีความยาวคลื่นในระดับหนึ่ง จะช่วยลดความสามารถในการติดเชื้อของไวรัสและแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหลายชนิดได้

คาดกันว่าเครื่องมือปล่อยรังสีอัลตราไวโอเลตที่มีสมรรถนะสูงที่นำมาใช้จริงอยู่แล้วหลายชนิดมีประสิทธิผลในการรับมือเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เครื่องมือเช่นนี้กำลังใช้อยู่ที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยฮิโรชิมาเพื่อฆ่าเชื้อห้องพักหลังจากที่ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาออกจากโรงพยาบาลไป โดยการปล่อยรังสีอัลตราไวโอเลตทั่วทั้งห้องเพื่อลดความสามารถในการติดเชื้อของไวรัส

อย่างไรก็ตาม มองกันว่าแสงอาทิตย์ไม่มีผลในการฆ่าเชื้อไวรัสที่สามารถกำจัดได้ด้วยเครื่องปล่อยรังสีอัลตราไวโอเลตข้างต้น เพราะถึงแม้ว่าแสงอาทิตย์จะเป็นรังสีอัลตราไวโอเลต แต่แสงอาทิตย์ประกอบด้วยรังสีที่มีความยาวคลื่นต่าง ๆ กัน และไม่มีพลังมากเท่ากับรังสีที่ปล่อยจากอุปกรณ์ข้างต้น

สำหรับก๊าซโอโซนนั้น นักวิจัยกลุ่มหนึ่งจากมหาวิทยาลัยหลายแห่งในญี่ปุ่นระบุในรายงานที่เผยแพร่เมื่อเดือนพฤษภาคมว่า พวกตนพบว่าเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่มีความสามารถในการติดเชื้อลดลงอย่างมากหลังจากที่สัมผัสกับโอโซนความเข้มข้นสูงเป็นเวลาราว 1 ชั่วโมง ศาสตราจารย์โอเงะกล่าวว่าก๊าซโอโซนที่ใช้ในการทดลองนั้นมีความเข้มข้นระหว่าง 1-6 ส่วนในล้านส่วน ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายต่อมนุษย์

อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ก๊าซโอโซนเพื่อฆ่าเชื้อและดับกลิ่น ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่หาซื้อได้สำหรับใช้ทั่วไปนั้น ไม่ได้ให้ก๊าซโอโซนที่มีความเข้มข้นสูงดังกล่าว แต่ยังไม่มีการยืนยันว่าโอโซนความเข้มข้นต่ำมีประสิทธิผลในการต่อสู้กับเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่หรือไม่

สำนักงานกิจการผู้บริโภคของญี่ปุ่นกำลังเรียกร้องให้ผู้คนสอบถามยืนยันกับบรรดาผู้ผลิตว่า คำกล่าวอ้างที่ว่าผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ใช้ก๊าซโอโซน สามารถป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนาได้ผลนั้น มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์รองรับหรือไม่

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 12 มิถุนายน)

จะต้องระวังอะไรบ้างเวลาใส่หน้ากากป้องกันในฤดูร้อน

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นกล่าวว่า จำเป็นต้องระวังอาการลมเหตุร้อนให้มากขึ้นในฤดูร้อนปีนี้ เนื่องจากผู้คนจำนวนมากสวมใส่หน้ากากป้องกันเพื่อรับมือเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

ทางกระทรวงแนะนำให้ผู้คนถอดหน้ากากออกได้ในพื้นที่ภายนอกอาคารหากว่ามีการเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างเพียงพอ ซึ่งก็คืออย่างน้อย 2 เมตร นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้งดเว้นการทำงานหรือออกกำลังกายอย่างหักโหมยามที่สวมหน้ากาก ทางกระทรวงได้เรียกร้องให้ผู้คนดื่มน้ำบ่อย ๆ แม้ว่าจะไม่รู้สึกหิวน้ำก็ตาม

ศาสตราจารย์โยโกโบริ โชจิ แห่งบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์นิปปง ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาการลมเหตุร้อน กล่าวว่าการใส่หน้ากากไม่ได้ทำให้ผู้คนเสี่ยงเกิดอาการลมเหตุร้อนเสมอไป แต่การสวมหน้ากากทำให้หายใจลำบากขึ้น

ทั้งนี้มีข้อมูลที่ชี้ว่าเวลาสวมหน้ากากป้องกัน อัตราการเต้นของหัวใจและอัตราการหายใจจะเพิ่มขึ้นราวร้อยละ 10 ศาสตราจารย์โยโกโบริชี้ว่า ภาระหนักจากการออกกำลังกาย หรืออุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น ต่างเป็นปัจจัยเพิ่มความเสี่ยงเกิดอาการลมเหตุร้อน

ศาสตราจารย์โยโกโบริกล่าวว่าการป้องกันการติดเชื้อผ่านฝอยละอองขนาดเล็กถือเป็นสิ่งสำคัญ แต่ผู้สูงอายุหรือผู้คนที่อาศัยอยู่คนเดียวก็ควรจะระวังอาการลมเหตุร้อนด้วย โดยเวลาอยู่ข้างนอก ศาสตราจารย์โยโกโบริแนะนำให้ผู้คนถอดหน้ากาก และพักในสถานที่ที่ไม่แออัด เช่นใต้ร่มไม้ เป็นต้น นอกจากนี้ยังควรจะเปลี่ยนหน้ากากป้องกันหลังจากที่เหงื่อออก เนื่องจากหน้ากากที่เปียกชื้นทำให้อากาศถ่ายเทน้อยลง

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 11 มิถุนายน)

จะต้องระวังอะไรบ้างเวลาใช้เครื่องปรับอากาศ

บางคนอาจกังวลเรื่องการถ่ายเทอากาศในห้องปรับอากาศช่วงฤดูร้อน เครื่องปรับอากาศสำหรับใช้ในบ้านส่วนมากเป็นระบบให้อากาศหมุนเวียนภายในห้อง และไม่ได้มีความสามารถในการระบายอากาศ ขณะที่หลายคนอาจปิดหน้าต่างห้องยามที่ใช้เครื่องปรับอากาศ

รองศาสตราจารย์ยามาโมโตะ โยชิฮิเดะ แห่งมหาวิทยาลัยโพลีเทคนิคโตเกียว ผู้เป็นหนึ่งในสมาชิกสถาบันสถาปัตยกรรมศาสตร์ญี่ปุ่น และเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการระบายอากาศในอาคารต่าง ๆ ได้เสนอแนวทางใช้เครื่องปรับอากาศควบคู่ไปกับการระบายอากาศตามธรรมชาติ

ในภูมิภาคที่มีสี่ฤดูกาล รองศาสตราจารย์ยามาโมโตะแนะนำว่าเวลาที่ใช้เครื่องปรับอากาศในช่วงต้นฤดูร้อนที่อากาศยังไม่ร้อนจัดนัก เราควรเปิดหน้าต่างเล็กน้อยเพื่อให้อากาศภายนอกไหลเข้ามาได้ ส่วนเวลาที่อากาศร้อนจัด ก็ควรจะทำให้อุณหภูมิห้องเย็นลงด้วยการปิดหน้าต่างสักครู่หนึ่ง หรือเปิดหน้าต่างให้แคบลง

สำหรับช่วงกลางฤดูร้อนที่มีความเสี่ยงอาการลมเหตุร้อนมากขึ้น รองศาสตราจารย์ยามาโมโตะแนะนำให้ใช้พัดลมระบายอากาศภายในบ้าน เช่นในห้องครัวและห้องน้ำ แทนการเปิดหน้าต่าง วิธีนี้ใช้ได้ในภูมิภาคเขตร้อนเช่นกัน

บ้านเรือนส่วนมากออกแบบมาให้รับอากาศภายนอกเข้ามาได้ยามที่ใช้พัดลมระบายอากาศ ซึ่งทำให้อากาศไหลเวียนระหว่างภายในและนอกอาคาร แม้ว่าจะไม่เปิดหน้าต่างก็ตาม หากว่าผู้ใดต้องการทราบว่าบ้านของตนมีการระบายอากาศเป็นอย่างไร ก็ควรจะสอบถามผู้เชี่ยวชาญ

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 10 มิถุนายน)

ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จะมีชีวิตอยู่ได้จนถึงอุณหภูมิเท่าไร และการทำอาหารโดยให้ความร้อนจะฆ่าไวรัสชนิดนี้ได้หรือไม่

นักวิจัยกล่าวว่า ไวรัสชนิดนี้มีชีวิตอยู่ที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียสได้ 1 วัน แต่ความร้อนที่ 56 องศาเซลเซียสจะฆ่าไวรัสนี้ได้ภายใน 30 นาที และยังพบอีกด้วยว่าตรวจไม่เจอไวรัสภายใน 5 นาทีที่อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส

คุณซูงาวาระ เอริซะ จากสมาคมป้องกันและควบคุมการติดเชื้อแห่งญี่ปุ่น กล่าวว่า ไม่มีกรณียืนยันการติดเชื้อว่าเชื่อมโยงกับการปนเปื้อนของไวรัสในอาหารไม่ว่าอาหารนั้นผ่านการให้ความร้อนมาแล้วหรือไม่ และการประกอบอาหารให้สุกด้วยความร้อนที่เพียงพอก็จะฆ่าไวรัสได้

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 1 มิถุนายน)

ควรจะทำอย่างไรเมื่อประสบปัญหาฝืดเคืองในการจ่ายค่าเช่า

ผู้ที่ตกงานหรือรายได้ลดลงเนื่องจากการระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่สามารถสมัครขอรับเงินทุนช่วยเหลือการจ่ายค่าเช่าได้ การระบุสิทธิรับเงินทุนขึ้นอยู่กับผลการประเมินรายรับของครัวเรือนและเงินออม

เงินทุนนี้จัดสรรเป็นการช่วยเหลือด้านค่าเช่าเท่านั้น ไม่รวมถึงเงินกู้เพื่อที่พักอาศัย โดยครอบคลุมค่าเช่า 3 เดือน และช่วยได้สูงสุด 9 เดือนหากเป็นไปตามเงื่อนไข และเป็นเงินที่ไม่ต้องจ่ายคืน

ก่อนจะยื่นสมัครต้องโทรศัพท์ปรึกษา “ศูนย์พึ่งพาตนเอง” ของที่ทำการในเขตนั้น และการให้คำปรึกษามีเฉพาะภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น

ศูนย์ให้คำปรึกษาเปิดให้บริการทุกวันเป็นภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น ตั้งแต่ 9.00 น. ถึง 21.00 น. หมายเลขโทรศัพท์ 0120-23-5572

https://www.mhlw.go.jp/content/000630855.pdf
*ท่านจะออกจากเว็บไซต์ของ NHK WORLD-JAPAN

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 25 พฤษภาคม)

การสมัครเข้าโครงการรับความช่วยเหลือทางการเงินสืบเนื่องจากผลกระทบของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในญี่ปุ่น ทำอย่างไร

สำนักงานสวัสดิการสังคมของทุกจังหวัดได้จัดตั้งระบบเงินกู้สวัสดิการสำหรับครัวเรือนที่ประสบปัญหาฝืดเคืองด้านค่าใช้จ่ายในการดำเนินชีวิตเพราะงานหยุดชะงัก นี่เป็นเงินกู้และต้องจ่ายคืน

“กองทุนย่อยฉุกเฉิน” จัดตั้งขึ้นเพื่อครัวเรือนที่ตกอยู่ในสภาพรายได้ลดเพราะถูกพักงานชั่วคราวเป็นหลัก โดยจัดวงเงินให้สูงสุดที่ 200,000 เยน

ส่วน “กองทุนสนับสนุนทั่วไป” หลัก ๆ แล้วจัดตั้งขึ้นเพื่อครัวเรือนที่สมาชิกในครอบครัวตกงานหรือรายได้ลด เพดานเงินกู้สำหรับครัวเรือนที่มีสมาชิกตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปจำกัดที่เดือนละ 200,000 เยน และสำหรับครัวเรือนที่มีคนเดียว เพดานเงินกู้อยู่ที่เดือนละ 150,000 เยน โดยหลักการแล้ว ระยะเวลากู้คือภายใน 3 เดือน

ศูนย์ให้คำปรึกษาเปิดให้บริการทุกวันเป็นภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น ตั้งแต่ 9.00 น. ถึง 21.00 น. หมายเลขโทรศัพท์ 0120-46-1999.

https://www.mhlw.go.jp/content/000621221.pdf
*ท่านจะออกจากเว็บไซต์ของ NHK WORLD-JAPAN

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 22 พฤษภาคม)

การติดเชื้อในสัตว์เลี้ยงเป็นอย่างไร

ประชาชนถามข้อมูลเรื่องนี้เนื่องจากมีรายงานออกมาว่า ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่สามารถติดต่อระหว่างแมวที่เป็นสัตว์เลี้ยงในครัวเรือน

ศาสตราจารย์คาวาโอกะ โยชิฮิโระ จากสถาบันวิทยาศาสตร์การแพทย์มหาวิทยาลัยโตเกียว และคณะนักวิจัยคนอื่น ๆ ที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน ทำการทดลองโดยนำเชื้อไวรัสชนิดนี้ใส่เข้าไปในแมว 3 ตัว และนำแต่ละตัวไปเลี้ยงไว้ร่วมกับแมวที่ไม่ได้ติดเชื้อ

คณะนักวิจัยกล่าวว่า แม้แมวที่ติดเชื้อไม่แสดงอาการ แต่ก็พบไวรัสดังกล่าวในแมวเหล่านั้นทุกตัวจากการตรวจสารคัดหลั่งในโพรงจมูก และในจำนวน 3 ตัวนั้น แมว 2 ตัวมีผลตรวจเป็นบวกติดต่อกัน 6 วัน

ทางคณะกล่าวว่า แมว 3 ตัวที่ไม่ติดเชื้อเป็นแมวที่เลี้ยงอยู่ร่วมกับแมว 3 ตัวที่ติดเชื้อ และต่อมาอีก 3-6 วัน แมวซึ่งเดิมไม่มีเชื้อถูกตรวจพบว่ามีผลเป็นบวก ซึ่งบ่งชี้ว่าไวรัสแพร่กระจาย

คณะนักวิจัยกลุ่มนี้ระบุว่า ผลที่ออกมานั้นบอกเป็นนัยว่า ไวรัสโคโรนาชนิดนี้สามารถแบ่งตัวเพิ่มจำนวนได้รวดเร็วในอวัยวะหายใจ และแพร่กระจายได้ง่ายระหว่างแมว ทั้งยังกล่าวด้วยว่าแมวที่ติดเชื้ออาจไม่แสดงอาการใด ๆ และสามารถแพร่เชื้อไวรัสได้โดยที่เจ้าของไม่รู้ และทางคณะได้แนะนำให้เจ้าของเก็บแมวไว้ภายในบ้าน

(ข้อมูลที่นำเสนอนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 21 พฤษภาคม)

เราจะระวังตัวอย่างไรที่สนามกอล์ฟ

คุณซากาโมโตะ ฟูมิเอะ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อจากโรงพยาบาลนานาชาติเซนต์ลุกส์ในญี่ปุ่นกล่าวว่า บางคนอาจคิดว่าการตีกอล์ฟไม่เสี่ยงต่อการติดเชื้อเพราะเป็นกีฬากลางแจ้ง แต่การตีกอล์ฟกับคนจำนวนมากมีความเสี่ยงสูง ตัวสนามกอล์ฟนั้นเปิดโล่งอยู่ภายนอก ไม่ได้อยู่ภายในพื้นที่ปิดก็จริง แต่การใช้ห้องล็อกเกอร์หรือการกินอาหารในบริเวณเหล่านั้นกับคนจำนวนมากทำให้เสี่ยงมากขึ้น นอกจากนั้น เรายังต้องระมัดระวังเกี่ยวกับความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเมื่อใช้มือของเรามาสัมผัสหน้าตัวเอง หลังจากมือนั้นสัมผัสตามที่ต่าง ๆ ซึ่งไม่รู้ว่าใครต่อใครมากมายแตะต้องมาก่อน

เราควรใส่ใจเรื่องอะไรเมื่อขึ้นลงลิฟต์

คุณซากาโมโตะ ฟูมิเอะ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อจากโรงพยาบาลนานาชาติเซนต์ลุกส์ในญี่ปุ่นกล่าวว่า สิ่งที่เราทำได้เพื่อป้องกันการติดเชื้อคือ หลีกเลี่ยงการใช้ลิฟต์ที่มีคนขึ้นเป็นจำนวนมาก และหลีกเลี่ยงการพูดคุยกับคนอื่นขณะที่อยู่ในลิฟต์เพราะเราไม่สามารถเดินขึ้นบันไดไปถึงชั้น 10 หรือชั้น 20 ของอาคารได้ มาตรการที่ว่านี้สามารถลดความเป็นไปได้ของการติดเชื้อ

คุณซากาโมโตะเสริมด้วยว่า สิ่งสำคัญคือการไม่ใช้มือที่กดปุ่มลิฟต์มาสัมผัสหน้าตัวเอง และสิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ หลังจากสัมผัสปุ่มลิฟต์แล้ว ขอให้ล้างมือด้วยสบู่กับน้ำโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

เชื้อไวรัสโคโรนากลายพันธุ์แล้วหรือไม่ ?

เมื่อต้นเดือนมีนาคม คณะนักวิจัยของจีนชุดหนึ่งได้วิเคราะห์หน่วยพันธุกรรมของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ได้มาจากผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสนี้กว่า 100 คนจากทั่วโลก คณะนักวิจัยนี้พบความแตกต่างในหน่วยพันธุกรรมของไวรัสโคโรนาที่แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ ประเภท L กับประเภท S

คณะนักวิจัยพบว่าไวรัสประเภท S มีลักษณะทางพันธุกรรมใกล้เคียงกับไวรัสโคโรนาที่พบในค้างคาว แต่ไวรัสประเภท L ที่พบมากในผู้ป่วยในยุโรปนั้น เชื่อกันว่าเป็นเชื้อไวรัสประเภทใหม่ที่ต่างจากประเภท S

ศาสตราจารย์อิโต มาซาฮิโระ แห่งคณะวิทยาศาสตร์ชีวภาพ มหาวิทยาลัยริตสึเมคัง ซึ่งได้ศึกษาเกี่ยวกับลักษณะพิเศษของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ กล่าวว่าเชื้อไวรัสโคโรนากลายพันธุ์ได้อย่างง่ายดาย จึงเป็นไปได้ว่าเมื่อมีการแพร่เชื้อซ้ำ ๆ จากคนสู่คน และทำให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มจำนวนมากขึ้น เชื้อไวรัสนี้ก็อาจกลายพันธุ์

อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่การกลายพันธุ์อาจทำให้ลักษณะต่าง ๆ ของไวรัส เช่น ความสามารถในการแพร่กระจาย เปลี่ยนแปลงไปนั้น ศาสตราจารย์อิโตกล่าวว่าขณะนี้เชื้อไวรัสโคโรนาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก และถึงแม้จะมีความแตกต่างในหน่วยพันธุกรรมระหว่างไวรัสประเภท L และประเภท S แต่ก็ยังไม่มีข้อมูลที่ระบุว่าไวรัสประเภทไหนจะทำให้ผู้ติดเชื้อมีอาการหนักกว่ากัน

ศาสตราจารย์อิโตกล่าวว่าการที่ความรุนแรงและอัตราการเสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศนั้น เป็นไปได้ว่าอาจมีสาเหตุเกี่ยวกับผู้คน ซึ่งรวมถึงความแตกต่างในสัดส่วนผู้สูงอายุ วัฒนธรรม และอาหารการกิน

(ข้อมูลนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 3 เมษายน 2563)

คนหนุ่มสาวจะมีอาการรุนแรงเมื่อติดเชื้อหรือไม่ ?

ผู้เชี่ยวชาญเคยบอกว่า ผู้สูงอายุและผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพมีแนวโน้มจะมีอาการรุนแรงเมื่อติดเชื้อ แต่เมื่อเดือนที่แล้ว สื่อได้รายงานกรณีของผู้หญิงวัย 21 ปีในอังกฤษ และเด็กหญิงวัย 16 ปีในฝรั่งเศส ทั้งคู่ไม่มีปัญหาทางสุขภาพมาก่อน แต่เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ กรณีดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่าคนหนุ่มสาวบางรายสามารถมีอาการรุนแรง

ญี่ปุ่นก็มีกรณีที่คล้ายคลึงกันที่คนหนุ่มสาวมีอาการรุนแรง คุณคุตสึนะ ซาโตชิ จากศูนย์การแพทย์และสาธารณสุขนานาชาติแห่งชาติ ระบุว่า ในบรรดาผู้ป่วยมากกว่า 30 คนที่เขารักษา ผู้ชายคนหนึ่งในช่วงวัย 40 ปีต้น ๆ ที่ไม่มีปัญหาสุขภาพร้ายแรงมาก่อน มีอาการรุนแรง

คุณคุตสึนะบอกว่า ชายคนนี้แค่มีไข้และไอในช่วงไม่กี่วันแรก ๆ แต่หลังจากหนึ่งสัปดาห์ เขามีอาการปอดอักเสบอย่างรุนแรง และจำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเพราะว่าการหายใจแย่ลงอย่างรวดเร็ว ชายคนนี้มีอาการดีขึ้นในเวลาต่อมา

คุณคุตสึนะบอกว่า คนหนุ่มสาวไม่ควรคิดว่าตัวเองไม่เป็นไร เพราะคนหนุ่มสาวก็มีอาการรุนแรงได้

องค์การอนามัยโลกเตือนว่า มีหลายกรณีที่ผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 50 ปีต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ รายงานว่า ร้อยละ 2 ถึง 4 ของผู้ติดเชื้อที่อายุระหว่าง 20-44 ปีต้องรักษาตัวในห้องไอซียู

(ข้อมูลข้างต้นนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 2 เมษายน)

ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แพร่กระจายผ่านท่อน้ำทิ้งได้หรือไม่ ?

ในช่วงที่ไวรัสโรคซาร์สระบาดในพื้นที่ต่าง ๆ ของโลกเมื่อปี 2546 มีรายงานการติดเชื้อในผู้คนจำนวนมากที่คอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งในฮ่องกง คาดว่าการติดเชื้อในผู้คนจำนวนมากนี้เกิดจากฝอยละอองขนาดใหญ่ที่ปนเปื้อนไวรัส ซึ่งรั่วไหลจากท่อน้ำทิ้งที่เก่า

ศาสตราจารย์คากุ มิตซูโอะ จากมหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์และเภสัชศาสตร์โทโฮกุ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องมาตรการป้องกันการติดเชื้อ ระบุว่า มีความเสี่ยงต่ำที่ไวรัสจะแพร่กระจายผ่านท่อน้ำทิ้งในประเทศต่าง ๆ ที่มีสภาพสุขอนามัยค่อนข้างดี

แต่ศาสตราจารย์คากุ ระบุว่า เป็นไปได้ที่เชื้อไวรัสจะติดอยู่ที่พื้นผิวของสุขาและพื้นที่รอบ ๆ และอาจจะติดเชื้อจากการใช้มือสัมผัสพื้นผิวที่ปนเปื้อน ศาสตราจารย์คากุบอกว่า ควรจะปิดฝาชักโครกก่อนที่จะกดชักโครก และต้องล้างมืออย่างทั่วถึงหลังจากใช้ห้องน้ำ

ศาสตราจารย์คากุบอกว่า ผู้คนต้องรักษาสุขอนามัยในชีวิตประจำวัน เช่น ฆ่าเชื้อที่ก็อกน้ำ อ่างล้างหน้า และลูกบิดประตู

(ข้อมูลข้างต้นนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 1 เมษายน)

การฆ่าเชื้อโรคด้วยสบู่มีผลเช่นเดียวกับการใช้แอลกอฮอล์หรือไม่ ?

คุณซากาโมโตะ ฟูมิเอะ จากโรงพยาบาลนานาชาติเซนต์ ลุค ในกรุงโตเกียว ซึ่งเชี่ยวชาญในการควบคุมการติดเชื้อ กล่าวว่า สบู่มีประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อโรคในระดับหนึ่ง

เธอกล่าวว่า โดยทั่วไปแล้วสบู่จะมีสารลดแรงตึงผิว ซึ่งจะทำลายไขมันในเยื่อหุ้มเซลล์ที่ห่อหุ้มไวรัสโคโรนา ซึ่งหมายความว่าเชื้อไวรัสจะถูกทำลายในระดับหนึ่ง

คุณซากาโมโตะกล่าวว่า แอลกอฮอล์ก็มีประสิทธิภาพเช่นกัน แต่ถ้ามือสกปรก บางครั้งอาจยากที่การฆ่าเชื้อจะไปถึงภายในเชื้อโรค

คุณซากาโมโตะขอให้ผู้คนล้างมือด้วยสบู่อย่างสม่ำเสมอ

สถานการณ์เช่นไรจึงจะพูดได้ว่าการระบาดได้สิ้นสุดลงแล้ว ?

คุณโอมิ ชิเงรุ เป็นรองประธานคณะผู้เชี่ยวชาญของรัฐบาลญี่ปุ่นเรื่องไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ และประธานขององค์กรดูแลสุขภาพชุมชนแห่งญี่ปุ่น ผู้ซึ่งเคยดำเนินมาตรการต่อต้านโรคติดเชื้อขององค์การอนามัยโลก เขากล่าวว่า การสิ้นสุดการระบาด หมายความว่าห่วงโซ่ของการระบาดได้หยุดลง และไม่มีผู้ที่ติดเชื้ออีก

หน่วยงานด้านสาธารณสุขอาจประกาศการสิ้นสุดการระบาด ถ้าไม่มีการยืนยันผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นระยะเวลาหนึ่ง ตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก

ตัวอย่างเช่น โรคซาร์ส ซึ่งระบาดในจีนและพื้นที่อื่น ๆ ในเอเชียเมื่อปี 2546 องค์การอนามัยโลกได้ประกาศสิ้นสุดการระบาดใน 8 เดือนหลังจากมีการยืนยันผู้ป่วยรายแรก

ในทางกลับกัน การแพร่ระบาดอาจจะควบคุมได้เป็นช่วงเวลาหนึ่งในพื้นที่เฉพาะ หรือในประเทศที่ใช้มาตรการ เช่น ขอให้ประชาชนงดออกไปนอกบ้าน

อย่างไรก็ตาม การระบาดอาจเกิดขึ้นอีกครั้งจากเชื้อไวรัส ที่นำเข้ามาจากพื้นที่ภายนอก เช่น โรคหวัดตามฤดูกาลที่ระบาดในช่วงฤดูหนาว และบรรเทาลงชั่วคราว แต่ว่ายังไม่ถือว่าสิ้นสุดการระบาด

วัคซีนและยามีประสิทธิภาพในการจำกัดการติดเชื้อไม่ให้แพร่กระจาย และรุนแรงยิ่งขึ้น แต่คุณโอมิกล่าวว่า การมีวัคซีนและยา กับการระบาดจะสิ้นสุดลงหรือไม่นั้น เป็นคนละเรื่องกัน

คุณโอมิกล่าวว่า หน่วยงานด้านสาธารณสุขยังคงต้องทุ่มเทความพยายามในการควบคุมการระบาดอย่างไม่ลดละ โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้การระบาดสิ้นสุดลงอย่างสมบูรณ์

(ข้อมูลข้างต้นนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 27 มีนาคม)

ญี่ปุ่นได้ค้นพบวิธีในการป้องกันหรือรักษาการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แล้วหรือยัง ?

ยังไม่มียาที่ได้รับการพิสูจน์ว่ามีประสิทธิภาพอย่างชัดเจนต่อเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เช่น ยาทามิฟลู และยาโซฟลูซา ซึ่งใช้รักษาไข้หวัดใหญ่

เช่นเดียวกับในประเทศและดินแดนอื่น ๆ บรรดาแพทย์ในญี่ปุ่นเน้นการรักษาตามอาการ เช่น ให้ออกซิเจนกับผู้ป่วย และให้สารอาหารหรือวิตามินผ่านสายน้ำเกลือ ในผู้ป่วยที่มีอาการขาดน้ำ

ถึงแม้ว่า ยาที่มีประสิทธิภาพต่อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ยังไม่ได้รับการพัฒนาขึ้น บรรดาแพทย์ในญี่ปุ่นและทั่วโลกกำลังจ่ายยา ที่เคยใช้รักษาอาการอื่น ๆ เพราะว่ายาเหล่านี้อาจมีผลต่อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

หนึ่งในยานั้น คือ อาวีแกน ยาต้านหวัดที่พัฒนาขึ้นโดยบริษัทยาของญี่ปุ่นเมื่อ 6 ปีก่อน หน่วยงานของจีนระบุว่า ยานี้มีประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วยไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

ศูนย์การแพทย์และสาธารณสุขนานาชาติแห่งชาติของญี่ปุ่น ระบุว่าได้ใช้ยาต้านไวรัสที่เคยใช้กับโรคเอดส์ กับผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เจ้าหน้าที่ของทางศูนย์ระบุว่า ผู้ป่วยไข้ลดลง และอาการอ่อนล้าและหายใจติดขัดดีขึ้น

การค้นหาวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพกำลังดำเนินไปในหลายประเทศ คณะนักวิจัยที่รวมถึงนักวิจัยจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ ได้รายงานถึงการใช้ยาต้านไวรัสที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อรักษาโรคอีโบลา ในชายคนหนึ่งที่มีอาการปอดอักเสบจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

คณะนักวิจัยระบุว่า อาการของชายคนนี้เริ่มดีขึ้นในวันหลังจากที่ได้รับยา คณะนักวิจัยบอกว่า ชายคนนี้ไม่ต้องใช้เครื่องให้ออกซิเจน และไข้ลดลง

กระทรวงสาธารณสุขของไทย ได้ระบุว่าการใช้ยาสำหรับโรคหวัดกับยาสำหรับโรคเอดส์ร่วมกัน ทำผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น และตรวจไม่พบเชื้อไวรัสในเวลาต่อมา

อย่างไรก็ตาม ในทุกกรณีนั้นผู้เชี่ยวชาญระบุว่า จำเป็นต้องมีการศึกษาทางคลินิกเพิ่มเติม เพื่อยืนยันถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพของยา

(ข้อมูลข้างต้นนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 25 มีนาคม)

เด็กมีแนวโน้มจะมีอาการรุนแรงเมื่อติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่หรือไม่ ?

ไม่มีรายงานในประเทศจีนว่า เด็กมีแนวโน้มจะมีอาการรุนแรงเมื่อติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ การวิเคราะห์โดยคณะผู้เชี่ยวชาญของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของจีนจากผู้ติดเชื้อ 44,672 คนในจีน จนถึงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พบว่าไม่มีเด็กอายุ 9 ปีหรือน้อยกว่าเสียชีวิตจากการติดเชื้อ มีรายงานพียงแค่ผู้เสียชีวิต 1 คนที่เป็นวัยรุ่น

คณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอู่ฮั่นและสถาบันอื่น ๆ รายงานว่า จนถึงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ทารก 9 คน ที่มีอายุระหว่าง 1-11 เดือน ติดเชื้อไวรัสโคโรนาในจีนแผ่นดินใหญ่ โดยไม่มีรายใดที่มีอาการรุนแรง

ศาสตราจารย์รับเชิญ โมริชิมะ สึเนโอะ จากมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ไอจิ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อในเด็ก กล่าวว่า ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่มีความคล้ายคลึงในบางลักษณะกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ที่มีอยู่ และเด็กที่มักจะเป็นหวัดน่าจะมีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสในบางระดับ

อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์โมริชิมะ กล่าวว่า ต้องระมัดระวังเพราะว่าการติดเชื้อมีแนวโน้มระบาดอย่างรวดเร็วที่โรงเรียนและสถานรับเลี้ยงเด็ก ผู้ปกครองควรมั่นใจว่าเด็ก ๆ ล้างมืออย่างทั่วถึง และทำให้ห้องที่เด็ก ๆ อยู่มีการระบายอากาศที่ดี

(ข้อมูลข้างต้นนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 24 มีนาคม)

ใครที่มีแนวโน้มจะมีอาการรุนแรงเมื่อติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ?

องค์การอนามัยโลกระบุว่า ผู้เสียชีวิตจำนวนมากจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ คือ คนที่มีอาการต่าง ๆ ซึ่งส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และโรคหัวใจ

ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอควรจะระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่เพียงแค่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ แต่ยังรวมถึงการติดเชื้อทั่วไป เช่น ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล

นอกจากนี้ยังรวมถึง ผู้ที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน เช่น เพื่อรักษาโรคไขข้อ และผู้สูงอายุ

คณะนักวิจัยยังระบุไม่ได้ว่า ความร้ายแรงของอาการป่วยเรื้อรังของผู้ป่วย มีความสัมพันธ์กับอาการที่รุนแรงเมื่อติดเชื้ออย่างไร

สำหรับสตรีมีครรภ์ ไม่มีข้อมูลที่บ่งชี้ว่าสตรีมีครรภ์จะเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อไวรัสโคโรนา แต่โดยทั่วไปแล้ว สตรีมีครรภ์มีความสุ่มเสี่ยงต่อเชื้อไวรัสต่าง ๆ และถ้าหากมีอาการปอดอักเสบ ก็มีแนวโน้มจะมีอาการที่รุนแรง

ยังไม่มีข้อมูลว่าไวรัสโคโรนาจะทำให้มีอาการอย่างไรในเด็กทารก แต่เพราะว่าเด็กทารกไม่สามารถป้องกันตัว เช่น ล้างมือ หรือ หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีผู้คนหนาแน่นได้ด้วยตัวเอง ผู้ปกครองจึงควรจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อปกป้องลูกหลานของตน

ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จะมีอาการอย่างไร ?

มีรายงานในเรื่องนี้เผยแพร่โดยคณะผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งรวมถึงผู้เชี่ยวชาญจากองค์การอนามัยโลก โดยได้วิเคราะห์อย่างละเอียดเกี่ยวกับอาการของผู้ที่ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อในประเทศจีน 55,924 คน นับจนถึงวันที่ 20 กุมภาพันธ์

รายงานระบุว่า ผู้ป่วยร้อยละ 87.9 มีไข้, ร้อยละ 67.7 มีอาการไอ, ร้อยละ 38.1 อ่อนเพลีย และร้อยละ 33.4 มีเสมหะ ส่วนอาการอื่น ๆ เช่น หายใจติดขัด เจ็บคอ และปวดศีรษะ ผู้ติดเชื้อจะเริ่มมีอาการในช่วง 5-6 วันโดยเฉลี่ย

ร้อยละ 80 ของผู้ติดเชื้อมีอาการค่อนข้างน้อย บางคนไม่มีอาการปอดอักเสบ โดยในกลุ่มผู้ติดเชื้อทั้งหมดนั้น ร้อยละ 13.8 มีอาการรุนแรง และหายใจลำบาก

ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจ โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง และมะเร็ง มีโอกาสมากขึ้นที่จะมีอาการรุนแรง หรือเสี่ยงต่อชีวิต

ทั้งนี้มีรายงานไม่กี่ชิ้นที่ระบุถึงเด็กติดเชื้อหรือมีอาการรุนแรง ผู้ติดเชื้ออายุ 18 ปีหรือน้อยกว่า มีเพียงร้อยละ 2.4 ของจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด

ดร.ซาโตชิ คุตสึนะ จากศูนย์การแพทย์และสาธารณสุขนานาชาติแห่งชาติ ได้รักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาในญี่ปุ่น ดร.คุตสึนะระบุว่า ผู้ป่วยที่เขาพบมีน้ำมูก เจ็บคอ และไอ ทั้งหมดมีอาการอ่อนเพลีย และมีไข้ 37 องศาหรือสูงกว่า ยาวนานราว 1 สัปดาห์

ดร.คุตสึนะบอกว่าผู้ป่วยบางคนมีไข้สูงหลังจาก 1 สัปดาห์ และว่าอาการต่าง ๆ มีแนวโน้มจะยาวนานกว่าโรคหวัดตามฤดูกาล หรือโรคติดเชื้อจากไวรัสอื่น ๆ

ทั้งนี้ นี่เป็นข้อมูล ณ วันที่ 19 มีนาคม

จะฆ่าเชื้อเสื้อผ้าอย่างไร ?

การซักผ้าจะล้างไวรัสได้หรือไม่ และเราควรใช้ยาฆ่าเชื้อแอลกอฮอล์กับเสื้อผ้าหรือไม่
คุณเอริสะ ซูงาวาระ จากสมาคมป้องกันและควบคุมโรคติดต่อแห่งญี่ปุ่น ระบุว่า ไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าเชื้อแอลกอฮอล์กับเสื้อผ้า โดยอธิบายว่าไวรัสส่วนใหญ่จะถูกล้างออกไปจากเสื้อผ้าได้จากการซักผ้าตามปกติ ถึงแม้ว่าจะยังมีไม่มีการพิสูจน์กับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ก็ตาม

สำหรับสิ่งของที่คุณรู้สึกว่ามีความเสี่ยงเป็นพิเศษในการปนเปื้อนไวรัส เช่น ผ้าเช็ดหน้า ซึ่งใช้ปิดปากเมื่อไอหรือจาม คุณซูงาวาระแนะนำให้แช่ในน้ำเดือดนาน 15-20 นาที

ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ควรระวังเรื่องอะไรบ้าง ?

ท่ามกลางการระบาดของไวรัสโคโรนา สมาคมแพทย์โรคติดเชื้อทางสูติเวชและนรีเวชแห่งญี่ปุ่น ได้เผยแพร่เอกสารที่ให้คำแนะนำแก่ผู้ที่กำลังจะเป็นแม่ และสตรีมีครรภ์

ทางสมาคมระบุว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลว่าสตรีมีครรภ์มีแนวโน้มที่จะมีอาการรุนแรงจากไวรัสโคโรนามากกว่ากลุ่มอื่น หรือรายงานว่า เชื้อไวรัสทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ในทารกในครรภ์

แต่ทางสมาคมเตือนว่า โดยทั่วไปแล้ว สตรีมีครรภ์สามารถป่วยหนัก ถ้าหากมีอาการปอดอักเสบ

สมาคมแพทย์โรคติดเชื้อทางสูติเวชและนรีเวชแห่งญี่ปุ่น แนะนำให้สตรีมีครรภ์ระมัดระวัง เช่น ล้างมืออย่างทั่วถึงด้วยสบู่และน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากออกไปนอกบ้าน และก่อนรับประทานอาหาร รวมทั้งใช้ยาฆ่าเชื้อที่ผสมแอลกอฮอล์

คำแนะนำอื่น ๆ รวมทั้ง หลีกเลี่ยงการติดต่อกับผู้ที่มีไข้และไอ สวมหน้ากากอนามัย และหลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสจมูกและปาก

ศาสตราจารย์ซาโตชิ ฮายากาวะ จากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนิฮง ซึ่งร่างเอกสารนี้ ระบุว่า เขาเข้าใจว่าสตรีมีครรภ์รู้สึกกังวล แต่เขาขอให้พวกเธอปฏิบัติตามข้อมูลที่ถูกต้องและเชื่อถือได้ เพราะว่าข้อมูลที่ไม่ถูกต้องต่าง ๆ กำลังแพร่หลาย ท่ามกลางการระบาดของเชื้อไวรัส

เราจะติดเชื้อได้อย่างไรและเราสามารถป้องกันตัวเองไม่ให้ติดเชื้อได้อย่างไร ?

คณะผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แพร่เชื้อได้จากฝอยละอองหรือการสัมผัสกับพื้นผิวที่มีเชื้อติดอยู่ เหมือนเช่นกรณีของไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลหรือไข้หวัดทั่วไป ซึ่งหมายความว่าไวรัสนี้แพร่กระจายผ่านฝอยละอองที่เกิดขึ้นเมื่อผู้ติดเชื้อไอหรือจาม

นอกจากนี้ ก็ยังสามารถติดเชื้อได้จากการจับลูกบิดประตูหรือห่วงสำหรับยืนเกาะบนรถไฟซึ่งมีเชื้อไวรัสนี้ติดอยู่ จากนั้นก็นำมือที่มีเชื้อปนเปื้อนมาจับจมูกหรือปาก เชื่อกันว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่มีระดับการติดเชื้อประมาณเดียวกันกับไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล

มาตรการพื้นฐานสำหรับการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนานั้นเป็นมาตรการเดียวกับที่ใช้รับมือกับไข้หวัดใหญ่ นั่นคือการล้างมือและมารยาทที่เหมาะสมเวลาไอ

สำหรับการล้างมือนั้น ขอแนะนำให้ใช้สบู่และล้างทุกส่วนของมือไปจนถึงข้อมือเป็นเวลาอย่างน้อย 20 วินาที ล้างสบู่ออกด้วยน้ำที่เปิดไหล หรือสามารถใช้เจลล้างมือที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เป็นหลัก

มารยาทที่เหมาะสมเวลาไอก็เป็นวิธีสำคัญที่จะควบคุมการระบาดของไวรัส ขอแนะนำให้ปิดปากและจมูกด้วยกระดาษทิชชู่หรือแขนเสื้อ เพื่อป้องกันไม่ให้ฝอยละอองที่มีเชื้อไวรัสอยู่ กระจายไปโดนผู้อื่น

ส่วนมาตรการอื่น ๆ ที่มีประสิทธิภาพก็คือการหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีผู้คนแออัด และเมื่ออยู่ภายในอาคาร ควรหมั่นเปิดหน้าต่างเพื่อให้อากาศถ่ายเท

ที่ญี่ปุ่นนั้น บริษัทรถไฟแต่ละรายจะตัดสินใจว่าจะเปิดหน้าต่างของตู้โดยสารที่มีผู้โดยสารหนาแน่นหรือไม่ คณะผู้เชี่ยวชาญระบุว่าตู้โดยสารเหล่านี้มีการระบายอากาศในระดับหนึ่งอยู่แล้ว เพราะประตูจะเปิดออกเมื่อรถไฟหยุดตามสถานีต่าง ๆ เพื่อให้ผู้โดยสารขึ้นหรือลงรถไฟ

ไวรัสโคโรนาคืออะไร ?

ไวรัสโคโรนาคือไวรัสที่ติดสู่คนและสัตว์ชนิดอื่น ๆ โดยทั่วไปจะแพร่กระจายในคน ทำให้เกิดอาการคล้ายกับเป็นหวัดธรรมดา เช่น ไอ มีไข้ และน้ำมูกไหล ไวรัสโคโรนาบางสายพันธุ์ เช่น ชนิดที่ทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือเมอร์ส ซึ่งมีการยืนยันครั้งแรกในซาอุดีอาระเบียเมื่อปี 2555 นั้น ทำให้ปอดอักเสบ หรือเกิดอาการสาหัสอื่น ๆ

ไวรัสโคโรนาที่ระบาดครั้งใหญ่ทั่วโลกอยู่ในขณะนี้เป็นสายพันธุ์ใหม่ ผู้ติดเชื้อจะเกิดอาการ เช่น มีไข้ ไอ อ่อนเพลีย มีเสมหะ หายใจติดขัด เจ็บคอ ปวดศีรษะ ประมาณร้อยละ 80 ของผู้ป่วยหายหลังจากมีอาการเล็กน้อย เกือบร้อยละ 20 มีอาการหนัก เช่น ปอดอักเสบ หรือแม้แต่การทำงานของอวัยวะหลายอย่างล้มเหลว คนที่อายุเกิน 60 ปีขึ้นไป หรือคนที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคทางเดินหายใจ หรือมะเร็ง มีแนวโน้มว่าจะอาการหนักหรือเสียชีวิต รายงานการติดเชื้อในเด็ก ๆ แทบไม่มีเลย และถึงมีก็มีอาการค่อนข้างเบา
TOP